ประชาชนเข้า ห้อมล้อม ร้องอื้ออึง ฟังไม่ได้ศัพท์ ฝ่ายปิลาตพอเห็นเรากลับมาอีก ก็รู้สึกอึดอัดใจ จะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่กล้า ครั้นประชาชนร้องขอให้ประหารหนักเข้าก็สั่งให้โบยเรา เพื่อระงับความบ้าเลือดของเขาเหล่านั้น
นี่แหละลักษณะของคน ที่ขาดความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไม่กล้าต่อสู้กับการประจญล่อลวง การปล่อยตัวตามโลก ตามความลำเอียงของตน หรือตามราคตัณหาเป็นความผิดก็รู้อยู่ แต่ฝืนตัวไม่ไหวเพราะไม่มีความเข้มแข็งพอ บางทีเรื่องเล็กนิดเดียวอารมณ์เดือดพล่าน หรือความพอใจหน่อยหนึ่งก็สู้ไม่ไหว หากจะใช้ความพยายามเอาชนะในเรื่องหนึ่งแล้วก็ชนะง่ายขึ้นในเรื่องอื่นต่อไป แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ต้องใช้ความพยายามมากกว่า ในทางกลับกัน ถ้าแม้เรื่องนี้ชนะไม่ได้ เรื่องต่อไปจะชนะได้อย่างไร ? เช่นการรักษาความสัตย์ต่อพระหรรษทาน การถือพระวินัย การละทิ้งสิ่งที่หล่อเลี้ยงตัณหาหรือนิสัยมิดี ก็จะมีแต่ความลังเลใจมิรูสิ้นสุด. บางครั้งเป็นการยอมครึ่งไม่ยอมครึ่ง ทั้งนี้เพื่อสงบเสียงติเตียนของมโนธรรมเสียบ้าง เช่นเมื่อจะพูดถึงความผิดของผู้อื่น (หมายถึงการนินทา มิใช่พูดด้วยความรัก หรือมีความห่วงใยในความประพฤติของพี่น้อง) ด้วยความริษยา หรือโดยนิสัยขณะนั้นด้วยความสว่างแห่งพระหรรษทาน กับ การติเตียนของมโนธรรมก็จะรู้ว่า การนินทาเป็นความผิดต่อความยุติธรรมและเป็นบาป แม้จะมีการต่อสู้กันพักหนึ่งในวิญญาณ เพราะว่าได้เคยปล่อยตัวมาแล้ว จิตใจมืดมัว การต่อสู้เพลาลง ที่สุดก็พูดจนได้ แต่พูดเพียงครึ่งข้อความที่อยากพูด อีกครึ่งหนึ่งทิ้งไว้ด้วยเหตุผลที่ว่า “จำเป็นต้องพูดสักคำสองคำให้คนอื่นรู้บ้าง” นี่แหละมนุษย์ ปล่อยให้เราถูกโบยทำนองเดียวกับบีลาโต ถ้าขืนปล่อยไว้ดังนี้ มิช้ามินานตัณหาจะกลายเป็นผู้บังคับบัญชา ตนเองจะเป็นผู้กระทำตามคำสั่งโดยตลอด
อนึ่งการที่จะดับตัณหาเพียงครึ่งหนึ่ง ไม่มีหวังจะดับได้เลย วันนี้เดินก้าวเดียว พรุ่งนี้จะเดินหลายก้าว ถ้าปล่อยตัวกระทำผิดในข้อเล็กน้อย เมื่อจะต้องต่อสู้กับการประจญหนักๆจะมิแพ้ราบหรือ?
วิญญาณที่รัก เขาพาเราไปทรมาน เราก็ยอมเขาเฆี่ยนตียับเยิน เราก็ยอม และยอมด้วยความอ่อนหวานเยี่ยงลูกแกะ ขอให้ใคร่ครวญ พวกเพชฌฆาตกระหายเลือด โบยตีเราด้วยแส้ ด้วยหวาย กายของเราฟกช้ำดำเขียวทั่วไป เนื้อหนังปลิวว่อนตามแส้ที่หวดลงมา เลือดไหลย้อยทั่วกาย แทบไม่เป็นร่างมนุษย์ เป็นที่น่าทุเรศอย่างที่สุด การทรมานทำให้เราอ่อนเพลียแทบหมดกำลังและเจ็บปวดแสนสาหัส โอ....ผู้ใดเห็นสภาพของเราในขณะนั้นและไม่เวทนาจะเป็นไปได้หรือ ? ใครเล่าจะให้ความบรรเทาแก่เรา ? พวกเพชฌฆาตหรือ หามิได้ การบรรเทาเราเป็นหน้าที่ของพวกลูก ซึ่งเราได้คัดเลือกไว้ต่างหาก ให้มองดูบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่างกาย และพิจารณาต่อไปว่า มีใครที่ยอมทนถึงเพียงนี้เพราะความรักต่อพวกลูกบ้างไหม ?
(ซิสเตอร์เสริมการอธิบายภาพที่เห็น)
โปรดพิจารณา องค์พระเยซูเจ้าของชาวเราในขณะนี้ “พระองค์อยู่ในสภาพที่ยับเยินด้วยการถูกโบย ถูกทอดทิ้ง.... ความสมเพชเวทนาจับขั้วหัวใจจนเหลือกลั้น ในเวลาเดียวกันนั้นรู้สึกทันทีว่าพระองค์ทรงมีความ เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ พอจะทน ความลำบากทุกอย่างจนตลอดชีวิต ไม่ว่าความลำบากจะหนักเบาเพียงไร และพึงเข้าใจว่าความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าแม้เล็กน้อยที่สุด ก็หามีความเจ็บปวดใดๆ ในโลกนี้เทียบเคียงได้ไม่.... ที่น่าสลดใจที่สุดได้แก่พระเนตร ซึ่งตามปรกติงามเหลือล้น.... วันนี้พระเนตรข้างขวา และพระโอษฐ์บวมเบ่ง พระองค์ประทับยืน ถูกมัดติดกันแค่รัดประคดแดงฉานด้วยพระโลหิต พระวรกายเต็มไปด้วยรอยแผลกับจุดดำคล้ำทั่วไป เส้นโลหิตในพระหัตถ์บวมเป็นรอยนูนเกือบเป็นสีดำ พระมังสาชิ้นหนึ่งห้อยติดที่พระอังสา อีกหลายชิ้นติดตามที่ต่างๆ ทั่วพระวรกาย พระภูษาตกลงมากองที่ พระบาท แดงฉานด้วยพระโลหิต สีข้างถูกรัดด้วยเชือก และมีผ้าชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ แต่ผ้าชิ้นนั้นสีอะไรดูไม่ออกเพราะเปื้อนพระโลหิตทั้งผืน.... นี่คือพยานแห่งความรักในพระมหาทรมานของพระองค์.... เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว ขอชาวเราได้มีความเพียร มีใจกล้าหาญ ยอมเสียสละเพื่อพระองค์ เพื่อวิญญาณมนุษย์ด้วยเถิด....”