...แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร (กาทาเทีย ๔ข้อ๔-๕)
หลายปัจจัยในวัฒนธรรมอาณาจักรโรมันศต.แรก ก่อให้เกิดความเหมาะสมของการเจริญเติบโตของคริสตศาสนา
-การเกิดขึ้นของศาสนาส่วนบุคคลและความต้องการความรอดส่วนบุคคล(ควบคู่ไปกับความสนใจเรื่องชีวิตหลังความตาย)
-การเกิดขึ้นของศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว
-ความล้มเหลวของแนวทางศาสนาเก่า
-ภาษาที่ใช้กันทั่วไปและ
-โครงสร้างสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของราชอาณาจักร
ในเรื่องศาสนา ลักธินอกรีตเริ่มเข้าเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต ที่ศาสนาเองเน้นพระเจ้าองค์เดียวและความรอดส่วนบุคคลในเรื่องชีวิตหลังความตาย คริสตศาสนาไม่เป็นของแปลกเหมือนเมื่อก่อน เมื่อความเชื่อในเรื่องพระเจ้าของกรีกและโรมันเริ่มเสื่อมถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนชั้นมีการศึกษา ความเชื่อแบบคริสเตียนเริ่มดึงดูดใจสมาชิกบางคนของสังคม ดังจะกล่าวต่อไป
การแพร่กระจายของคริสตศาสนาและกำหนดเวลา(แบ่งปัน)
ปัจจัยที่เหมือนกันนี้เริ่มก่อผลในศต.ที่สี่ เมื่อมีการยอมรับคริสตศาสนาเป็นศาสนาของจักรวรรดิ์
จากจุดที่เห็นชัดมากขึ้นนี้ อาณาจักรยังเสนอโอกาสของการแพร่กระจายของคริสตศาสนา ภาษากรีก เป็นภาษาสามัญที่ใช้ในทางการค้าตลอดภูมิภาคทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งด้านการพูดและการเขียนช่วยแพร่กระจายข่าวประเสริฐไปยังพื้นที่กว้างใหญ่ ถนนที่มีคุณภาพดีของโรมันเป็นที่รู้จักกันดี และยังคงใช้ได้ในทุกวันนี้ ถนนนี้เป็นตัวกลางทางวัตถุสำหรับข่าวประเสริฐที่จะแพร่กระจายและสำหรับศาสนจักรที่จะสร้างชุมชน. ด้วยคุณภาพของจักรวรรดิ์ สันติสุขโรมัน ทำให้สังคมมีความมั่นคงตลอดศต.แรก ในท่ามกลางสันติสุขโรมัน (แพค โรมันนา) คนในอาณาจักรสามารถเดินทางอย่างอิสระไปยังส่วนต่างๆของอาณาจักร
สังคมที่ไม่มีความขัดแย้งภายในช่วยส่งเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ทุกคนในศต.แรกให้ความสนใจไม่เพียงแต่ความจำเป็นในการดำรงชีพเท่านั้น แต่ให้คำตอบกับคำถามที่ถามกันมานานเกี่ยวกับชีวิตของจิตวิญญาณ
จากจุดที่เห็นชัดมากขึ้นนี้ อาณาจักรยังเสนอโอกาสของการแพร่กระจายของคริสตศาสนา ภาษากรีก เป็นภาษาสามัญที่ใช้ในทางการค้าตลอดภูมิภาคทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งด้านการพูดและการเขียนช่วยแพร่กระจายข่าวประเสริฐไปยังพื้นที่กว้างใหญ่ ถนนที่มีคุณภาพดีของโรมันเป็นที่รู้จักกันดี และยังคงใช้ได้ในทุกวันนี้ ถนนนี้เป็นตัวกลางทางวัตถุสำหรับข่าวประเสริฐที่จะแพร่กระจายและสำหรับศาสนจักรที่จะสร้างชุมชน. ด้วยคุณภาพของจักรวรรดิ์ สันติสุขโรมัน ทำให้สังคมมีความมั่นคงตลอดศต.แรก ในท่ามกลางสันติสุขโรมัน (แพค โรมันนา) คนในอาณาจักรสามารถเดินทางอย่างอิสระไปยังส่วนต่างๆของอาณาจักร
สังคมที่ไม่มีความขัดแย้งภายในช่วยส่งเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ทุกคนในศต.แรกให้ความสนใจไม่เพียงแต่ความจำเป็นในการดำรงชีพเท่านั้น แต่ให้คำตอบกับคำถามที่ถามกันมานานเกี่ยวกับชีวิตของจิตวิญญาณ
แยกออกมาจากยิว
คริสตศาสนามีจุดกำเนิดจากศาสนายิวในศต.ที่หนึ่ง พระเยซูและสาวกเป็นคนยิว ตามที่หนังสือกิจการได้พรรณนาไว้ ศาสนจักรไม่ได้แยกตนเองออกมาในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใจของคนทั่วไป จากรากฐานของศาสนายิว เปาโล เริ่มต้นงานประกาศของเขาในธรรมศาลาของแต่ละเมืองที่เขาไปเยี่ยม จากงานเขียนของ นักประวัติศาสตร์นอกรีตในศต.ที่สอง ซูโทนิอัส ว่าคำสั่งให้เนรเทศคนยิวออกไปจากโรม ของจักรพรรดิ์คลอดิอัส ในศต.แรกอาจมีจุดมุ่งหมายที่คริสเตียนชาวยิว เขากล่าวไว้ในเรื่องชีวิตของซีซาร์ เล่ม๒๕ บทที่๔ ว่า "เขาห้ามคนยิวทุกคนที่อยู่ในโรม ผู้ที่กระทำการรบกวนเนื่องจากการยุยงของคนที่ชื่อครีตุส "เป็นไปได้ว่า คนยิวที่ทำการรบกวนตามที่ซูโทนิอัสบรรยาย คือคริสเตียนในธรรมศาลา และคำว่าครีตุส เป็นคำที่สะกดมาจากคำว่าคริสตัส ซึ่งคำในภาษาลาตินว่า คริสต์
ทั้งๆที่การระบุความแตกต่างของศาสนายิวและคริสต์แล้ว แต่เหตุการณ์ทางการเมืองสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคแรก ทำให้ศาสนายิวและศาสนาคริสต์แยกออกเป็นสองค่าย ที่แตกต่างอย่างชัดเจน การปฏิวัติชาวยิวในปีคศ.๖๖ และ๗๐ ส่งผลให้โรมันทำลายวิหารในเยรูซาเล็มและทำให้ชาวยิวจำนวนหลายพันคนตกเป็นทาส ผลของเหตุการณ์นั้นจูงใจให้คริสตเตียนทำตัวให้ห่างจากคนยิวและการระบุตัวตนความเป็นประชาชาติที่ชัดเจน หลังจากการปฏิวัติครั้งที่สองภายใต้การนำของบาร์กอกบาทในปี ๑๓๒-๑๓๕ คนยิวถูกขับออกจากเยรูซาเล็มและจักรพรรดิ์เฮเรียนเรียกชื่อเมืองใหม่ว่าAelia Capitolina คริสเตียนเริ่มหาทางที่จะแยกออกเป็นอิสระจากศาสนายิวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเป็นประชาชาติและเสียงที่ว่ามีความเป็นไปได้ในเรื่องบ่อนทำลายความมั่นคง
คริสตศาสนามีจุดกำเนิดจากศาสนายิวในศต.ที่หนึ่ง พระเยซูและสาวกเป็นคนยิว ตามที่หนังสือกิจการได้พรรณนาไว้ ศาสนจักรไม่ได้แยกตนเองออกมาในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใจของคนทั่วไป จากรากฐานของศาสนายิว เปาโล เริ่มต้นงานประกาศของเขาในธรรมศาลาของแต่ละเมืองที่เขาไปเยี่ยม จากงานเขียนของ นักประวัติศาสตร์นอกรีตในศต.ที่สอง ซูโทนิอัส ว่าคำสั่งให้เนรเทศคนยิวออกไปจากโรม ของจักรพรรดิ์คลอดิอัส ในศต.แรกอาจมีจุดมุ่งหมายที่คริสเตียนชาวยิว เขากล่าวไว้ในเรื่องชีวิตของซีซาร์ เล่ม๒๕ บทที่๔ ว่า "เขาห้ามคนยิวทุกคนที่อยู่ในโรม ผู้ที่กระทำการรบกวนเนื่องจากการยุยงของคนที่ชื่อครีตุส "เป็นไปได้ว่า คนยิวที่ทำการรบกวนตามที่ซูโทนิอัสบรรยาย คือคริสเตียนในธรรมศาลา และคำว่าครีตุส เป็นคำที่สะกดมาจากคำว่าคริสตัส ซึ่งคำในภาษาลาตินว่า คริสต์
ทั้งๆที่การระบุความแตกต่างของศาสนายิวและคริสต์แล้ว แต่เหตุการณ์ทางการเมืองสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคแรก ทำให้ศาสนายิวและศาสนาคริสต์แยกออกเป็นสองค่าย ที่แตกต่างอย่างชัดเจน การปฏิวัติชาวยิวในปีคศ.๖๖ และ๗๐ ส่งผลให้โรมันทำลายวิหารในเยรูซาเล็มและทำให้ชาวยิวจำนวนหลายพันคนตกเป็นทาส ผลของเหตุการณ์นั้นจูงใจให้คริสตเตียนทำตัวให้ห่างจากคนยิวและการระบุตัวตนความเป็นประชาชาติที่ชัดเจน หลังจากการปฏิวัติครั้งที่สองภายใต้การนำของบาร์กอกบาทในปี ๑๓๒-๑๓๕ คนยิวถูกขับออกจากเยรูซาเล็มและจักรพรรดิ์เฮเรียนเรียกชื่อเมืองใหม่ว่าAelia Capitolina คริสเตียนเริ่มหาทางที่จะแยกออกเป็นอิสระจากศาสนายิวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเป็นประชาชาติและเสียงที่ว่ามีความเป็นไปได้ในเรื่องบ่อนทำลายความมั่นคง
ในศต.ที่สอง ความแตกต่างเด็ดขาดระหว่างศาสนายิวและคริสเตียนยูดายดูเหมือนจะก่อตั้งอย่างดีในวัฒนธรรมโรมัน ปรากฎว่าโรมันยอมให้ชาวคริสเตียน-ยูดาย เข้าไปในเมืองAelia Capitolina(เยรูซาเล็ม) ได้ แต่ปฎิเสธไม่ยอมให้คนยิวที่ไม่เป็นคริสเตียนเข้าไป ช่วงเวลานี้เป็นความตึงเครียดระหว่างยิวและคริสเตียนและสถานการณ์เลวลง ในศต.ที่สี่ เมื่อมีการตั้งศาสนาคริสตเป็นศาสนาของอาณาจักร
การแยกจากกันระหว่างคริสตจักรและธรรมศาลาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีหรือเป็นไปอย่างทั่วไป,อย่างไรก็ตาม ระหว่างศต.ที่สองจนถึงศต.ที่สี่ มีสามสายความคิดในเรื่องเกี่ยวกับ ศาสนายิว เริ่มเกิดขึ้นในระหว่างสมาชิกของศาสนาจักรได้แก่
1.ผู้ที่ให้คริสตศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนายิวเมื่อเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน
2.ผู้ที่ให้พระบัญญัติเก่าถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่และคิดว่าสิ่งเก่าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปและ
3. ผู้ที่ให้มีความเป็นปรปักษ์กันเมื่อเปรียบเทียบกับศาสนายิว
ขณะเดียวกันผู้ที่มีความคิดแบบที่สอง "พระบัญญัติเก่าถูกแทนที่ด้วยพระบัญญัติใหม่" แบบสุดท้ายที่ไม่เคยสำเร็จค่อยๆหายไป บางทีเหตุผลหนึ่งในเรื่องความแตกต่างนี้คือ ความเห็นว่าแต่ละตำแหน่ง ในแต่ละขอบเขต สามารถหาการสนับสนุนในคัมภีร์ใหม่ได้และอย่างน้อยที่สุดเมื่อแสวงหาการสนับสนุนจากคัมภีร์ใหม่ได้ ก็สามารถแสวงหาการตำหนิ ได้เช่นกัน
คริสเตียนชาวยิวบางคน ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าผู้ปรับเข้ากับศาสนายิว(Judaizers) ยึดมั่นในรากฐานศาสนายิวขณะเดียวกันไม่ยอมรับอิทธิพลของกรีกในด้านศาสนาและ ปรัชญาทุกประการ Ebionitesเป็นตัวอย่าง มีความคิดว่า พระบัญญัติเก่ายังมีความจำเป็นต่อการเป็นคริสเตียน ต้องการเอาชนะและขจัดคำเตือนของคัมภีร์ใหม่ในเรื่องนี้ เหมือนการปฎิเสธเปาโลเนื่องจากละทิ้งหลักการเดิม และคิดว่าพระธรรมมัทธิวมีสิทธิอำนาจเท่านั้น ขณะเดียวกันสถานะนี้ขึ้นอยู่กับการอ่านที่ผิดพลาดหรือปฎิเสธข้อความคัมภีร์ ใหม่ที่ชัดเจน ผู้ปรับศาสนาคริสต์เข้ากับศาสนายิวจะพิจารณาเทววิทยาของเปาโลอย่างจริงจังและคิดว่าไม่มีเรื่องใหม่ขยายความเป็นอิสราเอล
การแยกจากกันระหว่างคริสตจักรและธรรมศาลาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีหรือเป็นไปอย่างทั่วไป,อย่างไรก็ตาม ระหว่างศต.ที่สองจนถึงศต.ที่สี่ มีสามสายความคิดในเรื่องเกี่ยวกับ ศาสนายิว เริ่มเกิดขึ้นในระหว่างสมาชิกของศาสนาจักรได้แก่
1.ผู้ที่ให้คริสตศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนายิวเมื่อเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน
2.ผู้ที่ให้พระบัญญัติเก่าถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่และคิดว่าสิ่งเก่าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปและ
3. ผู้ที่ให้มีความเป็นปรปักษ์กันเมื่อเปรียบเทียบกับศาสนายิว
ขณะเดียวกันผู้ที่มีความคิดแบบที่สอง "พระบัญญัติเก่าถูกแทนที่ด้วยพระบัญญัติใหม่" แบบสุดท้ายที่ไม่เคยสำเร็จค่อยๆหายไป บางทีเหตุผลหนึ่งในเรื่องความแตกต่างนี้คือ ความเห็นว่าแต่ละตำแหน่ง ในแต่ละขอบเขต สามารถหาการสนับสนุนในคัมภีร์ใหม่ได้และอย่างน้อยที่สุดเมื่อแสวงหาการสนับสนุนจากคัมภีร์ใหม่ได้ ก็สามารถแสวงหาการตำหนิ ได้เช่นกัน
คริสเตียนชาวยิวบางคน ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าผู้ปรับเข้ากับศาสนายิว(Judaizers) ยึดมั่นในรากฐานศาสนายิวขณะเดียวกันไม่ยอมรับอิทธิพลของกรีกในด้านศาสนาและ ปรัชญาทุกประการ Ebionitesเป็นตัวอย่าง มีความคิดว่า พระบัญญัติเก่ายังมีความจำเป็นต่อการเป็นคริสเตียน ต้องการเอาชนะและขจัดคำเตือนของคัมภีร์ใหม่ในเรื่องนี้ เหมือนการปฎิเสธเปาโลเนื่องจากละทิ้งหลักการเดิม และคิดว่าพระธรรมมัทธิวมีสิทธิอำนาจเท่านั้น ขณะเดียวกันสถานะนี้ขึ้นอยู่กับการอ่านที่ผิดพลาดหรือปฎิเสธข้อความคัมภีร์ ใหม่ที่ชัดเจน ผู้ปรับศาสนาคริสต์เข้ากับศาสนายิวจะพิจารณาเทววิทยาของเปาโลอย่างจริงจังและคิดว่าไม่มีเรื่องใหม่ขยายความเป็นอิสราเอล
ส่วนผู้ที่ยอมรับคริสตศาสนาเข้าแทนที่ศาสนายิว คิดว่าคัมภีร์เก่าเป็นเงาของคัมภีร์ใหม่ เมื่อสิ่งใหม่มา สิ่งเก่าก็เพียงชี้ถึงพระเยซูคริสต์ เมลิโต แห่งซาดิส ในศต.ที่สอง มีความคิดเช่นนี้ ให้คุณค่าคัมภีร์ใหม่ ว่าเป็นเรื่องของแบบหรือการตีความสัญญลักษณ์ของแสงที่ทอดลงบนพระเยซูคริสต์ งานในความคิดเช่นนี้ของเขา น่าตื่นเต้นคือว่าเขาตำหนิคนยิวอย่างเด็ดขาด หรือเป็นผู้ฆาตกรรมพระเจ้า(murder of God) จัสติน มาร์ที เป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในสายความคิดแบบกลางนี้ กล่าวอีกว่าพระเจ้ามอบพระบัญญัติให้แก่คนยิวเพื่อลงโทษพวกเขา การสนับสนุนของคัมภีร์สำหรับองค์ประกอบบางอย่างของทางสายกลางนี้-โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดว่าสิ่งใหม่แทนสิ่งเก่า-สามารถพบได้ในหนังสือฮีบรู
แนวความคิดที่สามที่มีต่อชาวยิวก็คือพระเจ้ามอบพระบัญญัติให้แก่คนยิว แต่คนยิวไม่เคยเข้าใจ พวกเขาฝ่าฝืนพระบัญญัติตั้งแต่เริ่มต้น และทำการแพร่ศาสนาเท็จ ผู้ที่สนับสนุน
ตำแหน่งนี้ยืนยันว่าคัมภีร์เก่าไม่ใช่หนังสือของชาวยิวจริงๆ แต่เป็นตัวกลางของพระเจ้าเสมอที่ตีความเป็นสัญญลักษณ์ ยูเซบิอุส สนับสนุนตำแหน่งนี้กับการล่มสลายของเยรูซาเล็มในปี
คศ.๗๐ เนื่องจากการปฎิเสธพระเยซู ยังมีความเห็นไปก้าวไปไกลสุดๆ แม้ว่าจะดูนอกรีตแยกออกจากตำแหน่งที่สามจะพบได้ในลักธิMarcionites และกนอสติค ที่บอกว่าพระบัญญัติเก่าเป็นเท็จเสมอเพราะว่าพระเจ้าของอิสราเอลไม่ไช่พระเจ้าเที่ยงแท้
ผู้ที่มีความคิดต่อต้านชาวยิวจะค้นหาข้อความในคัมภีร์ใหม่ที่สนับสนุนได้อย่างง่ายๆว่า คนยิวเป็นแสงสว่างที่ปฏิเสธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับผิดชอบกับความตายของพระเยซู คริสเตียนที่มีความคิดเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าสะท้อนความเป็นปรปักษ์กันในช่วงนี้ระหว่างศาสนจักรและธรรมศาลา-ความตึงเครียดที่อาจพบได้ไม่ยากในหนังสือกิตติคุณ
ภาษาที่ตื่นเต้นของนักเขียนเช่น จัสติน และเมลิโต ไม่ได้สนับสนุนคัมภีร์ เหมือนกับผู้ที่ต่อต้านยิวที่คิดว่า ยิวก็เป็นมนุษย์ที่ต้องการผู้ช่วยให้รอด คัมภีร์ใหม่บอกเราว่าขณะที่ชาวยิว ปฏิเสธพระเยซูจะไม่รอด ขณะเดียวกันศาสนจักรได้รับการยกขึ้นไม่ใช่ด้วยความดีของตนเองแต่โดยพระคุณที่ทาบเข้ากับอิสราเอล ซึ่งพระเจ้าเลือกเผ่าพันธุ์นี้ด้วยความยินดี เป็นเวลากว่า ๑๙๐๐ ปี คนยิวและต่างชาติยังคงได้รับการเรียกเข้าด้วยกันโดยพระคริสต์ไม่ใช่การเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่ในสันติสุข
...................................*.........................................
แนวความคิดที่สามที่มีต่อชาวยิวก็คือพระเจ้ามอบพระบัญญัติให้แก่คนยิว แต่คนยิวไม่เคยเข้าใจ พวกเขาฝ่าฝืนพระบัญญัติตั้งแต่เริ่มต้น และทำการแพร่ศาสนาเท็จ ผู้ที่สนับสนุน
ตำแหน่งนี้ยืนยันว่าคัมภีร์เก่าไม่ใช่หนังสือของชาวยิวจริงๆ แต่เป็นตัวกลางของพระเจ้าเสมอที่ตีความเป็นสัญญลักษณ์ ยูเซบิอุส สนับสนุนตำแหน่งนี้กับการล่มสลายของเยรูซาเล็มในปี
คศ.๗๐ เนื่องจากการปฎิเสธพระเยซู ยังมีความเห็นไปก้าวไปไกลสุดๆ แม้ว่าจะดูนอกรีตแยกออกจากตำแหน่งที่สามจะพบได้ในลักธิMarcionites และกนอสติค ที่บอกว่าพระบัญญัติเก่าเป็นเท็จเสมอเพราะว่าพระเจ้าของอิสราเอลไม่ไช่พระเจ้าเที่ยงแท้
ผู้ที่มีความคิดต่อต้านชาวยิวจะค้นหาข้อความในคัมภีร์ใหม่ที่สนับสนุนได้อย่างง่ายๆว่า คนยิวเป็นแสงสว่างที่ปฏิเสธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับผิดชอบกับความตายของพระเยซู คริสเตียนที่มีความคิดเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าสะท้อนความเป็นปรปักษ์กันในช่วงนี้ระหว่างศาสนจักรและธรรมศาลา-ความตึงเครียดที่อาจพบได้ไม่ยากในหนังสือกิตติคุณ
ภาษาที่ตื่นเต้นของนักเขียนเช่น จัสติน และเมลิโต ไม่ได้สนับสนุนคัมภีร์ เหมือนกับผู้ที่ต่อต้านยิวที่คิดว่า ยิวก็เป็นมนุษย์ที่ต้องการผู้ช่วยให้รอด คัมภีร์ใหม่บอกเราว่าขณะที่ชาวยิว ปฏิเสธพระเยซูจะไม่รอด ขณะเดียวกันศาสนจักรได้รับการยกขึ้นไม่ใช่ด้วยความดีของตนเองแต่โดยพระคุณที่ทาบเข้ากับอิสราเอล ซึ่งพระเจ้าเลือกเผ่าพันธุ์นี้ด้วยความยินดี เป็นเวลากว่า ๑๙๐๐ ปี คนยิวและต่างชาติยังคงได้รับการเรียกเข้าด้วยกันโดยพระคริสต์ไม่ใช่การเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่ในสันติสุข
...................................*.........................................
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
ขอบใจนะจ้ะ คุ้น ๆตา อยู่เหมือนกัน แต่ก็ลืมไปแล้ว แต้งกิ้วที่เอามาทวนความทรงจำนะจ้ะ