คืออยากทราบประวัติท่านนักบุญคริสโตเฟอร์อุ้มพระกุมารเยซู
และอยากทราบบทสวดด้วยอะคับ
เพราะได้พวงกุญแจนักบุญคริสโตเฟอร์มาคับ
อยากทราบประวัตินักบุญคริสโตเฟอร์อุ้มพระเยซู
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องย่อ ๆ นะคะ ประมาณว่า
ท่านเป็นชาวคานาอัน ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มาก แข็งแรง (ยักษ์ใหญ่เลย) ขณะนั้นท่านยังไม่รู้จักพระเยซู
เพียงแต่เคยได้ยิน ก็ปรารถนาที่จะพบและรับใช้พระองค์ ฤาษีท่านหนึ่งจึงแนะนำท่านว่า
ให้อดอาหารและสวดภาวนา แต่ท่านก็ว่าท่านทำแบบนั้นไม่ได้ (คงไม่สะดวก+ทำไม่เป็น)
ฤาษีท่านจึงแนะนำว่า เพราะท่านรูปร่างสูงใหญ่ ดังนั้นก็ให้คอยช่วยเหลือผู้อื่น
โดยการช่วยเหลือนักเดินทาง ด้วยการอุ้มคนเหล่านั้น ข้ามแม่น้ำที่เชี่ยวกราดแทน
ฤาษีให้คำมั่นว่า การช่วยเหลือผู้คน คือ การรับใช้พระเยซูนั่นเอง
ท่านก็ทำเช่นนั้นตามที่ฤาษีบอก อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็พบเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำ
และขอให้ท่านช่วย ท่านก็เลยช่วยอุ้มเด็กน้อยข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง
แต่ยิ่งเดินไป เดิน เด็กน้อยก็ยิ่งหนักขึ้น ๆ จนท่านแทบก้าวขาต่อไปไม่ไหวกว่าจะมาถึงฝั่ง
พอถึงฝั่ง...ท่านก็เลยเอ่ยปากถามว่า ทำไมหนูตัวเล็กนิดเดียวถึงได้ตัวหนักอย่างนี้
เด็กน้อยก็เลยตอบว่า เพราะเราได้แบกโลกทั้งโลกไว้บนบ่าของเรา
เราคือเยซูผู้ที่ท่านปรารถนาจะแสวงหาและรับใช้ พูดจนเด็กน้อยก็หายไป
หลังจากนั้นท่านก็เลยกลัีบใจ ล้างบาป และ ภายหลังได้ทำให้ชาวเมืองนับพันกลับใจ
และ ถูกกษัตริย์ของเมืองนั้นประหารชีวิตได้เป็นมาร์ตีร์ เพราะปฏิเสธไม่ยอมกราบไหว้พระอื่น
ท่านเป็นชาวคานาอัน ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มาก แข็งแรง (ยักษ์ใหญ่เลย) ขณะนั้นท่านยังไม่รู้จักพระเยซู
เพียงแต่เคยได้ยิน ก็ปรารถนาที่จะพบและรับใช้พระองค์ ฤาษีท่านหนึ่งจึงแนะนำท่านว่า
ให้อดอาหารและสวดภาวนา แต่ท่านก็ว่าท่านทำแบบนั้นไม่ได้ (คงไม่สะดวก+ทำไม่เป็น)
ฤาษีท่านจึงแนะนำว่า เพราะท่านรูปร่างสูงใหญ่ ดังนั้นก็ให้คอยช่วยเหลือผู้อื่น
โดยการช่วยเหลือนักเดินทาง ด้วยการอุ้มคนเหล่านั้น ข้ามแม่น้ำที่เชี่ยวกราดแทน
ฤาษีให้คำมั่นว่า การช่วยเหลือผู้คน คือ การรับใช้พระเยซูนั่นเอง
ท่านก็ทำเช่นนั้นตามที่ฤาษีบอก อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็พบเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำ
และขอให้ท่านช่วย ท่านก็เลยช่วยอุ้มเด็กน้อยข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง
แต่ยิ่งเดินไป เดิน เด็กน้อยก็ยิ่งหนักขึ้น ๆ จนท่านแทบก้าวขาต่อไปไม่ไหวกว่าจะมาถึงฝั่ง
พอถึงฝั่ง...ท่านก็เลยเอ่ยปากถามว่า ทำไมหนูตัวเล็กนิดเดียวถึงได้ตัวหนักอย่างนี้
เด็กน้อยก็เลยตอบว่า เพราะเราได้แบกโลกทั้งโลกไว้บนบ่าของเรา
เราคือเยซูผู้ที่ท่านปรารถนาจะแสวงหาและรับใช้ พูดจนเด็กน้อยก็หายไป
หลังจากนั้นท่านก็เลยกลัีบใจ ล้างบาป และ ภายหลังได้ทำให้ชาวเมืองนับพันกลับใจ
และ ถูกกษัตริย์ของเมืองนั้นประหารชีวิตได้เป็นมาร์ตีร์ เพราะปฏิเสธไม่ยอมกราบไหว้พระอื่น
จากหนังสือที่ผมเคยอ่านให้เด็กๆฟังเล่าว่า
ท่านชื่อเรปรอบุส มีรูปร่างใหญ่โตผิดผู้ผิดคน ชาวบ้านร้านถิ่นลูกเด็กเล็กแดงไม่กล้าเข้าใกล้เพราะว่าท่าน "ปากหมา" (สำนวนภาษาฝรั่งบอกว่า ด๊อกเมาท์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเลยแปลอย่างนั้นไปพลางๆ) นัยแบบไทยๆก็คงประมาณว่ายักษ์กินคนอะไรแบบนั้น ท่านเลยออกจากหมู่บ้านเดินรอนแรมไปเพื่อจะหาผู้ทรงอำนาจที่ช่วยท่านให้เป็นปกติได้ หายังไงก็ไม่พบ จนกระทั่งมาถึงเมืองๆหนึ่งทหารยามบอกว่าราชาเจ้าเมืองยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียม เรปรอบุสจึงสมัครใจอยู่กับราชาองค์นี้ พระราชาก็ยินดีกับท่านเพราะท่านทำงานเก่ง ทำงานได้มากกว่าคนอื่นเพราะด้วยร่างกายที่ใหญ่โต ท่านก็หวังว่าพระราชาองค์นี้นี่แหละที่จะมีฤทธิ์เดชช่วยท่านได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักเล่านิทานเดินทางทางมาเล่านิทานถวายพระราชา พอนักเล่านิทานเล่าถึงปีศาจทีไร พระราชาก็จะสะดุ้งกลัวทุกที เรปรอบุสเห็นดังนั้นจึงคิดว่าพระราชากลัวปีศาจแสดงว่าปีศาจยิ่งใหญ่กว่าพระราชา จึงจากพระราชาและมุ่งไปหาปีศาจเพื่อหวังจะให้ปีศาจช่วยให้ตัวเป็นเหมือนคนอื่น ในที่สุดเมื่อได้พบกับปีศาจแล้ว ปีศาจก็รับท่านไว้ด้วยความยินดีและท่านก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นนายกองสมุนปีศาจ ใส่เสื้อแดงมีม้าดำ มีกระบองยาวติดกาย จนกระทั่งวันหนึ่งเรปรอบุสกับปีศาจเดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีไม้กางเขนอยู่ อ้ายปีศาจเห็นกางเขนก็กลัวสุดกำลัง เรปรอบุสจึงแจ้งแกใจว่า กางเขนนี้หนอช่างมีฤทธิ์เสียจริง จำเราจะไปหาเจ้าของกางเขนนั้นดีกว่า เรปรอบุสจึงได้จากปีศาจเพื่อมุ่งหาเจ้าของกางเขนด้วยประการฉะนี้ โดยมีม้าดำและกระบองยาวมาด้วย ท่านรอนแรมไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของกางเขนแท้จริงคือผู้ใด จนวันหนึ่งท่านมาพบฤาษีที่อยู่โดดเดี่ยวริมน้ำที่เชี่ยวกราก ลำน้ำนี้สร้างความลำบากให้ผู้ที่จะสัญจรไปมามาก ฤาษีจึงเล่าให้เรปรอบุสฟังถึงองค์พระเยซูเจ้า เรปรอบุสก็อยากพบพระองค์ ฤาษีจึงแนะให้อดอาหารสวดภาวนา แต่เรปรอบุสบอกว่าทำไม่ได้ ฤาษีจึงให้ไปช่วยผู้คนที่จะข้ามน้ำก็แล้วกัน เรปรอบุสจึงสร้างกระท่อมริมน้ำและคอยพาผู้คนข้ามน้ำโดยใช้กระบองยาวคอยพยุงตัวอยู่อีกเป็นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เรปรอบุสกำลังเคลิ้มหลับ ก็มีเสียงเคาะประตู เมื่อเปิดไปดูจึงพบเด็กน้อยคนหนึ่งมาบอกให้ช่วยพาข้ามน้ำ เรปรอบุสจึงพาเด็กน้อยขึ้นบ่า ทีนี้ยิ่งทียิ่งข้ามไปเด็กก็ยิ่งหนักขึ้นๆ เรปรอบุสจึงถามเด็กว่า หนูเป็นใครทำไมตัวหนังจัง เด็กก็ตอบว่าเราคือพระคริสต์ผู้แบกโลกทั้งโลก เรปรอบุสดีใจจนร้องให้และพระกุมารจึงลูบหน้าเรปรอบุสแล้วบอกว่า ต่อไปท่านจะไม่ได้ชื่อว่าเรปรอบุส แต่ได้ชื่อว่าคริสโตเฟอร์ เพราะท่านเป็นผู้แบกพระคริสต์ เรปรอบุสก็ถามว่าเราจะเชื่อได้อย่างไร พระกุมารก็บอกว่า เมื่อเจ้าขึ้นฝั่งไปจงเอาไม้กระบองไปปักไว้ แล้วมันจะกลายเป็นต้นส้มออกดอกออกผลบริบูรณ์ จากนั้นพระกุมารก็หนักขึ้นๆอีกจนกระทั่งเรปรอบุสล้มลงหมดสติ ร่างของท่านลอยมาติดที่ฝั่งพร้อมกับไม้กระบองที่หักท่อนๆหนึ่ง เมื่อได้สติคืนมาท่านนึกถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นแล้วรีบไปที่ฝั่งน้ำ เมื่อท่านเห็นเงาของท่านในน้ำท่านก็ตกใจเพราะว่าท่านกลายเป็นเหมือนคนปกติแล้ว ท่านจึงเอากระบองหักท่อนไปปักไว้ รุ่งขึ้นก็กลายเป็นต้นส้มจริงดั่งที่พระกุมารบอก ท่านจึงได้ชื่อว่าคริสโตเฟอร์มาตั้งแต่นั้น
จบ
เป็นตำนานประมาณนี้แหละครับ อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะผมก็พิมพ์ขึ้นจากความทรงจำ
ท่านชื่อเรปรอบุส มีรูปร่างใหญ่โตผิดผู้ผิดคน ชาวบ้านร้านถิ่นลูกเด็กเล็กแดงไม่กล้าเข้าใกล้เพราะว่าท่าน "ปากหมา" (สำนวนภาษาฝรั่งบอกว่า ด๊อกเมาท์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเลยแปลอย่างนั้นไปพลางๆ) นัยแบบไทยๆก็คงประมาณว่ายักษ์กินคนอะไรแบบนั้น ท่านเลยออกจากหมู่บ้านเดินรอนแรมไปเพื่อจะหาผู้ทรงอำนาจที่ช่วยท่านให้เป็นปกติได้ หายังไงก็ไม่พบ จนกระทั่งมาถึงเมืองๆหนึ่งทหารยามบอกว่าราชาเจ้าเมืองยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียม เรปรอบุสจึงสมัครใจอยู่กับราชาองค์นี้ พระราชาก็ยินดีกับท่านเพราะท่านทำงานเก่ง ทำงานได้มากกว่าคนอื่นเพราะด้วยร่างกายที่ใหญ่โต ท่านก็หวังว่าพระราชาองค์นี้นี่แหละที่จะมีฤทธิ์เดชช่วยท่านได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักเล่านิทานเดินทางทางมาเล่านิทานถวายพระราชา พอนักเล่านิทานเล่าถึงปีศาจทีไร พระราชาก็จะสะดุ้งกลัวทุกที เรปรอบุสเห็นดังนั้นจึงคิดว่าพระราชากลัวปีศาจแสดงว่าปีศาจยิ่งใหญ่กว่าพระราชา จึงจากพระราชาและมุ่งไปหาปีศาจเพื่อหวังจะให้ปีศาจช่วยให้ตัวเป็นเหมือนคนอื่น ในที่สุดเมื่อได้พบกับปีศาจแล้ว ปีศาจก็รับท่านไว้ด้วยความยินดีและท่านก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นนายกองสมุนปีศาจ ใส่เสื้อแดงมีม้าดำ มีกระบองยาวติดกาย จนกระทั่งวันหนึ่งเรปรอบุสกับปีศาจเดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีไม้กางเขนอยู่ อ้ายปีศาจเห็นกางเขนก็กลัวสุดกำลัง เรปรอบุสจึงแจ้งแกใจว่า กางเขนนี้หนอช่างมีฤทธิ์เสียจริง จำเราจะไปหาเจ้าของกางเขนนั้นดีกว่า เรปรอบุสจึงได้จากปีศาจเพื่อมุ่งหาเจ้าของกางเขนด้วยประการฉะนี้ โดยมีม้าดำและกระบองยาวมาด้วย ท่านรอนแรมไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของกางเขนแท้จริงคือผู้ใด จนวันหนึ่งท่านมาพบฤาษีที่อยู่โดดเดี่ยวริมน้ำที่เชี่ยวกราก ลำน้ำนี้สร้างความลำบากให้ผู้ที่จะสัญจรไปมามาก ฤาษีจึงเล่าให้เรปรอบุสฟังถึงองค์พระเยซูเจ้า เรปรอบุสก็อยากพบพระองค์ ฤาษีจึงแนะให้อดอาหารสวดภาวนา แต่เรปรอบุสบอกว่าทำไม่ได้ ฤาษีจึงให้ไปช่วยผู้คนที่จะข้ามน้ำก็แล้วกัน เรปรอบุสจึงสร้างกระท่อมริมน้ำและคอยพาผู้คนข้ามน้ำโดยใช้กระบองยาวคอยพยุงตัวอยู่อีกเป็นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เรปรอบุสกำลังเคลิ้มหลับ ก็มีเสียงเคาะประตู เมื่อเปิดไปดูจึงพบเด็กน้อยคนหนึ่งมาบอกให้ช่วยพาข้ามน้ำ เรปรอบุสจึงพาเด็กน้อยขึ้นบ่า ทีนี้ยิ่งทียิ่งข้ามไปเด็กก็ยิ่งหนักขึ้นๆ เรปรอบุสจึงถามเด็กว่า หนูเป็นใครทำไมตัวหนังจัง เด็กก็ตอบว่าเราคือพระคริสต์ผู้แบกโลกทั้งโลก เรปรอบุสดีใจจนร้องให้และพระกุมารจึงลูบหน้าเรปรอบุสแล้วบอกว่า ต่อไปท่านจะไม่ได้ชื่อว่าเรปรอบุส แต่ได้ชื่อว่าคริสโตเฟอร์ เพราะท่านเป็นผู้แบกพระคริสต์ เรปรอบุสก็ถามว่าเราจะเชื่อได้อย่างไร พระกุมารก็บอกว่า เมื่อเจ้าขึ้นฝั่งไปจงเอาไม้กระบองไปปักไว้ แล้วมันจะกลายเป็นต้นส้มออกดอกออกผลบริบูรณ์ จากนั้นพระกุมารก็หนักขึ้นๆอีกจนกระทั่งเรปรอบุสล้มลงหมดสติ ร่างของท่านลอยมาติดที่ฝั่งพร้อมกับไม้กระบองที่หักท่อนๆหนึ่ง เมื่อได้สติคืนมาท่านนึกถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นแล้วรีบไปที่ฝั่งน้ำ เมื่อท่านเห็นเงาของท่านในน้ำท่านก็ตกใจเพราะว่าท่านกลายเป็นเหมือนคนปกติแล้ว ท่านจึงเอากระบองหักท่อนไปปักไว้ รุ่งขึ้นก็กลายเป็นต้นส้มจริงดั่งที่พระกุมารบอก ท่านจึงได้ชื่อว่าคริสโตเฟอร์มาตั้งแต่นั้น
จบ
เป็นตำนานประมาณนี้แหละครับ อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะผมก็พิมพ์ขึ้นจากความทรงจำ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
^
^
ขอบคุณครับพี่อันตน สนุก ตื่นเต้นดี เหมาะกับวันเด็ก วันนี้จังเลย ฮะ
^
ขอบคุณครับพี่อันตน สนุก ตื่นเต้นดี เหมาะกับวันเด็ก วันนี้จังเลย ฮะ