ผมเคยดูหนังเรื่องนี้ในรูปแบบวีดีโอเมื่อสักประมาณยี่สิบปีที่แล้วโน้น เป็นหนังเรื่องการเบียดเบียนพระศาสนจักรในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส ม้วนเคยมีขายที่อัสสัมชัญ พากษ์ไทย เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่ายังมีขายอยู่หรือไม่ ตอนที่ดูนั้นผมยังไม่ได้เป็นคาทอลิก แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้มากทีเดียว หลังจากใช้ความพยายามอยู่นานจึงหาเจออีกครั้งในยูตู๊ป จึงอยากแบ่งปันพี่น้องครับ
มาเซอร์ในหนังเรื่องนี้เป็นมาตีร์หลายท่านเลย หนังเดิมเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่รู้สึกอันนี้จะเป็นอิตาลี มีทั้งหมด 11 ตอนครับ ดูจบแล้วจะเห็นว่าหนทางแห่งกางเขนนั้นไม่ง่ายเลยนะ แต่ทุกคนยังยินดีที่จะเดินไป เพื่อสุขแท้ในสวรรค์
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
http://www.youtube.com/watch?v=xVM39P32 ... re=related
ตอนที่ 4
http://www.youtube.com/watch?v=JRgRFkUK ... re=related
ตอนที่ 5
http://www.youtube.com/watch?v=Oi0nGsr_ ... re=related
ตอนที่ 6
http://www.youtube.com/watch?v=eKskNiF6 ... re=related
ตอนที่ 7
http://www.youtube.com/watch?v=hlO3cLU- ... re=related
ตอนที่ 8
http://www.youtube.com/watch?v=wFb6FGGW ... re=related
ตอนที่ 9
http://www.youtube.com/watch?v=_MQ9cioC ... re=related
ตอนที่ 10
http://www.youtube.com/watch?v=hwMSG3Hb ... re=related
ตอนที่ 11
http://www.youtube.com/watch?v=7fc2_Dme ... re=related
ปล.1 ใครมีรายละเอียดเกี่ยวกับหนังเพิ่มเติม รบกวนช่วยเพิ่มให้หน่อยนะครับ เพราะว่า ดิ๊ด สีด อะ มักกะโรนี กับ ดิ๊ด สีด อะ บะเก้ด ไอโด้นโน
ปล. 2 ในเรื่องจะเห็นคุณแม่อธิการที่ได้รับการไขแสดงว่าจะมีการเบียดเบียน และจากไป เห็นการลงคะแนนลับเพื่อปฏิญาณตนเป็นมาตีร์ การต้องใส่ชุดชาวบ้านเพื่อออกนอกอาราม พระสงฆ์ไม่สามารถใส่อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ การปฏิญาณตัวของนวกะ ฯลฯ
ปล. นับตั้งแต่ปฏิวัติ ฝรั่งเศสก็เริ่มถอยห่างจากพระเจ้าอย่างมาก จนกระทั่งดูเย็นชามากในปัจจุบัน
หนังเก่า (50ปี) Les Dialogues des Carmelites
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวกันที่เกี่ยวกับ มรณสักขีภคินีคาร์เมไลท์แห่ง Compiegne (The Carmelite Martyrs of Compiegne) หรือเปล่าครับ ผมเคยดูนานแล้ว เป็นภาพยนตร์ขาวดำเหมือนกัน ที่ภคินีคาร์เมไลท์จำนวน 16 องค์ถูกจับและตัดศีรษะในช่วงที่ปฏิวัติฝรั่งเศส รายชื่อของพวกท่าน มีดังนี้
Sr. Teresa of St. Augustine, Prioress (Lidoine)
Sr. St. Louis (Brideau)
Sr. Anne Marie (Piedcourt)
Sr. Charlotte (Thouret)
Sr. Euphrasia (Brard)
Sr. Henriette (de Croissy)
Sr. Teresa (Hanisset)
Sr. Teresa (Trezel)
Sr. Julia Louise (Neuville)
Sr. M. Henriette (Pelleras)
Sr. Constance (Meunier)
Sr. Mary (Roussel)
Sr. St. Martha (Dufour)
Sr. St Francis de Xavier (Verelot)
Sr. Catherine (Soiron)
Sr. Teresa (Soiron)
Sr. Teresa of St. Augustine, Prioress (Lidoine)
Sr. St. Louis (Brideau)
Sr. Anne Marie (Piedcourt)
Sr. Charlotte (Thouret)
Sr. Euphrasia (Brard)
Sr. Henriette (de Croissy)
Sr. Teresa (Hanisset)
Sr. Teresa (Trezel)
Sr. Julia Louise (Neuville)
Sr. M. Henriette (Pelleras)
Sr. Constance (Meunier)
Sr. Mary (Roussel)
Sr. St. Martha (Dufour)
Sr. St Francis de Xavier (Verelot)
Sr. Catherine (Soiron)
Sr. Teresa (Soiron)
-
- โพสต์: 137
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 07, 2005 1:38 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ดูแล้ว จะรู้ว่า พวกเราในยุคนี้และประเทศนี้ โชคดีแค่ไหนที่มีเสรีในการนับถือและแสดงออกทางศาสนา
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ทำไมเจี๊ยบโหลด ดูไม่ได้เลย
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
^
^
ปกตินะเจี๊ยบ ลอง refresh หรือยัง
^
ปกตินะเจี๊ยบ ลอง refresh หรือยัง
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เมื่อกี้ลองโหลด ดูใหม่แล้ว ได้ครับBatholomew เขียน: ^
^
ปกตินะเจี๊ยบ ลอง refresh หรือยัง
แต่ว่า ฟังไม่รู้เรื่องเลย พอดีเจี๊ยบเกิดที่สวิสชายแดนติดลาว ฮะ
ถ้าเป็นเรื่องเดียวกัน แสดงว่ามีเวอร์ชั่นที่พากษ์ภาษาไทยตั้งนานแล้ว สมัยที่เป็นวีดีโอ เพราะผมเคยดูตอนอยู่บ้านเณรเล็กที่หัวหิน ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ "กุหลาบสีเลือด" พอได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วทำให้รู้สึกอยากเป็นมรณสักขี เวลาเดินขึ้นบันไดก็จินตนาการว่าตนเองกำลังเดินขึ้นสู่เครื่องประหาร
แก้ไขล่าสุดโดย Andreas เมื่อ อังคาร มี.ค. 16, 2010 9:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ใช่ แต่ก่อนที่มีขายที่อัสสัม ผมดูครั้งแรกก็ภาษาไทยเหมือนกันAndreas เขียน: ถ้าเป็นเรื่องเดียวกัน แสดงว่ามีเวอร์ชั่นที่พากษ์ภาษาไทยตั้งนานแล้ว สมัยที่เป็นวีดีโอ เพราะผมเคยดูตอนอยู่บ้านเณรเล็กที่หัวหิน ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ "กุหลาบสีเลือด" พอได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วทำให้รู้สึกอยากเป็นมรณสักขี เวลาเดินขึ้นบันไดก็จินตนาการว่าตนเองกำลังเดินขึ้นสู่เครื่องประหาร
^
^
เนื้อเรื่องประมาณว่า อารามคาร์เมลแห่งนี้ตอนเริ่มเรื่องอธิการคนเก่าเสีย เลยได้อธิการคนใหม่ ช่วงนั้นมีนวกะใหม่เข้ามาคนหนึ่ง มาจากตระกูลสูง และเป็นช่วงที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งมองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ต้องเอาทิ้งไป ประกอบกับนวกะคนนั้นยังไม่เข้มแข็งพอด้วยมั้ง ทางการเลยเอาข้ออ้างว่ากังขังหน่วงเหนี่ยวบังคับจิตใจมาเป็นข้ออ้างในการปิดอารามเพื่อยึดเป็นของรัฐ สมัยนั้นพวกพ่อ(คิดว่าที่ไม่ยอมรัฐ)ก็ต้องใส่ชุดชาวบ้านประกอบมิซซาไม่ได้ ทางซิสเตอร์ไม่ยอมเลยโดนจับ ซิสเตอร์ก็ลงคะแนนกันว่าจะยอมเป็นมาตีร์หรือไม่ สุดท้ายก็ลงเอยว่ายอมเป็นมาตีร์ แต่รู้สึกว่าก่อนหน้านั้นทางอธิการได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากหญิงสูงศักดิ์อีกคนหนึ่ง เธอเลยรอดจากการเป็นมาตีร์(หลายคนขอให้เธอรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อสืบทอดคณะต่อ) ท้ายสุดตอนขึ้นกิโยตินนวกะคนนั้นก็ยอมรับการเป็นมาตีร์แทนซิสเตอร์ท่านที่ต้องสืบทอดคณะต่อ
ปล.1 ซิสเตอร์คนแก่เป็นคนหูตึง ตอนที่ขึ้นกีโยติน แม่อธิการถึงต้องเดินมาหาเธอเพระเธอไม่เดินไปหาแม่อธิการ ตอนนี้ซึ้งใจดี
ปล.2 เรื่องย่อนี้มาจากความเชี่ยวชาญภาษาอิตาลีที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ชานกรุงโรมเป็นเวลาสิบห้าปี
^
เนื้อเรื่องประมาณว่า อารามคาร์เมลแห่งนี้ตอนเริ่มเรื่องอธิการคนเก่าเสีย เลยได้อธิการคนใหม่ ช่วงนั้นมีนวกะใหม่เข้ามาคนหนึ่ง มาจากตระกูลสูง และเป็นช่วงที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งมองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ต้องเอาทิ้งไป ประกอบกับนวกะคนนั้นยังไม่เข้มแข็งพอด้วยมั้ง ทางการเลยเอาข้ออ้างว่ากังขังหน่วงเหนี่ยวบังคับจิตใจมาเป็นข้ออ้างในการปิดอารามเพื่อยึดเป็นของรัฐ สมัยนั้นพวกพ่อ(คิดว่าที่ไม่ยอมรัฐ)ก็ต้องใส่ชุดชาวบ้านประกอบมิซซาไม่ได้ ทางซิสเตอร์ไม่ยอมเลยโดนจับ ซิสเตอร์ก็ลงคะแนนกันว่าจะยอมเป็นมาตีร์หรือไม่ สุดท้ายก็ลงเอยว่ายอมเป็นมาตีร์ แต่รู้สึกว่าก่อนหน้านั้นทางอธิการได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากหญิงสูงศักดิ์อีกคนหนึ่ง เธอเลยรอดจากการเป็นมาตีร์(หลายคนขอให้เธอรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อสืบทอดคณะต่อ) ท้ายสุดตอนขึ้นกิโยตินนวกะคนนั้นก็ยอมรับการเป็นมาตีร์แทนซิสเตอร์ท่านที่ต้องสืบทอดคณะต่อ
ปล.1 ซิสเตอร์คนแก่เป็นคนหูตึง ตอนที่ขึ้นกีโยติน แม่อธิการถึงต้องเดินมาหาเธอเพระเธอไม่เดินไปหาแม่อธิการ ตอนนี้ซึ้งใจดี
ปล.2 เรื่องย่อนี้มาจากความเชี่ยวชาญภาษาอิตาลีที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ชานกรุงโรมเป็นเวลาสิบห้าปี