เมื่อผมฝันเห็นทูตสวรรค์ติดต่อกัน 3 เดือน แต่ผมไม่ใส่ใจ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 27, 2013 7:57 pm
สวัสดีครับ ทุกท่าน ผมมีชื่อเล่นว่า พอล ครับ เป็นลูกครึ่งไทย - จีน เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม
ไม่รู้ว่าจะช้าไปไหม แต่ก่อนอื่นต้องขอบคุณพระเจ้าที่ดลใจให้เข้ามาค้นหาเว็บบอร์ดขณะทำงาน
ซึ่งได้พบเว็บบอร์ดแห่งนี้เป็นที่แรก และได้อ่านหลายกระทู้ จึงสมัครสมาชิกแล้วเริ่มต้นการตอบครับ
ผมขอสารภาพว่าผมคือลูกแกะผู้หลงทางมานาน ผมจะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของผมครับ
อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ แต่นี่คือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับผม และทำให้ผมได้เชื่อในพระเจ้า
อย่างไร้เงื่อนไข และสิ้นสงสัย และขอยืนยันว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเปิดเผยให้ทุกท่ายได้อ่านทั้งหมด
เป็นเรื่องจริง ขอยืนยันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ลูกรักและศรัทธายิ่ง
ผมเกิดในครอบครัวคนจีน ทางบ้านให้เป็นพุทธโดยกำเนิด ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนวัด ส่วนพี่ชายเรียน
ที่โรงเรียนคริสต์ แต่เมื่อโตขึ้นมา เราสองคนต่างนับถือศาสนาต่างกันคือ ผมนับถือคริสต์
พี่ชายนับถือพุทธ
ผมอยู่ในโรงเรียนวัดก็ต้องสวดมนต์ทุกวัน จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนไปสอบธรรมะของโรงเรียน
แต่ในใจลึก ๆ บอกเสมอว่ายังไม่ใช่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ศาสนาที่รู้จัก ก็มี พุทธ คริสต์ อิสลาม
แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
จนวันหนึ่ง ตอนผมอายุ 15 ปี ผมนอนหลับแล้วฝัน ผมเห็นตัวเองเดินอยู่ที่แห่งหนึ่ง
ด้านซ้ายมือเป็นทะเลสาบอันสงบส่วนด้านขวาเป็นป่าทึบ เวลาตอนนั้นเป็นกวลากลางคืน
ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่บนฟ้า ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่ามีแสงสาดลงมาจากท้องฟ้า
ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วผมก็พบกับชายชุดขาวลอยอยู่บนฟ้า 3 คน ในฝันผมรับรู้ทันทีว่า
นั่นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่ผมควรยำเกรง
ผมคุกเข่าลงทันทีแล้วก้มหน้า ในใจรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง ชายทั้งสามลงมาตรงหน้าผมแล้วเอ่ยขึ้น
ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า
"เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าเกิดมาเพื่ออะไร"
ผมไม่ทราบ ผมตอบไม่ได้ ผมได้แต่นิ่งเงียบ น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา
ชายคนหนึ่งเดินมาแตะที่ไหล่ผม แล้วบอกว่า
"หากเจ้ายังไม่รู้ เจ้าควรจะรู้ได้แล้ว ตื่นเถิด จงตื่น"
แล้วเสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่ก็กลายเป็นสีขาวพริ้ว ในตอนนั้นผมก็ยังไม่อาจเข้าใจอยู่ดี ในประโยคสุดท้าย
ที่เขาบอกว่า
"ไปเถอะ จงไปทำหน้าที่ของตนเองให้ลุล่วง"
ผมตื่นขึ้นมา ผมยังคงจำความฝันนั้นได้แม่นยำมาก แต่ผมไม่ใส่ใจ คิดว่าคงไม่มีอะไร มันก็แค่ความฝัน
แต่ฝันนั้นไม่จบ ผมเริ่มฝันแบบนี้ติดต่อกันทุกคืน เป็นเวลา 3 เดือนเต็ม ผมได้แต่ฝันเรื่องเดิม
ชาย 3 คนในชุดขาวลอยลงมา บอกให้ผมตื่น บอกให้ผมไปทำหน้าที่ ผมไม่เข้าใจ หน้าที่อะไร
ผมเริ่มคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงจมอยู่กับฝันแบบนี้ แล้วผมควรจะถามใคร ผมเริ่มนำความฝันนี้
ไปคุยกับคนรอบข้าง ไม่ทุกคนหรอกครับ เพราะผมกลัวเขาหาว่าผมบ้า ซึ่งนั่นก็เป็นคำที่เขาบอกผม
กลับมาเช่นกันว่า คิดมากน่า กินเยอะไปหรือเปล่า
เมื่อไม่มีใครให้คำตอบได้ ผมจึงเริ่มหาทางออกด้วยตัวเอง ผมเห็นว่ามีการเรียนพระคริสตธรรมทาง
ไปรษณีย์จากโฆษณาหนังสือพิมพ์ และฟรีด้วย ผมจึงส่งคำขอไปทันที เพราะรู้สึกว่า นี่อาจจะตอบ
สิ่งที่ผมสงสัยอยู่ได้
ผมเริ่มต้นศึกษา เรียนรู้ประวัติ ที่มา เหตุการณ์ทั้งหลาย ทำแบบทดสอบ และตอนนั้นผมก็เข้าสู่
วัย 17 ปี ฝันที่เคยมีหายไปแล้ว ผมโล่งใจ คงไม่มีอะไรอีกแล้ว ผมกลับมาใช้ชีวิตประจำวันต่อ
ไม่สนใจและใส่ใจต่อเนื้อหาของพระคริสตธรรมที่เคยเรียนมา ผมทิ้งไปหมด ผมเก็บไว้ในลิ้นชัก
แล้วล็อคกุญแจ เพราะที่บ้านต่อต้านศาสนานี้มาก
แล้วผมก็เริ่มฝันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนเคย ผมเห็นตัวเองยืนอยู่ประตูขนาดใหญ่มาก ใหญ่ราวกับ
เป็นประตูที่ทำไว้เพื่อยักษ์เข้าไป แล้วตัวผมก็เล็กนิดเดียว เล็กเหมือนมดเมื่อเทียบกับประตู
ผมถือหนังสือหรือม้วนกระดาษอะไรสักอย่าง เพื่อนำไปให้คนที่อยู่หลังประตูนั้นได้อ่าน
ในฝันผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนทรยศ ผมเปลี่ยนแปลงคำในสารนั้นจนสิ้น และแล้วก็เกิดความขัดแย้ง
บาดหมาง เกิดสงคราม ทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือผมคนเดียว
ผมฝันแบบนั้นติดต่อกันอีก 3 เดือน ยอมรับว่าตอนนั้นแทบบ้า ผมไม่รู้จะไปคุยกับใคร ผมไม่รู้จะไป
ปรึกษาใคร ตอนนั้นผมเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง วันหนึ่งผมได้พบกับคณะศาสนจักร
ที่เป็นนักศึกษาเช่นกัน ผมจึงเข้าไปปรึกษา และเตรียมใจแล้วว่าผมจะต้องถูกหาว่าบ้าแน่นอน
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาต่างฟังอย่างเงียบ ๆ จนจบ แล้วมีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า
ลองเปิดใจสิ ที่ฝันทุกวันนี้ ฝันไม่จบสิ้น เพราะผมไม่ยอมเปิดใจ ผมสงสัยว่า อะไรคือเปิดใจ
ไม่เข้าใจ เพราะผมอยู่ศาสนาพุทธ ผมรู้จักแต่การเข้าวัดสวดมนต์ รุ่นพี่ก็บอกว่า ลองอธิษฐาน
ต่อพระองค์ เมื่อไรที่พบปัญหา พบทางตัน ให้ผมลองอธิษฐานขอให้พระองค์ช่วย
ผมบอกไปว่า ผมไม่ได้นับถือคริสต์ พระองค์จะช่วยเหรอ รุ่นพี่บอกว่า อยากรู้ก็ต้องเปิดใจ
รับพระองค์ให้เข้ามาอยู่ในใจก่อน แล้ววันนั้นผมก็ได้เปิดใจรับพระองค์เข้ามา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
จากวันนั้นผมก็ไม่ฝันอีก แต่ผมยังคงจำรายละเอียดได้แม่นยำมาก แล้วผมก็เรียนจบ เริ่มทำงาน
ซึ่งชีวิตช่วงนั้นลำบากมาก เพราะผมเริ่มทำงานตอนปี 2540 พิษเศรษฐกิจรุนแรง ผมมีความจำเป็น
ต้องซื้อคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการศึกษาต่อ แต่ก็ไม่อาจซื้อได้ ผมนึกถึงคำที่รุ่นพี่คนนั้นเคยบอกไว้
ว่า เมื่อไหร่ที่พบทางตัน พบอุปสรรค ลองอธิษฐานขอให้พระองค์ช่วย
ผมก็เริ่มอธิษฐานในใจว่า ตอนนี้ลูกพบปัญหา ลูกอยากพบทางออก ลูกไม่รู้จะทำยังไง ขอให้พระเยซูช่วยลูกด้วยเถอะ
ตอนที่อธิษฐาน ผมไม่เคยหวังว่าจะเป็นจริง แต่ตอนนั้นหมดสิ้นหนทางแล้ว ผ่านไป 1 เดือน รุ่นพี่
ที่ทำงานเดินเข้ามาหาแล้วถามผมว่า อยากซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องไหม พี่มีบัตรผ่อนอยู่
มีวงเงินพอ ถ้าสนใจก็ไปที่งานคอมมาร์ทกันเลย
ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง เพราะนี่คือสิ่งอัศจรรย์ในชีวิตผมที่เกิดขึ้นมาผ่านคำอธิษฐาน
ที่ผมไม่เคยคิดหวังว่าจะเป็นจริง เรื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมอยากได้ ผมไม่เคยเอ่ยปากบอกใคร
ผมได้แต่เก็บไว้อยู่ในใจเงียบ ๆ แล้วอยู่ ๆ รุ่นพี่ก็เดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ตรงกับสิ่งที่
ผมต้องการ เขารู้ได้ไง ผมก็เลยถามไปว่า ทำไมพี่คิดว่าผมอยากได้คอมพิวเตอร์ล่ะ
รุ่นพี่บอกว่า ไม่รู้สิ พี่เห็นว่าเราไม่มีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ที่บ้าน พี่พอช่วยได้ก็เลยมาถามนี่ไง
สิ่งที่ผมขอบคุณ ผมขอบคุณรุ่นพี่ออกมาจากปาก ส่วนในใจ ผมตะโกนก้องในใจว่า
ผมขอบคุณพระเจ้า ผมขอบคุณที่พระองค์ทรงช่วยให้คนที่ไม่เคยเชื่อในพระองค์ ได้เห็นว่า
นี่เหรอ สิ่งที่คนเขาเรียกกันว่า ความอัศจรรย์
ตั้งแต่วันนั้น ผมจึงก้าวเข้าสู่ศาสนาคริสต์แล้วพูดกับทุกคนอย่างเต็มปากว่า ผมนับถือคริสต์
ส่วนเรื่องความฝัน เมื่อผมได้ก้าวเข้ามาแล้ว ก็มีรุ่นพี่พาไปเข้าคริสตจักร จำได้ว่าชื่อ
คริสตจักรนาซารีน ซึ่งเขาบอกผมว่า ผมเคยอยู่บนสวรรค์มาก่อน แล้วทำความผิดใหญ่หลวง
จึงต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ อันนี้ผมไม่รู้ว่าจริงไหม แต่เมื่อผมรับเชื่อ ผมไม่เคยฝันอีกต่อไป
ผมหลับเต็มอิ่มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบัน ผมไม่ได้เข้าไปที่โบสถ์ไหนเลย เพราะติดภาระกิจทั้งงานและเรียน ผมเรียนวันอาทิตย์
เต็มวัน แต่ทุกครั้งที่ผมผ่านโบสถ์ ผมเกิดความรู้สึกอยากเข้าไปทุกครั้ง ผมอยากเข้าไปพบเจอ
ผู้คนในโบสถ์ ผมรู้สึกสบายใจเมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วได้ร้องเพลงสรรเสริญ
ตอนนี้ผมมีบ้านอยู่ที่สำโรง สมุทรปราการ เมื่อผมจบการศึกษาเมื่อไร ผมตั้งใจจะกลับเข้าโบสถ์ทันที
เพราะผมห่างโบสถ์มานานเหลือเกิน จนผมคิดว่าผมคงกลายเป็นลูกแกะหลงทางแล้ว รอบกายผม
ไม่มีใครนับถือคริสต์เลย หากท่านใดพอแนะนำให้ผมได้ก็จะขอบคุณมากครับ เพราะผมไม่ค่อยรู้จัก
โบสถ์ในสมุทรปราการเลย
ไม่รู้ว่าจะช้าไปไหม แต่ก่อนอื่นต้องขอบคุณพระเจ้าที่ดลใจให้เข้ามาค้นหาเว็บบอร์ดขณะทำงาน
ซึ่งได้พบเว็บบอร์ดแห่งนี้เป็นที่แรก และได้อ่านหลายกระทู้ จึงสมัครสมาชิกแล้วเริ่มต้นการตอบครับ
ผมขอสารภาพว่าผมคือลูกแกะผู้หลงทางมานาน ผมจะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของผมครับ
อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ แต่นี่คือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับผม และทำให้ผมได้เชื่อในพระเจ้า
อย่างไร้เงื่อนไข และสิ้นสงสัย และขอยืนยันว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเปิดเผยให้ทุกท่ายได้อ่านทั้งหมด
เป็นเรื่องจริง ขอยืนยันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ลูกรักและศรัทธายิ่ง
ผมเกิดในครอบครัวคนจีน ทางบ้านให้เป็นพุทธโดยกำเนิด ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนวัด ส่วนพี่ชายเรียน
ที่โรงเรียนคริสต์ แต่เมื่อโตขึ้นมา เราสองคนต่างนับถือศาสนาต่างกันคือ ผมนับถือคริสต์
พี่ชายนับถือพุทธ
ผมอยู่ในโรงเรียนวัดก็ต้องสวดมนต์ทุกวัน จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนไปสอบธรรมะของโรงเรียน
แต่ในใจลึก ๆ บอกเสมอว่ายังไม่ใช่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ศาสนาที่รู้จัก ก็มี พุทธ คริสต์ อิสลาม
แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
จนวันหนึ่ง ตอนผมอายุ 15 ปี ผมนอนหลับแล้วฝัน ผมเห็นตัวเองเดินอยู่ที่แห่งหนึ่ง
ด้านซ้ายมือเป็นทะเลสาบอันสงบส่วนด้านขวาเป็นป่าทึบ เวลาตอนนั้นเป็นกวลากลางคืน
ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่บนฟ้า ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่ามีแสงสาดลงมาจากท้องฟ้า
ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วผมก็พบกับชายชุดขาวลอยอยู่บนฟ้า 3 คน ในฝันผมรับรู้ทันทีว่า
นั่นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่ผมควรยำเกรง
ผมคุกเข่าลงทันทีแล้วก้มหน้า ในใจรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง ชายทั้งสามลงมาตรงหน้าผมแล้วเอ่ยขึ้น
ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า
"เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าเกิดมาเพื่ออะไร"
ผมไม่ทราบ ผมตอบไม่ได้ ผมได้แต่นิ่งเงียบ น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา
ชายคนหนึ่งเดินมาแตะที่ไหล่ผม แล้วบอกว่า
"หากเจ้ายังไม่รู้ เจ้าควรจะรู้ได้แล้ว ตื่นเถิด จงตื่น"
แล้วเสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่ก็กลายเป็นสีขาวพริ้ว ในตอนนั้นผมก็ยังไม่อาจเข้าใจอยู่ดี ในประโยคสุดท้าย
ที่เขาบอกว่า
"ไปเถอะ จงไปทำหน้าที่ของตนเองให้ลุล่วง"
ผมตื่นขึ้นมา ผมยังคงจำความฝันนั้นได้แม่นยำมาก แต่ผมไม่ใส่ใจ คิดว่าคงไม่มีอะไร มันก็แค่ความฝัน
แต่ฝันนั้นไม่จบ ผมเริ่มฝันแบบนี้ติดต่อกันทุกคืน เป็นเวลา 3 เดือนเต็ม ผมได้แต่ฝันเรื่องเดิม
ชาย 3 คนในชุดขาวลอยลงมา บอกให้ผมตื่น บอกให้ผมไปทำหน้าที่ ผมไม่เข้าใจ หน้าที่อะไร
ผมเริ่มคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงจมอยู่กับฝันแบบนี้ แล้วผมควรจะถามใคร ผมเริ่มนำความฝันนี้
ไปคุยกับคนรอบข้าง ไม่ทุกคนหรอกครับ เพราะผมกลัวเขาหาว่าผมบ้า ซึ่งนั่นก็เป็นคำที่เขาบอกผม
กลับมาเช่นกันว่า คิดมากน่า กินเยอะไปหรือเปล่า
เมื่อไม่มีใครให้คำตอบได้ ผมจึงเริ่มหาทางออกด้วยตัวเอง ผมเห็นว่ามีการเรียนพระคริสตธรรมทาง
ไปรษณีย์จากโฆษณาหนังสือพิมพ์ และฟรีด้วย ผมจึงส่งคำขอไปทันที เพราะรู้สึกว่า นี่อาจจะตอบ
สิ่งที่ผมสงสัยอยู่ได้
ผมเริ่มต้นศึกษา เรียนรู้ประวัติ ที่มา เหตุการณ์ทั้งหลาย ทำแบบทดสอบ และตอนนั้นผมก็เข้าสู่
วัย 17 ปี ฝันที่เคยมีหายไปแล้ว ผมโล่งใจ คงไม่มีอะไรอีกแล้ว ผมกลับมาใช้ชีวิตประจำวันต่อ
ไม่สนใจและใส่ใจต่อเนื้อหาของพระคริสตธรรมที่เคยเรียนมา ผมทิ้งไปหมด ผมเก็บไว้ในลิ้นชัก
แล้วล็อคกุญแจ เพราะที่บ้านต่อต้านศาสนานี้มาก
แล้วผมก็เริ่มฝันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนเคย ผมเห็นตัวเองยืนอยู่ประตูขนาดใหญ่มาก ใหญ่ราวกับ
เป็นประตูที่ทำไว้เพื่อยักษ์เข้าไป แล้วตัวผมก็เล็กนิดเดียว เล็กเหมือนมดเมื่อเทียบกับประตู
ผมถือหนังสือหรือม้วนกระดาษอะไรสักอย่าง เพื่อนำไปให้คนที่อยู่หลังประตูนั้นได้อ่าน
ในฝันผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนทรยศ ผมเปลี่ยนแปลงคำในสารนั้นจนสิ้น และแล้วก็เกิดความขัดแย้ง
บาดหมาง เกิดสงคราม ทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือผมคนเดียว
ผมฝันแบบนั้นติดต่อกันอีก 3 เดือน ยอมรับว่าตอนนั้นแทบบ้า ผมไม่รู้จะไปคุยกับใคร ผมไม่รู้จะไป
ปรึกษาใคร ตอนนั้นผมเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง วันหนึ่งผมได้พบกับคณะศาสนจักร
ที่เป็นนักศึกษาเช่นกัน ผมจึงเข้าไปปรึกษา และเตรียมใจแล้วว่าผมจะต้องถูกหาว่าบ้าแน่นอน
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาต่างฟังอย่างเงียบ ๆ จนจบ แล้วมีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า
ลองเปิดใจสิ ที่ฝันทุกวันนี้ ฝันไม่จบสิ้น เพราะผมไม่ยอมเปิดใจ ผมสงสัยว่า อะไรคือเปิดใจ
ไม่เข้าใจ เพราะผมอยู่ศาสนาพุทธ ผมรู้จักแต่การเข้าวัดสวดมนต์ รุ่นพี่ก็บอกว่า ลองอธิษฐาน
ต่อพระองค์ เมื่อไรที่พบปัญหา พบทางตัน ให้ผมลองอธิษฐานขอให้พระองค์ช่วย
ผมบอกไปว่า ผมไม่ได้นับถือคริสต์ พระองค์จะช่วยเหรอ รุ่นพี่บอกว่า อยากรู้ก็ต้องเปิดใจ
รับพระองค์ให้เข้ามาอยู่ในใจก่อน แล้ววันนั้นผมก็ได้เปิดใจรับพระองค์เข้ามา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
จากวันนั้นผมก็ไม่ฝันอีก แต่ผมยังคงจำรายละเอียดได้แม่นยำมาก แล้วผมก็เรียนจบ เริ่มทำงาน
ซึ่งชีวิตช่วงนั้นลำบากมาก เพราะผมเริ่มทำงานตอนปี 2540 พิษเศรษฐกิจรุนแรง ผมมีความจำเป็น
ต้องซื้อคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการศึกษาต่อ แต่ก็ไม่อาจซื้อได้ ผมนึกถึงคำที่รุ่นพี่คนนั้นเคยบอกไว้
ว่า เมื่อไหร่ที่พบทางตัน พบอุปสรรค ลองอธิษฐานขอให้พระองค์ช่วย
ผมก็เริ่มอธิษฐานในใจว่า ตอนนี้ลูกพบปัญหา ลูกอยากพบทางออก ลูกไม่รู้จะทำยังไง ขอให้พระเยซูช่วยลูกด้วยเถอะ
ตอนที่อธิษฐาน ผมไม่เคยหวังว่าจะเป็นจริง แต่ตอนนั้นหมดสิ้นหนทางแล้ว ผ่านไป 1 เดือน รุ่นพี่
ที่ทำงานเดินเข้ามาหาแล้วถามผมว่า อยากซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องไหม พี่มีบัตรผ่อนอยู่
มีวงเงินพอ ถ้าสนใจก็ไปที่งานคอมมาร์ทกันเลย
ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง เพราะนี่คือสิ่งอัศจรรย์ในชีวิตผมที่เกิดขึ้นมาผ่านคำอธิษฐาน
ที่ผมไม่เคยคิดหวังว่าจะเป็นจริง เรื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมอยากได้ ผมไม่เคยเอ่ยปากบอกใคร
ผมได้แต่เก็บไว้อยู่ในใจเงียบ ๆ แล้วอยู่ ๆ รุ่นพี่ก็เดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ตรงกับสิ่งที่
ผมต้องการ เขารู้ได้ไง ผมก็เลยถามไปว่า ทำไมพี่คิดว่าผมอยากได้คอมพิวเตอร์ล่ะ
รุ่นพี่บอกว่า ไม่รู้สิ พี่เห็นว่าเราไม่มีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ที่บ้าน พี่พอช่วยได้ก็เลยมาถามนี่ไง
สิ่งที่ผมขอบคุณ ผมขอบคุณรุ่นพี่ออกมาจากปาก ส่วนในใจ ผมตะโกนก้องในใจว่า
ผมขอบคุณพระเจ้า ผมขอบคุณที่พระองค์ทรงช่วยให้คนที่ไม่เคยเชื่อในพระองค์ ได้เห็นว่า
นี่เหรอ สิ่งที่คนเขาเรียกกันว่า ความอัศจรรย์
ตั้งแต่วันนั้น ผมจึงก้าวเข้าสู่ศาสนาคริสต์แล้วพูดกับทุกคนอย่างเต็มปากว่า ผมนับถือคริสต์
ส่วนเรื่องความฝัน เมื่อผมได้ก้าวเข้ามาแล้ว ก็มีรุ่นพี่พาไปเข้าคริสตจักร จำได้ว่าชื่อ
คริสตจักรนาซารีน ซึ่งเขาบอกผมว่า ผมเคยอยู่บนสวรรค์มาก่อน แล้วทำความผิดใหญ่หลวง
จึงต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ อันนี้ผมไม่รู้ว่าจริงไหม แต่เมื่อผมรับเชื่อ ผมไม่เคยฝันอีกต่อไป
ผมหลับเต็มอิ่มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบัน ผมไม่ได้เข้าไปที่โบสถ์ไหนเลย เพราะติดภาระกิจทั้งงานและเรียน ผมเรียนวันอาทิตย์
เต็มวัน แต่ทุกครั้งที่ผมผ่านโบสถ์ ผมเกิดความรู้สึกอยากเข้าไปทุกครั้ง ผมอยากเข้าไปพบเจอ
ผู้คนในโบสถ์ ผมรู้สึกสบายใจเมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วได้ร้องเพลงสรรเสริญ
ตอนนี้ผมมีบ้านอยู่ที่สำโรง สมุทรปราการ เมื่อผมจบการศึกษาเมื่อไร ผมตั้งใจจะกลับเข้าโบสถ์ทันที
เพราะผมห่างโบสถ์มานานเหลือเกิน จนผมคิดว่าผมคงกลายเป็นลูกแกะหลงทางแล้ว รอบกายผม
ไม่มีใครนับถือคริสต์เลย หากท่านใดพอแนะนำให้ผมได้ก็จะขอบคุณมากครับ เพราะผมไม่ค่อยรู้จัก
โบสถ์ในสมุทรปราการเลย