@. คริสตชน เห็น พระเจ้าอย่างไร>@
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 26, 2005 3:49 pm
คริสตชนมองเห็นพระเจ้าจริงไหม
ทั้งคริสตชนเอง และเพื่อนๆศาสนิกอื่น หลายๆคนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ มักจะสงสัยว่าชาวคริสต์เห็นพระเจ้าจริงไหม หรือ เมื่อ พวกเขาภาวนาอธิษฐาน พระเจ้าทรงฟังเขาหรือ เขาพบพระเจ้าอย่างไร
ดิฉันขอโพสต์ เพื่อเป็นความรู้ตามความเชื่อ ของคริสต์ ( โปรเตสแตนต์ )ดังนี้
พระลักษณะของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า ( The Nature of God: Essence and Attributes )
ความเป็นวิญญาณ พระเยซูตรัสว่า “พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ” ( ยน.4:24 ) เนื่องจากในภาษาเดิมไม่มีคำนำหน้านาม พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวถึงธรรมชาติของพระเจ้าว่าเป็นวิญญาณ ดังนั้นเมื่อศาสนิกอื่นชอบท้าทายว่า “ถ้าพระเจ้าของคุณมีจริงให้ปรากฏให้เห็นสิ หรือถ้าผมเห็นพระเจ้า ที่คุณพูดแล้วผมจะเชื่อพระเจ้า” คริสตชนจึงไม่สามารถ พิสูจน์พระเจ้าในเรื่องรูปร่างได้ เพราะว่า
1.พระองค์ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่รูปธรรม ( He is immaterial and incorporal )
เมื่อพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ พระองค์ ก็ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่สสาร พระบัญญัติสิบประการข้อที่สอง สั่งห้ามไม่ให้ทำรูปแกะสลัก หรือจำลองรูปใดๆ เป็นรูปเคารพ ( อพย.20.4 ) พื้นฐานของพระบัญญัตินี้อยู่ที่คุณสมบัติของพระเจ้าอันมิใช่สสารวัตถุนั่นเอง
บางคนอาจจะโต้แย้งว่าแล้วทำไมพระคัมภีร์บันทึกถึงพระเจ้าในรูปธรรมมากมายเช่น พระหัตถ์พระเจ้า “เรายื่นมือของเราออกตลอดวัน ต่อชนชาติที่มักกบฏ ผู้ดำเนินในทางที่ไม่ดี ติดตามอุบายของตนเอง” และ “และ องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า ในเบื้องต้นพระองค์ทรงสร้างแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์” ( อสย.65.2;ฮบ.1.10 ) พระบาท “ เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า” หรือ “พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา”( ปฐก.3.8; สดด.8.6 ) พระเนตร “เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ทั้งกลางคืนและกลางวัน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า "นามของเราจะอยู่ที่นั่น" เพื่อว่าพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อธิษฐานตรงต่อสถานที่นี้” และ “เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริงต่อพระองค์ ในเรื่องนี้ท่านได้กระทำการอย่างโง่เขลา เพราะตั้งแต่นี้ไปท่านจะมีการศึกสงคราม" ( 1พกษ.8.29;2 พศด.16.9 ) พระกรรณ “ขอพระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟัง และขอทรงลืมพระเนตรของพระองค์ดูอยู..” หรือ “พระเนตรของพระเจ้า เห็นคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์สดับคำอ้อนวอนของเขา”( นหม.1.6;สดด.34.15 ) ฯลฯ ข้อความที่ยกมากล่าวทำให้เห็นภาพพจน์สัญลักษณ์ใช้รูปกายของมนุษย์อธิบาย เพื่อให้เห็นพระเจ้าเป็นจริงเป็นจัง ( antropomorphic-มนุษยรูปนิยม ) และเพื่อสำแดงพระดำริ ฤทธิ์อำนาจและพระราชกิจทั้งปวง
มนุษย์มีวิญญาณอันจำกัดซึ่งสามารถอาศัยอยู่ภายในรูปธรรมนี้ได้ “อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น” “ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา”( 1คร.2.11;1ธส.5.23 ) ส่วนพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณที่ไร้ขอบเขต พระองค์จึงไม่มีลักษณะเป็นรูปธรรม “ถึงกระนั้นก็ดีองค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระนิเวศ ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า "สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน”( กจ.7.48-49 )
ทั้งคริสตชนเอง และเพื่อนๆศาสนิกอื่น หลายๆคนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ มักจะสงสัยว่าชาวคริสต์เห็นพระเจ้าจริงไหม หรือ เมื่อ พวกเขาภาวนาอธิษฐาน พระเจ้าทรงฟังเขาหรือ เขาพบพระเจ้าอย่างไร
ดิฉันขอโพสต์ เพื่อเป็นความรู้ตามความเชื่อ ของคริสต์ ( โปรเตสแตนต์ )ดังนี้
พระลักษณะของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า ( The Nature of God: Essence and Attributes )
ความเป็นวิญญาณ พระเยซูตรัสว่า “พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ” ( ยน.4:24 ) เนื่องจากในภาษาเดิมไม่มีคำนำหน้านาม พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวถึงธรรมชาติของพระเจ้าว่าเป็นวิญญาณ ดังนั้นเมื่อศาสนิกอื่นชอบท้าทายว่า “ถ้าพระเจ้าของคุณมีจริงให้ปรากฏให้เห็นสิ หรือถ้าผมเห็นพระเจ้า ที่คุณพูดแล้วผมจะเชื่อพระเจ้า” คริสตชนจึงไม่สามารถ พิสูจน์พระเจ้าในเรื่องรูปร่างได้ เพราะว่า
1.พระองค์ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่รูปธรรม ( He is immaterial and incorporal )
เมื่อพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ พระองค์ ก็ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่สสาร พระบัญญัติสิบประการข้อที่สอง สั่งห้ามไม่ให้ทำรูปแกะสลัก หรือจำลองรูปใดๆ เป็นรูปเคารพ ( อพย.20.4 ) พื้นฐานของพระบัญญัตินี้อยู่ที่คุณสมบัติของพระเจ้าอันมิใช่สสารวัตถุนั่นเอง
บางคนอาจจะโต้แย้งว่าแล้วทำไมพระคัมภีร์บันทึกถึงพระเจ้าในรูปธรรมมากมายเช่น พระหัตถ์พระเจ้า “เรายื่นมือของเราออกตลอดวัน ต่อชนชาติที่มักกบฏ ผู้ดำเนินในทางที่ไม่ดี ติดตามอุบายของตนเอง” และ “และ องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า ในเบื้องต้นพระองค์ทรงสร้างแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์” ( อสย.65.2;ฮบ.1.10 ) พระบาท “ เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า” หรือ “พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา”( ปฐก.3.8; สดด.8.6 ) พระเนตร “เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ทั้งกลางคืนและกลางวัน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า "นามของเราจะอยู่ที่นั่น" เพื่อว่าพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อธิษฐานตรงต่อสถานที่นี้” และ “เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริงต่อพระองค์ ในเรื่องนี้ท่านได้กระทำการอย่างโง่เขลา เพราะตั้งแต่นี้ไปท่านจะมีการศึกสงคราม" ( 1พกษ.8.29;2 พศด.16.9 ) พระกรรณ “ขอพระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟัง และขอทรงลืมพระเนตรของพระองค์ดูอยู..” หรือ “พระเนตรของพระเจ้า เห็นคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์สดับคำอ้อนวอนของเขา”( นหม.1.6;สดด.34.15 ) ฯลฯ ข้อความที่ยกมากล่าวทำให้เห็นภาพพจน์สัญลักษณ์ใช้รูปกายของมนุษย์อธิบาย เพื่อให้เห็นพระเจ้าเป็นจริงเป็นจัง ( antropomorphic-มนุษยรูปนิยม ) และเพื่อสำแดงพระดำริ ฤทธิ์อำนาจและพระราชกิจทั้งปวง
มนุษย์มีวิญญาณอันจำกัดซึ่งสามารถอาศัยอยู่ภายในรูปธรรมนี้ได้ “อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น” “ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา”( 1คร.2.11;1ธส.5.23 ) ส่วนพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณที่ไร้ขอบเขต พระองค์จึงไม่มีลักษณะเป็นรูปธรรม “ถึงกระนั้นก็ดีองค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระนิเวศ ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า "สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน”( กจ.7.48-49 )