พระคำภีร์รายวันประจำเดือนกันยายน

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:33 pm

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:26-31

พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูเถิด เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านนั้น มีน้อยคนที่ฉลาดตามมาตรฐานของมนุษย์ น้อยคนที่มีอิทธิพล น้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนโง่เขลาในสายตาของโลก เพื่อทำให้คนฉลาดต้องอับอาย พระเจ้าทรงเลือกสรรคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้ผู้แข็งแรงต้องอับอาย และพระเจ้าทรงเลือกสรรสิ่งต่ำช้าน่าดูหมิ่นไร้คุณค่าในสายตาของชาวโลก เพื่อทำลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อมิให้มนุษย์โอ้อวดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้ เดชะพระองค์ ท่านจึงมีความเป็นอยู่ในพระคริสตเยซูผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นปรีชาญาณสำหรับเรา ทั้งยังทรงเป็นผู้บันดาลความชอบธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ และการไถ่กู้อีกด้วย เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ผู้ใดจะโอ้อวด ก็ให้ผู้นั้นโอ้อวดในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 25:14-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป“คนที่รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้ “หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา คนที่รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ คนที่รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’

“คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’

ข้อคิด

การตอบรับพระอาณาจักรสวรรค์ คือ การตอบรับด้วยการอุทิศตนสำหรับพระพรที่เราได้รับ ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป ได้รับพระพรแห่งอาณาจักรสวรรค์ ไม่ว่าจะมีพระพรที่แตกต่างกันในจำนวนหรือปริมาณที่อาจเปรียบเป็นเงินตะลันต์ จะได้ห้า ได้สอง หรือได้หนึ่งตะลันต์ก็ตาม การตอบสนองพระพรนั้นต้องทุ่มเทอุทศตนเอง ร้อยเปอร์เซนต์ เต็มที่ ได้ห้าก็ทำได้อีกห้า หรือได้สองก็ได้อีกสอง ก็คือร้อยเปอร์เซนต์เหมือนกัน จุดอ่อนของคนที่ได้หนึ่งตะลันต์อยู่ที่ว่า เขาไม่ขยันหรือออกแรงตอบสนองพระพรที่ได้รับ และที่แย่กว่าคือเขาไม่ฉลาดพอที่จะเอาไปฝากธนาคารเพื่อให้เกิดผลซึ่งน่าเสียด ขอให้ชีวิตเราตอบสนองพระพรของพระเจ้าเต็มกำลังความสามารถ และที่สำคัญ ฉลาดที่จะตอบสนองพระพรเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:34 pm

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 4:1-2,6-8

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครองแผ่นดินซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน ท่านจะต้องไม่เพิ่มเติมสิ่งใดลงไปในข้อความที่ข้าพเจ้าสั่ง และต้องไม่ตัดตอนใดออกไป แต่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านตามที่ข้าพเจ้าสั่งท่านไว้

ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอื่น ๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจและปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำพูดถึงข้อกำหนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า “ชนชาติยิ่งใหญ่นี้เท่านั้นเป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ” เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงสถิตอยู่ใกล้ชิดเรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์ ไม่มีชนชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีข้อกำหนดและกฎเกณฑ์เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำลังสอนท่านอยู่ในวันนี้

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบ ยก 1:17-18,21ข-22,27

พี่น้องที่รักยิ่ง ของประทานที่ดีและบริบูรณ์ย่อมมาจากเบื้องบนทั้งสิ้น ลงมาจากพระบิดาผู้ทรงสร้างความสว่าง พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงาแห่งความแปรปรวนใดๆ พระองค์พอพระทัยให้เราบังเกิดโดยพระวาจาแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นดุจผลแรกในสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้น

จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน พระวาจานั้นสามารถช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้ จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่แต่ฟังอย่างเดียว ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง

ความเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์และไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าพระบิดา ก็คือการเยี่ยมเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตนให้พ้นจากมลทินของโลก

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 7:1-8ก,14-15,21-23

เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มพากันมาเฝ้าพระองค์ เขาสังเกตว่า ศิษย์บางคนของพระองค์รับประทานอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือก่อน เพราะชาวฟาริสีและชาวยิวโดยทั่วไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่รับประทานอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธีเสียก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่รับประทานอาหารเว้นแต่จะได้ทำพิธีชำระตัวเสียก่อน เขายังถือขนมธรรมเนียมอื่นๆอีกมาก เช่น การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า ‘ทำไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบัติตามขนมธรรมเนียมของบรรพบุรุษ และทำไมเขาจึงรับประทานอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาดเล่า?’ พระองค์ตรัสตอบว่า ‘ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวอย่างถูกต้องถึงท่าน คนหน้าซื่อใจคด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม ท่านทั้งหลายละเลยพระบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์’

พระองค์ทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่งตรัสว่า ‘ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์สามารถทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด!’

จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง การสำส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้แหละออกมาจากภายใน และทำให้มนุษย์มีมลทิน’


บทเทศน์จากพระวาจาของพระเจ้า
อาทิตย์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา

ความสมบูรณ์ครบถ้วนในชีวิต ด้านหนึ่งต้องเกิดจากคุณความดีที่ก่อตัวขึ้นอยู่ภายในจิตใจของเรา แล้วค่อยๆปรากฏออกมาภายนอกให้มองเห็น และอีกด้านหนึ่งคุณความดีดังกล่าวที่มองเห็น ต้องเกิดขึ้นสอดคล้องกับคุณความดีที่สร้างสมบรรจุอยู่ภายในจิตใจให้สอดคล้องกัน

พระวาจาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์บทที่สองประจำอาทิตย์นี้ ท่านนักบุญยากอบแนะนำว่า “จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน ... จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่แต่ฟังอย่างเดียว ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง” ถ้อยคำคำนี้ของท่านนักบุญยากอบทำให้เราควรเริ่มไตร่ตรองชีวิตตามคำของท่านซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราในประเด็นที่ว่า ในขณะที่ปฏิบัติตนทำให้คุณความดีสอดคล้องกันทั้งภายนอกและภายในจิตใจของเราตามที่พ่อกล่าวไว้ในข้างต้น จะส่งผลทำให้เกิดความอิ่มเอิบปีติสุขเกิดขึ้นเมื่อภายในจิตใจของเรา เพราะการกระทำดังกล่าวชีวิตของเราจะสัมผัสรับรู้ถึงการทำงานขับเคลื่อนชีวิตของพระเจ้าจากพระวาจาของพระองค์ ตอนต่างๆ คำต่างๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในใจของเรานั้น เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้ ให้เรานำถ้อยคำของท่านนักบุญยากอมมาแทรกเตือนใจของเราทันทีว่า หากเพียงเรามัวแต่ติดใจหมกมุ่นอยู่กับความปีติสุขอยู่ในใจของตนเองเท่านั้น พึงต้องระมัดระวังว่า สิ่งที่เรียกว่าความปีติสุขนั้น จะกลายเป็นการ “หลอกตัวเอง” ทันที ถ้าไม่พัฒนาคุณความดีและความปีติสุขในจิต ใจให้กลายเป็นกิจการแห่งพระวาของพระเจ้านั้นๆ ปรากฏเป็นตัวเป็นตนออกมาภายนอก ในทำนองเดียวกันหากกิจการที่เราปฏิบัติอยู่จนปรากฏต่อสายตาของผู้คนทั้งหลายให้ชื่นชมว่าเป็นกิจการดี แต่หากเกิดขึ้นโดยไม่มีคุณความดีในจิตใจเป็นตัวผลักดันให้กระทำ กิจการดีที่ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งหลายก็จะกลายเป็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าตำหนิว่า เราเป็นคนที่ “ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย”

พี่น้องที่เคารพ เราจำเป็นต้องทำการตรวจสอบตัวของเราเองอยู่เสมอว่าแต่ละวันๆ เรากำลัง “หลอกตัวของเราเอง” อยู่หรือไม่ หลอกตนเองว่าเราเป็นคนดีคนศรัทธาด้วยการปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับกิจการแห่งความเชื่อความศรัทธาภายในจิตใจของเราเท่านั้น โดยไม่ยอมทำให้ความเชื่อศรัทธาภายในนั้นก้าวพัฒนาปรากฏตัวออกมาเป็นกิจการภายนอกอย่างสอดคล้องกัน เราต้องตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอๆว่า กิจการที่ปรากฏภายนอกที่เห็นว่า “ดูดี” หรือที่คนทั้งหลายมองเห็นแล้วชมเชยเราว่า “ทำ ได้ดี” นั้น แท้ที่จริงแล้วมันเกิดมาจากจิตใจที่เป็นมลทินของเราหรือเปล่า เรื่องอย่างนี้ แม้คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เราเองย่อมรู้อยู่ แก่ใจ และไม่มีความจริงประการใดหลบซ่อนจากพระเจ้าได้ หากไม่ยอมตรวจสอบและเตือนตัวเอง ปล่อยให้ชีวิตจมอยู่ในการหลอกลวงอยู่เช่นนี้ วันหนึ่งพระเยซูเจ้าจะนำถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์มาตำหนิเราว่า เราเป็นคน “หน้าซื่อใจคด” เหมือนที่ทรงตำหนิชาวฟาริสีในสมัยของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:34 pm

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2012
ระลึกถึง น.เกรโกรี พระสันตะปาปาและนักปราชญ์


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 2:1-5

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาพบท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาประกาศธรรมล้ำลึกเรื่องพระเจ้าโดยใช้สำนวนโวหาร หรือโดยใช้หลักเหตุผลอันฉลาดปราดเปรื่อง ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่สอนเรื่องใดแก่ท่านนอกจากเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า คือพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน ข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านด้วยความอ่อนแอ มีความกลัวและหวาดหวั่นมาก วาจาและคำเทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำพูดชวนเชื่ออย่างชาญฉลาด แต่เป็นถ้อยคำแสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้า เพื่อมิให้ความเชื่อของท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้า

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 4:16-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า“พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า”

แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส

เขากล่าวกันว่า “นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า “หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด” แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”

เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”

เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป

ข้อคิด

บ่อยครั้งความคุ้นเคย หรือความใกล้ชิดทำให้เรามองข้ามคุณค่าและความสามารถไป พระเยซูเจ้าไม่ได้รับเกียรติในบ้านของพระองค์ในชุมชนที่ใกล้ชิดพระองค์ ทั้งๆที่พระองค์ทรงน่ามหัศจรรย์ที่สุดในสายตาของทุกคน แต่คนใกล้ในหมู่บ้านของพระองค์กลับมองไม่เห็นคุณค่า พระองค์คือความสำเร็จสมบูรณ์ขนาดที่ประกาศกทำนายไว้นั้น สำเร็จในพระองค์ ทุกคนในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ และทึ่งในพระองค์ แต่พวกเขาหลายคนก็สะดุดเพราะพระองค์เป็นลูกช่างไม้ที่เขารู้จัก พวกเขาจึงไม่ได้ต้อนรับพระองค์อย่างแท้จริง เพียงเพราะอคติของพวกเขาเท่านั้น บ่อยครั้งอคติ การปิดใจ ปิดตา ปิดหู ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสได้รับพระพรที่มาถึงเราก่อนใครอื่นแท้ๆ ก็เป็นได้ จึงจำเป็นต้องเปิดใจเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:34 pm

วันอังคารที่ 4 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 2:10ข-16

พี่น้อง เพราะพระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกล้ำของพระเจ้า ใครเล่าล่วงรู้ความคิดของมนุษย์ ถ้ามิใช่จิตของมนุษย์ที่อยู่ในตัวมนุษย์คนนั้น เช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความคิดของพระเจ้านอกจากพระจิตของพระเจ้า เรามิได้รับจิตของโลก แต่รับพระจิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อให้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ มิใช่ด้วยวาจาซึ่งปรีชาญาณของมนุษย์สอนให้ แต่พูดด้วยถ้อยคำที่พระจิตเจ้าทรงสอน เราจึงอธิบายเรื่องฝ่ายจิตโดยใช้ถ้อยคำของพระจิตเจ้า มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ รับสิ่งที่เป็นของพระจิตของพระเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับเขา เขาไม่อาจเข้าใจได้ เพราะต้องใช้จิตพิจารณา อาศัยพระจิตเจ้าเท่านั้น ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้าย่อมตัดสินทุกสิ่งและไม่มีใครตัดสินเขาได้ ใครเล่าหยั่งรู้ความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้คำแนะนำแก่พระองค์ได้ เรานั่นเองที่มีความคิดของพระคริสตเจ้า

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 4:31-37

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม เมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนประชาชนในวันสับบาโต คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังประทับใจอย่างมาก เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงไว้ซึ่งอำนาจ

ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งถูกจิตของปีศาจร้ายสิง ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ท่านมายุ่งกับพวกเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายพวกเราใช่ไหม ฉันรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและทรงสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” ปีศาจผลักชายนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคน แล้วออกไปจากเขาโดยมิได้ทำร้ายแต่ประการใด ทุกคนต่างประหลาดใจมากและถามกันว่า “วาจานี้คือสิ่งใด จึงมีอำนาจและอานุภาพบังคับปีศาจร้าย และมันก็ออกไป” กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วทุกแห่งในบริเวณนั้น

ข้อคิด

คำสอนของพระเยซูเจ้า พระวาจาของพระองค์ เปรียบเหมือนน้ำฝนที่ตกจากฟ้าจริงๆ ไม่กลับไปโดยไม่ได้เกิดผลดีอย่างแน่นอน คำสอนของพระองค์ทำให้ทุกคนในศาลาธรรมที่คาฟาร์นาอุมประทับใจอย่างมาก เพราะพระวาจาของพระองค์เป็นพระวาจาของพระเจ้าและมีอำนาจ มีอำนาจขนาดที่คนที่ปีศาจสิ่งไม่อาจทัดทาน ปีศาจต้องออกไปจากเขาเพราะคำสั่งของพระองค์ที่ตรัสว่า “จงเงียบ และออกไป...” พระวาจาของพระองค์ทรงอำนาจจริง และมีพลังเสมอ เราควรเปิดหัวใจให้กับพระวาจาที่ทรงอำนาจและความรักเสมอไป ให้พระเจ้าตรัสและทำให้เราเปี่ยมไปด้วยพลังของพระเจ้า ดังนั้น การอ่านพระวาจาเสมอเราจะพบพลังของพระองค์อย่างแน่นอน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:34 pm

วันพุธที่5 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 3:1-9

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้า แต่พูดเหมือนกับคนที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ เหมือนพูดกับทารกในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าใช้น้ำนมเลี้ยงท่าน ไม่ให้อาหารแข็ง เพราะขณะนั้นท่านยังรับไม่ได้ และแม้เวลานี้ ท่านก็ยังรับไม่ได้ เพราะท่านยังเป็นผู้ดำรงชีวิตตามธรรมชาติ ในเมื่อท่านยังอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็ยังดำรงชีวิตตามธรรมชาติ และดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปมิใช่หรือ เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดว่า "ฉันเป็นพวกของเปาโล” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” ท่านก็มิได้เป็นเพียงมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเท่านั้นดอกหรือ

อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทั้งสองคนเป็นผู้รับใช้ที่นำความเชื่อมาให้ท่าน ต่างก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ทำเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน้ำก็ไม่สำคัญ แต่ผู้มีความสำคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น ผู้ปลูกและผู้รดน้ำมีความสำคัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่กระทำ เพราะเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นอาคารของพระเจ้า

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 4:38-44

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากศาลาธรรมเข้าไปในบ้านของซีโมน มารดาของภรรยาซีโมนกำลังป่วยเป็นไข้หนัก คนที่อยู่ที่นั่นอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วยนาง พระองค์จึงทรงก้มลงเหนือนางและบังคับไข้ นางก็หายไข้ ลุกขึ้นมารับใช้ทุกคนทันที

เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้ที่มีคนเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ นำผู้เจ็บป่วยเหล่านั้นมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือผู้ป่วยแต่ละคนและทรงรักษาเขาให้หายจากโรค ปีศาจออกจากคนจำนวนมาก พลางร้องตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงสั่งไม่ให้ปีศาจพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ แล้วหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป แต่พระองค์ตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้” พระองค์จึงทรงเทศน์สอนตามศาลาธรรมแห่งแคว้นยูเดีย

ข้อคิด

อยากให้พระองค์เสด็จมาในบ้านของเราเหมือนกันของเปโตรจังเลย ในวันนั้น เพียงพระองค์เสด็จเข้ามาก แม่ยายของเปโตรซึ่งป่วยเป็นไข้หนักอยู่ พระคัมภีร์เขียนว่า เมื่อพระองค์ทรงทราบ พระองค์เสด็จเข้าไปหา ทรงก้มลงหานางที่นอนป่วย ทรงบังคับไข้ และไข้ก็หาย และทุกคนต่างพาคนเจ็บมาหาพระองค์ พระองค์รักษาพวกเขาให้หายจำนวนมาก แม้แต่คนผีสิงก็กลับเป็นปกติ น่าประทับใจจริง ทำไมเราจะไม่ขอพระองค์เสด็จมาหาเราเสมอ และขอพระองค์ทรงแสดงอำนาจแห่งความรักเพื่อเยียวยารักษาพวกเราเสมอไปเช่นกัน เพราพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพลังและอำนาจจริง จงเชื่อในพระองค์เสมอไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:35 pm

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 3:18-23

พี่น้อง จงอย่าหลอกลวงตนเอง ถ้าท่านใดคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดในโลกนี้ ก็จงยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เพราะความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ในโลกนี้เป็นความโง่เขลาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วยอุบายของเขาเอง” และยังมีเขียนไว้อีกว่า “พระเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนฉลาดเป็นสิ่งไร้ประโยชน์” ฉะนั้น อย่าให้ใครยกเอามนุษย์มาอวด เพราะทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน เปาโลก็ดี อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่งปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ดี ทุกสิ่งล้วนเป็นของพวกท่าน แต่พวกท่านเป็นของพระคริสต์และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 5:1-11

วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์ เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น

เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด” ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน” เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำ จนเรือเกือบจม

เมื่อซีโมนเปโตรเห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” เพราะเขาและคนอื่น ๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมนก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์” เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์

ข้อคิด

ทั้งคืนชาวประมงผู้ชำนาญการจับปลาไม่ได้เลย เปโตรวันนั้น ได้รับพระองค์ในเรือของเขาหลังจากจับปลาทั้งคืนจริงๆ จับไม่ได้ พระองค์ลงเรือเขา สอนประชาชนจากเรือของเขา และเมื่อสอนจบ ทรงสั่งให้เปโตรออถเรือออกไปในน้ำลึก ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลาจับปลา และที่สำคัญจับมาทั้งคืนยังไม่ได้เลย เรื่องนี้ช่างฝืนประสบการณ์และความชำนาญของเปโตรจริงๆ และที่สำคัญคนที่สั่งก็ไม่ใช่ชาวประมง แต่เขาคือพระอาจารย์เจ้า เปโตรเชื่อฟัง เขาหย่อนอวนทวนกระแสประสบการณ์และความชำนาญของตน เพียงเพราะพระองค์ทรงสั่ง เขาจับปลาได้มากมายจริงๆ เพียงแต่เชื่อในพระองค์ พลังอำนาจของพระองค์เกินประสบการณ์ของเราแน่นอน เชื่อในพระองค์ และเดินตามหนทางของพระองค์เพื่อเป็นศิษย์ของพระองค์เท่านั้นเพียงพอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:35 pm

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 4:1-5

พี่น้อง คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการดูแลธรรมล้ำลึกของพระเจ้า คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการก็คือ ต้องเป็นผู้ที่วางใจได้ ส่วนข้าพเจ้าการที่ท่านหรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้านั้น เป็นเรื่องไม่สำคัญ แม้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ตัดสินตนเอง จริงอยู่ มโนธรรมไม่ได้ตำหนิอะไรข้าพเจ้าเลย แต่นี่ไม่หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ตัดสินข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จงอย่าตัดสินเรื่องใด ๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดแจ่มแจ้ง และจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏ เมื่อนั้น ทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 5:33-39

เวลานั้น มีผู้ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ศิษย์ของยอห์นจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาบ่อย ๆ ศิษย์ของชาวฟาริสีก็ทำเช่นเดียวกัน ส่วนศิษย์ของท่านกินและดื่ม” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะให้ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกแยกจากไป วันนั้นผู้รับเชิญจะจำศีลอดอาหาร”

พระองค์ยังตรัสอุปมาให้เขาฟังอีกว่า “ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะเสื้อใหม่จะขาด และผ้าจากเสื้อใหม่จะไม่เข้ากับเสื้อเก่าอีกด้วย

ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าใหม่จะทำให้ถุงหนังขาด เหล้าจะรั่ว และถุงหนังก็จะเสีย แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่ ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วอยากดื่มเหล้าใหม่ เพราะเขาย่อมกล่าวว่า “เหล้าเก่านั้นดีกว่า’”

ข้อคิด

เอาผ้าใหม่ปะเสื้อเก่า หรือเหล่าองุ่นใหม่ใส่ถุงหนั่งเก่า เรื่องนี้หมายความว่าอะไรจริงๆ หนอ อันที่จริงพระเยซูเจ้าคือองค์แห่งพันธสัญญาใหม่ ทรงเป็นโมเสสคนใหม่ เป็นประกาศกแท้ และมหาสมณะแท้ในพันธสัญญาใหม่ บ่อยครั้งฟาริสีที่เคร่งครัดกฎหมายของพันธสัญญาเดิมไม่ตอบรับพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นดังความใหม่ที่ต้องเดินตามพระองค์ พระองค์เรียกร้องให้เจริญชีวิตในบัญญัติใหม่เสมอ ดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์เสมอไป บัดนี้เป็นเวลาของพันธสัญญาใหม่ จึงต้องดำเนินชีวิตตามบัญญัติของพระองค์คือบัญญัติแห่งความรักซึ่งอันที่จริงเป็นสรุปของบัญญัติจากพันธสัญญาเดิมนั่นเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:35 pm

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน 2012
ฉลองแม่พระบังเกิด


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:28-30

พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้านั้น พระองค์ทรงกำหนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำนวนมาก ผู้ที่ทรงกำหนดไว้แล้วนั้นพระองค์ทรงเรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 1:18-23

เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบ ๆ ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า
“หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา”

ข้อคิด

ฉลองแม่พระบังเกิด หรือการฉลองอื่นๆ ของแม่พระเป็นการฉลองที่มีความหมายเสมอ ความสำคัญของแม่พระอยู่ที่ไหน คำตอบคืออยู่ที่พระเยซูเจ้า แม่พระตอบรับพระเยซูเจ้าในแผนการณ์แห่งความรอด แม่พระยอมรับบัญชาของทูตสวรรค์ เป็นเครื่องหมายแห่งการตอบรับแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงกอบกู้มนุษย์ ดังนั้น แม่พระมีความสำคัญเพราะความใกล้ชิดกับพระบุตร การร่วมในแผนการณ์แห่งความรอด ต้องถือว่าแม่พระคือคริสตชนต้นแบบจริงๆ เมื่อพระแม่เต็มเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและเต็มเปี่ยมด้วยพระคริสตเจ้า ขอให้ชีวิตเราได้เปี่ยมด้วยพระเจ้าเช่นเดียวกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:36 pm

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 35:4-7ก

จงกล่าวกับคนที่ท้อแท้ว่า “จงมานะเถิด อย่ากลัวเลย” ดูซิ พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น และจะทรงลงโทษศัตรูของท่านอย่างสาสม แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะแลเห็น หูของคนหูหนวกจะได้ยิน คนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และคนใบ้จะร้องตะโกนด้วยความยินดี เพราะน้ำจะพุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร และลำธารจะไหลในทุ่งเวิ้งว้าง พื้นดินแห้งผากจะกลายเป็นสระน้ำ และดินที่ถูกแดดเผาจะกลายเป็นพุน้ำ


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบ ยก 2:1-5

พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ มีความลำเอียงปนอยู่ด้วย สมมติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่านและขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า “เชิญนั่งตามสบายที่นี่เถิด” ส่วนคนจนนั้นท่านบอกเขาว่า “จงยืนที่นั่น” หรือ “จงนั่งข้างๆที่วางเท้าของฉันซิ” ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะและตัดสินโดยมาตรการเลวร้ายมิใช่หรือ?

พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่โลกจัดว่ายากจนเพื่อให้เขามั่งมีในความเชื่อ และเป็นทายาทรับมรดกพระอาณาจักรซึ่งได้ทรงสัญญาไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 7:31-37

เวลานั้น พระเยซูเสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดนทศบุรี มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอร้องให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงเอาพระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า ‘เอฟฟาธา’ แปลว่า ‘จงเปิดเถิด’ ทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นมิให้พูดเรื่องนี้แก่ผู้ใด แต่ยิ่งห้าม เขาก็ยิ่งเล่าลือกันมากขึ้น และต่างก็ประหลาดใจเป็นอันมาก กล่าวว่า ‘คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยิน และคนใบ้พูดได้’


ข้อคิด

อิสยาห์ให้ความหวังที่สุด “จงมีมานะ อย่ากลัว” คนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง คนตาบอดจะและเห็น... ถ้าพระเจ้าเสด็จมา ทุกอย่างที่เป็นความจำกัดหรือทุพลภาพจะถูกทำลายไป พระเจ้าเป็นความหวังอันสูงสุดของผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์ และพระเยซูเจ้าทรงเป็นคำตอบแห่งการรอคอยนั้น พระองค์ตรัส “เอฟฟาธา” (จงเปิดเถิด) พระองค์ทรงเป็นผู้เปิดความจำกัดตามประสามนุษย์ด้วยพลังแห่งการเสด็จมาของพระวาจาของพระองค์ เราน่าจะวิงวอนขอพระองค์ให้เราได้เปิดความจำกัดของเรา เปิดความเป็นไปไม่ได้ของเรา เพื่อเปิดออกสู่ความดีและความรักของพระเจ้าเสมอ เราน่าจะเป็นผู้เปิดความจำกัดในมิติต่างๆของชีวิตของเพื่อนพี่น้อง เพื่อทุกคนจะได้สัมผัสความรักของพระเจ้าเสมอไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:36 pm

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 5:1-8

พี่น้อง ข่าวร่ำลือกันมากว่า มีการผิดประเวณีเกิดขึ้นในหมู่ท่าน เป็นการผิดประเวณีชนิดที่ไม่เคยพบเห็นแม้ในหมู่คนต่างศาสนา กล่าวคือมีคนหนึ่งได้แม่เลี้ยงของตนมาเป็นภรรยา และท่านยังภูมิใจแทนที่จะเป็นทุกข์เศร้าโศก จงขับไล่คนที่ทำผิดเช่นนี้ไปเสีย ส่วนข้าพเจ้านั้น แม้ว่ากายจะอยู่ห่าง แต่ใจนั้นอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าก็ตัดสินลงโทษผู้ที่กระทำผิดนั้นแล้วประหนึ่งว่าข้าพเจ้าอยู่ด้วย เมื่อท่านทั้งหลายร่วมชุมนุมกันในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าก็อยู่ร่วมด้วย พร้อมกับพระอานุภาพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงมอบคนประเภทนี้ให้กับซาตาน ให้เขามีชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจิตของเขาจะรอดพ้นในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

การโอ้อวดนั้นไม่ดีเลย ท่านไม่รู้หรือว่า เชื้อแป้งเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้แป้งดิบทั้งก้อนฟูขึ้นได้ จงชำระเชื้อแป้งเก่าเสียเพื่อท่านจะเป็นแป้งดิบก้อนใหม่ ดังที่ท่านก็เป็นแป้งไร้เชื้ออยู่แล้ว เพราะพระคริสตเจ้าองค์ปัสกาของเราถูกฆ่าบูชาแล้ว เราจงฉลองกันเถิด มิใช่ด้วยเชื้อแป้งเก่าคือความชั่วร้ายเลวทราม แต่ด้วยแป้งไร้เชื้อคือความจริงใจและสัจจะ

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 6:6-11

วันสับบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมและทรงสั่งสอนที่นั่น มีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคอยจ้องดูว่าพระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์

แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสกับชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ” เขาก็ลุกขึ้นยืน พระเยซูเจ้าตรัสกับคนทั้งหลายว่า “เราถามท่านว่า ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดี หรือทำความชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเขาทุกคนและตรัสกับชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือออกซิ” เขาก็ทำตามและมือของเขาก็หายเป็นปกติ บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูเจ้า

ข้อคิด

ทำไมพระองค์ต้องรักษาคนมือลีบในวันสับบาโต ในศาลาธรรมที่ๆ ฟาริสีและประชาชนที่เคร่งครัดต้องไปเพื่อนมัสการพระเจ้า เพื่อฟังพระวาจาและปฏิบัติศาสนกิจแห่งศรัทธา แต่เห็นอะไรไหม ชายมือลีบอยู่ที่นั่น เขาต้องการการเยียวยา แต่คนศรัทธามากมายกลับไม่ได้สังเกต ไม่ได้เห็น และที่แย่กว่านั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็น ทรงสงสาร ทรงเรียกเขา และถามความเห็นของผู้คนว่าจะทำความดีในวันสับบาโตหรือทำความชั่ว ฟาริสีไม่มีใครตอบ พระองค์จึงสั่งให้คนมือลีบยื่นมือออกและเขาหายจากมือลีบ จนว่าฟาริสีไม่พอใจที่พระองค์กระทำในวันสับบาโต แต่ดูดีๆ พระองค์ถามว่าสับบาโตต้องทำดีหรือทำชั่ว และพระองค์รักษาเขาซึ่งเป็นความดีแน่นอน คนที่รักกฎเกณฑ์ของพระเจ้าต้องรักที่จะทำความดีเสมอไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:36 pm

วันอังคารที่ 11 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 6:1-11

พี่น้อง คนใดบ้างเมื่อมีข้อพิพาทกับอีกคนหนึ่ง นำคดีไปว่าความกันต่อหน้าคนต่างศาสนา แทนที่จะให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ตัดสิน ท่านไม่รู้หรือว่า บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะตัดสินโลก ถ้าท่านจะเป็นผู้ตัดสินโลกแล้ว ท่านไม่ตัดสินเรื่องเล็กน้อยไม่ได้หรือ ท่านไม่รู้หรือว่า พวกเราจะตัดสินแม้กระทั่งทูตสวรรค์ แล้วเราจะตัดสินกันเองเรื่องของชีวิตนี้ไม่ได้หรือ เมื่อท่านเป็นความกันเรื่องของชีวิตนี้ ท่านยอมให้ผู้ไม่มีอำนาจในพระศาสนจักรเป็นผู้ตัดสินหรือ

ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อให้ท่านละอายใจ ในหมู่ท่านไม่มีใครสักคนที่ฉลาดพอจะตัดสินความระหว่างพี่น้องกันเองได้หรือ แล้วทำไมพี่น้องต้องเป็นความกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นความกันต่อหน้าผู้ไม่มีความเชื่อด้วย อันที่จริง เมื่อท่านมีคดีพิพาทกัน ก็นับว่าเป็นการพ่ายแพ้อยู่แล้ว ท่านยอมถูกรังแกมิดีกว่าหรือ ท่านยอมถูกโกงมิดีกว่าหรือ แต่ท่านกลับไปรังแกและฉ้อโกงกันระหว่างพี่น้องด้วย

ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก บางท่านเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ท่านได้รับการชำระล้างแล้ว ท่านได้รับความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านได้รับความชอบธรรมแล้ว เดชะพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และเดชะพระจิตของพระเจ้าของเรา

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 6:12-19

ครั้งนั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก” คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟิลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” ยูดาส บุตรของยากอบ และยูดาส อิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ

พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล มาฟังพระองค์ และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับการรักษาด้วย ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์ รักษาทุกคนให้หาย


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าเรียกบรรดาศิษย์ทั้งสิบสองคน ที่เรียกว่าอัครสาวก คนใกล้ชิดกับพระองค์ พระองค์ทรงเรียกเขาหลังจากที่ทรงอธิษฐานภาวนาตลอดทั้งคืน น่าคิดจริงๆว่าเราแต่ละคนเป็นศิษย์ของพระองค์ที่พระองค์เรียกให้เป็นคริสตชน พระองค์เรียกเราด้วยความตั้งใจและเจตนาของพระองค์ ไม่ใช่บังเอิญที่เรามาเป็นพระสงฆ์ นักบวช หรือคริสตชนฆราวาส พระองค์ทรงเรียกทุกคนตามพระประสงค์จริงๆ ถ้าเราเป็นศิษย์ของพระองค์อย่างพิเศษเช่นนี้ พระองค์เรียกเราเช่นนี้ เราคริสตชนควรที่จะมีสำนึกอย่างลึกซึ้งถึงพันธกิจที่ทรงเรียกเรา ให้เราดำเนินชีวิตเป็นแสงสว่างและความดีของพระองค์เสมอไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:36 pm

วันพุธที่ 12 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 7:25-31

พี่น้อง ส่วนผู้ที่ยังไม่แต่งงาน ข้าพเจ้าไม่มีพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าขอแนะนำด้วยความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง ในฐานะที่ได้รับพระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ เมื่อคำนึงถึงความยากลำบากในปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า แต่ละคนควรอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่เวลานี้ ท่านมีพันธะกับภรรยาหรือ จงอย่าหาทางแยกพันธะนั้น ท่านเป็นอิสระไม่มีภรรยาหรือ ก็อย่าหาภรรยาเลย แต่ถ้าท่านแต่งงาน ท่านก็มิได้ทำบาป และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงาน เธอก็มิได้ทำบาป อันที่จริงผู้ที่แต่งงานจะประสบความยุ่งยากในชีวิตสมรส และข้าพเจ้าใคร่จะให้ท่านพ้นจากความยุ่งยากนั้น

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์ และผู้ที่ใช้ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 6:20-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรดูบรรดาศิษย์ ตรัสว่า
“ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่ม
ท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ
ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์ จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว
วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว
วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้
วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่าน เพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว”

ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์ และทรงเรียกประชาชนต่างๆเขามามากมาย ณ ที่นั่น พระองค์ทรงสอนพวกเขาถึงบุญลาภ บุญลาภสำหรับผู้ที่ได้รับเรียกมาและที่สำคัญสำหรับผู้ที่ได้ปฏิบัติตามพระวาจาหรือคำสอนของพระองค์ โดยเฉพาะแม้ในความยากจน ในความหิวกระหาย หรือร้องไห้คร่ำครวญ หรือแม้แต่ถูกเบียดเบียนก็ตาม ขอเพียงแต่ให้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ เขาเหล่านี้เป็นผู้มีบุญลาภเพราะมีศรัทธาในพระองค์ เพราะแม้ในโลกนี้จะมีความลำบากมากมายเพราพระวาจาและคำสอนของพระองค์ แต่บุญลาภที่เขาจะได้พระอาณาจักรสวรรค์เป็นคำตอบอย่างแน่นอน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:37 pm

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2012
ระลึกถึง น.ยอห์น คริโซสตม พระสังฆราชและนักปราชญ์


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 8:1ข-7,11-13

พี่น้อง เรื่องเนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพนั้น เรารู้ว่า เราทุกคนมีความรู้แล้ว แต่ความรู้ทำให้ทะนงตน สิ่งที่เสริมสร้างคือความรัก ถ้าผู้ใดคิดว่าตนมีความรู้เรื่องใด ๆ เขายังไม่รู้เท่าที่ควร แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า พระองค์ก็ทรงรู้จักผู้นั้น เรื่องการกินเนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพแล้วนั้น เราก็รู้แล้วว่า รูปเคารพเป็นเพียงรูป และไม่มีพระอื่นใดนอกจากพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว แม้จะมีสิ่งที่เรียกกันว่าพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน พระเจ้าและเจ้านายเช่นนี้มีอยู่มากมาย แต่สำหรับเราพระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดา สรรพสิ่งมาจากพระองค์ เราเป็นอยู่เพื่อพระองค์ และมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ สรรพสิ่งเป็นมาโดยทางพระองค์ เราก็เป็นมาโดยทางพระองค์ด้วย

ทุกคนมิใช่มีความรู้เช่นนี้ บางคนนับถือรูปเคารพจนถึงบัดนี้ เมื่อกินเนื้อก็คิดว่าเนื้อเป็นของถวายแด่รูปเคารพจริง ๆ เพราะมโนธรรมของเขายังอ่อนไหวจึงเป็นกังวล

ดังนั้น ความรู้ของท่านทำให้ผู้อ่อนไหวประสบหายนะ เขาเป็นพี่น้องซึ่งพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเขา ถ้าท่านทำบาปต่อพี่น้องและทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนไหวของเขา ท่านก็ย่อมทำบาปต่อพระคริสตเจ้า ดังนั้น ถ้าอาหารเป็นเหตุให้พี่น้องของข้าพเจ้าตกในบาป ข้าพเจ้าก็จะไม่กินเนื้ออีกเลย ด้วยเกรงว่าข้าพเจ้าจะเป็นเหตุให้พี่น้องตกในบาป

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 6:27-38

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย

ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนแล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย

จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”

ข้อคิด

“จงรักศัตรู ทำดีต่อผู้ที่เกลียดชั่งท่าน อวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน....” คำสอนของพระองค์เหล่านี้ฟังยากจริงๆ ดูเหมือนพระองค์สอนให้ยอม ยอม และก็ยอมเสมอ คำถามคือว่าทำไมต้องเป็นเช่นนี้ คำตอบคือเพราะเราคือบุตรของพระเจ้า เพราะบุตรของพระเจ้าต้องกระทำความดี และประการหนึ่งที่สำคัญคือการไม่ตอบโต้คนชั่ว ต้องมีมาตรฐานสูงมากในการดำเนินชีวิต และมาตรฐานสูงนี้คืออะไร คือตอบคือเพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราต้องดำเนินชีวิตตามกระแสของพระเจ้า ไม่ใช่กระแสโลก โดยสาระสำคัญที่สุดคือ “ความเมตตากรุณา” ที่เราคริสตชนต้องมี ต้องเป็น ดังที่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา นี่คือ มาตรฐานชีวิตคริสตชนที่ศรัทธาในพระเยซูเจ้าเสมอไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:37 pm

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2012
ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน


บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี กดว 21:4-9

ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกก เพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทางประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากประเทศอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้เล่า ที่นี่ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว”

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำบาปเพราะบ่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเสียเถิด”

โมเสสจึงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อประชากร แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำงูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ที่ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี ฟป 2:6-11

แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเราทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้า พระบิดา

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:13-17

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้นเพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดรพระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดรเพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลกแต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น”

ข้อคิด

“วันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน” ทำไมคริสตชนจึงเทิดทูนไม้กางเขนหนอ ไม้กางเขนเครื่องหมายแห่งความตายและการประหารชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่คริสตชนเทิดทูนได้อย่างไร เคยมีคนถามพ่อว่าทำไม่คริสตชนกราบไว้ศพคนตายบนกางเขนเล่า พ่อตอบว่าเข้าใจผิดกระมัง เราคริสตชนไม่เคยกราบไหว้หรือบูชาศพคนตายอย่างที่กล่าว แต่เรากราบไว้ความรัก เราบูชาความรัก ที่พระเจ้าทรงรักเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทรงรักเราถึงกับยอมมาตายเพื่อเรา ยอมรับแม้ความตายที่ต่ำต้อยที่สุด เราเชื่อในพระองค์ เราเชื่อในความรักของพระองค์ที่ทรงรักเราต่างหาก กางเขน เครื่องหมายแห่งความรักสูงสุดสำหรับคริสตชน ไม่ใช่เครื่องหมายแห่งความตายอีกต่อไป เราเทิดทูนกษัตริย์ที่บัลลังก์ของพระองค์คืนบนไม้กางเขน พระองค์ประทับบนกางเขน ด้วยความรักอย่างที่สุดสำหรับเรา เราบูชาความรักไม่ใช่ความตาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:37 pm

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน 2012
ระลึกถึงแม่พระมหาทุกข์


บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 5:7-9

ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูลขอคร่ำครวญและร่ำไห้ต่อพระเจ้าผู้ทรงช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้ พระเจ้าทรงสดับเพราะความเคารพยำเกรงของพระเยซูเจ้า ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 19:25-27

เวลานั้น พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงjยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนาง มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน

ข้อคิด

“ระลึกถึงแม่พระมหาทุกข์” ภาพลักษณ์ของพระแม่มารีย์ในพระคัมภีร์นั้น ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้าพระบุตร พระเจ้าองค์ความรักที่ทรงรักเราจนถึงความตายบนกางเขน เป็นความรักยิ่งใหญ่ที่สุด แน่นอน พระแม่มารีย์ผู้ยืนอยู่เคียงข้างกางขนของพระบุตร กลายเป็นเครื่องหมายเตือนศรัทธาของเราคริสตชน พระแม่ทรงร่วมในความทุกข์และความตายของพระบุตร พระแม่ได้สัมผัสกับความรักที่สุดของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนนั้น เราคริสตชนสามารถเลียนแบบพระแม่ คือสัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงความตายเพราะทรงรักเราถึงเพียงนี้ เราจึงต้องยืนใกล้ชิดกางเขนเสมอเหมือนพระแม่ ในใจความที่ว่า เราต้องมีชีวิตใกล้ชิดกับความรักของพระคริสตเจ้าบนกางเขนนี้เสมอไปเช่นกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:42 pm

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:5-9ก

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและถ่มน้ำลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำหน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ทรงแก้ต่างให้ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้นเผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าเล่า

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบ ยก 2:14-18

พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์อันใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ? ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ? ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่ม และไม่มีอาหารประจำวัน แล้วท่านคนหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” แต่มิได้ให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์อันใดเล่า? ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว

แต่บางคนจะกล่าวว่า ท่านมีความเชื่อ ข้าพเจ้ามีการกระทำ จงแสดงความเชื่อที่ไม่มีการกระทำของท่านให้ข้าพเจ้าเห็นเถิด! แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าให้ท่านเห็นด้วยการกระทำ

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 8:27-35

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปตามหมู่บ้านต่างๆในบริเวณเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป ขณะทรงพระดำเนิน พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า ‘คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร?’ เขาทูลตอบว่า ‘บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง’ พระองค์ตรัสถามอีกว่า ‘ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร?’ เปโตรทูลตอบว่า ‘พระองค์คือพระคริสตเจ้า’ พระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด

พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมา จะกลับคืนชีพ พระองค์ทรงประกาศพระวาจานี้อย่างเปิดเผย เปโตรได้นำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทาน แต่พระเยซูเจ้าทรงหันไปมองบรรดาศิษย์ ทรงตำหนิเปโตรว่า ‘เจ้าซาตาน! ไปให้พ้น เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์’

พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามา แล้วตรัสว่า ‘ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้

ข้อคิด

ทุกวันของชีวิตคือกางเขน และภาระ แต่ในขณะเดียวกันก็คือการมุ่งหน้าไปหาพระเจ้า ความสุข ความหวังและความสำเร็จ บางคนจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงช่วยเหลือ แต่บางคนอาจไม่เชื่อ เพราะไม่ได้เห็น ไม่ได้สัมผัส บทพิสูจน์จะอยู่ที่มนุษย์ หรือพระเจ้า พระเจ้าผู้เงียบงัน ไม่ตอบรับอันใด กับมนุษย์ที่ยังสวดภาวนา เดินหน้าต่อไป และวิงวอนด้วยความหวัง ไม่แปลกกับคำถามว่าพระเยซูเป็นใคร เพราะคำตอบจะเป็นบทสรุปของทุกวันที่ยังเชื่ออยู่ หรือถอยห่างจากพระออกไปทุกที
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:42 pm

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2012
น.โรเบิร์ต แบลลามีโน พระสังฆราชและนักปราชญ์


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 11:17-26

พี่น้อง ขณะที่ข้าพเจ้าให้คำแนะนำนี้ ข้าพเจ้าชมเชยท่านไม่ได้ เพราะการชุมนุมของท่านนั้นมีผลร้ายมากกว่าผลดี ก่อนอื่น ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อท่านทั้งหลายมาร่วมชุมนุมกันนั้น มีการแตกแยก และข้าพเจ้าก็เชื่อเรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะท่านต้องมีความขัดแย้งกันบ้าง เพื่อคนดีจริงจะได้ปรากฏเด่นชัดในหมู่ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านมาชุมนุมพร้อมกันนี้ มิได้เป็นการกินเลี้ยงอาหารค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะขณะที่กิน แต่ละคนก็รีบกินอาหารของตนก่อนคนอื่น บางคนยังหิวอยู่ แต่อีกคนหนึ่งเมามายไปแล้ว ท่านไม่มีบ้านของตนเองสำหรับกินและดื่มหรือ หรือท่านดูหมิ่นการชุมนุมของพระเจ้า ทำให้คนยากจนต้องอับอาย ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านอย่างไรดี จะชมเชยท่านหรือ ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ชมเชยท่าน

ข้าพเจ้าได้รับสิ่งใดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิ่งนั้นต่อให้ท่าน คือในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารค่ำ ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ทุกครั้งที่ท่านกินปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 7:1-10

เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจบแล้ว พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม ผู้รับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้จะตาย นายรักเขามาก เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงส่งผู้อาวุโสบางคนของชาวยิวมาอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปช่วยชีวิตของผู้รับใช้ คนเหล่านั้นมาเฝ้าพระเยซูเจ้า อ้อนวอนรบเร้าพระองค์ว่า
“นายร้อยผู้นี้สมควรที่ท่านจะช่วยเหลือ เพราะเขารักชนชาติของเราและได้สร้างศาลาธรรมให้เรา”

พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับคนเหล่านั้น เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้าน นายร้อยใช้เพื่อนบางคนไปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์ แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าบอกคนหนึ่งว่า “ไป” เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า “มา” เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกผู้รับใช้ว่า “ทำสิ่งนี้” เขาก็ทำ’ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทรงประหลาดพระทัย ทรงหันพระพักตร์ไปยังประชาชนที่ติดตามพระองค์ตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย” เมื่อเพื่อนที่ถูกใช้มากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าผู้รับใช้ผู้นั้นหายเป็นปกติแล้ว

ข้อคิด

“คนดี” คือใคร คือคนที่เก่ง และชื่นชมในความสามารถของตน ไม่เคยยอมหรือก้มหัวให้กับใคร หรือคนดีคือคนสุภาพ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งเล็กเท่านั้น ร่ำรวยล้นฟ้า ก็ทราบดีว่ามาจากใคร คนดีคือคนที่ให้ส่วนที่ตัวเองไม่ได้ใช้ มีมากเกินไป จึงนำไปบริจาค หรือให้ชีวิต อุทิศตน ไม่เลือกชนชั้น ฐานะ เพราะแท้จริงแล้ว เราล้วนคือมนุษย์เท่าเทียม คนดีจึงคือใครคนนั้น ที่เชื่อแน่ว่า เขาเห็นพระเป็นเจ้าในเพื่อนมนุษย์ทุกคนเท่าเทียม
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:42 pm

วันอังคารที่ 18 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:12-14,27-31ก

พี่น้อง แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือไทยก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน

ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในพระศาสนจักร คือ หนึ่งให้เป็นอัครสาวก สองให้เป็นประกาศก และสามให้เป็นครูอาจารย์ ต่อจากนั้น คือผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ ผู้รักษาโรค ผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง และผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ทุกคนเป็นอัครสาวกหรือ ทุกคนเป็นประกาศกหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือ ทุกคนบำบัดโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจหรือ ทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 7:11-17

หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มาพร้อมกับนางด้วย เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย” แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหมู่เรา พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์” และข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น

ข้อคิด

แสวงหาพระพรพิเศษ ไม่ใช่แสวงหาของวิเศษ ไม่ใช่แสวงหาความพิเศษ คนเราอยากเป็นคนพิเศษ อยากมีของวิเศษ แต่พระพรพิเศษคืออะไร? พระพรพิเศษคือ ของวิเศษจากพระเจ้า ที่เราแต่ละคนมี แม้คนที่รู้สึกว่า ฉันทำอะไรไม่เป็นและไม่เก่งเลย บางทีพระพรพิเศษคือ การเป็นผู้ที่สงบที่สุข ในวันที่อึกทึกที่สุด การเป็นคนที่สองเสมอ เพื่อให้มีคนที่หนึ่ง การเป็นคนที่คนอยากพบหา พูดคุยที่สุดแม้จะชวนคุยไม่สนุก พระพรพิเศษคือชีวิตที่พระได้มอบให้กับเรา พระพรพิเศษคือทุกวันเมื่อเราเริ่มคิดในใจได้ว่า วันนี้เราจะทำชีวิตเพื่อคนอื่น พระพรพิเศษก็เผยแสดงตนทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:43 pm

วันพุธที่19 กันยายน 2012
น.ยานูอารีโอ พระสังฆราชและมรณสักขี


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:31-13:1-13

พี่น้อง ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอชี้ทางที่ดีกว่าให้ท่าน
แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นำไปเผาไฟเสีย ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด

ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง

ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็ก ๆ คิดเหมือนเด็ก ๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก ในเวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงราง ๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า

ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 7:31-35

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า“เราจะเปรียบคนยุคนี้กับสิ่งใดดี เขาเหมือนกับสิ่งใด เขาเป็นเสมือนเด็ก ๆ ที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้องบอกเพื่อน ๆ ว่าเราเป่าขลุ่ย เจ้าก็ไม่เต้นรำเราร้องเพลงโศกเศร้า เจ้าก็ไม่ร้องไห้

ยอห์นผู้ทำพิธีล้างมา ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ท่านก็ว่า “คนนี้มีปีศาจสิง” บุตรแห่งมนุษย์มา กินและดื่ม ท่านก็ว่า “ดูซิ นักกินนักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระปรีชาญาณของพระเจ้าผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยผู้ปฏิบัติตามพระปรีชาญาณนั้น”

ข้อคิด

“ความรัก” คนรัก และเรื่องราวของความรัก เราพูดคำว่า “รัก” ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และเราได้รับคำว่า “รัก” จากใครครั้งสุดท้าย ความรักเคลื่อนโลกให้หมุนไป ในขณะที่ความรักก็หยุดโลกไว้กับคนสองคน ความรักสอนและโบยตีเรา ให้และเอาไปจากเรา แต่ความรักที่สวยสดงดงาม หาใช่ความรักที่ต้องการการตอบแทน เท่าเทียมและเสมอกัน ความรักในแบบพระเยซูเจ้า จึงเป็นความรักที่ลึกซึ้ง งดงาม และอมตะ รักบนกางเขน รักแม้ศัตรู และพิสูจน์ให้เราเห็นว่า รักไม่มีวันสิ้นสุด แม้พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:44 pm

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2012
ระลึกถึง น.อันดรูว์ กิม เตก็อน พระสงฆ์
น.เปาโล จง ฮาซัง และเพื่อนมรณสักขีชาวเกาหลี


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:31ข-35,37-39

พี่น้อง ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้ พระองค์มิได้ทรงหวงแหนพระบุตรของพระองค์ แต่ทรงมอบพระบุตรเพื่อเราทุกคน แล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราพร้อมกับองค์พระบุตรหรือ ใครเล่าจะฟ้องร้องผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วได้ พระเจ้าประทานความชอบธรรม ใครเล่าจะตัดสินลงโทษ พระคริสตเยซูสิ้นพระชนม์ ทั้งยังทรงกลับคืนพระชนมชีพ ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ทรงวอนขอแทนเราอีกด้วย ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความทุกข์ลำเค็ญหรือ ความคับแค้นใจหรือ การเบียดเบียนข่มเหงหรือ การขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่มหรือ ภยันตรายและคมดาบหรือ

แต่ในการทดลองทั้งหมดนี้ เราชนะได้ง่ายอาศัยพระผู้ทรงรักเรา เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใดหรือความสูง ความลึก ไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ จะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 9:23-26

หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเราและเพราะถ้อยคำของเรา บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขา เมื่อเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ของพระบิดา และของบรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์”


ข้อคิด

จะไม่ให้นึกถึงตนเองเลยคงทำไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงคนอื่น เราก็พบว่าเราต้องการอะไร
ประโยคคลาสสิกหนึ่งในหลายประโยคที่พูดเมื่อไหร่เราคริสตชนก็ต่อได้ทันที “จะมีประโยชน์อะไรที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป” แต่บางคนกลับเลือกโลกแค่มุมเดียว จะใช่ทั้งโลกก็ไม่ อาจจะได้แค่เพียงโลกส่วนตัวและความรู้สึกสุขสบายชั่วลมหายใจผ่าน
คริสตชนจึงเลือกกางเขน การช่วยเหลือและแบ่งปันกับผู้อื่น เพราะชัดเจนว่า พระเยซูเจ้าแบกทั้งโลกและกางเขน โลกคือชีวิตทุกชีวิตที่ดำเนินไป ส่วนกางเขนนั้นคือเครื่องหมายแห่งความไม่เห็นแก่ตน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:44 pm

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2012
ฉลองนักบุญมัทธิว อัครสาวก และผู้นิพนธ์พระวรสาร


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 4:1-7,11-13

พี่น้อง ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า วอนขอท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และสถิตอยู่ในทุกคน

เราแต่ละคนได้รับพระหรรษทานตามสัดส่วนที่พระคริสตเจ้าประทานให้ คือ พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับงานรับใช้เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 9:9-13

ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไปขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า”

พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

ข้อคิด

ถ้าพระองค์มาเพื่อเรียกคนบาป เราคงถูกเรียกทุกวัน มัทธิวคนเก็บภาษี กับ มัทธิวอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่คนละคนกัน แต่เมื่อพระองค์เรียกเขา พระองค์ไม่ได้เรียกให้ติดตามพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังเรียกให้ละทิ้งสิ่งที่ทำให้การติดตามพระองค์ไปเป็นอุปสรรค
พระเยซูเจ้าย้ำและชัดเจนเสมอว่า พระองค์มาเรียกคนบาป คนที่อ่อนแอบกพร่อง เรียกให้เขาเป็นคนดี ปรับปรุงตนเอง และติดตามพระองค์ไป ในความบาป ในความอ่อนแอ แต่ติดตามทุกวันและรู้ตัว เพื่อเปลี่ยนจากความอ่อนแอในชีวิต เป็นความแข็งแกร่งในความเชื่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:45 pm

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:35-37,42-49

พี่น้อง บางคนอาจถามว่า คนตายจะกลับคืนชีพได้อย่างไร เขาจะกลับมีร่างกายแบบใด ช่างโง่จริง เมล็ดที่ท่านหว่านลงไปนั้นจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างไรถ้าไม่ตายเสียก่อน เมล็ดข้าวสาลีหรือเมล็ดพืชอย่างอื่นที่ท่านหว่านลงไปนั้นเป็นเพียงเมล็ดมิใช่ลำต้นที่จะงอกขึ้น

การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก สิ่งที่หว่านลงไปนั้นไม่มีเกียรติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีความรุ่งเรือง สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต

ถ้ามีร่างกายตามธรรมชาติ ก็มีร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิตด้วย ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า อาดัม มนุษย์คนแรกถูกสร้างขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิต อาดัมคนสุดท้ายเป็นจิตซึ่งประทานชีวิต สิ่งที่มาก่อนมิใช่กายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต แต่เป็นกายตามธรรมชาติ ภายหลังจึงเป็นกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต มนุษย์คนแรกมาจากดิน เป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ มนุษย์ดินคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินคนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์คนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น เราเกิดมามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลกฉันใด เราก็จะมีลักษณะเหมือนคนจากสวรรค์ฉันนั้น

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 8:4-15

ขณะนั้น ประชาชนจำนวนมากเดินทางจากเมืองต่าง ๆ มาเฝ้าพระเยซูเจ้าและชุมนุมกัน พระองค์จึงทรงกล่าวเป็นอุปมาว่า“ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่กำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน จึงถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศจิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนหิน พองอกขึ้นมาก็เหี่ยวแห้งเพราะขาดความชุ่มชื้น บางเมล็ดตกกลางกอหนาม ต้นหนามที่งอกขึ้นพร้อมกันก็คลุมไว้จนตาย บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้นและเกิดผลร้อยเท่า” พระองค์ตรัสดังนี้แล้วทรงเปล่งเสียงดังว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”

บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า อุปมาเรื่องนี้มีความหมายว่าอย่างไร พระองค์จึงตรัสว่า “พระเจ้าโปรดให้ท่านรู้ธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างชัดเจน แต่สำหรับคนอื่นพระองค์โปรดให้รู้เป็นอุปมาเท่านั้น เพื่อว่า เขาจะมองแล้วมองอีก แต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังอีก แต่ไม่เข้าใจ อุปมามีความหมายดังนี้ เมล็ดพืชคือพระวาจาของพระเจ้า เมล็ดที่ตกริมทางเดิน หมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา ต่อจากนั้น ปีศาจก็มาช่วงชิงพระวาจาออกไปจากใจของเขา มิให้เขามีความเชื่อและรอดพ้น เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ฟังแล้วรับพระวาจาไว้ด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เขามีความเชื่ออยู่เพียงชั่วระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาถูกทดลอง เขาก็เลิกเชื่อ เมล็ดที่ตกในกอหนาม หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วปล่อยให้ความกังวลถึงทรัพย์สมบัติและความสนุกของชีวิตมาบีบรัด จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่ตกในที่ดินดีหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาด้วยใจดีเลิศ ยึดพระวาจาไว้ด้วยความพากเพียรจนเกิดผล”

ข้อคิด

เพื่อจะได้บางอย่างจำเป็นต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง ไม่มีการได้มาซึ่งปราศจากการสูญเสีย เมล็ดที่เน่าเปื่อยและตายไปย่อมทราบดีว่า เขาจะให้เมล็ดพันธุ์ใหม่และต้นไม้ที่เติบโตหยั่งรากลึก

ถ้าไม่ยอมเจ็บและสูญเสียไหนเลยจะได้มาซึ่งพละกำลัง ถ้าไม่ยอมออกเดินทางไหนเลยจะได้ระยะลี้ที่ก้าวย่างเพื่อเก็บเป็นประสบการณ์ชีวิต ถ้ามีหูไหนเลยจะไม่เลือกที่จะทั้งฟังและได้ยินด้วย ถ้าไม่มีปากไหนเลยจะไม่เลือกที่จะพูด ตระหนักและคิดเสียก่อน ถ้าไม่มีตาไหนเลยจะไม่เลือกที่จะมองแต่ต้องเห็นด้วย

เรื่องที่ลึกสุดลึก ไม่ใช่เพียงผ่านเลย แต่ลุ่มลึกในความเข้าใจ บางทีเราจึงต้องสร้างพื้นที่แห่งดินดีของชีวิตให้พร้อมที่สุด เพื่อเปิดรับพระวาจา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:45 pm

วันอังคารที่ 25 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือสุภาษิต สภษ 21:1-6,10-13

พระทัยของกษัตริย์เป็นเหมือนธารน้ำในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ พระเจ้าจะทรงผันไปทางไหนก็ได้ตามพระประสงค์ มนุษย์เห็นว่ากิจการทั้งหมดของตนถูกต้อง แต่ผู้ชั่งจิตใจคือพระยาห์เวห์ การปฏิบัติความชอบธรรมและความยุติธรรม เป็นที่โปรดปรานของพระยาห์เวห์มากกว่าการถวายเครื่องบูชา ดวงตายโส ใจเย่อหยิ่ง เป็นเหมือนตะเกียงของคนชั่วร้าย และเป็นบาป แผนงานของคนขยันนำความอุดมสมบูรณ์มาให้อย่างแน่นอน แต่ความรีบเร่งเกินไปนำความขัดสนมาให้ ทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากการพูดมุสา เป็นเหมือนความเพ้อฝันของผู้แสวงหาความตาย วิญญาณของคนชั่วร้ายปรารถนาความชั่ว ดวงตาของเขาไม่มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนบ้าน เมื่อคนชอบเยาะเย้ยถูกลงโทษ คนขาดสติก็ฉลาดขึ้น เมื่อผู้มีปรีชาได้รับการสั่งสอน เขาก็ได้ความรู้มากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรมทรงสังเกตบ้านของคนชั่วร้าย และทรงเหวี่ยงคนชั่วร้ายให้พินาศ ผู้ใดอุดหูไม่ฟังเสียงร้องของคนยากจน เมื่อผู้นั้นร้องก็จะไม่มีผู้ใดฟังเขา

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 8:19-21

เวลานั้น พระมารดาและพี่น้องของพระเยซูเจ้ามาเฝ้าพระองค์ แต่ไม่อาจเข้าถึงพระองค์ได้ เพราะมีประชาชนจำนวนมาก มีผู้ทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอก ต้องการพบท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มารดาและพี่น้องของเราคือผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ”

ข้อคิด

ในชีวิตของเรามีคนบางคนแค่คนเดียว แม่และพ่อ แม่ผู้ให้กำเนิด และพ่อผู้สอนทางเดินให้กับชีวิต เราเรียกความครบครันและพร้อมเพรียงของท่านทั้งสองรวมเราไปด้วยว่า “ครอบครัว”

ครอบครัวจึงครอบคลุมบ้านชีวิตไว้ เป็นบ้านหลังแรกที่เป็นรากฐานของทุกอย่าง บ้านและครอบครัวจึงมีชีวิตและดำเนอนไป ให้กำลังใจและเคียงข้างคน

วันที่เราเลือกจะนำพระวาจาและคำสั่งสอนของพระไปใช้ในชีวิต เมื่อนั้นเราก็ถูกนับญาติเป็นพี่และน้องของพระเยซูคริสตเจ้า โชคดีคือไม่ใช่เรานับญาติกับพระ แต่พระนับเราให้เป็นคนในครอบครัว เราเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันทันที เมื่อเรานำทุกคำที่ออกมาจากพระคริสตเจ้าไปดำเนินชีวิต ถ้าคิดล่ะง่าย แต่จะทำได้หรือเปล่านี่ต้องคิดอีกที
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:45 pm

วันพุธที่ 26 กันยายน 2012
น.คอสมา และ น.ดาเมียน มรณสักขี


บทอ่านจากหนังสือสุภาษิต สภษ 30:5-9

พระวาจาทุกคำของพระเจ้านั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงเป็นโล่สำหรับผู้ลี้ภัยในพระองค์ อย่าเพิ่มสิ่งใดเข้ากับพระวาจาของพระองค์ มิฉะนั้นพระองค์จะทรงตำหนิท่าน และพิสูจน์ว่าท่านเป็นคนมุสา ข้าพเจ้าทูลขอสองสิ่งจากพระองค์ ตราบที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ โปรดอย่าทรงปฏิเสธคำขอนี้เลย ขอให้ความมุสาและถ้อยคำเท็จอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า อย่าประทานความยากจนหรือความร่ำรวยแก่ข้าพเจ้าเลย แต่โปรดประทานอาหารเท่าที่จำเป็นแก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าถ้าข้าพเจ้าอิ่ม ข้าพเจ้าจะปฏิเสธพระองค์ พูดว่า “พระยาห์เวห์เป็นใครกัน”หรือเพื่อว่าถ้าข้าพเจ้ายากจน แล้วจะไปขโมย กระทำให้พระนามพระเจ้าของข้าพเจ้าถูกลบหลู่


พระวรสารนักบุญลูกา ลก 9:1-6

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพร้อมกัน ประทานอำนาจเหนือปีศาจ และพลังรักษาโรค ทรงส่งเขาไปประกาศพระอาณาจักรพระเจ้าและรักษาโรค พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำสิ่งใดไปด้วย อย่านำไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำรองไปด้วย เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเดินทางต่อไป ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา” บรรดาอัครสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวดีและรักษาโรคไปทั่วทุกแห่ง


ข้อคิด

น่าสังเกตว่าหลังจากเรียกอัครสาวกเพื่อให้พวกเขาไปแพร่พระธรรม สิ่งแรกที่ทำคือประทานอำนาจเหนือปีศาจ น่าสังเกตต่อไปอีกว่า ตกลงปีศาจมีจริง และถ้าเราไม่พยายามมีอำนาจเหนือมันทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น มันอาจจะมีอำนาจเหนือเรา ลำพังพละกำลังของมนุษย์คงเอาไม่อยู่ อำนาจเหนือปีศาจเหล่านี้มาจากพระองค์ทั้งสิ้น

เพื่อร่วมงานกับพระเยซูเจ้า บนโลกและบนชีวิตของเรานี้ จึงเหมือนต้องทำใจไว้ก่อนเลย ต่อไปนี้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ความสุขแบบเบ็ดเสร็จนะสิ มันคือความมั่นใจ ภาระ และความยากลำบากที่จะพบเจอ แต่ทั้งหลายกลับเป็นบทพิสูจน์ว่า เราไม่ได้เดินและยืนอยู่ลำพัง

ให้ความมั่นใจว่า ทุก ๆ เวลาแห่งชีวิตมีพระอยู่กับเรา และทุก ๆ อุปสรรคหาใช่หนทางที่จะไม่พาเราไปสู่หลักชัยไม่ เงื่อนไขคือ เราสามารถผ่านทุกด่านได้หรือเปล่า ด่านแรกคือด่านที่ชื่อว่า หัวใจตัวเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:46 pm

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2012
ระลึกถึง น.วินเซนต์ เดอ ปอล พระสงฆ์


บทอ่านจากหนังสือปัญญาจารย์ ปญจ 1:2-11

ปัญญาจารย์พูดว่า ไม่เที่ยงแท้ที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ มีประโยชน์อะไรที่มนุษย์ทำงาน ลำบากตรากตรำอยู่กลางแดด คนชั่วอายุหนึ่งล่วงไป คนอีกชั่วอายุหนึ่งก็มา แต่แผ่นดินยังคงอยู่เหมือนเดิมเสมอ ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก แล้วรีบไปยังที่ซึ่งจะขึ้นมาอีก ลมพัดไปทางใต้ แล้วพัดกลับมาทางเหนือ ลมพัดหมุนเวียนไปมา พัดกลับมาและหมุนเวียนอยู่เช่นนั้น แม่น้ำทั้งหลายไหลลงสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่น้ำยังไหลต่อไปจากต้นน้ำ ทุกสิ่งน่าเบื่อหน่าย ไม่มีผู้ใดอธิบายเหตุผลได้ นัยน์ตาดูไม่อิ่ม หูก็ฟังไม่พอ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็จะเกิดขึ้นอีก สิ่งที่เคยทำแล้วก็จะทำอีก ไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ มีสิ่งใดบ้างที่จะพูดได้ว่า “ดูซิ สิ่งนี้ใหม่” สิ่งนั้นเคยมีอยู่นานมาแล้วก่อนที่เราจะเกิด ไม่มีใครจดจำสิ่งต่าง ๆ ในอดีต แม้สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะถูกลืมจากผู้ที่จะมาในภายหลังด้วย

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 9:7-9

เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ทรงรู้สึกสับสน เพราะบางคนพูดว่ายอห์นได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บางคนพูดว่าประกาศกเอลียาห์ได้ปรากฏแล้ว บางคนว่าประกาศกในอดีตคนหนึ่งได้กลับคืนชีพ แต่กษัตริย์เฮโรดตรัสว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว คนที่เราได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นใครเล่า” กษัตริย์เฮโรดจึงทรงหาโอกาสจะพบพระองค์

ข้อคิด

ถ้าเราเล่นไล่ล่าความดี หาวิธีขจัด ทำลายและทำร้ายมัน เราก็สุมกองไฟแห่งความวิตกกังวลไม่สุดสิ้น เหมือนกษัตริย์เฮโรด กษัตริย์เฮโรดมีทุกอย่าง เหนือกว่าทุกคน อำนาจ เงิน ค่าราชบริพาร ความรู้ ความสามารถ ชื่อเสียง การยอมรับ ฯลฯ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยมีเลย คือความมั่นใจว่าเขามีทุกสิ่งแล้ว รวมทั้งหัวใจที่โบ๋กลวงว่างเปล่า บวกกับวันเวลาที่กลืนกินทุกอย่างด้วยแล้ว กษัตริย์เฮโรดจึงต้องทำลายล้างทุกคนที่เพียงแต่ได้กลิ่น หรือสัมผัสได้ว่าจะทำให้บัลลังก์ของเขาสั่นคลอน
ทารกผู้วิมลเขาก็ฆ่าตายหมดแล้ว ยอห์นเขาก็สั่งให้ตัดศีรษะแล้ว ยังจะเหลือใครอีกที่ทำให้ความมั่นคงของเขาสั่นสะเทือน ถ้าชีวิตของเราเป็นแบบกษัตริย์เฮโรด ความมั่นคงของเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจหรือสิ่งที่มีรอบตัว
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:47 pm

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2012
น.เวนแชสเลาส์ มรณสักขี


บทอ่านจากหนังสือปัญญาจารย์ ปญจ 3:1-11

มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง มีเวลาสำหรับกิจการต่าง ๆ ภายใต้ท้องฟ้ามีเวลาเกิด และเวลาตาย เวลาปลูก และเวลาถอนสิ่งที่ปลูก เวลาฆ่า และเวลารักษาให้หาย เวลารื้อทำลาย และเวลาก่อสร้าง เวลาร้องไห้ และเวลาหัวเราะ เวลาไว้ทุกข์ และเวลาเต้นรำ เวลาโยนก้อนหินทิ้ง และเวลาเก็บรวบรวมก้อนหิน เวลาสวมกอด และเวลาละเว้นการสวมกอด เวลาแสวงหา และเวลาสูญเสีย เวลาเก็บรักษา และเวลาโยนทิ้ง เวลาฉีก และเวลาเย็บ เวลานิ่งเงียบ และเวลาพูด เวลารัก และเวลาเกลียด เวลาทำสงคราม และเวลาสันติ

คนงานได้ประโยชน์ใดจากงานยากลำบากของตน ข้าพเจ้าเห็นงานยากลำบากที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์มีงานทำ พระองค์ทรงกระทำให้ทุกสิ่งงดงามตามเวลา แต่ทรงใส่ความสำนึกถึงเวลาที่ผ่านไปไว้ในใจของมนุษย์ ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่เข้าใจจุดเริ่มต้นและการสิ้นสุดของกิจการที่พระเจ้าทรงกระทำ


พระวรสารนักบุญลูกา ลก 9:18-22

วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่เพียงพระองค์เดียว บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้า พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นเอลียาห์ บ้างว่าเป็นประกาศกในอดีตคนหนึ่งซึ่งกลับคืนชีพ” พระเยซูเจ้าตรัสถามเขาว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ของพระเจ้า” พระองค์จึงทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้พูดเรื่องนี้แก่ผู้ใด
พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”

ข้อคิด

“เขาว่าเราเป็นใคร” แล้ว “เราว่าเราเป็นใคร”ชายคนหนึ่งในครอบครัวอาจจะเป็นพ่อบ้านที่ดี เวลาทำงานอาจจะเป็นเจ้านายที่น่ารัก เขาอาจจะมีลูกและเป็นลูกของชายชราและหญิงอาวุโส หญิงคนหนึ่งในครอบครัวอาจจะเป็นแม่บ้านที่ดี เวลาทำงานอาจจะเป็นเจ้านายที่ละเอียดรอบคอบ เขาอาจจะมีลูกและเป็นลูกของชายชราและหญิงอาวุโส

แต่เราทุกคนเป็นคน เป็นมนุษย์ และในความเชื่อเราคือลูกของพระ ไม่มีช่องไหนในบัตรประชาชนเพื่อกรอกว่าเราเป็นลูกของพระ ในมุมศาสนาเล็ก ๆ ที่เราอาจจะกรอกแบบเต็มใจ หรือไม่เต็มใจ แต่เมื่อเรากำเนิดและรับศีลล้างบาป เมื่อนั้นสิทธิ์แห่งการเป็นลูกของพระก็เริ่มขึ้น คุณมีสิทธิ์นั้น คุณใช้สิทธิ์นั้น....?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:47 pm

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน 2012
ฉลองอัครเทวดามีคาเอล คาเบรียล และราฟาเอล


บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 12:7-12

สงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับเหล่าทูตสวรรค์ของเขาต่อสู้กับมังกร มังกรพร้อมกับบริวารของมันก็ต่อสู้ด้วย แต่มันพ่ายแพ้และไม่มีที่พำนักในสวรรค์อีกต่อไป มังกรใหญ่ คืองูดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่าปีศาจและซาตาน ผู้ล่อลวงผู้อาศัยอยู่ทั่วแผ่นดินให้หลงไป ถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน บริวารของมันก็ถูกโยนลงมาด้วย ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ เพราะผู้กล่าวหาบรรดาพี่น้องของเรา คือผู้ที่กล่าวหาเขาทั้งกลางวันกลางคืนเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าของเราก็ถูกโยนลงไปแล้ว บรรดาพี่น้องของเราชนะผู้กล่าวหา เดชะพระโลหิตของลูกแกะและอาศัยคำพยานของตน เพราะเขาไม่หวงแหนชีวิตแม้เมื่อเผชิญความตาย ดังนั้น สวรรค์และท่านทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ จงชื่นชมเถิด


พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:47-51

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์”


ข้อคิด

“ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” เหตุการณ์นั้นที่พระเยซูเจ้าหมายถึงสำหรับนาธานาแอลคืออะไร? มากมายที่จะสาธยาย แต่ทราบได้ว่า มันก็เป็นเช่นนั้นจริง

เมื่อเราเริ่มรับความเชื่อ เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ก็ค่อย ๆ เริ่มขึ้นทีละเรื่อง จากจุดเล็ก ๆ สู่ความยิ่งใหญ่ จากคนไร้ค่า สู่การกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาของพระ จากมุมของโลกปกติที่พระอาทิตย์ขึ้นลง และสายลมยังบ่งบอกฤดูกาล สู่สายตาที่ทอดยาว และไกลสู่เบื้องสูง ต่อคำพูดที่ว่า มีการประทับอยู่ของพระ และทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย

เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นทุกวัน เมื่อเราเชื่อว่า พระยังสถิตอยู่กับเราบนโลกนี้และในชีวิตของเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.ย. 03, 2012 12:47 pm

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี กดว 11:25-29

องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในเมฆ ตรัสแก่โมเสส พระองค์ทรงเอาจิตส่วนหนึ่งที่อยู่ในโมเสสประทานให้ผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนเหล่านั้น เมื่อพระจิตลงมาเหนือเขาเหล่านั้นแล้ว เขาก็เริ่มพูดเหมือนประกาศก แล้วก็หยุดไป

ในบรรดาผู้อาวุโสเจ็ดสิบคน มีอยู่สองคนชื่อเอลดาดและเมดาด คงอยู่ในค่าย ไม่ได้ไปที่กระโจมนัดพบ พระจิตก็ลงมาเหนือเขาทั้งสองด้วย เขาเริ่มพูดเหมือนประกาศกอยู่ในค่าย ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งไปบอกโมเสส และรายงานให้รู้ว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังพูดเหมือนประกาศกอยู่ในค่าย” โยชูวาบุตรของนูน เป็นผู้ช่วยโมเสสมาตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่มก็กล่าวแก่โมเสสว่า “โมเสส เจ้านายจงห้ามเขาเถิด” โมเสสตอบว่า “ท่านอิจฉาแทนเราหรือ เราปรารถนาจะให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระจิตของพระองค์แก่ประชากรทั้งปวง และให้เขาทุกคนเป็นประกาศกด้วย”

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบ ยก 5:1-6

ท่านผู้มั่งมีทั้งหลาย! จงร้องไห้คร่ำครวญเพราะความน่าสมเพชกำลังจะมาถึงท่านอยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติของท่านเลื่อมสลาย เสื้อผ้าก็ถูกมอดกัดกินหมดแล้ว เงินทองของท่านก็เป็นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรักปรำท่าน มันจะกัดกินเนื้อของท่านประดุจไฟซึ่งท่านได้สะสมไว้สำหรับวันสุดท้าย ท่านได้คดโกงไม่จ่ายค่าจ้างของกรรมกรที่เก็บเกี่ยวในทุ่งนาของท่าน ค่าจ้างนี้กำลังร้อง และเสียงร้องของคนเก็บเกี่ยวได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าจอมโยธาแล้ว ท่านได้มีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยในโลกนี้ และกินเลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่านบำรุงบำเรอจิตใจของท่านไว้รอวันประหาร ท่านตัดสินลงโทษและฆ่าผู้ชอบธรรม เขาก็มิได้ขัดขืนท่าน


พระวรสารนักบุญมาระโก มก 9:38-43,45,47-48

เวลานั้น ยอห์นทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนหนึ่งที่ไม่ใช่พวกเราขับไล่ปิศาจเดชะพระนามของพระองค์ เราจึงได้พยายามห้ามปรามไว้ เพราะเขาไม่ใช่พวกเรา’ พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ‘อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครสามารถทำอัศจรรย์ในนามของเรา และต่อมาจะว่าร้ายเราทันทีได้ ผู้ใดที่ไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา”

ใครที่ให้น้ำท่านดื่มสักแก้วหนึ่งเพราะท่านเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาจะได้บำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน’

‘ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาๆที่มีความเชื่อเหล่านี้ทำบาป ถ้าเขาจะถูกผูกคอด้วยหินโม่ถ่วงในทะเลเสียก็ยังดีกว่ากระทำดังกล่าว ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีมือข้างเดียว ยังดีกว่ามีมือทั้งสองข้างแต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ

ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีขากะเผลก ยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ถูกโยนลงนรก ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า โดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงนรก ที่นั่นหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ

ข้อคิด

เมื่อชีวิตสอนชีวิตว่า มีวันจบสิ้น เราจึงเริ่มคิดถึงคำว่า “ปลายทาง”
ปลายทางไม่ใช่วันนี้แต่เริ่มขึ้นในทุกวัน เพราะปลายทางสอนให้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แม้สิ่งเล็กที่สุด ส่งน้ำให้ผู้หิวโหย เพียงแก้ว ทำดี และมอบความรัก แบ่งปันแม้ตนเองมีเพียงเล็กน้อย ฯลฯ ความดีจึงเริ่มขึ้นทุกวัน เมื่อคนเรามองไปที่ปลายทางทุกวัน
เราจะไปพบพระเป็นเจ้าด้วยอะไรที่มากไปกว่า หัวใจ และจิตวิญญาณของเรา
ตอบกลับโพส