ศรัทธาใน "สิ่งเดียว" นั่นคือพระเจ้า และไม่งมงายในเรื่องอื่นๆ ( ไปอ่านเจอมาค่ะ )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
† Sister of Lucifer†
โพสต์: 94
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 22, 2008 2:25 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ต.ค. 24, 2008 4:26 pm

งมงาย
จาก นสพ. มติชน
คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์

สวัสดีค่ะคุณประภาส

แปลกใจว่าศาสนาของคนตะวันตก เขาพูดถึงพระเจ้า พูดถึงการสร้างโลก สร้างมนุษย์ จนบางครั้งดิฉันก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อได้ ฟังดูแล้วเหมือนงมงาย แต่คนตะวันตกเขากลับไม่งมงายเท่าคนไทย ศาสนาพุทธของไทยเราสอนให้รู้จักเหตุและผล สอนให้รู้จักอนัตตา ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า ไม่มีเทพเจ้า สอนแต่ปรัชญาชีวิต แต่ทำไมชาวพุทธในบ้านเรากลับงมงายกว่า ทั้งเรื่องแทงหวยจากวันมรณภาพของพระสงฆ์ เดินสายตามศาลต่างๆ เพื่อขอโชคลาภ ทรงเจ้า หมอผี เต็มไปหมดในสังคมไทยเรา

คุณประภาสว่าคนตะวันตกเขาเชื่อในศาสนาของเขาจริงๆ หรือเปล่า เหมือนกับคนไทยเรามีศาสนาพุทธไว้โก้ๆ ว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เพราะดูๆ ไปคนไทยเราก็ทำเหมือนกับว่าไม่เชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ฝรั่งเขาเชื่อจริงๆ หรือว่ามีพระเจ้า มีเรือโนอาห์จริง ?

อารยา

*****************************************

หมู่นี้ได้ยินคำว่า "อนัตตา" บ่อยเหลือเกินครับ

บ่อยจนดูราวกับว่าผู้คนในยุคนี้เต็มไปด้วย "อัตตา" กันเต็มกำลัง หรือไม่ก็มีกันจนล้น และอยากจะสลายให้กลายเป็น "สุญตา" กันเสียให้หมด

วันก่อนได้ยินชาวพุทธสายวิปัสสนาสองท่านนั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องอนัตตา ท่านหนึ่งตั้งปุจฉากับอีกท่านหนึ่งว่า การนั่งวิปัสสนาเพื่อพิจารณาโลกและตัวเองเพื่อปรารถนา "อนัตตา" นั้นเป็นกิเลสไหม อีกท่านหนึ่งตอบว่า ความปรารถนานั้นแม้แต่ "ความว่าง" ก็เป็นกิเลส

สูงที่สุดแล้ว แม้แต่ "พระนิพพาน" ก็ต้องไม่ปรารถนา ท่านว่าอย่างนั้น

ศาสนาของเราเป็นอย่างนี้ละครับ

ในความเห็นของผม ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการถกเถียง เป็นเรื่องของการพินิจพิเคราะห์ ฯลฯ ลองนึกภาพตามผม ย้อนกลับไปสมัยพุทธกาลตอนที่ศาสนาพุทธจะก่อกำเนิดดูก็ได้ เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช แล้วก็เสาะหาอาจารย์และลัทธิต่างๆ อยู่ตั้งหลายท่าน กว่าที่พระองค์จะนั่งลงแล้วใช้ "ทางสายกลาง" ค้นพบศาสนาด้วยพระองค์เอง พระองค์ต้องผ่าน "การพิจารณา" ผู้คนและตัวเองไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

จากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกโปรดสัตว์ สั่งสอนผู้คนให้ค้นพบความจริงด้วยตัวของตัวเอง

จริงๆ นะครับ พระองค์สอนให้ค้นพบเอง ไม่ให้เชื่อใคร แม้แต่ตัวพระองค์ผู้เป็นครู

อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าเป็น "ศาสนาแห่งการพิจารณา" ได้อย่างไร จริงไหมครับ

ที่ใดก็ตามเมื่อมีการพิจารณา ที่นั่นก็ต้องมีการ "ถกเถียง" ตามมาเป็นธรรมดา เราจึงได้เห็นตำนานของ ปุจฉาและวิสัชนา เต็มไปหมดในศาสนาพุทธ ไม่ว่าจะเป็นสาขานิกายใด

ผมพูดอย่างนี้เหมือนจะบอกว่าแล้วศาสนาของคนตะวันตกเป็นอีกอย่าง

ผมเห็นเป็นอย่างนี้ครับ ผมเห็นว่าศาสนาของชาวตะวันตกเป็นศาสนาแห่งการ "ศรัทธา" มากกว่า "การพิจารณา"

ชาวคริสต์ไม่นิยมมาตั้งคำถามกันว่า พระเจ้ามีจริงไหม ไม่เคยพยายามใช้วิทยาศาสตร์ที่ตัวเองถนัดพิสูจน์ข้อความในคำสอนของพระคริสต์ ชาวตะวันตกศรัทธาพระเจ้า ก็ด้วย "ศรัทธา" ตัวเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการ "พิจารณา"

แต่ "ศรัทธา" ตัวเดียวนี่แหละครับแข็งแรงดีนัก

นึกตามผม กลับไปในประวัติศาสตร์ของพวกฝรั่งดูก็ได้ครับ ต่อให้ฉลาดหลักแหลมอย่างกาลิเลโอ ที่เที่ยวสงสัยอะไรเต็มไปหมดที่ปราชญ์ในอดีตเคยกล่าวไว้ จากนั้นก็ทำการพิสูจน์มันเสียจนผู้มีอำนาจในยุคนั้นเกิดการไม่พอใจ

แต่เชื่อไหมครับว่ากาลิเลโอกลับเป็นชาวคริสต์ที่ดี ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ และไม่เคยตั้งคำถามว่าพระเจ้ามีจริงไหม หรือทำไมเราต้องเชื่อพระเจ้า สิ่งเดียวที่เขาแตะต้องศาสนาก็คือ เขากล่าวบางประโยคทางวิทยาศาสตร์ที่ขัดต่อข้อความในพระคัมภีร์

แต่ถึงกระนั้นผมก็เชื่อว่า เขา "ศรัทธา" ในพระเจ้า

และที่น่าสนใจก็คือ มันเป็นการศรัทธาโดยไม่ต้องการ "การพิจารณา" ไม่ต้องการ "ข้อสมมติฐาน" และไม่ต้องการ "การพิสูจน์" ใดๆ ในแนวทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเป็นผู้บุกเบิก ยิ่งกว่านั้นกาลิเลโอยังเคยกล่าวไว้เลยว่าวิทยาศาสตร์คือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้
มนุษย์


ผมมองเห็นคนตะวันตกเขานับถือศาสนาของเขาอย่างนี้

ศรัทธาใน "สิ่งเดียว" นั่นคือพระเจ้า และไม่งมงายในเรื่องอื่นๆ เลย

ศาสนาของคนตะวันตกเป็นศาสนาที่เกิดในทะเลทราย ซึ่งอันนี้ต่างจากศาสนาของคนตะวันออกที่เกิดในดินแดนกสิกรรม

ชนเผ่าในทะเลทรายดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน นึกภาพออกนะครับว่าทะเลทรายนั้นเป็นดินแดนที่กันดารเพียงใด การเดินทางผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงการเดินทางสู่ความตายได้ ศาสนาที่เกิดขึ้นที่นั่นไม่ว่าจะเป็นศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนอิสลาม จึงต้องการ "พระเจ้าเพียงองค์เดียว" ที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เพื่อให้คนในศาสนิกชนทุกคนปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด

"ปัจเจกนิยม" จึงเกิดขึ้นกับผู้คนในศาสนาของพวกเขา พวกเขาต้องการ "ผู้ชี้นำ" ที่ยิ่งใหญ่ นำพาผู้คนให้พ้นภัย

ฟังดูยากๆ นะครับเรื่องศาสนานี่ แต่คิดดูแล้วน่าคิดต่อไปเรื่อยๆ ว่าหรือเป็นด้วยเหตุนี้ที่ทำให้พวกฝรั่งมีความเป็นปัจเจกบุคคลมาถึงทุกวันนี้ ไม่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝรั่งให้ความสำคัญกับ "ผู้ยิ่งใหญ่" อย่างมาก และก็มีความมุ่งมาดในชีวิตที่จะเป็น "ผู้ยิ่งใหญ่" ให้จงได้

และความทะเยอทะยานอันนี้นี่แหละ ทำให้ฝรั่งครองโลกมาหลายร้อยปีแล้ว

ถ้าคนตะวันตกให้ความสำคัญกับผู้ชี้นำผู้ยิ่งใหญ่ แล้วคนตะวันออกคิดอย่างไร

ผมมองว่าพวกเราอยู่กับธรรมชาติที่ค่อนข้างเป็นใจ ไม่ต้องต่อสู้กับความแร้นแค้นมากนัก ทุกปีเพียงแค่ขอพรจากเทพประจำฤดูก็เพียงพอแล้ว

ลองนึกไปถึงผู้คนในภูมิภาคนี้ก็คงจะนึกออก ผมว่าพวกเรามีเทพเจ้ามากมาย และเกือบทั้งหมดเป็นเทพเจ้าจากธรรมชาติแทบทั้งสิ้น

เจ้าป่าเจ้าเขา พระแม่โพสพ แม่คงคา พระพิรุณ พระอัคคี ฯลฯ

หรือเป็นเพราะคนตะวันออกอยู่กับธรรมชาติที่ค่อนข้างอุดม จึงนึกถึง "บุญคุณ" แห่งธรรมชาติตลอดเวลา

ที่ผมต้องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะอยากให้คุณอารยาลองนึกดูว่าก่อนที่ศาสนาพุทธจะเข้ามาที่ดินแดนแห่งนี้ เรานับถืออะไรกันอยู่ แม้แต่ในอินเดีย ดินแดนที่ก่อกำเนิดศาสนาพุทธนั้นความเชื่อส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไร

ฮินดูและลัทธิไหว้เจ้าของจีนนั้นหากรวมกันก็นับได้ว่ามีเทพเจ้านับล้านองค์ และเทพเจ้านับล้านองค์ที่ว่าก็ล้วนคือทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติ

ความเชื่อทางฮินดูนั้นฝังรากอยู่ในไทยเราไม่น้อย เพราะพิธีพราหมณ์เป็นพิธีคู่บ้านคู่เมือง และคู่พระมหากษัตริย์มาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีแล้ว

ความเชื่อเหล่านี้อยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิก่อนศาสนาพุทธจะเข้ามาเสียอีก

ระยะเวลาเพียงเจ็ดแปดร้อยปีเท่านั้นที่แนวคิดของพระพุทธเจ้าปักหลักปักฐานอยู่ในอาณา
จักรนี้ มีการผสมผสานของพุทธ, ฮินดู และการไหว้ผีสางแบบคนพื้นถิ่นจนกลายเป็นศาสนาพุทธแบบไทยๆ ที่คุณอารยาเห็นอยู่

เอาเข้าจริงๆ แล้ว ที่คุณอารยามองว่าสังคมพุทธเราทำไมถึงให้ความสำคัญกับปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธก็ไม่เคยพูดถึงพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีพระเจ้านับล้านๆ องค์อยู่ในความเชื่อมาช้านาน

น่าคิดต่อนะครับ เรามีศาสนาประจำชาติที่มีแนวความคิดเรื่อง "การพิจารณา" เป็นแก่น แต่เราก็มีความเชื่อในเรื่องบุญคุณแห่งธรรมชาติ เทพเจ้าแห่งธรรมชาติ ที่ฝังลึกไม่แพ้กัน

แล้วผมก็เชื่อว่าตัวคุณอารยาเองก็คงต้องเคยยกมือไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา พระพิฆเนศ หรืออย่างน้อยสุดก็คงต้องเคยลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคา

ถามว่าสิ่งเหล่านี้คือความงมงายไหม

คนเรามองเรื่องนี้ที่เจตนาว่าไหมครับ ถ้าหากมีหญิงชราคนหนึ่งยกมือไหว้ศาลหลักเมืองแล้วก็พึมพำอธิษฐานขอให้ถูกหวยสักงวดเพ
ื่อจะได้ปลดหนี้สินเสียที กับหญิงชราอีกคนหนึ่งยกมือไหว้ท้องฟ้าขณะที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤต แล้วก็พึมพำอธิษฐานว่าขอพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศชาติด้วย

คุณอารยาจะมองหญิงชราสองคนนั้นอย่างไร

คนแรกงมงาย หรืองมงายทั้งสองคน

หรือไม่มีใครงมงายเลย

************************

เพื่อน ๆ เห้นว่าอย่างไรค่ะ  ::017::
แก้ไขล่าสุดโดย † Sister of Lucifer† เมื่อ ศุกร์ ต.ค. 24, 2008 4:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ต.ค. 24, 2008 4:45 pm

ยังผิวเผินไปในบางส่วนครับ โดยเฉพาะเรื่องทะเลทรายกับกสิกรรม
Like a Heaven
.
.
โพสต์: 1739
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
ที่อยู่: In the Christ

ศุกร์ ต.ค. 24, 2008 10:22 pm

Holy เขียน: ยังผิวเผินไปในบางส่วนครับ โดยเฉพาะเรื่องทะเลทรายกับกสิกรรม
จะให้ผมเห็นด้วยไปมากกว่านี้คงจะไม่ได้ ^ ^
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 1:31 am

เอาที่ละจุดนะครับ

แง่การสำนึก

การจะบอกว่าคนไหว้ทุกอย่าง แปลว่าสำนึกบุญคุณมากกว่าคนอื่น มันใช่เหรอครับ เขาอาจสำนึกในบุญคุณของฝน ของดิน ของทะเล เลยขอบคุณของพวกนั้น แต่สำหรับชนชาติหนึ่งในทะเลทราย กลับมองว่าสิ่งเหล่านี้แค่สิ่งที่ถูกสร้าง ไม่ได้เป็นตัวผู้สร้าง เขาจึงมี สำนึกว่าต้องขอบคุณคนสร้างซึ่งเป็นต้นกำเนิดถึงจะถูก

เหมือนคำกล่า่วในโฆษณาทีวีไดเร็กที่ว่า "ขอบคุณเครื่องบริหารร่างกายนี้ที่ทำให้เดี๊ยนกลับมาผอมเพรียว" ที่หน้าม้าต้องพูดขอบคุณเครื่องบริหารเพราะเขาอยากขายเครื่องบริหารนี่เนอะ

แต่ที่จริงถ้าเป็นคนทั่วไปไม่ได้โดนจ้างมาพูด ถ้าคิดจะขอบคุณใครสักคน ก็น่าจะบอกว่า "ขอบคุณคนที่คิดค้นและสร้างเครื่องบริหารร่างกายนี้" มากกว่าจะมา "ขอบคุณเครื่องบริหาร" ที่พูดตอบไม่ได้ว่า "ยินดีครับ" หรือ "ไม่เป็นไรมิได้ครับ" อะไรแบบนี้ และไม่ได้มีชีวิตจิตใจสามารถซาบซึ้งไปกะคำขอบคุณสักนิด

ดังนั้น ศาสนาที่สอนให้รู้จักขอบคุณผู้สร้าง แทนการสอนให้ขอบคุณสิ่งสร้าง มีสำนึกน้อยกว่าตรงไหน ตรงข้าม ผมกลับมองว่ามีสำนึกอย่างถูกต้องกว่านะครับ

ต่อมาในแง่ของสภาวะเทพ กับ พระเจ้า

เรื่องนี้เป็นเรื่องของมุมมองครับ ศาสนานับถือพระเจ้าหลายองค์ มีมุมมองเรื่องเทพของเขาในแง่ที่คล้ายหรือเหมือนมนุษย์ เพียงแต่อยู่อีกระดับหนึ่ง ดังนั้นเทพของเขาจึงไม่สมบูรณ์ หมายความว่า อาจเกิด และแม้แต่อาจตายได้ เช่นในเทวตำนานของศาสนาเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการกำเนิดเทพแต่ละองค์ และแน่นอนว่า แต่ละองค์เกิดทีหลังโลกครับ ดังนั้นจึงมีมุมมองชั้นแรกว่า เอาหละ มีคนที่มีสถานภาพสูงกว่าชั้นที่ดูแลธรรมชาติแต่ละอย่างๆอยู่นะ แต่ยังมองแบบบังคับจำกัดตามสมองมนุษย์กล่าวคือ มนุษยืมักเก่งบางด้านต่างกัน มีนิสัยทั้งที่ดีและไม่ดีต่างกัน เทพของพวกเขาจึงมีนิสัยและคุณสมบัติเหมือนมนุษย์หลายอย่างเพียงแต่สถานะสูงกว่าเท่านั้น

น่าคิดว่าถ้าเทพเหล่านี้อยู่ในโลกมาก่อนพวกเขาจริง ทำไมพวกเขาถึงสามารถล่วงรู้ประวัติการกำเนิดของเทพเหล่านั้นได้ มิหนำซ้ำยังมีชื่อเป็นภาษาของตัวเอง นั่นหมายความว่าภาษาของเขานั้นมีกำเนิดมาก่อนเทพเหล่านั้นหรือเปล่า

ดังนั้นน่าคิดว่า มุมมองเรื่องเทพเจ้าในศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์นั้น ถูกจำกัดในระดับที่ว่า "เท่าที่มนุษย์จะพอเข้าใจได้" ใช่หรือไม่

ในทางกลับกันศาสนาหนึ่งในทะเลทราย อยู่ๆก็โพล่งขึ้นมาถึงพระผู้สร้างที่เป็นปฐมเหตุของทุกอย่าง แหวกแนวกว่าใครหมด ทั้งที่ศาสนาอื่นในทะเลทรายด้วยกัน ไม่ว่าจะบาบิโลน อียิปต์ อัสซีเรีย คานาอัน ฯลฯ เหล่านี้อยู่ในทะเลทราย และมีเทพหลายองค์แยกย่อย ไม่ต่างอะไรกับฮินดูในอินเดียหรือไทยที่เป็นกสิกรรมเลย

ดังนั้นจำนวนเทพ มันเกี่ยวกับการเป็นทะเลทรายหรือกสิกรรมตรงไหน

ผมมองว่าผู้ที่คิดแบบนั้นคือคนที่คิดแบบลวกๆง่ายๆ และไม่กล้าเผชิญกับความจริงที่ว่า

ชาวยิวเป็นชนชาติแรกที่พูดถึงพระเจ้าเพียงองค์เดียว สูงสุด และกล้าที่จะพูดว่าชื่อพระองค์ไม่ใช่ภาษาของตัวเองหรือแม้แต่จะไม่ใช่ภาษามนุษย์ด้วยซ้ำ ต้องมาเรียกว่า "เราเป็น(ยาเวห์)" ตามสถานะอันเข้าใจไม่ได้ว่าไม่ทรงเกิดหรือตายแต่ทรง "เป็นอยู่แล้ว" และพร้อมที่จะบอกว่า เชื่อพระเจ้าองค์นี้ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าทรงกำเนิดจากไหนเมื่อไหร่อย่างไรเพราะแน่นอนว่าถ้าทรงอยู่มาตั้งแต่ก่อนโลกจะเกิด ย่อมไม่มีใครมานั่งแอบดูรับรู้ได้ว่าเกิดจากไหนอย่างไร

มันไม่เข้าใจ แต่มันสมเหตุผลและสมจริงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

และเขาก็กล้าบอกด้วยว่า เขาไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์เองต่างหากที่มาปรากฎและสอนพวกเขาว่าพระองค์คือใคร ความรู้เรื่องพระองค์ของพวกเขาจึงไม่ได้มาจากปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นการเผยแสดงจากสวรรค์

เหมือนกับว่าถ้ามีคนพูดว่า ถ้าฉันมีปัญญาเยอะๆฉันจะรู้จักsadakoได้เอง กับมีคนพูดตรงไปตรงมาว่า ฉันจะรู้จักsadakoได้ก็ต่อเมื่อฉันได้พบเขาหรือเขามาหาฉัน และเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับตัวเขา คุณคิดว่าใครจะรู้จักคุณsadakoได้มากและถูกต้องกว่ากันล่ะครับ

ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นในยุคสมัยเดียวกัน ทุกศาสนาขณะนั้น ล้วนมีหลักการทางศาสนาคือ "การทำให้เทพเจ้าพอใจ" ก็จะได้สิ่งที่ต้องการ ไม่เคยมีเทพองค์ใดเน้นสอนศีลธรรม หรือมีบัญญํติให้ทำดี แต่เน้นการทำพิธีบวงสรวงบูชาแบบต่างๆถ้าไม่ทำบางทีมีโกรธ แต่พระเจ้าของศาสนายิว กลับบอกว่า เครื่องเผาบูชานั้น จิ๊บจ๊อย เมื่อเทียบกับการทำตามบทบัญญัติที่พระองค์ประทานให้ เป็นพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์มีศีลธรรมแล้วจะทรงอวยพร แทนการกินเครื่องเซ่นแล้วจะให้โน่นนี่ตอบแทน เป็นพระเจ้าที่จะไม่พอพระทัยเมื่อมนุษย์นั้นได้กระทำความบาปและความชั่ว

เรียกว่าแหวกแนวก้าวล้ำนำสมัยไปกว่าศาสนาอื่นๆ แม้แต่ในประเทศที่เจริญกว่า ร่ำรวยกว่า อย่างอียิปต์หรือโรมันยังไม่เคยมีแนวคิดแบบนี้มาก่อน และไม่มีไปนานมากต่อไปอีกเป็นพันๆปี ถ้าจะบอกว่าเขาเรียนรู้หรือพัฒนาแนวคิดนี้ได้ด้วยปัญญามนุษย์และปัจจัยทางสังคมของพวกเขาเอง มันก็ดูจะฉีกตำราหลักเหตุผลวิเคราะห์ทุกเล่มในโลกได้ เพราะชนชาติเร่ร่อนนี้ ไม่ได้สร้างศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางโลก แต่กำลังสร้างศาสนาที่ยุ่งยากในการดำรงชีวิตและมีแต่ประโยชน์ทางวิญญาณ ซึ่งยังคิดหาเหตุผลอื่นไม่ออกนอกจากว่า มีใครบางคนที่ทรงพลังอำนาจเหลือล้น และเป็นองค์ความดีได้มาสั่งและสอนให้เขาทำความดี โดยไม่สนว่าพวกเขาจะเข้าใจพระองค์ไหม หรือพวกเข้าจะเข้าใจว่าพระองค์ให้เขาทำทำไม แต่บอกแบบไม่เกรงใจว่า "เราคือพระเจ้าที่เจ้าไม่มีปัญญามากพอจะเข้าใจได้ จงเชื่อฟัง และทำตาม"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 2:19 am

ต่อมาผมคงต้องบอกถึงความสับสนอลหม่านบ้านทรายทองของบทความนี้นะครับ
ศาสนาของคนตะวันตกเป็นศาสนาที่เกิดในทะเลทราย ซึ่งอันนี้ต่างจากศาสนาของคนตะวันออกที่เกิดในดินแดนกสิกรรม

อันนี้ขอให้เราทราบข้อเท็จจริงนะครับว่า คริสต ยิว อิสลาม เกิดในตะวันออกนะครับ เรียกว่าตะวันออกกลาง และศาสดาก็คือชนชาติที่โดนคนไทยเรียกว่า แขก กันหมด (ไม่ใช่ฝรั่ง) ไม่ต่างกับศาสนาพุทธที่เกิดที่อินเดียซึ่งเป็นชาติที่โดนคนไทยเรียกว่า "แขก" เหมือนกัน ดังนั้นจงยอมรับข้อเท็จจริงว่าทุกวันนี้ จะ ไทย จีน ฝรั่ง จะอยู่ฝั่งตะวันตก ตะวันออก เหนือ หรือ ใต้ คนทั้งโลกตอนนี้ นับถือศาสนาที่มีศาสนามาจากเอเชียทั้งนั้น และไหว้ "แขก" กันทุกคน

และอยากขอให้ระลึกเสมอครับว่าชาวยิวก็ปลูกข้าวกิน(เกษตรกรรม) แถมยังเลี้ยงสัตว์(ปศุสัตว์) คำสอนทั้งยิวและคริสต์ มีอุปมาเรื่องปลูกข้าวกับเลี้ยงแกะบ่อยและเยอะกว่าศาสนาพุทธซะอีก ดังนั้นแม้พวกเขาจะมีสภาพบ้านเมืองเป็นทะเลทราย แต่ทำการกสิกรรมเลี้ยงชีพอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นการแบ่งว่า ศาสนาของคนตะวันตกเป็นศาสนาที่เกิดในทะเลทราย ต่างจากศาสนาของคนตะวันออกที่เกิดในดินแดนกสิกรรม จึงเป็นการแบ่งที่สับสนในตัวเองอย่างที่สุด

เรามาลองดูจุดเทียบของเขาครับคือการพยายามเทียบพุทธกับคริสต์

ในสมัยช่วงราว2000-3000ปีก่อน เป็นช่วงจุดเปลี่ยนของศาสนาหลายศาสนาครับ

ในอินเดียเกิดศาสนาพุทธและศาสนาเชนในท่ามกลางศาสนาฮินดู ส่วนชาวยิวเกิดมีชายคนหนึ่งชื่อเยซูขึ้นมา

ศาสนาพุทธนั้นแม้จะมีอิทธิพลจากศาสนาเดิมที่อยู่มาก่อนคือฮินดู ไม่ว่าจะด้วยศาสดามีอาจารย์เป็นพราหมณ์และเป็นฮินดูมาก่อน และยังเคยลองปฏิบัติแนวโยคะโยคีมาด้วย แถมศิษย์รุ่นแรกเป็นพราหมณ์ทั้งหมด มีระบบเวียนว่ายตายเกิดเหมือนที่พราหมณ์ฮินดูมีมาก่อน มีสวรรค์ที่ชื่อเหมือนเทพในศาสนาฮินดู และยังไม่ปฎิเสธการมีอยู่จริงของเทพเหล่านั้นเพียงแต่ไม่ให้ความสำคัญ แต่ มักสอนกันว่า ศาสนาของตนไม่ใช่ศาสนาฮินดู ไม่ได้มีอะไรมาจากฮินดู ไม่ยอมรับคัมภีร์ของฮินดู และเวลามีอะไรไม่ดีดูโง่ดูงมงาย ก็ชอบโยนไปว่าเป็นความผิดของฮินดูที่มาผสมตัวเอง

แต่ฮินดูกับพุทธก็เป็นศาสนาที่ผสมกันได้เข้ากันมากๆกว่าใครเพื่อนนะครับ แถมข้อเท็จจริงคือ พุทธนิกายมหายานที่ผสมศาสนาเทพเจ้านั้น มีเยอะกว่าพุทธนิกายเถรวาทที่พยายามตัดเอาเฉพาะของตัวเองเพียวๆ แถมเถรวาทที่มีอยู่เยอะที่สุดคือในไทย ก็ยังไม่วายผสมฮินดูได้กลมกลืนซะยิ่งกว่านิกายมหายานอื่นๆซะอีกนะครับ

กลัวมาดูคริสตศาสนา พระเยซูเจ้านั้นไม่เคยปฎิเสธเลยว่า ทรงใช้และสอนธรรมบัญญัติที่พระบิดาประทานให้ ทรงบอกว่าไม่ได้มาทำลายอะไรที่มีมาก่อน แต่มาเสริมให้สมบูรณ์ คริสตศาสนา ยอมรับพระคัมภีร์ของยิวมาทั้งเล่ม หน้าชื่นตาบานบอกอย่างภูมิใจว่า ใช่แล้วศาสนายิวคือรากของเรา

แต่จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ

ศาสนาพุทธเอง มีมุมมองใหม่ในศาสนาก่อนหน้าในแง่ที่ว่าเทพเทวดาในศาสนาฮินดูนั้นต่ำว่าศาสดาตนเอง ใครๆก็สามารถไปบรรลุเป็นเทพในศาสนาเก่าได้ แต่ถ้าบรรลุอรหันต์ ก็จะใหญ่และสูงส่งกว่าเทพในศาสนาเดิมที่ตนเคยกราบไหว้นับถือด้วย ดังนั้นไม่ต้องสนใจกราบไหว้มาก เพราะทำไปก็ไม่พ้นทุกข์

สถานภาพเทพเจ้าในศาสนาก่อนหน้าจึงโดนกดลงต่ำกว่าศาสดา หรือแม้แต่สมาชิกที่สามารถบรรลุแล้วในศาสนาใหม่ และโดนตัดและกันให้ห่างออกจากวิถีชีวิตของคนในศาสนาใหม่อย่างชัดเจน

แต่คริสตศาสนา กลับมีมุมมองใหม่ในศาสนาก่อนหน้าว่า พระยาเวห์ในศาสนาเดิม ยังคงอยู่และยังคงสูงสุดตลอดไป และวันนี้ พระองค์เองนั่นแหละที่ลงมาเองในฐานะพระบุตร ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทรงเป็นพระบิดา ของเรามนุษย์ทุกคน ดังนั้นจงกล้าเรียกพระองค์ว่าพ่อ และจงรู้เถิดว่า พ่อคนนี้ รักลูกสุดหัวใจ และพร้อมจะตายเพื่อลูกได้

สถานภาพของพระเจ้าในศาสนาเดิม ถูกทำให้ชัดเจนขึ้น จับต้องมองเห็นได้มากขึ้น สถานภาพของสมาชิกในศาสนาใหม่ไม่ใช่ใหญ่กว่าพระเจ้า หากแต่ยกฐานะจากทาสขึ้นมาเป็นบุตร จากความกลัวกลายเป็นความรัก จากความห่างเหินกลายเป็นความใกล้ชิดสนิทสนม และยังคงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันตราบนิรันดร


ถ้าให้พูดตรงๆ เพราะศาสนาคริสต์และะยิวบอกกันตรงๆว่า ไม่ต้องกลัวโง่ แต่ให้กลัวบาป ยอมรับตรงๆว่ามีสถานภาพที่สูงส่งกว่าเราอยู่ที่เราไม่มีทางไปสุงกว่าได้ เหมือนจุลินทรีย์ที่ไม่มีทางฉลาดกว่าหรือเข้าใจในสุนัข และสุนัขไม่มีทางฉลาดกว่าหรือเข้าใจทุกอย่างของคน และคนไม่มีทางฉลาดกว่าหรือเข้าใจทุกอย่างของทูตสวรรค์ และแน่นอนว่าของพระเจ้าด้วย

ดังนั้นเมื่อใครเริ่มยอมรับว่าตัวเองโง่แล้ว ปรีชาญาณหรือความฉลาดแท้จริงจากพระเจ้าจึงได้ลงมายังคนๆนั้น ให้ได้รู้ความจริงจากการเปิดเผยของพระองค์เอง เพราะไม่มีใครรู้เรื่องพระเจ้าได้ดีเท่าพระเจ้าเอง

เราจึงพร้อมที่จะเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวที่รักเรา และเป็นพระเจ้าสูงสุดที่มีตัวตนจริง โดยไม่ต้องแสวงหาเทพเทวดาอื่น ธรรมชาติ หรือสิ่งสร้างที่พิกลพิการ หรือสร้างเทพขึ้นเองหรือไปไหว้อะไรใดๆอีก เพราะหลักการในพระเจ้าหนึ่งเดียวสูงสุดมีจริง เป็นหลักการที่สมเหตุสมผลที่สุดในโลกอยู่แล้ว เราจึงรักและศรัทธาในพระผู้สร้าง โดยไม่ต้องรักและศรัทธาในสิ่งที่ถูกสร้าง วิญญาณของเราจึงได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ และเพราะได้ดื่มน้ำที่ไม่ทำให้กระหายอีก จึงไม่ต้องออกหาน้ำดื่มที่ดื่มแล้วก็กระหายใหม่ไม่จบสิ้นเหมือนผู้ที่ไม่รู้จักและยอมรับพระเจ้า

ยน 8:31 
พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า
ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา
ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง
ท่านจะรู้ความจริง
และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ
ภาพประจำตัวสมาชิก
† Sister of Lucifer†
โพสต์: 94
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 22, 2008 2:25 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 7:45 am

ขอบคุณคุณ holy มาก ๆ เลยค่ะ

อ่านแล้วเข้าใจ และเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ  : emo027 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 6:43 pm

สำนึกว่าต้องขอบคุณคนสร้างซึ่งเป็นต้นกำเนิดถึงจะถูก
ที่ขอบคุณคนสร้าง ก็ไม่ใช่เพราะสำนึกในคุณของสิ่งที่เขาสร้างหรอกหรือครับ

หยุดเรื่องทะเลทรายกะ กสิกรรมดีไหมครับ

มาพูดประเด็นของกระทู้ดีไหม
ชาวคริสต์ไม่นิยมมาตั้งคำถามกันว่า พระเจ้ามีจริงไหม ไม่เคยพยายามใช้วิทยาศาสตร์ที่ตัวเองถนัดพิสูจน์ข้อความในคำสอนของพระคริสต์ ชาวตะวันตกศรัทธาพระเจ้า ก็ด้วย "ศรัทธา" ตัวเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการ "พิจารณา"
แก้ไขล่าสุดโดย bb_z เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 6:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
† Sister of Lucifer†
โพสต์: 94
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 22, 2008 2:25 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 7:01 pm

ค่ะ ค่ะ ดีค่ะ

รอฟังความเห็นของเพื่อน ๆ จ้ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

จันทร์ ต.ค. 27, 2008 11:39 pm

ตอนสัมยเรียนครูคำสอนก็เคยยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่น่าสนใจมาเหมือนกัน

คือ ศาสนาคริสต์ เวลาเห็นรถไฟ หรือ เครื่องจักรที่ทรงพลังมาก เราไม่ได้ชื่นชมว่าเครื่องจักรนั้นทรงพลังอำนาจมากเพียงไร หากแต่ชื่นชมผู้ที่สามารถคิดค้นสร้างเครื่องจักรที่ทรงพลังนั้นขึ้นมาได้เสียต่างหาก


ยิ่งเราเรียนรู้ ยิ่งเราศึกษาประวัตินักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์มาเพยงใด เรายิ่งยากที่จะหาเหตุผลมากล่าวได้ว่า เหตุใดพระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่จริง
เพราะในทุกสิ่งสารพันตั้งแต่จักรวาลวุดหล้าฟ้าเขียวใหญ่โตไพศาลที่ถูกเรียงมาเป้นระบบ จนถึงจุลจักรวาลในร่างกายเรา ต่างเป็นระบบแบบแผนที่สมบูรณ์แบบที่มากกว่าคำว่าบังเอิญที่จะทำให้เกิดขึ้นได้

เรื่องอื่นๆ พี่ปอได้พูดอธิบายไปชัดเจนแล้ว

::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

อังคาร ต.ค. 28, 2008 4:18 pm

จนถึงจุลจักรวาลในร่างกายเรา ต่างเป็นระบบแบบแผนที่สมบูรณ์แบบที่มากกว่าคำว่าบังเอิญที่จะทำให้เกิดขึ้นได้
น่าจะมาจากวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้สามารถดำรงอยู่ได้ วิวัฒนาการมาเรื่อยๆเป็นเวลาหลายล้านปี จนทำให้มีความสมบูรณ์แบบที่มากกว่าคำว่าบังเอิญที่จะทำให้เกิดขึ้นได้
ตอบกลับโพส