วิธีห้ามฆ่าตัวตาย (ใช้ได้สารพัดครับทั้งสอบโอเน็ตไม่ได้ สอบมหาลัยตก)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
Akira
โพสต์: 101
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 05, 2007 6:51 pm

อังคาร เม.ย. 22, 2008 2:04 pm

เห็นว่ากระทู้น่าสนใจดีนะครับเลยขอก็อปมาโพส
credit : http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F ... 24549.html

ผลสอบโอเน็ตก็ออกนานแล้ว ก็ขอแสดงความยินดีต่อผู้ที่สอบได้คะแนนถึงเกณฑ์ตามต้องการนะครับ จริงๆที่เขียนก็กะจะแสดงความยินดีเฉยๆ แต่เผอิญสมองผุ้เขียนดันคิดต่อไปว่าแล้วพวกสอบไม่ได้จะเป็นยังไงล่ะ ....โดยเฉพาะผู้ที่เป็นความหวังของครอบครัว อาจจะรับสภาพไม่ได้ก้เป็นได้ นอกจากนี้ เด็กที่เข้าไปเรียนคณะที่ต้องการได้ แล้วมารู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ก็อาจจะทำให้ผลการเรียนมีปัญหาบ้าง ซึ่งถ้าความขยันช่วยน้องได้ตลอดก็แล้ว แต่ถ้าขยันแล้วยังสะ-เอือกตกล่ะ ไอ้เรื่องสุดวิสัยพรรค์นี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง คนที่ขยันก็ใช่ว่าจะเจริญหมดเพราะที่ว่างไม่ได้มีให้แก่ทุกคน
เนื่องจากตัวพี่ถูกคนอ่านต่อว่ามาแล้วว่าเขียนหนังสือได้เนื้อน้อยฝอยมาก ฉะนั้น ถ้าใครต้องการอ่านแบบรวบรัด กรุณาไปอ่านความเห็น2ได้เลยนะครับ


1.อารมณ์ของคนที่จะฆ่าตัวตายได้เกิดจากอะไร


หนังสือเรื่อง ศพข้างบ้าน โดยคุณสรจักรเป็นผู้แต่ง ตอน แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ บอกเหตุผลของคนที่คิดจะฆ่าตัวตายได้น่าสนใจมาก คือ เกิดจากอารมณ์โกรธ เกลียดตัวเองที่พุ่งขึ้นมาถึงขีดสุด วูบเดียว ทำให้ฆ่าตัวตายซะ


อารมณ์โกรธ เกิดขึ้นได้อย่างไร


หนังสือเรื่องคู่มือควบคุมอารมณ์คน โดยดร.เดวิด เจ ไลเบอร์แมน  บทที่2  ความโกรธเกิดขึ้นอย่างไร พบว่า องค์ประกอบของความโกรธ มี4ประการคือ

1.    สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้

2.    เมื่อไม่เป็นไปตามที่คาดก็ทำให้เกิดการสูญเสียอำนาจควบคุม

3.    เมื่อสูญเสียอำนาจควบคุม เราจะรู้สึกขาดอิสรภาพ ควบคุมอะไรไม่ได้ เราต้องพึ่งพาคนอื่น จากนั้นความรู้สึกกลัวจะตามมา

4.    ความกลัวเป็นสาเหตุของความโกรธ ความโกรธเป็นเพียงปฎิกริยาตอบสนองต่อความกลัวและเป็นความพยายามทางใจที่ต้องการชดเชยเรื่องสูญเสียอำนาจควบคุม

เมื่อมาดูเหตุกาณ์ที่ก่อให้เกิดเบื้องหลังความสูญเสียจะพบว่า

น้อง ก.สอบตก---น้องสูญเสียอำนาจควบคุม (ในที่นี้คือ น้องตั้งใจว่าการสอบจะผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องเจอกับเหตุกาณ์แบบนี้)----น้องเริ่มกลัวเพราะน้องเคว้งคว้างไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไง---น้องจึงโกรธ(สิ่งที่น่าสนใจคือน้องจะทำอะไรต่อ บางคนอาจจะโกรธที่ข้อสอบยากเกิน บางคนอาจจะโมโหสถานที่เรียนพิเศษที่เอาตังค์ไปแล้วยังทำให้สอบเข้าไม่ได้ หรือ...บางคนอาจจะโมโหตัวเองที่โง่เกินกว่าจะสอบผ่านแทน)


              แรงจูงใจที่ทำให้ฆ่าตัวตาย

              แรงจูงใจที่ทำให้เด็กสอบตกฆ่าตัวตายคืออะไรล่ะ บางคนอาจจะตอบครงๆว่า “ก็สอบตกไง” เออ ถูกนะครับ  แล้วคำถามต่อมาก้คือ “ทำไมต้องเก็บมาเป็นอารมณ์”ล่ะ ในเมื่อสอบตกก็ไม่ได้หมายความว่าเราตาย เลือดสักหยดยังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ชีวิตของเด็กสอบตกก็ยังดำเนินต่อไปได้ กระนั้น เด็กที่สอบตกกลับฆ่าตัวตาย มันเพราะอะไรล่ะ

...คำตอบก็คือ การสอบนั้นสำหรับเด็กบางคนแล้ว ถือเป็นสิ่งที่ประกาศถึงความเป็นตัวตน ศักศรีดิ์  ความนับหน้าถือตาที่คนอื่นมีให้แก่ตัวเรา ซึ่งการสอบตกจึงหมายถึงความภูมิใจในตนเองถูกทำลายลงไป

ความภูมิใจในตัวเองเกิดขึ้นได้เมื่อเราให้ความนับถือตัวเอง
เมื่อเราทำในสิ่งที่รู้สึกว่าผิด เราจะรู้สึกผิดและเกิดความละอายใจตามมา  อารมณ์เหล่านี้ทำให้เรานับถือตัวเองน้อยลง และทำลายความภูมิใจในตัว แล้วการทำอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดในสายตาเด็กสอบตกล่ะ

คำตอบเรื่องนี้คือ “ถ้า” เช่น 
“ถ้า”อ่านเพิ่มอีกสักวันละ1ชั่วโมง ก็ทำได้แล้ว
“ถ้า”ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนมาตลอด ก็ทำได้แล้ว
ฯลฯ

เราจะระบายความโกรธไปยังสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตัวช่วงชิงอำนาจและความสามารถของเราไป(ซึ่งในเด็กฆ่าตัวตาย ต้นตอของความโกรธก็คือตัวของเด็กเอง เนื่องจากตัวเด็กไม่สามารถทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกได้)

ในหนังสือศพข้างบ้าน มีย่อหน้าหนึ่งบอกว่า

ห้ามบอกคนที่คิดจะฆ่าตัวตายว่า “อย่าฆ่าตัวตายนะ มิฉะนั้นคนข้างหลังจะเดือดร้อน”
ซึ่งคนฆ่าตัวตายได้ฟังแล้วจะกระโดดลงไปทันที เพราะการทำให้คนข้างหลังรู้สึกเดือดร้อน เจ็บใจ จากการตายของคือสิ่งที่ปรารถนาอยู่แล้ว

ซึ่งผู้แต่งอยากจะเสริมเรื่องแรงจูงใจอีกนิดว่า
ฆ่าตัวตายเพราะไม่อยากให้คนข้างหลังเดือดร้อน

เนื่องจากว่า ครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องคงจะรู้สึกอับอายที่ตัวเราไม่สามารถสอบผ่านเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้ และยังเงินทองเวลาที่เสียไปอีกล่ะ ความสูญเสียที่มากมายนี้อาจจะทำให้เค้ารู้สึกว่าครอบครัวคงคิดว่าเขาเป็นเด็กเจ้าปัญหา  ถ้าตายไปก็คงไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงินหรืออับอายที่มีลูกโง่ๆเช่นเขา (กรณีฆ่าตัวตายเพราะเดือดร้อนเรื่องเงินก็เคยเห็นมาแล้ว คือ ฆ่าตัวตายเพราะเงิน กรอ. หรือ กยศ.นี่แหละที่ไม่ออกตามกำหนด เด็กไม่มีเงินใช้เลยฆ่าตัวตาย )

ห้ามฆ่าตัวตายด้วยวิธีไหน

              จะห้ามฆ่าตัวตายยังไงเหรอ เมื่อดูจากแรงจูงใจจะพบว่า

1. เด็กขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง
2. เด็กเอาแต่โทษตัวเอง
3. เด็กคิดว่าตัวเองคือสาเหตุแห่งความทุกข์ยาก ทำให้คนข้างหลังที่เกี่ยวข้องต้องทุกข์ใจไปด้วย


กรณี1. เด็กขาดความภูมิใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองไร้ค่า นอกจากเรื่องเรียนที่ทำได้ดีมาตลอด เมื่อสอบเข้าไม่ได้ก้หมายความว่าตัวเองไม่มีอะไรจะไปสู้กับใครได้

ถ้าสามารถจับความรู้สึกได้ว่าเป็นแบบนี้ พยายามพาไปสถานที่ที่สามารถเห็นความมีคุณค่าของการมีชีวิต เช่นการเยี่ยมไข้คนป่วยหนักในห้องไอซียู การดูวีดีโอทำคลอด การไปสอนหนังสือให้เด็กพิการที่สถานสงเคราะห์  หริอเดินทางไปบริจาคขนม ผ้าอ้อมให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือจะเป็นที่ไหนก็ตามที่จะทำให้เด็กฉุกคิดได้ว่า อะไรคือสิ่งสำคัญและไม่สำคัญของชีวิตซึ่งจะช่วยให้จัดลำดับความสำคัญภายในใจใหม่ ว่าอะไรเป็นเรื่องสำคัญแท้จริง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ? ความสุขที่ได้แบ่งปันแก่คนรอบข้าง?

กรณี2 เด็กเอาแต่โทษตัวเอง คิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความอ่อนหัด ไม่ตั้งใจให้มากพอ จึงทำให้ได้รับผลลัพธ์คือการสอบตกอย่างนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ พยายามโน้มน้าวจิตใจให้เชื่อว่า มันไม่ใช่ความผิดของตัวเด็ก อาจจะเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมเช่น แอร์ปรับอุณหภูมิหนาวหรือร้อนไป  ปากกาที่ไม่ได้ขนาดเหมาะมือ  หรือเดินๆมาเห็นจิ้งจกทัก เขม่นตาขวา นายกของประเทศมีตัวอักษรนำหน้าว่า ส. แล้วมันไม่มงคลกับเวลาสอบ  คือจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่สามารถเบี่ยงเบนความคิดให้เด็กโทษสิ่งอื่นๆ ไม่ใช่ตัวเอง แต่จะไปกล่าวลุ่นๆเลย คงจะได้ผลยาก

ฉะนั้นให้หาสถานที่ที่เหมาะแก่การเกลี้ยกล่อมด้วย  แน่นอนว่าสถานที่ที่ใช้เกลี่ยกล่อม ควรมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กคุมสติได้ยากเพื่อที่จะลดระดับความคิดหมกหมุ่น เช่น ผับ บาร์  ถ้าเด็กกินเหล้าได้ยิ่งดี  ให้กระดกสักแก้วสองแก้วเพื่อให้แอลกฮอลล์ไปป่วนสติเด็กให้โทษตัวเองได้ยากขึ้น 

ถามว่าทำไมต้องเป็นผับบาร์ ก็เพราะที่แห่งนี้ใช้ "กฎแห่งข้อพิสูจน์ทางสังคม" ได้ง่ายที่สุด กล่าวคือ เราจะมองไปรอบๆตัวเพื่อดูว่าพฤติกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆคืออะไร แล้วในผับส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีเด็กที่สอบผ่านมานั่งเล่น เนื่องจากพฤติกรรมเด็กสอบผ่านมักจะเป็นเด็กเรียบร้อย สถานที่ที่ดูเหมือนอโคจรไม่ชวนให้เด็กดีเข้ามากินเลี้ยง บอกเล่าถึงความสำเร็จที่ตัวเองสอบผ่านให้แสลงใจ

ฉะนั้นข้างในผับนี้ก็จะมีแต่เด็กเกที่ส่วนใหญ่สอบตก มานั่งบ่นกันงึมงำเรื่องสอบ แล้วเด็กเกจะมีพฤติกรรมที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะไม่โทษตัวเองนานนัก  เมื่อน้องเค้ามาเจอกับสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนสอบตก แล้วทุกคนเอาแต่โทษเรื่องอื่นๆ โอกาสที่ความคิดเรื่องโทษตัวเองก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย


แน่ล่ะว่า ไม่จำเป็นต้องใช้สถานที่เป็นผับเสมอไป ถ้ามีเพื่อนคนอื่นๆที่สอบตกและมีแง่มุมความคิดที่ไม่โทษตัวเองเยอะๆ ก็สามารถชักชวนมางานที่จัดขึ้นเอง แล้วใช้วิธีเกลี้ยกล่อมมาร่วมงานได้เช่นเดิม แต่ผับบาร์จะง่ายกว่าเพราะไม่ต้องไปหาคน มันมีในนั้นอยู่แล้ว


*ข้อสังเกต เด็กที่ฆ่าตัวตายเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆไม่ได้  มักจะเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมเรียบร้อย ไม่เคยขาดเรียน ไม่เคยออกไปเที่ยวกลางคืนหรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย น้อยครั้งที่จะเห็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง ฆ่าตัวตาย นอกจากเสพยาเกินขนาด หรือไปเป็นเด็กแว้น ซิ่งรถกลางถนนให้สิบล้อทับ เพราะอะไรล่ะ.. ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็เพราะ เด็กเรียนไม่เก่ง จริงใจไม่จริงจังกับการสอบ

ฉะนั้นถึงจะสอบตก เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันจริงจังนัก อาจจะโทษตัวเองที่ไม่อ่านหนังสือ แต่สักพักก็สามารถหาที่ระบายความเครียดในใจได้อย่างง่ายดาย เช่น เสพยา ซิ่งรถ กินเหล้าด้วยสโลแกนความเชื่อว่า “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”  แต่เด็กเรียนเก่งจะจริงจังกับเรื่องเรียนมากถึงมากที่สุดและมีความเชื่อเรื่อง “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง”    และ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น” ฉะนั้น เด็กเรียนเก่ง พฤติกรรมดีจึงโทษตัวเองตลอดเวลาเกิดเรื่องนั่นเอง


แน่ล่ะ อาจจะมีบางคนแย้งว่า เด็กที่ฆ่าตัวตายบางคนเป็นเด็กประเภทพฤติกรรม เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น เล่นกีฬาคลายเครียดได้ตามแบบฉบับของเด็กดีที่ถูกสอน  แต่ความเป็นจริง เวลาเล่นของเด็กเรียนดีช่วงใกล้สอบประมาณก่อนหน้า1-2อาทิตย์ มีน้อยมาก หรือไม่มีเลย แล้วยิ่งสอบตก เด็กจะมีอารมณ์ไหนไปออกกำลังระบายความเครียดล่ะ

กรณี3  เด็กคิดว่าตัวเองคือสาเหตุแห่งความทุกข์ยาก ทำให้คนข้างหลังที่เกี่ยวข้องต้องทุกข์ใจไปด้วย ซึ่งกรณีนี้ลำบากที่จะปลอบ เพราะมันไม่ได้มีแต่ตัวเด็กคนเดียว ยังมีคนข้างหลังที่เป็นส่วนรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ฉะนั้น เพื่อนหรือครอบครัวต้องช่วยกัน


แล้วจะพูดยังไงล่ะถึงจะช่วยได้


จริงๆแล้วการปลอบหรือขู่ก้จะล้วยเป็นการซ้ำเติมเด็กยิ่งกว่าเดิม เช่น
ปลอบให้เด็กพยายาม เด็กคิดว่า “คนที่ปลอบเรานี่ช่างดีอะไรเช่นนี้ อุตส่าปลอบเราที่ไม่มีค่าอะไร ทำให้ต้องเสียใจ เราไม่น่าจะทำให้คนแบบนี้ต้องมาปลอบเราเลย ควรจะทำให้เค้าดีใจสิถึงจะถูก โอกาสหน้าเอาใหม่” 


ถ้าเด็กคิดแค่นี้ก็ดีสิ แต่ถ้าเป็นคนที่คิดลึกมากกว่านี้ก็อาจจะกลายเป็นว่า...”พยายามเหรอ  ต้องให้พยายามอีกสักเท่าไรล่ะ ถึงจะพอ แล้วถ้าพยายามมากขึ้นแต่ประวัติยังซ้ำรอยเดิมล่ะ” ความกลัวจะยิ่งผุดมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็จะกลายเป็นการโกรธตัวเองที่น่าจะสอบผ่านตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องมาทุกข์อย่างนี้


ถ้าขู่ อันนี้ก็หนักอีก จะพาลคิดว่าใครๆก็ไม่รัก  ซึ่งในสถานการณ์ที่ตกต่ำอย่างนี้ ยังไม่มีกำลังใจจากคนรอบข้างอีก แปลว่า ไม่มีใครต้องการเราแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีอีก


งั้นต้องทำยังไงล่ะ


ก็ไม่ต้องพูดทั้งด่าทอ หรือปลอบโยนไงครับ


ใช้ภาษากายง่ายๆเลยนั่นคือ
“กอด”


    กอดนี่แหละ คือสิ่งที่เด็กสอบตกต้องการมากที่สุด จะเป็นอ้อมกอดจากคนรัก แฟน เพื่อนหรือครอบครัวก็ได้ เรียกเด็กมานั่งข้างๆ ขอเน้นๆ โอบเค้านานๆ  จากนั้นให้กระซิบหรือบอกข้างหูช้าๆ อบอุ่นว่า “...ไม่ว่าจะเป็นยังไง หนูก็ยังเป็นหนูเสมอ”  ไม่ต้องพูดอะไรนอกเหนือจากนี้ ขอย้ำอีกครั้ง คนสอบตกไม่ได้ต้องการคำพูดซ้ำเติม เพราะเค้ารู้สึกผิดกับตัวเองมากพอแล้ว อีกทั้งไม่ต้องการคำปลอบใจ เพราะมันไม่สามารถช่วยแก้ไขอดีตได้ ซ้ำร้าย ยิ่งปลอบทำให้หวนนึกถึงความผิดพลาดโดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่าทำไมเราต้องทำให้คนดีๆในครอบครัวของเราต้องมาผิดหวังกับเรื่องแบบบนี้ที่แล้วมาอีก ถ้าใครอ่านย่อหน้านี้ผ่านๆขอให้ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้ง เพราะนี่คือใจความสำคัญที่ผมต้องการสื่อให้ทุกคนรับทราบโดยทั่วกัน


การกอดเป็นภาษาสากลแสดงความห่วงใยซึ่งมีค่ามากกว่าถ้อยคำหลายพันคำ โดยเฉพาะกับเด็กสอบตก การกอดก็เหมือนกับการรับความจริงกับสิ่งที่เค้าเป็น เหมือนกับไม่มีใครกล้ากอดคนเป็นโรคเรื้อนขั้นร้ายแรงนั่นแหละ นอกจากว่าเค้าจะรักคนๆนั้นจริงๆ  ส่วนคำพูดที่บอก ก็เพื่อยืนยันถึงความจริงว่า ฉันนี่แหละ จะสนับสนุนต่อไป  นอกจากนี้ยังบอกถึงการยอมรับความผิดพลาดในสิ่งที่เด็กสอบตกเป็น กระนั้น ก็พร้อมจะเป็นกำลังสนับสนุน คอยหนุนเนื่องให้ลุกขึ้นก้าวต่อไป

แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่อยู่ไกลๆ ไม่สามารถจะไปกอดได้ แล้วได้ข่าวจากคนอื่นๆว่ามันกำลังเศร้าที่สอบตกจนไม่รับโทรศพัท์ใคร วิธีที่ควรใช้คือ ใช้โทรศัพท์มือถือส่งข้อความเพื่อนที่สอบตก บอกเหมือนเดิมว่า “ไม่ว่าจะเป็นไง แกคือเพื่อนซี้ชั้นตลอด ชั้นไม่มีวันทิ้งแก จำไว้”  หลังส่งข้อความจบ ก็ลองโทรดู ถ้าเพื่อนเข้ามาทักทาย กล้าที่จะคุยไม่เก็บตัวก็แล้วไป

แต่ถ้าเพื่อนรับแล้วไม่ตอบกลับ มีความเป็นไปได้คือ เพื่อนรับแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี  ทว่าเรามั่นใจว่าเพื่อนเราต้องอยู่ตรงนั้นแน่ ก็บอกสั้นๆว่า “ชั้นอยู่นี่นะเว้ย จะตัดสายทิ้งก็ได้นะเว้ย แต่ชั้นอยากคุยกับแก” แต่ไม่ต้องวางสาย พูดจบรอสักสอง-สามนาทีอาจจะพูดหรือเล่าเรื่องสัพเพเหระให้ฟัง  หรือถ้าไม่รู้จะพูดอะไร อาจจะเปิดเพลงก็ได้เพื่อให้รู้ว่าเราอยู่ข้างๆตลอด 

สาเหตุที่ต้องบอกประโยค “จะตัดสายทิ้งก็ได้” ก้เพื่อแสดงให้เห้นว่า ตัวเพื่อนของคุณ ยังมีอำนาจสั่งการอยู่ หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า “มีอะไรที่ใช้การได้”  ซึ่งการสอบตกก็เหมือนขาดคุณค่า ถ้ามีอะไรที่ใช้การได้อยู่ในตัว เค้าจะไม่ทิ้งมันไปง่ายๆแน่  เพราะเพื่อนไม่คุยไม่ได้หมายความว่าไม่อยากคุยจริงๆ แต่เค้าไม่รู้จะพูดอะไรดีและอีกข้อก็คือ กลัวว่าเมื่อคุยจบ คุณจะวางสายหายไปไม่ติดต่อมาอีกต่างหาก

เพราะคุณอาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่จะบอกกลายๆว่าตัวของฉันยังมีคุณค่าให้คงอยู่ต่อไปนั่นเอง



จบ


ปล.1 บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพราะตัวพี่เคยเป็นเด็กดีจนเพื่อนอึ้ง ว่าทำแบบนี้กับเขาได้ด้วย  และก้เคยเป้นเด็กเลวทำตัวบัดซบจนแม่เคยประกาศตัดหางปล่อยวัดเช่นกัน  พี่จะไม่บอกให้น้องเชื่อ แต่ขอให้รู้ว่า พี่ไม่อยากให้ใครหน้าไหน จะเป็นเด็กดีหรือเด็กเกต้องฆ่าตัวตายเพราะเรื่องสอบไม่ติดมหาลัยที่ต้องการ ครับ หรือแม้แต่เรียนมหาลัยแล้วสอบตกต้องเรียนซัมเมอร์ก็อย่าฆ่าตัวตายนะึครับ 

2.บทความนี้มีข้อความเกี่ยวกับจิตวิทยาจากหนังสือ 2 เรื่องคือ คู่มือควบคุมอารมณ์คนของดร.เดวิด เจ ไลเบอร์แมน และ ศพข้างบ้านของคุณสรจักร  งานเขียนครั้งนี้จึงวเป็นการวิเคราะห์แบบตามประสบการณ์ของตัวพี่เอง    จึงไม่ได้หมายความว่าบทความนี้จะถูกต้องกับคนทุกคน  แน่นอนว่าเว็บเด็กดีก็มีผู้เรียนจิตวิทยาอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นถ้าใครจะให้ข้อมุลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคิดเด็กที่อยากฆ่าตัวตายพร้อมบอกวิธีแก้ไขได้ก็จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

3.ถ้าใครกลุ้มใจ มีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องมหาลัยหรือคิดจะฆ่าตัวตายแล้วไม่มีเพื่อนคุย  ก็ติดต่อได้ทางเอ็มของพี่นะครับ  harryrapthai@hotmail.com

จากคุณ : oyasumi (pom-en)
แก้ไขล่าสุดโดย Akira เมื่อ อังคาร เม.ย. 22, 2008 3:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
A G N E A U
โพสต์: 97
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 27, 2007 10:22 pm

อังคาร เม.ย. 22, 2008 4:34 pm

ขอบคุณครับ
มีประโยชน์จัง  ::003::
Maria Magdalena
โพสต์: 1946
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 01, 2005 8:23 pm
ที่อยู่: On this earth obviously

พุธ เม.ย. 23, 2008 12:59 am

สำหรับบูขอเป็นวิธีตรงกันข้ามได้มั้ย ::010::
ภาพประจำตัวสมาชิก
drizzling
โพสต์: 65
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. เม.ย. 05, 2007 3:14 pm
ที่อยู่: Samuthprakahn

พุธ เม.ย. 23, 2008 11:14 am

ขอบคุณค่า ::014::

หนังสือเรื่อง"ศพข้างบ้าน" นี่เคยอ่านอยู่ หักมุมมากเลย อ่านแย้วเพิ่มความเครียดยังไงมะรุ - -*
แก้ไขล่าสุดโดย drizzling เมื่อ พุธ เม.ย. 23, 2008 1:13 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส