มีคุณพ่อท่านหนึ่งเทศน์หลังจากอ่านพระวรสารเรื่องการเทศน์บนภูเขาของพระเยซูเจ้าที่บอกว่านับผู้ชายได้สองพัน ส่วนผู้หญิงไม่ได้บอกจำนวนไว้ ท่านว่าถ้าเทียบกับยุคปัจจุบันซึ่งในภาพรวมเรามักจะเห็นผู้หญิงมาวัดมากและดูเหมือนจะศรัทธากว่าผู้ชาย (ถ้ายุคนั้นมีแนวโน้มที่เป็นเหมือนยุคปัจจุบัน) ก็แสดงว่าผู้หญิงที่ไปฟังเทศน์บนภูเขาในยุคนั้น ก็ต้องมีมากกว่าสองพัน
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เพราะเกิดไม่ทัน และไม่ได้เกิดในแผ่นดินอิสราเอลเสียด้วยสิ แต่ที่แน่ๆ ข้าพเจ้าเห็นสตรีใจศรัทธาในเมืองไทยดารดาษ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสตรีเหล่านั้นชอบคลุกคลีกับวัด ชอบเข้าไปสนทนากับสังฆราช บาทหลวง นักบวช มีข้าวของ ส้มสูกลูกไม้ ติดไม้ติดมาฝากศาสนบริกรและนักบวช แม้ว่าจะไม่ได้มีrequestจากศาสนบริกรและนักบวชให้เอามาฝากก็ตาม
อย่างไรก็ดี ของที่สตรีใจศรัทธานำมาฝากนั้นมักเป็นของดีที่คัดสรรมาแล้ว นอกจากอาหารสุขภาพ เช่น ผักสด ผลไม้ กับข้าวที่ลงมือรังสรรดุจอาหารชาววัง แล้ว ก็ยังมีพวกอาหารเสริม เช่น ซุปไก่สกัด เบอรี่สกัด นมสดพร่องมันเนย นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม รวมไปถึงขนมขต้ม อาหารคาวหวานบรรดามีจัดสรรมาประเคน บำรุงบำเรอกันขนานใหญ่ นับว่าเป็นการได้บุญอักโข และถือเป็นการโอยศีลโอยทานซึ่งยังความสุขใจทั้งต่อผู้รับที่อิ่มหมีพีมัน สุขภาพแข็งแรง และผู้ให้ซึ่งปลื้มอกปลื้มใจที่ได้ "บำรุงพระศาสนจักรตามความสามารถ" ด้วยการบำรุงศาสนบริกรและนักบวชของพระศาสนจักร มารดาศักดิ์สิทธิ์
มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า เพศหญิง คือ เพศแม่ ดังนั้น เพศหญิงจึงมีความเป็นแม่สูง รักใครรักจริง บำรุงเลี้ยงกันแบบถึงลูกถึงคน มีอะไรให้ได้ ฉันให้หมด ดูอย่าง "ลิเก" สิ ก็มีแม่ยกไปเกาะริมวิกชิดขอบเวทีกันทีเดียว ในพระศาสนจักรของเราจึงมีสตรีใจศรัทธาที่รักและห่วงใยศาสนบริกรและนักบวชทั้งหลายดุจแม่รักและห่วงใยลูก พูดมาถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า ... ถูกต้องแล้วหนอ ... สตรีใจศรัทธาจำนวนมากในพระศาสนจักรจึงมักเป็น "ส.ว." ที่ส่วนใหญ่ก็จะมีประสบการณ์การเป็นมารดาของบุตร-ธิดากันมาแล้ว
ที่กล่าวไปนั้น มิใช่ว่าข้าพเจ้าจะมีเจตนาใฝ่เหน็บแนมสตรีใจศรัทธาทั้งหลาย ในทางตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับรู้สึกชื่นชมโสมนัสที่เห็นสตรีจำนวนไม่น้อยที่มีใจศรัทธา และ "บำรุงพระศาสนจักรตามความสามารถ" อยู่มิได้ขาด กิจการของเธอเหล่านั้นต้องนับว่าเป็นกิจการดีอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดที่เธอเหล่านั้นกระทำไปก็ออกมาจากจิตใจที่ดี และความปรารถนาอันงดงามที่อยากเห็นศาสนบริกรและนักบวชบรรดามีของพระศาสนจักรมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เห็นศาสนบริกรและนักบวชมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีตนเองเป็นส่วนหนึ่งของ "การบำรุง" ซึ่งแผ่ซ่านออกมา "ตามความสามารถ" เห็นเช่นนี้แล้ว "ป้าๆ" ก็ปลื้มแล้วลูกเอ๊ยยย
พล่ามมาเสียยาว บางคนอาจงุนงงว่าข้าพเจ้าพูดมาทำแมวอะไร ร่ายมาเสียยาวเชียว อะไรคือmain idea และข้าพเจ้าต้องการสื่ออะไร ข้าพเจ้าต้องการจะบอกว่า บางครั้ง "ความศรัทธา" ของ "สตรี" เหล่านั้น แม้จะเป็นการเสริมศรัทธาของตน แต่ก็อาจกลับกลายเป็นการขัดศรัทธาของผู้อื่นได้ ทั้งนี้เพราะสตรีเหล่านั้นด้วยความที่มีศรัทธามาก ก็เลยเกาะอยู่กับศาสนบริกรและนักบวชเหล่านั้นด้วยความศรัทธา จนชาวบ้านชาวช่องที่มีธุระต้องการติดต่อพูดคุยกับศาสนบริกรและ/หรือนักบวชเหล่านั้นบ้าง ก็ไม่อาจแหวกกระแสศรัทธาที่แผ่ซ่านออกมาอย่างแรงกล้าและเวียนวนอยู่รายรอบศาสนบริกรและนักบวชเหล่านั้นอย่างแน่นหนาเข้าไปได้ ทำให้ชาวบ้านร้านถิ่นมิอาจเข้าถึงศาสนบริกรและนักบวชเหล่านั้นได้ ต้องรอให้กระแสศรัทธาของสตรีใจศรัทธาเหล่านั้นจางไปเสียก่อนจึงจะถึงคิว ซึ่งจากประสบการณ์ของข้าพเจ้า ก็ดูเหมือนว่าสตรีใจศรัทธาเหล่านั้นครั้นเมื่อได้สนทนากับศาสนบริกรและ/นักบวชขึ้นมาแล้ว ก็ติดลมบน และมิอาจคลายกระแสศรัทธาลงง่ายๆ ใครมีธุระปะปังก็รอไปเถิด ไปฉี่กลับมา ป้ายังคุยไม่เสร็จเลย ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เป็นนานสองนาน หรือไม่ก็ปรับทุกข์ บ่นเรื่องลูกเรื่องผะ-อั๋วไปตามเรื่อง มิพักหลงลืมไปว่าชาวบ้านร้านตลาดเขาก็มีธุระจะคุยกับศาสนบริกร/นักบวชด้วยเหมือนกัน และหลายครั้งก็เป็นการคุยธุระเพียงแค่คำสองคำเท่านั้นก็เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว แต่ก็มาติดขัดอยู่ตรงความศรัทธาของกลุ่มสตรีดังกล่าว
ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ตรงอยากจะเล่าสู่กันฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปฟังการบรรยายธรรมของบาทหลวงอาวุโสท่านหนึ่ง หลังจากบรรยายจบ ข้าพเจ้ามีคำถามจะสอบถามเกี่ยวเนื้อหาที่บรรยาย เพราะมีประเด็นที่ข้าพเจ้าไม่กระจ่างอยู่ พอสบโอกาส ข้าพเจ้าก็ปรี่ออกไปหมายจะสอบถาม พออ้าปากจะถาม เอาละ มีสตรีใจศรัทธาคนหนึ่งปราดเข้ามาไม่ดูคิวเลยว่าข้าพเจ้าจ่อรอถามคำถาม สูงจากสายตาของป้าแก ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเขาจะมองไม่เห็นข้าพเจ้าที่ตัวใหญ่ยังกะมนุษย์หินฟริ้นสโตน สงสัยความห่วงใยเยี่ยงมารดาที่มีต่อบาทหลวงท่านนั้นสูงจนบดบังทำให้ป้ามองไม่เห็นข้าพเจ้า ป้าแกยื่นของกินที่เตรียมมาอย่างดีให้กับคุณพ่อท่านนั้น ข้าพเจ้านึกอยู่ว่า "ช่างมันเถอะ ให้ขนมเสร็จ เดี๋ยวป้าก็กลับ แล้วข้าพเจ้าค่อยถามคำถามคุณพ่อ" อ้าว ... ให้เสร็จไม่กลับทันที ดันมีสนทนาปราศรัย สอบถามสารทุกข์สุกดิบกันอีก แล้วก็มีอย่างนี้เวียนมาโอภาปราศรัย สอบถามสารทุกข์สุกดิบ บ่นเรื่องลูกเรื่องผะ-อั๋วต่ออีกสองสามราย ข้าพเจ้าก็ยืนพินอบพิเทารอต่อไปด้วยอย่างท่าทีแห่งขันติ-โสรัจจะ ไม่เถียง ไม่ว่า คำน้อยก็ไม่พูด เอาล่ะ ป้าๆพวกนั้นกลับไปหมดแล้ว ถึงคิวข้าพเจ้าได้ถามคำถามแล้ว อ้าววว ดันมีสตรีใจศรัทธาพรวดเข้ามาอีกคน รายนี้ไม่แก่เท่ารายก่อนๆ ข้าพเจ้าขอเรียกว่า "น้า" ก็แล้วกันนะ แม้ว่าจะไม่แก่เท่า แต่ที่เหมือนกันก็คือ มองไม่เห็นมนุษย์หินฟริ้นสโตนตัวเท่าช้างแมมมอธอย่างข้าพเจ้า สงสัยเห็นข้าพเจ้าเป็นก้อนกรวดอีก โอย สรุป ข้าพเจ้าเลยยังไม่ได้ถามคำถามเลย รอนานมาก นานจนจะลืมคำถามที่จะถามแล้วนะเนี่ย ปรากฏว่าน้าแกแนะนำตัวว่าแกมาจากต่างจังหวัด คุณพ่อเจ้าวัดแนะนำแกมาฟังคุณพ่ออาวุโสท่านนี้บรรยาย ข้าพเจ้านึกว่า "เออ ... ช่างเถอะคนงาม ขอปล่อยตามตามวาสนา พี่ไม่มีปริญญา ขวัญตามองหน้าก็เมิน" ... เอ๊ย ไม่ช่ายยยย นั่นมันเพลงปูไข่ไก่หลง ... "เออ ... ช่างเถอะ น้าแกมาไกล ให้แกคุยแป๊บนึงก็ได้" ที่ไหนได้ เอาเข้าจริงๆ กลับไม่ได้แป๊บนึงน่ะสิ คุยนานโข แถมควักกล้องถ่ายรูปออกมาอีกนะ แล้วบอกว่า "จะถ่ายไปอวดคุณพ่อเจ้าวัด" โอ๊ยยย จะบ้าตาย คุณพ่อท่านมาบรรยายเรื่องพระเรื่องเจ้าเพื่อพัฒนาจิตใจและยกระดับคุณภาพชีวิตคริสตชนนะ ไม่ได้มาเป็นนายแบบให้ใครถ่ายรูปคู่เพื่อไปอวดใคร ช่างมีสาระมากเลยยยยย ข้าพเจ้าจะลืมคำถามแล้วนะเนี่ย พอถ่ายรูปเสร็จ ข้าพเจ้าจะถามคำถาม สภาวัดดันมารับรองคุณพ่อ โดยจะช่วยยกของพาไปส่งที่รถ นี่ ... ไม่มีใครเห็นข้าพเจ้าเลยเหรอ ยืนรอถามคำถามจนขาจะ "ฉิ่ง" อยู่แล้ว สตรีใจศรัทธาทั้งหลาย ทำไมไม่เข้าคิว จะรักใครห่วงใคร ก็ให้มีคิวกันหน่อย ให้ข้าพเจ้าถามคำถามก่อนได้ไหม แล้วป้าๆน้าๆจะอุ้มพ่อไปบูชาต่อที่บ้าน ข้าพเจ้าก็ไม่ว่า ที่สุด ข้าพเจ้าเลยต้องเลือกแหกปากถามขึ้นมา คุณพ่อท่านจึงสบโอกาสตอบข้าพเจ้าก่อนที่สภาวัดจะซิวคุณพ่อไปส่งที่รถ
ข้าพเจ้าเจอแบบนี้อยู่หลายครั้งจนชินชา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปงานบวชของมิสซังกรุงเทพซึ่งจัดที่สามพราน ได้เจอคุณพ่อบวชใหม่ท่านหนึ่งซึ่งข้าพเจ้ารู้จักดี ข้าพเจ้าอยากเข้าไปทักทาย และคิดว่าน่าจะทักทายได้โดยง่าย เพราะคงไม่มีสตรีใจศรัทธามารุมล้อม ด้วยว่าท่านสังกัดคณะนักบวชซึ่งแทบจะไม่มีสนามแพร่ธรรมหรือเขตทำงานในมิสซังกรุงเทพ และตัวท่านตั้งแต่บวชมาก็เหมือนกับยังไม่เคยไปประจำเป็นเจ้าวัดหรือปลัดวัดไหน จึงไม่น่าจะรู้จักใครนัก แต่ที่ไหนได้ นี่ขนาดคณะของท่านไม่ค่อยมีเขตทำงานในมิสซังกรุงเทพและไม่เคยประจำวัดไหนนะ ยังมีป้าๆน้าๆมารุมล้อมกันเป็นดาวล้อมเดือนเลย ... โอย ... น่ากลัวมากกกกก
มีคุณพ่ออีกท่านหนึ่งซึ่งบวชมายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ท่านรักสันโดษและไม่ค่อยออกงาน นอกจากนี้ ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาด ดูเหมือนท่านแทบจะไม่เคยประจำเขตวัดใด เลยไม่น่ามีคนรู้จักนัก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้รับเชิญไปบรรยายธรรม ก็ยังมีป้าๆมาถามว่าคุณพ่อบวชมานานเท่าไรแล้ว ทำไมป้าไม่เคยเห็น
ดูซิ ดู ... ขนาดเป็นคุณพ่อที่ไม่ค่อยออกงานให้เห็นหน้าค่าตากัน ป้าก็ยังต้องเข้าสอบถามเลย สงสัยว่าถ้าเป็นศาสนบริกรหรือนักบวชต้องผ่านสายตาพวกป้าๆก่อนนะเนี่ย ประมาณว่าต้องให้ป้าสแกนและเซฟไว้ในไฟล์ข้อมูลก่อน จะให้หลงหูหลงตาไม่ได้เป็นอันขาด เดี๋ยวป้าไม่ได้รับความรอด (มั้ง)
สงสัยอีกหน่อย มีธุระติดต่อศาสนบริกรหรือนักบวช ต้องนัดคุยเป็นการส่วนตัว สักช่วงห้าทุ่ม-สองยามเป็นไง พวกป้าๆดูละเม็งละครหลังข่าว นอนหลับกันไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าจะได้ไม่โดนลัดคิว
โอย ... เซ็งเป็ด : emo031 :





