นิทานเรื่อง ฝูงลิงหนึ่งกับสัตว์ทั้งป่า
ผู้แต่ง: กฤษฎ์ มฤควิสุทธิกุล
--------------------------------------------------------------
แนวคิดหลักของนิทานเรื่อง ฝูงลิงหนึ่งกับสัตว์ทั้งป่า:
สัตว์แต่ละชนิดย่อมมีของกินที่ทำให้มันอิ่มแตกต่างกันไปฉันใด
คนแต่ละคนย่อมมีความเชื่อที่ทำให้เกิดแรงหนุนใจแตกต่างกันไปฉันนั้น...
---------------------------------------------------------------
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีลิงฝูงหนึ่งอาศัยร่วมกับสัตว์ป่าอื่นอย่างสันติสุข
ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิดซึ่งออกผลต้องตามฤดูกาล
และแหล่งอาหารที่ใกล้ฝูงลิงนั้นมีแต่กล้วย พวกลิงจึงได้ทานแต่กล้วย...
นานวันเข้าก็รู้สึกว่าซ้ำซากจำเจ...
จึงพากันออกไปหาแอปเปิ้ล,มะละกอ,ส้ม ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากถิ่นของตน...มาบรรเทา
ขณะที่ฝูงกำลังเดินทางไปต่างถิ่น...ได้พบเจอสัตว์ป่าอื่นที่กำลังกินผักหญ้าอยู่
มันจึงแบ่งปันกล้วยให้สัตว์อื่นทานด้วยความมีน้ำใจ
สัตว์ที่กินผักหญ้าเมื่อได้ฟังคำดังนั้นจึงบอกปัดปฏิเสธ
บางลิงจึงกล่าวว่า...ทำไมเจ้าถึงได้ชอบผักหญ้ารสจืดๆ?
บางลิงก็ว่า...เจ้าจะไม่ลองกินกล้วยดูสักหน่อยหรอ หวานฉ่ำดีนะ?
บางลิงก็ว่า...เคยลองกินผักหญ้าดูแล้วก็ไม่เห็นอร่อยตรงไหนเลย!
บางลิงก็ว่า...ผักหญ้ากินได้ด้วยหรอ!?
เมื่อทุกลิงต่างเชื่อมั่นว่ากล้วยนั้นหอมหวานกว่าผักหญ้าอื่น
จึงป่าวประกาศไปทั่วไพรให้กล้วยนั้นเป็นอาหารประจำป่า
พวกสัตว์อื่นที่กินผักหญ้าได้ทราบความเข้าก็นึกฉงนไม่รู้ว่าจะเอากล้วยไปทำป่าอะไร!?
พวกมันจึงมารวมตัวกันเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว
แม่ไก่ป่ากับลูกเจี๊ยบที่กินเมล็ดพืชกับตัวหนอน ก็ยังไม่รู้เลยว่า
จะกินกล้วยอย่างไร เพราะตัวเองไม่มีมือเหมือนพวกลิง
ครั้นนึกจะเป็นแม่ไก่ป่าจิกกินกล้วยก็ดูกระไรอยู่ เพราะมันไม่ใช่วิสัยของตน
โคไพรได้แต่ส่ายศีรษะ...อนิจจา! ถ้ามันมัวแต่เอาเขาไปไล่ขวิดต้นกล้วยให้ลูกมันตกลงมา
สู้ก้มหน้าก้มตาลงกินหญ้าไม่ดีกว่าหรือ...อยู่เพียงปลายกีบมันเท่านั้นเอง
ช้างที่คุ้นชินกับกล้วยอยู่แล้ว จึงแปร๊นใส่เหล่าลิงไปว่า
"ข้ากินได้ทั้งกล้วย,อ้อย,หญ้า จะว่าไปแล้วพอตอนที่มันตกถึงท้อง
ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยอันไหนกล้วย,อันไหนอ้อย,อันไหนหญ้า
กินเข้าไปแล้วก็อิ่มเหมือนกันแหละ แล้วจะให้ข้าสำหลักสำคัญต่อกล้วยไปทำเพื่อ!?"
ส่วนพวกเสือสิงห์ที่อยู่บนภูได้แต่นั่งอ้าปากค้างฟังพวกมังสวิรัติเสวนากันอยู่ที่เบื้องล่างด้วยความงุนงง...
"อะไรหว่ะ!? ผักหญ้า!? กล้วย!? อ้อย!? แล้วเนื้อล่ะ!"
เมื่อโน้มน้าวสัตว์ป่าทั่วอาณาไม่สำเร็จ จึงปรึกษาหารือกันทั้งฝูงว่าจะทำอย่างไร?
ต่างได้มาหลากหลายทฤษฎีซึ่งก็ดีต่อส่วนรวมลิงด้วยกันทั้งสิ้น
่ลิงทุกตัวนั้นเต็มใจปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ด้วยสำนึกว่ามันเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกัน
พวกลิงรักการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเคลื่อนฝูงไปตามกิ่งไม้เพื่อความสนุก
หากไม่ไปทางซ้ายก็ไปทางขวา หากไม่ไปทางขวาก็ไปทางซ้าย
รู้ว่าซ้ายหันกับขวาหันนั้นเป็นความต่าง
ซ้ายๆ ถ้าซ้ายเกินไปนิดหน่อยไปก็ไปผิดทาง มันรู้ได้...เพราะว่ามันเบนไปจากเป้าหมายเดิม
ขวาๆ ถ้าขวาเกินไปหน่อยก็ไปผิดทาง มันรู้ได้...เพราะว่ามันเบนจากทางเป้าหมายเดิม
ในเมื่อ"ผลดี"มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งไม่เหมือนกับ"ดงกล้วย"ที่มองเห็นได้
พวกลิงจึงไม่เข้าใจว่า ต้องเดินทางไปทิศไหนจึงจะถึงผลดี?
แต่ละลิงต่างก็เสนอวิธีของตัวเองที่คิดว่าดีแล้ว...!
ทางนั้นก็ดี..ทางนี้ก็ดี แล้วทางไหนดีที่สุด!?
จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างลิง...
ด้วยสำนึกในความสามัคคีของหมู่เล็กภายในความสามัคคีของทั้งหมู่
จึงทำให้เลยเถิดไปเป็นการแบ่งหมู่ลิง...
"ใครคิดอย่างนี้ก็มา ใครคิดอย่างโน้นก็ไปโน้นสิ!"
ส่วนพวกที่ไม่เกี่ยวข้องก็ได้แต่มองหมู่ลิงจ้องเขม่งกันเอง
แต่มีบางลิงที่มาฉุกคิดในภายหลังได้ว่า...
ท้ายที่สุดแม้จะเป็นกล้วย,อ้อย,ผักหญ้า,เนื้อ,แอปเปิ้ล,มะละกอ หรือส้ม
ต่างก็ทำให้อิ่มได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นสัตว์ชนิดใด...
นิทานเรื่อง ฝูงลิงหนึ่งกับสัตว์ทั้งป่า
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
เปนที่มาของเพลงรึป่าวอะ แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม (นึกท่าเต้นประกอบ)blue_sky เขียน:
จึงพากันออกไปหาแอปเปิ้ล,มะละกอ,ส้ม
เหอะๆๆ
ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่า กล้วย,อ้อย,ผักหญ้า,เนื้อ,แอปเปิ้ล,มะละกอ หรือส้ม
อะไรกินก็อิ่มทั้งนั้น แล้วแต่ว่าเ็ป็นสัตว์ชนิดใด
เป็นการเลือกตามความเหมาะสมของตน
แล้วเราคิดว่า คำสอนของเรา เป็นพืชชนิดไหน คนอื่นต้องกิน ต้องเชื่อตามเราหรือเปล่า
ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่า กล้วย,อ้อย,ผักหญ้า,เนื้อ,แอปเปิ้ล,มะละกอ หรือส้ม
อะไรกินก็อิ่มทั้งนั้น แล้วแต่ว่าเ็ป็นสัตว์ชนิดใด
เป็นการเลือกตามความเหมาะสมของตน
แล้วเราคิดว่า คำสอนของเรา เป็นพืชชนิดไหน คนอื่นต้องกิน ต้องเชื่อตามเราหรือเปล่า
สำหรับคริสตชน เราสมควรที่จะมีความเชื่อครบทุกข้อ ตามที่พระศาสนจักรพิจารณาและเขียนเอาไว้
เพราะนั่นหมายถึงว่า เราเชื่อในตัวท่านเปโตรผู้เป็นศิลาแห่งพระศาสนจักร และเชื่อในพระเยซูผู้ซึ่งเป็นผู้ตั้งพระศาสนจักรบนศิลานั้นด้วยครับ
ความเชื่อเป็นสิ่งที่คริสตชนทุกคนควรจะมีเหมือนกัน เพียงแต่พระเจ้ามีวิธีที่จะพูดกับเราผ่านรูปแบบที่ต่างๆกันไป
เช่นว่า บางคนอาจจะชอบสวดสายประคำ บางคนชอบรำพึงภาวนาเงียบๆ บางคนชอบร้องเพลงสรรเสริญ หรือวิธีอื่นๆที่ต่างกันไป
แต่ไม่ว่าวิธีไหน ก็ถึงพระได้เหมือนกันครับ...
เหมือน ผักหญ้า กล้วย ฯลฯ กินอะไรมันก็อิ่มได้เหมือนกัน
---------------------------------------------------
แต่กระนั้น เราไม่ใช่วัว ควาย หรือว่าไก่ครับ การทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะไม่เพียงพอ
เหมือนกับว่ากินอาหารไม่ครบ5หมู่ ถ้าเรากินอะไรอยู่อย่างเดียวอาจจะขาดสารอาหารได้
นั่นคือ เราไม่ควรที่จะทำอะไรเพียงอย่างเดียว เลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตัวสะดวกหรือชอบ
เข้าร่วมพิธีมิสซาก็เอาแต่สวดสายประคำอย่างเดียว ไม่สนใจที่จะตอบรับกับพระสงฆ์หรือร้องเพลงร่วมกับพี่น้อง
หรือบางคนเลือกที่จะเข้าวัดเป็นประจำสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ แต่ไม่เคยคิดที่จะสวดภาวนาเลย
เรื่องความเชื่อก็เช่นกันครับ ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อแค่บางอย่าง ความเชื่อนั้นก็จะไม่สมบูรณ์
เพราะข้อความเชื่อทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้ว หากแยกออกมาเพียงแค่อย่างใดอย่างนึงเหล่านั้นก็จะไม่สมบูรณ์
และไม่อาจเรียกได้ว่าความเชื่ออีกต่อไป
ถึงพระจะให้พระหรรษทานแต่ละคนให้เข้าใจพระแตกต่างกัน
แต่การเลือกอย่างใดอย่างนึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปนะครับ
ฝากไว้ให้พี่น้องทุกคนไตร่ตรอง
pace e nebe
เพราะนั่นหมายถึงว่า เราเชื่อในตัวท่านเปโตรผู้เป็นศิลาแห่งพระศาสนจักร และเชื่อในพระเยซูผู้ซึ่งเป็นผู้ตั้งพระศาสนจักรบนศิลานั้นด้วยครับ
ความเชื่อเป็นสิ่งที่คริสตชนทุกคนควรจะมีเหมือนกัน เพียงแต่พระเจ้ามีวิธีที่จะพูดกับเราผ่านรูปแบบที่ต่างๆกันไป
เช่นว่า บางคนอาจจะชอบสวดสายประคำ บางคนชอบรำพึงภาวนาเงียบๆ บางคนชอบร้องเพลงสรรเสริญ หรือวิธีอื่นๆที่ต่างกันไป
แต่ไม่ว่าวิธีไหน ก็ถึงพระได้เหมือนกันครับ...
เหมือน ผักหญ้า กล้วย ฯลฯ กินอะไรมันก็อิ่มได้เหมือนกัน
---------------------------------------------------
แต่กระนั้น เราไม่ใช่วัว ควาย หรือว่าไก่ครับ การทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะไม่เพียงพอ
เหมือนกับว่ากินอาหารไม่ครบ5หมู่ ถ้าเรากินอะไรอยู่อย่างเดียวอาจจะขาดสารอาหารได้
นั่นคือ เราไม่ควรที่จะทำอะไรเพียงอย่างเดียว เลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตัวสะดวกหรือชอบ
เข้าร่วมพิธีมิสซาก็เอาแต่สวดสายประคำอย่างเดียว ไม่สนใจที่จะตอบรับกับพระสงฆ์หรือร้องเพลงร่วมกับพี่น้อง
หรือบางคนเลือกที่จะเข้าวัดเป็นประจำสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ แต่ไม่เคยคิดที่จะสวดภาวนาเลย
เรื่องความเชื่อก็เช่นกันครับ ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อแค่บางอย่าง ความเชื่อนั้นก็จะไม่สมบูรณ์
เพราะข้อความเชื่อทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้ว หากแยกออกมาเพียงแค่อย่างใดอย่างนึงเหล่านั้นก็จะไม่สมบูรณ์
และไม่อาจเรียกได้ว่าความเชื่ออีกต่อไป
ถึงพระจะให้พระหรรษทานแต่ละคนให้เข้าใจพระแตกต่างกัน
แต่การเลือกอย่างใดอย่างนึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปนะครับ
ฝากไว้ให้พี่น้องทุกคนไตร่ตรอง
pace e nebe
สนุกดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ :evil:
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณนะครับ ได้ข้อคิดดีครับ