อยากถามปัญหาที่เด็กๆและชาวโลกสงสัยกันน่ะครับ ตามหลักธรรมนะ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
hopen
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 18, 2009 5:11 pm

จันทร์ ธ.ค. 27, 2010 9:59 pm

ทำไมคนเรา เกิดมาต่างกัน

1. ทำไมบางคนเกิดในสลัม บางคนเกิดในพระราชวัง

2. ทำไมบางคนเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า บางคนเกิดมามีพ่อแม่ครบ

3. ทำไมบางคนเกิดในประเทศสงบสุข บางคนเกิดในประเทศยากจน สู้รบกันตลอด

4. ทำไมบางคนเกิดมาตายตั้งแต่ในท้องแม่ บางคนอายุยืนเป็น 100 ปี


ขอถาม พร้อมเหตุผลละเอียดๆด้วยครับ
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ธ.ค. 27, 2010 10:39 pm

อยากตอบแต่ความรู้ไม่พอครับ รอฟังคนอื่นตอบ ฮะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
My Hope
โพสต์: 735
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 8:42 am
ติดต่อ:

อังคาร ธ.ค. 28, 2010 6:27 am

hopen เขียน:ทำไมคนเรา เกิดมาต่างกัน

1. ทำไมบางคนเกิดในสลัม บางคนเกิดในพระราชวัง

2. ทำไมบางคนเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า บางคนเกิดมามีพ่อแม่ครบ

3. ทำไมบางคนเกิดในประเทศสงบสุข บางคนเกิดในประเทศยากจน สู้รบกันตลอด

4. ทำไมบางคนเกิดมาตายตั้งแต่ในท้องแม่ บางคนอายุยืนเป็น 100 ปี


ขอถาม พร้อมเหตุผลละเอียดๆด้วยครับ
ต้องการคำตอบแบบไหนละครับ ถ้า้ต้องการคำตอบแบบพุทธศาสนา ก็จะกล่าวได้ว่า ทุกอย่างเป็นกรรมของคุณเอง คุณทำสิ่งใดมาก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบแทนอยู่เสมอๆ ไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งกรรม
แต่หากต้องการคำตอบแบบเอกเทวนิยม ผมก็จะขอตอบเลยว่าทุกๆอย่างถือเป็นพระพรครับ พระเจ้าทรงมีแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ให้กับทุกๆคนอยู่แล้วครับ บางทีที่บางคนเกิดมากำพร้าแต่อาจจะมีอนาคตที่ดีกว่าคนที่มีพ่อแม่ครบก็ได้ครับ สิ่งนี้ถือเป็นพระพรครับ ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายหรือดี เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการณ์ไว้สำหรับทุกคนอยู่แล้ว
In the name of father
โพสต์: 719
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
ที่อยู่: กาญจนบุรี

พุธ ธ.ค. 29, 2010 1:18 pm

hopen เขียน:ทำไมคนเรา เกิดมาต่างกัน

1. ทำไมบางคนเกิดในสลัม บางคนเกิดในพระราชวัง

2. ทำไมบางคนเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า บางคนเกิดมามีพ่อแม่ครบ

3. ทำไมบางคนเกิดในประเทศสงบสุข บางคนเกิดในประเทศยากจน สู้รบกันตลอด

4. ทำไมบางคนเกิดมาตายตั้งแต่ในท้องแม่ บางคนอายุยืนเป็น 100 ปี

1.พระเจ้าสร้างโลกให้เท่าเทียมกันทุกส่วนครับ
...มนุษย์ต่างหากที่ขีดเส้นแบ่งระหว่างสลัมกับพระราชวังขึ้นมา

2.มีหลายประเด็น เพราะต้องดูย้อนไปอีกว่าทำไมเขาถึงกำพร้าพ่อแม่ ถ้าฆ่า ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือว่าถูกทิ้ง ต้องว่ากันเป็นเคสๆไป

3.สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาชนิดหนึ่งทึกทักเอาว่าการรบกันคือคำตอบที่ถูกต้อง สู้กันแล้วจะได้มาซึ่งอำนาจ พระเจ้าได้เป็นคนส่งนิวเคลียร์ให้รัฐบาลมั้ย? พระเจ้าใช่ผู้ที่เผาผลาญทรัพยากรณ์ในประเทศจนขาดแคลนรึเปล่า? ลองคิดดีๆว่าสาเหตุเหล่านี้แท้จริงแล้วมันเป็นผลงานของใคร พระเจ้าหรือมนุษย์

4.อันนี้ไม่ทราบครับ รอผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมาตอบ=w=




ถ้าโลกนี้ไม่มีมนุษย์ ทุกๆที่จะมีแต่ความสงบสุขครับ ป่าไม้ หุบเขา ลำธาร มหาสมุทร แม้แต่ทะเลทราย จะมีแต่ธรรมชาติอันงดงามและวิถีชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่าย

พระเจ้าสร้างทุกอย่างมาดีแล้ว ที่มันพังทลายก็เพราะมนุษย์เองนั่นแหละ
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

พุธ ธ.ค. 29, 2010 1:25 pm

คำถามที่เจอหลายครั้งมักจะเป็น "ทำไมพระเจ้าถึงให้เกิดสงคราม"
อยากได้คำตอบที่จะตอบคนถามได้เข้าใจง่าย ๆ เหมือนกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พุธ ธ.ค. 29, 2010 4:30 pm

littleseal เขียน:คำถามที่เจอหลายครั้งมักจะเป็น "ทำไมพระเจ้าถึงให้เกิดสงคราม"

อยากได้คำตอบที่จะตอบคนถามได้เข้าใจง่าย ๆ เหมือนกัน
My Hope เขียน:
hopen เขียน:ทำไมคนเรา เกิดมาต่างกัน

1. ทำไมบางคนเกิดในสลัม บางคนเกิดในพระราชวัง

2. ทำไมบางคนเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า บางคนเกิดมามีพ่อแม่ครบ

3. ทำไมบางคนเกิดในประเทศสงบสุข บางคนเกิดในประเทศยากจน สู้รบกันตลอด

4. ทำไมบางคนเกิดมาตายตั้งแต่ในท้องแม่ บางคนอายุยืนเป็น 100 ปี


ขอถาม พร้อมเหตุผลละเอียดๆด้วยครับ
ต้องการคำตอบแบบไหนละครับ ถ้า้ต้องการคำตอบแบบพุทธศาสนา ก็จะกล่าวได้ว่า ทุกอย่างเป็นกรรมของคุณเอง คุณทำสิ่งใดมาก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบแทนอยู่เสมอๆ ไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งกรรม
แต่หากต้องการคำตอบแบบเอกเทวนิยม ผมก็จะขอตอบเลยว่าทุกๆอย่างถือเป็นพระพรครับ พระเจ้าทรงมีแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ให้กับทุกๆคนอยู่แล้วครับ บางทีที่บางคนเกิดมากำพร้าแต่อาจจะมีอนาคตที่ดีกว่าคนที่มีพ่อแม่ครบก็ได้ครับ สิ่งนี้ถือเป็นพระพรครับ ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายหรือดี เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการณ์ไว้สำหรับทุกคนอยู่แล้ว

ขอตอบเป็นประเด็น ๆ

เราไม่ได้เชื่อเรื่องชาติก่อน ดังนั้น เรื่องกฏแห่งกรรม ว่าชาติที่แล้วทำอะไรมา
ชาตินี้เลยเป็นนั่นเป็นนี่ เลยไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความไม่เท่าเทียมของเรา


ยน 9:1-7 พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอด
9 (1)ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง (2)บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” (3)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา”(4)ตราบใดที่ยังเป็นกลางวันอยู่
เราทั้งหลายต้องทำกิจการของผู้ที่ทรงส่งเรามา แต่เมื่อกลางคืนมาถึง ก็ไม่มีใครทำงานได้
(5)ตราบที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นแสงสว่างส่องโลก
(6)เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด (7)แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” “สิโอลัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมา มองเห็น




++++++++++++


พระเจ้าไม่ได้ทำให้เกิดสงคราม แต่เป็นมนุษย์ที่ทำสงคราม
มนุษย์นั่นแหละืที่เห็นแก่ตัว อยากจะมีอีก อยากจะได้อีก ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี


พระเจ้าทรงรักมนุษย์มาก ทรงให้มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือก หรือ ที่เรียกว่าอำเภอใจ
พระเจ้าไม่เคยบังคับคุณ คุณเลือกเอง ตัดสินใจเอง แม้แต่จะเลือกรักพระองค์หรือไม่ ก็ไม่บังคับ

มีพระเจ้าที่เคารพ รัก และ ให้สิทธิ์คุณขนาดนี้ แต่อยากจะได้พระเจ้าเผด็จการ ก็แปลกดี


++++++++++++


ถ้าก้อนหินทุกก้อนในโลก มันเป็นเพชรทั้งหมด คุณจะเห็นคุณค่าของเพชรมั๊ย?

เพราะมีก้อนกรวด คุณถึงรู้ว่าเพชรมันมีค่า

พระเจ้าให้คนที่มีจนล้น มีหน้าที่เติมให้คนที่ขาดต่างหาก
พระเจ้าทรงรู้ว่าใครสมควรมีเท่าไหร่ และ เมื่อไหร่
ถ้าทุกคนเท่ากันหมด ก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำความดี ไม่ต้องช่วยเหลือใคร
ไม่ต้องไปห่วงใคร เพราะมีเหมือนกันหมด.....
..อืม... คิดดูแล้ว..... ช่างเป็นโลกที่น่าเบื่อและไร้น้ำใจสิ้นดี.....

บางคนเป็นคนดี แต่ถ้ามีเงินเข้า นิสัยก็เปลี่ยน
บางคนจนแทบตาย แต่นั่นแหละ ทำให้เขารู้คุณค่าของชีวิต และ คุณค่าของเงิน
บางคนเป็นกำพร้า ลำบากแท้ตาย แต่นั่นทำให้เขาเห็นคุณค่าของความรัก

แทนที่จะมานั่งถามว่าทำไมพระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น ทำไมพระเจ้าไม่ทำอย่างนี้
พระเจ้ายังไม่เคยบังคับคุณเลย มีแต่มนุษย์นี่แหละ ชอบบังคับพระเจ้า

ถ้าพระองค์ไม่ทำแบบนี้ ลูกจะเลิกรักพระองค์ จะเกลียดพระองค์
บางทีก็แกลังทำเลวประชดพระองค์ซะเลย

พระเจ้าให้มนุษย์แตกต่าง เพื่อให้เห็นคุณค่าของกันและกัน และ เพื่อให้คุณ
มีโอกาสได้แสดงความรักและ เติมเต็มให้แก่กันและกัน


ดังนั้น เลิกถามเถอะค่ะว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
หยุดถาม แล้วลงมือทำดีมั๊ยคะ?
In the name of father
โพสต์: 719
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
ที่อยู่: กาญจนบุรี

พุธ ธ.ค. 29, 2010 4:40 pm

~@Little lamb@~ เขียน:

ขอตอบเป็นประเด็น ๆ

เราไม่ได้เชื่อเรื่องชาติก่อน ดังนั้น เรื่องกฏแห่งกรรม ว่าชาติที่แล้วทำอะไรมา
ชาตินี้เลยเป็นนั่นเป็นนี่ เลยไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความไม่เท่าเทียมของเรา


ยน 9:1-7 พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอด
9 (1)ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง (2)บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” (3)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา”(4)ตราบใดที่ยังเป็นกลางวันอยู่
เราทั้งหลายต้องทำกิจการของผู้ที่ทรงส่งเรามา แต่เมื่อกลางคืนมาถึง ก็ไม่มีใครทำงานได้
(5)ตราบที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นแสงสว่างส่องโลก
(6)เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด (7)แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” “สิโอลัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมา มองเห็น




++++++++++++


พระเจ้าไม่ได้ทำให้เกิดสงคราม แต่เป็นมนุษย์ที่ทำสงคราม
มนุษย์นั่นแหละืที่เห็นแก่ตัว อยากจะมีอีก อยากจะได้อีก ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี


พระเจ้าทรงรักมนุษย์มาก ทรงให้มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือก หรือ ที่เรียกว่าอำเภอใจ
พระเจ้าไม่เคยบังคับคุณ คุณเลือกเอง ตัดสินใจเอง แม้แต่จะเลือกรักพระองค์หรือไม่ ก็ไม่บังคับ

มีพระเจ้าที่เคารพ รัก และ ให้สิทธิ์คุณขนาดนี้ แต่อยากจะได้พระเจ้าเผด็จการ ก็แปลกดี


++++++++++++


ถ้าก้อนหินทุกก้อนในโลก มันเป็นเพชรทั้งหมด คุณจะเห็นคุณค่าของเพชรมั๊ย?

เพราะมีก้อนกรวด คุณถึงรู้ว่าเพชรมันมีค่า

พระเจ้าให้คนที่มีจนล้น มีหน้าที่เติมให้คนที่ขาดต่างหาก
พระเจ้าทรงรู้ว่าใครสมควรมีเท่าไหร่ และ เมื่อไหร่
ถ้าทุกคนเท่ากันหมด ก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำความดี ไม่ต้องช่วยเหลือใคร
ไม่ต้องไปห่วงใคร เพราะมีเหมือนกันหมด.....
..อืม... คิดดูแล้ว..... ช่างเป็นโลกที่น่าเบื่อและไร้น้ำใจสิ้นดี.....

บางคนเป็นคนดี แต่ถ้ามีเงินเข้า นิสัยก็เปลี่ยน
บางคนจนแทบตาย แต่นั่นแหละ ทำให้เขารู้คุณค่าของชีวิต และ คุณค่าของเงิน
บางคนเป็นกำพร้า ลำบากแท้ตาย แต่นั่นทำให้เขาเห็นคุณค่าของความรัก

แทนที่จะมานั่งถามว่าทำไมพระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น ทำไมพระเจ้าไม่ทำอย่างนี้
พระเจ้ายังไม่เคยบังคับคุณเลย มีแต่มนุษย์นี่แหละ ชอบบังคับพระเจ้า

ถ้าพระองค์ไม่ทำแบบนี้ ลูกจะเลิกรักพระองค์ จะเกลียดพระองค์
บางทีก็แกลังทำเลวประชดพระองค์ซะเลย

พระเจ้าให้มนุษย์แตกต่าง เพื่อให้เห็นคุณค่าของกันและกัน และ เพื่อให้คุณ
มีโอกาสได้แสดงความรักและ เติมเต็มให้แก่กันและกัน


ดังนั้น เลิกถามเถอะค่ะว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
หยุดถาม แล้วลงมือทำดีมั๊ยคะ?


อยากกดlikeให้จัง :s015:
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

พุธ ธ.ค. 29, 2010 6:03 pm

จากคำตอบของคุณ ll เลยนึกคำตอบนี้ได้

"เพชรมันมีคุณค่าในตัวมันเองหรือมนุษย์ตีคุณค่าของมัน
สงครามเกิดขึ้นเองหรือมนุษย์ทำให้เกิดมัน"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 30, 2010 4:34 pm

ทุกสิ่งพระองค์สร้างด้วยความรัก สิ่งเหล่านั้ันล้วนดีทั้งนั้น :s012: :s012: :s012:
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

ศุกร์ ธ.ค. 31, 2010 12:09 pm

ไม่ว่าเราอยู่ในสถานการณ์อย่างใด เกิดมาเป็นอะไรก็ตาม
จะดีหรือจะร้าย แค่ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกสิ่ง
ความสุขก็เปี่ยมล้นภายในใจละครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
My Hope
โพสต์: 735
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 8:42 am
ติดต่อ:

ศุกร์ ธ.ค. 31, 2010 3:22 pm

aqua-alta เขียน:ไม่ว่าเราอยู่ในสถานการณ์อย่างใด เกิดมาเป็นอะไรก็ตาม
จะดีหรือจะร้าย แค่ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกสิ่ง
ความสุขก็เปี่ยมล้นภายในใจละครับ
เห็นคำตอบของคุณaqua-alta แล้ว ผมนึกถึงเพลงนมัสการหนึ่งครับ เพลงนี้ผมรู้สึกชอบเช่นกันครับ ไม่รู้ว่าเ้คยฟังรึป่าว
ชื่อเพลง:ขอบพระคุณ
"โปรดให้ลูกขอบพระคุณ ไม่ว่าจะเจออะไร ขอบพระคุณไม่ว่าจะเสียทุกข์หรือเสียใจ และอยากให้ลูกลืมพระองค์ในวันเวลาที่สุขใจ" :s008:
นี้เลยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ธ.ค. 31, 2010 10:59 pm

ยน 9:1
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา”
ภาพประจำตัวสมาชิก
†ผู้แบกพระคริสต์
โพสต์: 71
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ธ.ค. 05, 2009 2:19 pm
ที่อยู่: Bangkok,Thailand

พฤหัสฯ. ม.ค. 06, 2011 9:15 am

hopen เขียน:ทำไมคนเรา เกิดมาต่างกัน

1. ทำไมบางคนเกิดในสลัม บางคนเกิดในพระราชวัง

2. ทำไมบางคนเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า บางคนเกิดมามีพ่อแม่ครบ

3. ทำไมบางคนเกิดในประเทศสงบสุข บางคนเกิดในประเทศยากจน สู้รบกันตลอด

4. ทำไมบางคนเกิดมาตายตั้งแต่ในท้องแม่ บางคนอายุยืนเป็น 100 ปี


ขอถาม พร้อมเหตุผลละเอียดๆด้วยครับ
+กราบสวัสดีพี่น้องร่วมโลกทั้งหลายและสหายในพระคริสต์ทุกท่าน+
ข้าพเจ้าขอยกบางบทบางตอน บางวลี ในพระคำภีร์มาประกอบ..
ต่อไปนี้อาจจะดูเหมือน"น้ำถ้วมทุ่ง"ไม่ตรงประเด็นที่พี่น้องท่านนี้ได้ถามมากนัก แต่ก็อยากที่จะบังอาจขอให้พี่น้อง อ่านให้ถึงบรรทัดสุดท้าย..
ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่เหลือบ่ากว่าแร่งท่านพี่น้องเป็นแน่..

จากพระวรสาร
ตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น
บทที่ 9 วรรคที่ 1 ถึง 41
ความว่า..
(1)ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง (2)บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” (3) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (4) ตราบใดที่ยังเป็นกลางวันอยู่เราทั้งหลายต้องทำกิจการของผู้ที่ทรงส่งเรามา แต่เมื่อกลางคืนมาถึง ก็ไม่มีใครทำงานได้ (5) ตราบที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นแสงสว่างส่องโลก (6)เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด (7)แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” “สิโลอัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมามองเห็น (8) เพื่อนบ้านและคนที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน พูดว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่มิใช่หรือ” (9) บางคนพูดว่า “ใช่แล้ว” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่นที่คล้ายคลึงกัน” แต่คนที่เคยตาบอดพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นฉันเอง” (10) คนเหล่านั้นจึงถามเขาว่า “ตาของท่านหายบอดได้อย่างไร’” (11)เขาตอบว่า “คนที่ชื่อเยซูทำโคลนป้ายตาของฉัน และบอกฉันว่า “จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” ฉันจึงไปล้าง พอล้างแล้ว ก็มองเห็น” (12)พวกนั้นถามว่า “เวลานี้คนนั้นอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ฉันไม่รู้” (13)คนเหล่านั้นจึงพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี (14)วันที่พระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะผสมดินและทรงรักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต (15)ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า “เขามองเห็นได้อย่างไร” เขาจึงตอบว่า “คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของฉัน ฉันไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” (16)ชาวฟาริสีบางคนพูดว่า “คนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาไม่ถือวันสับบาโต” แต่บางคนแย้งว่า “คนบาปจะทำเครื่องหมายอัศจรรย์อย่างนี้ได้อย่างไร” ชาวฟาริสีเหล่านั้นมีความคิดเห็นแตกต่างกัน (17)จึงถามคนที่เคยตาบอดอีกว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาทำให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า ”คนนั้นเป็นประกาศก” (18)แต่ชาวยิวไม่ยอมเชื่อว่าชายคนนี้เคยตาบอดแล้วกลับมองเห็น จึงเรียกบิดามารดาของเขามา (19) แล้วถามว่า “คนนี้เป็นลูกของท่าน ซึ่งท่านบอกว่าเกิดมาตาบอดใช่หรือไม่ บัดนี้ เขากลับมองเห็นได้อย่างไร” (20)บิดามารดาตอบว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และเกิดมาตาบอด (21)แต่เราไม่รู้ว่า บัดนี้ เขามองเห็นได้อย่างไร หรือใครรักษาตาของเขา เราก็ไม่รู้ ท่านจงถามเขาเองเถิดเขาโตพอจะตอบเองได้แล้ว” (22)บิดามารดาตอบเช่นนี้ก็เพราะกลัวชาวยิว ซึ่งตกลงกันแล้วว่า ใครยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้าจะถูกขับออกจากศาลาธรรม (23)บิดามารดาของเขาจึงตอบว่า “เขาโตแล้ว ท่านจงถามเขาเองเถิด” (24)ชาวยิวเรียกคนที่เคยตาบอดมาอีก บอกเขาว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด พวกเรารู้ว่าคนนั้นเป็นคนบาป” (25)คนที่เคยตาบอดแย้งว่า “เขาเป็นคนบาปหรือไม่ ฉันไม่รู้ ฉันรู้อย่างเดียวว่า ฉันเคยตาบอด และบัดนี้มองเห็นแล้ว” (26) พวกนั้นถามอีกว่า “เขาทำอะไรกับท่าน เขารักษาตาของท่านอย่างไร” (27) คนที่เคยตาบอดตอบว่า “ฉันบอกท่านแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านต้องการฟังอีกเล่า ท่านต้องการเป็นศิษย์ของเขาด้วยกระมัง” (28)พวกนั้นจึงด่าเขาว่า “ท่านสิ เป็นศิษย์ของเขา ส่วนเราเป็นศิษย์ของโมเสส (29)พวกเรารู้ว่า พระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่เยซูคนนี้ เราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน” (30)คนที่เคยตาบอดจึงพูดว่า “แปลกจริงท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าเขามาจากไหน แต่เขาได้รักษาตาของฉันให้กลับมองเห็น (31)เราทั้งหลายรู้ว่า พระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังผู้ที่ยำเกรงพระองค์และปฏิบัติตามพระประสงค์เท่านั้น (32)แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายได้ (33)ถ้าเขาไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้” (34)คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ” แล้วจึงขับไล่เขาออกไป (35)พระเยซูเจ้าทรงได้ยินว่าชาวฟาริสีขับไล่คนที่ตาบอดออกไปจากศาลาธรรม เมื่อทรงพบเขา จึงตรัสถามว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” (36)เขาทูลถามว่า “บุตรแห่งมนุษย์คือใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะได้เชื่อในพระองค์” (37)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่านนี้แหละ” (38)เขาจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์ (39)พระเยซูเจ้าตรัสว่า เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น ส่วนคนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด (40)ชาวฟาริสีบางคนซึ่งอยู่ที่นั่นได้ยินพระวาจาเหล่านี้ จึงทูลถามพระองค์ว่า “พวกเราก็ตาบอดด้วยใช่ไหม” (41)พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ถ้าท่านทั้งหลายตาบอดท่านก็ไม่มีบาป แต่ท่านกล่าวว่า “เรามองเห็น” บาปของท่านจึงยังคงอยู่
*******************************

1. บาปของใคร
นี่เป็นครั้งเดียวในพระวรสารที่มีการระบุว่าผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นมาตั้งแต่เกิด !
เมื่อเห็นชายตาบอดแต่กำเนิด บรรดาศิษย์จึงทูลถามปัญหาซึ่งค้างคาใจชาวยิวมานานว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” (ยน 9:2)
ที่ว่าค้างคาใจก็เพราะชาวยิวนำการตกทุกข์ได้ยากไปผูกติดไว้กับบาป ใครตกทุกข์ได้ยากก็แปลว่าคนนั้นทำบาป แต่เนื่องจากชายตาบอดคนนี้ตกทุกข์ได้ยากตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยทำบาปมาก่อน จึงเกิดปัญหาว่าจะเอาบาปไปผูกติดไว้กับผู้ใด ?
ชาวยิวถือว่าจะเอาบาปไปผูกติดไว้กับคนตาบอดเองก็ได้ เพราะพวกเขาเชื่อว่ามีบาปก่อนเกิด (ไม่ใช่บาปกำเนิด) นั่นคือมนุษย์รู้จักทำบาปหรือได้รับอิทธิพลของบาปตั้งแต่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดาแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามีวิญญาณทั้งดีและชั่วตั้งแต่สร้างโลก ใครได้วิญญาณดีติดตัวมาตอนเกิดก็โชคดีไป ใครได้วิญญาณชั่วก็โชคร้ายไป (เทียบ ปชญ 8:19)
อีกทฤษฎีหนึ่งถือว่าตาบอดแต่กำเนิดเป็นผลจากบาปของบิดามารดา ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าที่ลงโทษความผิดบิดาที่เกลียดชังเราไปถึงลูกหลานจนถึงสามสี่ชั่วอายุคน แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน” (อพย 20:5-6)
แต่คำตอบของพระเยซูเจ้าคือ “มิใช่ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (ยน 9:3)
เท่ากับว่าจะนำการตกทุกข์ได้ยากมาผูกติดไว้กับบาปกรรมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว !!
2. เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏ
กรณีของชายตาบอดแต่กำเนิด พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (ยน 9:3)
แปลว่า มนุษย์ตกทุกข์ได้ยากก็เพื่อพระเจ้าจะมีโอกาสกระทำกิจการของพระองค์ในตัวเรา !!
ยอห์นเรียกกิจการของพระเจ้าเช่นนี้ว่า “เครื่องหมายอัศจรรย์” (ยน 9:16) ซึ่งเป็นการแสดงออกถึง “ความรัก”, “ความตื้นตันพระทัย” และ “ความเมตตาสงสาร” จากก้นบึ้งแห่งหัวใจของพระองค์ (มก 1:41; 6:34) และทุกครั้งที่พระเจ้าทรงกระทำกิจการของพระองค์ ผู้ที่รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือผู้ตกทุกข์ได้ยากนั่นเอง
สิ่งที่ผู้ตกทุกข์ได้ยากได้รับจากกิจการของพระเจ้าคือพระหรรษทานที่หลั่งไหลลงมาสู่เขา ทำให้เขามีพละกำลังเข็มแข็ง สามารถอดทนต่อความทุกข์ยากทั้งปวงได้อย่างสง่างาม เฉกเช่นเดียวกับบรรดามรณสักขีผู้เคยแบกรับความเจ็บปวดทรมานเพื่อยืนยันความเชื่อด้วยความปีติยินดีมาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้ายังทรงกระทำกิจการของพระองค์โดยผ่านทาง “เพื่อนมนุษย์” อย่างเราทุกคนอีกด้วย
ทุกครั้งที่เราช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เรากำลังทำเหมือนพระเจ้า เรากำลังทำให้แสงสว่างส่องต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของเรา และสรรเสริญพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ (มธ 5:16)
ในเมื่อความช่วยเหลือหลั่งไหลมาจากทั้งพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ เราจะถือว่าการตกทุกข์ได้ยากเป็นผลมาจากบาปหรือเป็น “เวรกรรม” ของเราได้อย่างไรกัน ?!
เราจึงควรเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ว่า การตกทุกข์ได้ยากคือ “การเขน” อันเป็นท่อธารแห่งพระหรรษทานทั้งปวง !!!
3. ตราบที่ยังเป็นกลางวัน
ก่อนรักษาคนตาบอด พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ตราบใดที่ยังเป็นกลางวันอยู่ เราทั้งหลายต้องทำกิจการของผู้ที่ทรงส่งเรามา แต่เมื่อกลางคืนมาถึง ก็ไม่มีใครทำงานได้” (ยน 9:4)
พระองค์กำลังตรัสเตือนพระองค์เองเพราะ “กางเขน” ใกล้เข้ามาแล้ว “เวลา” ของพระองค์เหลือน้อยแล้ว !
อันที่จริง เราแต่ละคนต่างได้รับ “เวลา” มาจำนวนหนึ่ง เมื่อเวลาหมด เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นระหว่างที่ยังมีเวลาอยู่ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อย่าเลื่อนไปทำพรุ่งนี้ เพราะอาจไม่มี “พรุ่งนี้” สำหรับเรา
E. D. Starbuck ได้ให้สถิติที่น่าสนใจไว้ในหนังสือ The Psychology of Religion (จิตวิทยาศาสนา) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “เวลา” ของเราดังนี้
โดยทั่วไป “การกลับใจ” เริ่มต้นเมื่ออายุ 7-8 ขวบ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุ 10-11 ขวบ จากนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงอายุ 16 ขวบ
จากอายุ 16 จนถึง 20 ขวบ โอกาสกลับใจจะลดลงแบบชันดิ่ง และเมื่อถึง 30 ขวบ โอกาสกลับใจแทบไม่มีหรือมีน้อยมาก
แปลว่า แม้จะมี “พรุ่งนี้” สำหรับเรา แต่อาจเป็น “พรุ่งนี้” ที่มืดสลัวอย่างยิ่งก็ได้ !
ฉะนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ตราบที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นแสงสว่างส่องโลก” (ยน 9:5) จึงไม่ได้หมายความว่า เมื่อพระองค์ไม่อยู่ในโลก แสงสว่างของพระองค์จะมืดมัวลง แต่หมายความว่า ยิ่งเราทอดเวลาตัดสินใจเลือกพระองค์ออกไปนานเท่าใด โอกาสของเรายิ่งมืดมนลงเท่านั้น !
3. วิธีรักษา
หลังจากเตือนให้ทุกคนเร่งทำสิ่งที่ต้องทำในขณะที่ยังทำได้แล้ว “พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด” (ยน 9:6)
นี่เป็นหนึ่งในสองครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงใช้ “พระเขฬะ” หรือ “น้ำลาย” รักษาโรค อีกครั้งหนึ่งคือการรักษาคนใบ้และหูหนวกในดินแดนทศบุรี (มก 7:33)
การใช้น้ำลายดูเหมือนจะน่ารังเกียจและไม่ถูกอนามัย แต่ในสมัยโบราณ การใช้น้ำลายรักษาโรคถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา แม้ทุกวันนี้ หลายคนยังเชื่อว่าหูดรักษาได้โดยใช้น้ำลายเลีย และเกือบเป็นสัญชาติญาณของทุกคนที่จะเอานิ้วจิ้มน้ำลายในปากเมื่อโดนไฟลวก
นี่คือ “ความสุดยอด” ของพระเยซูเจ้าที่ทรงเลือกวิธีรักษาโรคที่ผู้คนสมัยนั้นคุ้นเคย เข้าใจ และนิยมใช้กัน เพื่อให้คนไข้มั่นใจ
แพทย์ในปัจจุบันต่างยอมรับว่า ประสิทธิภาพของการรักษาย่อมขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของคนไข้ด้วย
พระองค์ทรงปลุกความหวังและความมั่นใจ โดยทรงกระทำในสิ่งที่คนตาบอดคาดหวัง !
พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ทรงประสิทธิภาพสูงสุด !
“คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมามองเห็น” (ยน 9:7) แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการชักชวนเพื่อนบ้าน คนที่เคยรู้จักเขา และพวกฟาริสี ให้เชื่อว่าเขาได้รับการรักษาให้หายจากตาบอดแล้ว กระนั้นก็ตาม เขาไม่ย่อท้อที่จะยืนยันและประกาศสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำแก่เขา
ทุกวันนี้ พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำกิจการของพระเจ้า ซึ่งดูเหมือนจะดีและมหัศจรรย์เกินกว่าจะเป็นจริงสำหรับคนที่ไม่มีความเชื่อ แต่สำหรับผู้ที่มีความเชื่อ เขาจะได้สัมผัสกับกิจการของพระองค์ทุกวัน !
4. ปฏิกิริยา
หลังการรักษาคนตาบอด เราได้เห็นพฤติกรรมของบุคคลต่าง ๆ อย่างชัดเจน
1. คนตาบอด เขาทนดูความดื้อรั้นของพวกฟาริสีไม่ได้ จึงแย้งแบบกวน ๆ ว่า “อยากพูดอะไรเกี่ยวกับพระองค์ก็พูดไปเถอะ พระองค์เป็นคนบาปหรือไม่ ฉันไม่รู้ ฉันรู้อย่างเดียวว่า ฉันเคยตาบอด และบัดนี้มองเห็นแล้ว” (เทียบ ยน 9:25)
แม้เขาจะอธิบายพระเยซูเจ้าด้วยถ้อยคำสวยหรูตามหลักเทววิทยาให้ชาวยิวฟังไม่ได้ แต่เขาสามารถยืนยันอย่างกล้าหาญว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งใดแก่เขาทั้ง ๆ ที่รู้ชะตากรรมดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเขายืนอยู่ข้างพระองค์
นี่คือแบบอย่างสำหรับเรา แม้สติปัญญาของเราจะไม่รู้เทววิทยาขั้นสูงจนอธิบายพระเยซูเจ้าได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่เราสามารถรับรู้ด้วยหัวใจของเราว่าพระองค์ได้ทรงช่วยเหลือวิญญาณของเราอย่างไรบ้าง ?
เป็นการดีกว่าที่จะรักพระเยซูเจ้า มากกว่ารักทฤษฎีเกี่ยวกับพระองค์ !
2. บิดามารดาของคนตาบอด พวกเขาไม่ได้เห็นด้วยกับพวกฟาริสี แต่ก็ “กลัวชาวยิวซึ่งตกลงกันแล้วว่า ใครยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้าจะถูกขับออกจากศาลาธรรม” (ยน 9:22)
เพื่อจะรวบรวมเชลยชาวยิวที่กลับจากบาบิโลนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ประกาศกเอสราจึงออกกฎว่า “ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหมายประกาศ ให้ริบทรัพย์สินทั้งหมด และขับไล่ออกจากกลุ่มชน” (อสร 10:8)
การขับไล่ออกจากกลุ่มชนมี 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นการขับไล่ตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นการลงโทษอย่างเปิดเผยและมีผลให้บุคคลนั้นถูกตัดขาดจากพระเจ้าและศาลาธรรมตลอดชีวิต อีกประเภทหนึ่งเป็นการขับออกจากกลุ่มชั่วคราวโดยมีกำหนดเวลาแน่นอน เช่น หนึ่งเดือน เป็นต้น
แม้หัวหน้าชาวยิวเองก็กลัวกฎเหล็กนี้ ยอห์นเล่าว่า “ยังมีหัวหน้าชาวยิวหลายคนที่เชื่อในพระองค์ แต่ไม่กล้าแสดงความเชื่ออย่างเปิดเผย เพราะกลัวชาวฟาริสี เกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาธรรม” (ยน 12:42) และพระเยซูเจ้าเองก็เคยเตือนศิษย์ของพระองค์เช่นกันว่า “เขาจะขับไล่ท่านออกจากศาลาธรรม” (ยน 16:2)
จะเห็นว่าพวกฟาริสีพร้อมทำทุกวิถีทาง แม้กระทั้งใช้กฎระเบียบทางศาสนาอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อกำจัดพระเยซูเจ้า !
น่าเสียดายที่ทั้งบิดาและมารดาของคนตาบอดกลัวที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับพระเยซูเจ้า จึงพลาดโอกาสดี ๆ แบบที่บุตรชายของพวกเขาได้รับ
3. พวกฟาริสี ปฏิกิริยาแรกสุดเมื่อเพื่อนบ้านพาคนตาบอดไปพบพวกเขาคือฟันธงว่าพระเยซูเจ้า “ไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาไม่ถือวันสับบาโต” (ยน 9:16)
บังเอิญว่าวันที่ทรงรักษาคนตาบอดเป็นวันสับบาโต (ยน 9:14) พระองค์จึงโดนข้อหาหลายกระทงด้วยกัน
กระทงแรก ลำพังถ่มน้ำลายจนมีปริมาณมากพอสำหรับป้ายเปลือกตาก็เป็นการละเมิดวันสับบาโตแล้ว
การผสมน้ำลายกับดินจนเป็นโคลนถือเป็นการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต นี่เป็นความผิดกระทงที่สอง
กระทงที่สาม การรักษาโรคทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตยกเว้นกรณีเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต และแม้ในกรณีเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ทำได้เพียงควบคุมมิให้อาการกำเริบไปกว่าเดิม ห้ามทำการใด ๆ เพื่อเยียวยาให้อาการดีขึ้น กรณีของคนตาบอดไม่ใช่อันตรายถึงแก่ชีวิต พระองค์จึงโดนข้อหารักษาโรคในวันสับบาโตอีกหนึ่งกระทง
พวกฟาริสีตัดสินว่าพระองค์ “ไม่ได้มาจากพระเจ้า” เพราะไม่ถือวันสับบาโตตามที่โมเสสบัญญัติไว้ สำหรับพวกเขา หนทางเดียวในการรับใช้พระเจ้าคือการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาพร้อมประณามทุกคนที่มีความคิดเห็นทางศาสนาแตกต่างออกไป
เมื่อคนตาบอดไม่เห็นด้วยกับพวกเขาและพูดว่า “เราทั้งหลายรู้ว่า พระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังผู้ที่ยำเกรงพระองค์และปฏิบัติตามพระประสงค์เท่านั้น” พวกเขาจึงจนตรอกและไม่รู้จะตอบโต้คนตาบอดอย่างไร (ยน 9:31 เทียบ โยบ 27:9; อสย 1:15; อสค 8:18; สดด 34:15, 66:18, 145:19; สภษ 15:29)
ยิ่งไปกว่านั้น คนตาบอดยังพูดแทงใจดำพวกเขาอีกว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายได้ ถ้าเขาไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้” (ยน 9:32-33)

เมื่อสถานการณ์เริ่มเอนเอียงไปสู่ข้อสรุปว่าพระองค์มาจากพระเจ้า พวกฟาริสีจึงหาทางออกด้วยการโจมตีคนตาบอด
ก) พวกเขาทำให้คนตาบอด “สับสน” ด้วยการถามวนไปวนมาว่า “เขาทำอะไรกับท่าน เขารักษาตาของท่านอย่างไร” (ยน 9:15,26) จนคนตาบอดทนไม่ไหว ต้องตอกกลับไปเจ็บ ๆ ว่า “ฉันบอกท่านแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านต้องการฟังอีกเล่า ท่านต้องการเป็นศิษย์ของเขาด้วยกระมัง” (ยน 9:27)
ข) พวกเขา “ดูหมิ่น” คนตาบอดด้วยการพูดว่า “ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว (เพราะตาบอดแต่กำเนิด) แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ” (ยน 9:34)
ค) ที่สุดพวกเขา “คุกคาม” คนตาบอดด้วยการขับไล่ออกจากศาลาธรรม (ยน 9:34)
นี่คือพฤติกรรมของพวกฟาริสี !

จริงอยู่การถกเถียงกันเพราะมีความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อใดที่เราถกเถียงกันโดยมีเจตนาก่อให้เกิดความสับสน การดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือการคุกคามใด ๆ ก็ตาม เมื่อนั้นเรากำลังทำให้การถกเถียงกลายเป็นการต่อสู้อันขมขื่น และเป็นการเผยแสดงให้คนอื่นรู้ว่าน้ำหนักเหตุผลของเรามีมากน้อยเพียงใด ?!
และเพราะพฤติกรรมสุดทนของพวกฟาริสีนี้เอง พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น ส่วนคนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด” (ยน 9:39)

คำพูดนี้มิได้หมายความว่าพระเยซูเจ้าจะทรงเป็นผู้พิพากษาด้วยพระองค์เอง แต่หมายความว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ เราเองคือผู้พิพากษาที่จะตัดสินตนเอง
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ หากเราไม่เห็นพระองค์น่าสนใจ น่าชื่นชม น่าปรารถนา หรือน่ารัก เรากำลังพิพากษาประณามตัวเราเอง
ตรงกันข้าม หากเราเห็นพระองค์น่าพิศวง น่าแสวงหา น่าติดตาม เรากำลังตัดสินใจก้าวเดินตามหนทางของพระองค์

อนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น” ก็เพราะคนที่รู้ตัวว่าไม่เห็นและไม่รู้จะพยายามขวนขวายทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมองเห็นชัดเจนขึ้น รู้มากขึ้น จนว่าดวงตาของเขาจะเปิดและสติปัญญาของเขาจะหยั่งรู้ความจริงในที่สุด

“ส่วนคนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด” เพราะเขาคิดว่าตัวเองเห็นและรู้แล้ว จึงปิดหูปิดตาแล้วกลายเป็นคนบอดมืดสนิทจริง ๆ
พวกฟาริสีอ้างว่าเห็นและรู้พระคัมภีร์มากกว่าผู้ใด แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา พวกเขากลับไม่รู้จักและไม่ฟังเสียงของพระองค์

นี่คือ “จุดตาย” ที่พวกเขาพิพากษาตัดสินตัวเอง

พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายตาบอดท่านก็ไม่มีบาป แต่ท่านกล่าวว่า ‘เรามองเห็น’ บาปของท่านจึงยังคงอยู่” (ยน 9:40)
5. รางวัล
คนตาบอดสัตย์ซื่อต่อพระเยซูเจ้ากระทั่งยอมถูกขับไล่ออกจากศาลาธรรม ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงเสด็จไปสนทนากับเขา (ยน 9:35)

เป็นพระองค์เองที่เสด็จมาหาผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ !

ยิ่งคนตาบอดอยู่ใกล้ชิดพระองค์มากเท่าใด พระองค์ยิ่งเผยแสดงพระองค์แก่เขามากเท่านั้น
ครั้งแรกที่เพื่อนบ้านรุมเร้าถามว่า “ตาของท่านหายบอดได้อย่างไร” เขาตอบว่า “คนที่ชื่อเยซูทำโคลนป้ายตาของฉัน” (ยน 9:11)
ต่อมาเมื่อพวกฟาริสีถามว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาทำให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า “คนนั้นเป็นประกาศก” (ยน 9:17)

ที่สุดเมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถามว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” (ยน 9:35) เขาทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์ (ยน 9:38)
เห็นได้ชัดเจนว่า ยิ่งใกล้ชิดและรู้จักพระเยซูเจ้ามากเท่าใด เขายิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
จากคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ชื่อเยซู กลายเป็นประกาศก และเป็นบุตรแห่งมนุษย์ในที่สุด

นี่คือรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุด !!

เพราะเมื่อได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้าอย่างนี้แล้ว ยังจะมีหัวใจดวงใดอีกหรือที่ปฏิเสธความรักของพระองค์ !?

หากหัวใจของเรายังไร้ “รัก” นั่นเป็นเพราะเรายังไม่รู้จักพระองค์จริง !!
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

ศุกร์ ม.ค. 07, 2011 12:13 pm

ย า ว จั ง ::051:: อ่ า น แ ล้ ว ต า ป รื อ เ ล ย ค่ะ :s005:
:s012: ขอบคุณ คุณ †ผู้แบกพระคริสต์ ค่ะ
..กราบลา..
+ขอพระเป็นเจ้าอำนวยพรพี่น้องทั้งหลาย..
+ขอสันติสุขจงอยู่ในกายใจสหายทุกท่านเถิด..
+อาเมน+
ขออนุญาติเลียนแบบ อิ อิ
ตอบกลับโพส