เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ "การนอน" และ "การฝัน" (ยาวหน่อยแต่อ่านจนจบ จะพอกระจ่าง)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ ม.ค. 31, 2009 3:49 am

ผลงานภาพวาดเส้นของ Max Ernst

การนอนหลับและการฝันเป็นกิจกรรมตามปกติของมนุษย์ แต่ทำไมเราจึงต้องนอน และทำไมเราจึงฝัน เรื่องนี้นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบกันอยู่ตลอดเวลา และได้ช่วยให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับการนอนและการฝันนี้มากขึ้น. สัตว์เองก็ต้องนอน และการนอนของสัตว์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงไปเลยนับแต่อดีต เว้นแต่มนุษย์เท่านั้น ที่แบบแผนการนอนได้เปลี่ยนไปจากอำนาจของดวงอาทิตย์

การนอนหลับและการฝัน

มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการนอนหลับและการฝันว่า คนเรานอนหลับและฝันเกี่ยวกับประสบการณ์ของเราใช่ไหม ? ขอให้เราพิจารณาคำถามอันนี้ตามลำดับ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ ม.ค. 31, 2009 3:51 am

แบบแผนต่างๆในช่วงระหว่างการหลับฝัน

พวกเราส่วนใหญ่ทราบว่า การฝันเป็นประสบการณ์ที่เข้มข้น ซึ่งตามมาด้วยภาพที่ไม่ปกติและการขานรับในด้านอารมณ์ความรู้สึกที่สุดๆ ด้วยความสนุกสนานและความกลัว. จากการศึกษาความฝัน ความฝันเป็นจำนวนมากได้รับการบันทึกเอาไว้ หลังจากที่ผู้เข้ารับการทดลองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับในขั้น REM sleep ซึ่งจากการศึกษาได้บอกกับเราว่าเราฝัน 4-5 ครั้งในทุกๆคืน และส่วนใหญ่ของความฝันค่อนข้างจะธรรมดาๆ. พวกเราฝันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเล่นฟุตบอล, อยู่บนรถประจำทาง, กำลังสอบไล่, และกิจกรรมในชีวิตประจำวันอย่างอื่นๆ. บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกถึงความฝันที่แปลกๆด้วย เช่นเดียวกับฝันร้ายที่น่ากลัวต่างๆ

Freud ยืนยันว่าความฝันเป็นการสะท้อนถึงความทรงจำและความรู้สึกต่างๆ(dream reflect memories and feelings). นักศึกษามากมาย มีความคุ้นเคยดีกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ที่มีอิทธิพลต่อความฝัน พวกเขามักจะฝันเกี่ยวกับการสอบในช่วงระหว่างสัปดาห์ของการสอบอยู่บ่อยๆ

สำหรับความฝันแปลกๆนั้น นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองเรื่องการนอนหลับฝันได้บันทึกเอาไว้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ผู้เข้ารับการทดลองรายหนึ่งที่ชื่อว่า Ritchie. เขาฝันว่าได้เดินทางเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดในสถานที่หนึ่ง (ซึ่งความจริงก็คือ ในขณะที่ Ritchie กำลังหลับอยู่นั้นเขาได้ถูกพาเข้าไปยังห้องเก็บศพที่รอการชัณสูตรในช่วงระหว่างที่เขากำลังฝันู่). สภาพการณ์เหล่านี้อาจมีอิทธิพลต่อความฝันของเขา เพราะว่าเราไม่ได้ตัดเอาตัวกระตุ้นที่เป็นเรื่องภายนอกออกไปในช่วงระหว่างที่เรานอนหลับนั่นเอง.

การทดลองเรื่องการหลับฝันอีกรายหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ รายของ Alfred Maury ตัวเขาเองมีผู้ช่วยในการทดลองนี้ และเขาได้กำหนดให้ผู้ช่วยของเขา กระทำสิ่งต่างๆและคอยกระตุ้นเขาในขณะที่เขากำลังหลับ. เมื่อผู้ช่วยคนนั้นมาทำอะไรคันๆที่ริมฝีปากและจมูกของเขา, Maury ฝันไปว่า เขากำลังได้รับความทรมานอย่างเจ็บปวด. ต่อมา เมื่อผู้ช่วยเอามือโบกกลิ่นเครื่องหอมในอากาศ, เขาก็ฝันว่า เขากำลังอยู่ในตลาดแห่งหนึ่งในกรุงไคโร. และในขณะที่ทำการศึกษาอยู่นั้น บังเอิญส่วนหนึ่งของเตียงเกิดอุบัติเหตุลดต่ำลงไปบริเวณหลังคอของ Maury, ช่วงนี้ทำให้เขาฝันว่า เขากำลังจะถูกประหารโดยการตัดคอ.

นอกจากนี้ ความฝันต่างๆยังสามารถที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะแก้ไขมันได้ในยามตื่นด้วย. เรื่องที่คลาสสิคเรื่องหนึ่งหนึ่งคือ ภาพความฝันของ Friedrich August Kakule เกี่ยวกับงูตัวหนึ่งที่กัดกินหางของตัวมันเอง. Kakule, เป็นนักเคมีชาวเยอรมัน ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงโครงสร้างต่างๆของน้ำมันเบนซิน ซึ่งดูเหมือนมันไม่ประสบความสำเร็จเอาเลย. แต่ในความฝันของเขา มันได้เสนอแนะถึงโครงสร้างวงแหวนอันหนึ่งที่เสนอถึงทางออกหรือการแก้ปัญหาที่ถูกต้องให้กับเขา

ทำไมคนเราจึงต้องนอน

บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายกำลังประสบกับความก้าวหน้าในเรื่องความเข้าใจที่ว่า ทำไมคนเราจึงต้องนอน. ความเป็นไปได้อันหนึ่งก็คือว่า การนอนนั้นได้ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายของเรา. ยกตัวอย่างเช่น ตัวจ่ายระบบการส่งสัญญานของประสาท จะได้รับการเติมเต็มในช่วงระหว่างการนอน. ผลลัพธ์อันนี้บ่งว่ากิจกรรมอันนั้นได้รับการปรับระดับการส่งสัญญานของประสาท และการนอนช่วยฟื้นฟูตัวจ่ายระบบฯดังกล่าว.

ตามความเข้าใจนี้ ถ้ากิจกรรมยิ่งมากก็จะยิ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับปรุงระบบส่งสัญญานของประสาทมากขึ้น และมันก็จะส่งผลให้ต้องนอนมากขึ้น. แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการนอนนั้นจะไม่ได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยความต้องการเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะการที่เรานอนมากเท่าไร ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับเรามีกิจกรรมอย่างไร. ในการศึกษาครั้งหนึ่ง, Horne และ Minard(1985) ได้ให้หนุ่มสาวหลายคนกระทำกิจกรรมกันคนละอย่าง:

1) พวกแรก ให้พวกเขาทำกิจกรรมทั้งวันอย่างหนัก โดยการเดิน, การพูด, การท่องเที่ยว, และการเรียนรู้.

2) พวกที่สอง ทำกิจกรรมทั้งวันเพียงเล็กน้อยด้วยการทำอะไรนิดๆหน่อยๆ ยกเว้นการพักผ่อน.

เขาพบว่า จำนวนเวลาที่พวกคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ใช้ไปในการนอนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนกิจกรรมจากกิจกรรมหนึ่ง ไปยังกิจกรรมอีกอย่างหนึ่ง. ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากว่าการฟื้นฟูสมรรถภาพคือเหตุผลอันหนึ่งของการนอนแล้วละก็, มันก็เป็นที่ชัดเจนว่า ไม่ใช่เป็นเพียงเหตุผลเดียว.

เหตุผลอีกอันหนึ่งอาจจะเป็นว่า การนอนได้ช่วยปกป้องบรรพบุรุษของเราก่อนประวัติศาสตร์ โดยการทำให้พวกเขา สามารถที่จะสงวนพลังงานในช่วงเวลากลางคืนในถ้ำที่ปลอดภัย เมื่อสภาพแวดล้อมภายนอกถ้ำที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอันตราย หรือเป็นปรปักษ์กับพวกเขา. ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งก็คือว่า ชนรุ่นต่างๆของผู้คนในศตวรรษนี้กำลังนอนน้อยลงตามลำดับ. การลดเวลานอนลงอาจเป็นการสะท้อนถึงการค่อยๆปรับตัวสู่ข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่ต้องการบทบาทหน้าที่ของการนอนในการป้องกันอีกต่อไปแล้ว.

การนอนของสัตว์

แบบแผนของการนอนสำหรับสัตว์ที่ต่างชนิดกัน จะมีช่วงระยะเวลาการนอนที่แตกต่างกัน. แบบแผนการนอนอันนี้ได้ช่วยสนับสนุนความคิดที่ว่า ความไม่เหมือนกันในเรื่องการนอน เป็นบทบาทหน้าที่อันหนึ่งของการช่วยให้สัตว์ปลอดภัยจากสัตว์ต่างๆที่จับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร. เช่น แมว จะมัระยะเวลาการนอนนานกว่าสัตว์ชนิดอื่น เพราะมันไม่มีศัตรูทางธรรมชาติมากนัก. ส่วนม้าและแกะจะมีเวลานอนในวันหนึ่งๆน้อยมาก เนื่องจากมันมีศัตรูในธรรมชาติจำนวนมาก.

การปรับเวลานอนใหม่ของมนุษย์

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ชนรุ่นต่างๆของผู้คนในศตวรรษนี้กำลังนอนน้อยลงตามลำดับ. การลดเวลานอนลงอาจเป็นการสะท้อนถึง การค่อยๆปรับตัวสู่ข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่ต้องการบทบาทหน้าที่ของการนอนในการป้องกันอีกต่อไปแล้ว ซึ่งอันนี้ต่างไปจากสัตว์. จังหวะต่างๆของการนอนเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ได้มาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเทียมหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ซึ่งได้ตัดเราออกจากแสงสว่างและเครื่องหมายภายนอกของเวลาอย่างอื่นๆ

มนุษย์ในสมัยโบราณสังเกตุแสงของพระอาทิตย์ขึ้นเป็นการบอกเวลาเช้า ราวกับว่าพวกเขาเราได้รับนาฬิกาชีวภาพภายใน(internal biological clock)ที่คอยทำหน้าที่ควบคุมจังหวะต่างๆเหล่านี้เอาไว้. บรรพบุรุษของเราแทบจะไม่ต้องการที่จะปรับเปลี่ยนหรือตั้งนาฬิกาชีวภาพเหล่านี้เลย. แต่สำหรับทุกวันนี้ การปรับแก้เป็นที่ต้องการอยู่บ่อยๆ อย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้ซึ่งอาจจะเรียนตลอดทั้งคืน(อ่านหนังสือ), หรือคนงานที่เข้างานเป็นผลัดๆ ผู้ซึ่งต้องสลับผลัดงานของตนจากกลางวันไปเป็นกลางคืน และบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย ผู้ซึ่งเดินทางข้ามเส้นแบ่งของเวลาหรือโซนของเวลา(time zones).

อาการง่วงนอน หลังจากบินในระยะทางไกลๆ

อาการง่วงนอนหลังจากบินในระยะทางไกลๆ(jet lag)เป็นความไม่สบายที่เรามักจะประสบหลังจากเดินทางข้ามโซนของเวลาหลายๆโซนด้วยกัน. เราน่าจะทราบถึงความรู้สึกอันนั้น เว้นแต่ว่าเราไม่ได้เดินทางในระยะไกล หรือมิฉะนั้นก็ เราเป็นคนหนึ่งของคนที่โชคดีเพียง 15% ผู้ซึ่งไม่ต้องประสบกับอาการดังกล่าว.

อาการ jet lag สามารถรวบรวมลักษณะอาการบางอย่างดังต่อไปนี้หรือทั้งหมดเหล่านี้เอาไว้ด้วยกันคือ : ความง่วงนอน, ความอ่อนเพลีย, ความรู้สึกหดหู่, อาการนอนไม่หลับ, การฉุนเฉียวง่าย, ความสับสน, และการสูญเสียความจำไป. การเปลี่ยนแปลงต่างๆยังเกิดขึ้นกับหน้าที่พื้นฐานต่างๆของร่างกายด้วย อย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, ความดันเลือด, และกระบวนการหายใจ.

jet lag เป็นสิ่งที่แย่มากเมื่อเราข้ามเส้นแบ่งโซนของเวลาตั้งแต่ 4 โซนขึ้นไป, เมื่อเราหลงเวลาในการเดินทางจากตะวันออกไปยังตะวันตก, และเมื่อเรามีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป. การฟื้นคืนอาการจาก jet lag จะต้องใช้เวลาในอัตราส่วนประมาณ 1 โซนต่อ 1 วัน(เช่นถ้าเราข้ามโซนของเวลา 4 โซน ต้องใช้การฟื้นตัวประมาณ 4 วัน). อย่างชัดเจน, อาการ jet lag สามารถที่จะหยุดชงักความสนุกสนานของเราลงไปได้ ถ้าหากว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาพักผ่อน หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติงานของเราหากว่าเรากำลังเดินทางเพื่อธุรกิจ. โชคดี, มันมีขั้นตอนต่างๆที่เราสามารถปฏิบัติได้เพื่อลดอาการแตกแยกอันนี้ที่มีสาเหตุมาจาก jet lag. ขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ได้รับการวางกรอบอยู่ในข้อมูลของผู้โดยสารเครื่องบิน, ของทั้งบรรดากีฬา, นักบริหาร, เจ้าหน้าที่ด้านการทหาร, และนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักผ่อนต่างๆ. ข้อแนะนำต่อไปนี้เป็นการรวบรวมขึ้นมาจากแหล่งข้อมูลดังที่อ้างไว้ข้างต้น:

ก่อนการเดินทาง

ควบคุมเวลาอาหารของเรา เพื่อว่าในวันที่เราต้องบิน เราจะได้พร้อมที่จะกินอาหารที่เหมาะสมกับเวลา ณ จุดหมายปลายทางของเรา. ควบคุมตารางเวลาการนอนและการพักผ่อนของเราเอาไว้ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องตึงเครียดหรือเกิดอาการฉุกละหุกเมื่อเริ่มต้นการเดินทางของเรา

ช่วงระหว่างการบิน

แต่งตัวอย่างสบายๆ และพยายามปลดเสื้อผ้าที่ที่รัดออก เร็วเท่าที่เราได้ที่นั่งบนเครื่องบิน แล้วให้ตั้งเวลานาฬิกาตามจุดหมายปลายทางของเรา และเริ่มต้นทำตัวให้ดำเนินชีวิตอยู่กับเวลานั้นในใจ. ถ้าหาก ว่าเวลาในจุดหมายปลายทางของเราเป็นช่วงเวลาที่เรามักจะวิ่งจ็อกกิ้งเสมอ, ให้จินตนาการว่ากำลังวิ่งจ็อกกิ้งอยู่. เราอาจพยายามออกกำลังกายบางอย่างด้วยก็ได้ ในที่นั่ง. ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะโน้มคอไปข้างหลังสัก 5 ครั้งเพื่อบริหารคอและบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลังด้านบน. หรืออาจจะเบ่งและผ่อนคลายหน้าอก, ท้อง, และตะโพกสัก 5 ครั้ง. กินอาหารเบาและ, ถ้าเป็นไปได้, กินอาหารที่เหมาะสมกับเวลาตามเวลาในจุดหมายปลายทางที่จะไปถึง. พยายามหลีกเลี่ยงพวกลูกกวาด, คาเฟอีน, และพวกแอลกอฮอล์ต่างๆ. เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่ได้พักผ่อน.

ยิ่งไปกว่านั้น, พวกคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะเพิ่มเอฟเฟคส์ต่างๆในการขจัดน้ำออกจากร่างกายของห้องผู้โดยสารที่เพิ่มความกดดัน. ให้ดื่มน้ำผลไม้มากๆและน้ำเปล่าแทน. สำหรับนักเดินทางที่มีประสบการณ์บางคน พยายามที่จะดื่มน้ำผลไม้แก้วหนึ่ง หรือน้ำเปล่าสำหรับทุกๆชั่วโมงที่พวกเขากำลังบินอยู่. ท้ายที่สุด, ให้นอนและตื่นขึ้นตามตารางเวลาในจุดหมายปลายทางของเรา.

เมื่อคุณถึงที่หมาย

ให้นอนตามเวลาของท้องถิ่นนั้นๆที่เราไปถึง ทั้งการกินอยู่ และการทำกิจกรรมต่างๆไปตามตารางเวลาทุกประการ. หากว่าเราจะต้องนอนในช่วงระหว่างเวลากลางวัน, ให้นอนน้อยกว่าสองชั่วโมง. ให้ออกนอกบ้านในตอนที่มีแสงสว่าง(หมายถึงเวลาเช้า เร็วเท่าที่จะทำได้สักประมาณ 2 ชั่วโมง, ถ้าเป็นไปได้). แสงสว่างของดวงอาทิตย์จะช่วยใหเราปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกายใหม่เร็วขึ้น. ในท้ายที่สุด, ดื่มนมสักแก้วหรือกินไอศครีมก่อนที่จะเข้านอนถ้าหากว่ามีปัญหาในเรื่องการนอน.

ข้อแนะนำข้างต้นฟังดูแล้วคล้ายกับการรักษาแบบพื้นบ้านในสมัยก่อน และมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ. แต่มันก็วางอยู่บนรากฐานที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์นมมีคุณสมบัติหลายประการที่มีอิทธิพลต่อความง่วงเหงาหาวนอน.

ถ้าหากว่าเรายังไม่สามารถปรับตัวได้ ก็ควรจะพิจารณายานอนหลับต่างๆ. ตามข้อเท็จจริง, หนึ่งในยานอนหลับที่นิยมกินกันก็คือ triazolam (ชื่อตามท้องตลาดก็คือ Halcion) ซึ่งได้รับการทดสอบแล้วว่า เป็นไปได้ที่จะสามารถช่วยในการจัดการนาฬิกาชีวภาพได้. เราอาจจะต้องทดลองดู หากว่าวิธีการอื่นๆมันล้มเหลวทั้งหมด แต่ควรจะต้องระมัดระวังด้วย. ยาตัวนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า อย่างน้อยจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีหรือเป็นประโยชน์อยู่ 2 ประการด้วยกันคือ ประการแรกคือ เราจะนอนเป็นพักๆอยู่สักคืนสองคืนเมื่อเราหยุดกินยา. ประการที่สอง, เราะประสบกับปัญหาเรื่องความจำเสื่อมหรือความจำเลวลง สำหรับกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่ยาออกฤทธิ์อยู่ในกระแสเลือด.

คำแนะนำต่างๆเหล่านี้ เป็นไปได้ที่อาจจะไม่ทำให้เราสามารถที่จะเอาชนะอาการ jet lag ได้อย่างสมบูรณ์. แต่มันน่าจะช่วยลดอาการที่ไม่สบายต่างๆของการเปลี่ยนแปลงเรื่องโซนเวลาของเราได้บ้าง. สิ่งที่ทำงานได้ผลดีที่สุดสำหรับคนๆหนึ่งนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้ผลดีที่สุดสำหรับคนอีกคนหนึ่ง. ด้วยเหตุนี้ เราควรที่จะคิดถึงข้อแนะนำต่างๆเหล่านี้ในฐานะที่เป็นแนวทาง สำหรับพัฒนาแผนการณ์ต่างๆของตัวเราเองเพื่อการบินที่เป็นปกติ. 

ขอบคุณ vcharkarn.com (เนื้อหาต้นฉบับ ถูกปิดserverแล้ว)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ ม.ค. 31, 2009 3:54 am


"ผู้เข้ารับการทดลองรายหนึ่งที่ชื่อว่า Ritchie. เขาฝันว่าได้เดินทางเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดในสถานที่หนึ่ง (ซึ่งความจริงก็คือ ในขณะที่ Ritchie กำลังหลับอยู่นั้นเขาได้ถูกพาเข้าไปยังห้องเก็บศพที่รอการชัณสูตรในช่วงระหว่างที่เขากำลังฝันู่). สภาพการณ์เหล่านี้อาจมีอิทธิพลต่อความฝันของเขา เพราะว่าเราไม่ได้ตัดเอาตัวกระตุ้นที่เป็นเรื่องภายนอกออกไปในช่วงระหว่างที่เรานอนหลับนั่นเอง. "



อย่างนี้ ใครอยู่บ้าน แล้วฝันเรื่องผี บ่อยๆ ก็...สวดกันดีๆๆนะคับ  ::011::

ว่าแต่ ใครเคยหลับในวัดแล้วฝันบ้างป่าว (เค้าน่าจะทดลองในโบสถ์ดูนะ น่าหลับเหมือนกัน หลายที่ อากาศเย็น สงบ เชียวแหละ)  ::003::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ ม.ค. 31, 2009 8:13 am

ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่นะครับ ::001::
Joseph
โพสต์: 2182
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 27, 2005 6:31 am

เสาร์ ม.ค. 31, 2009 7:56 pm

พี่เคยอ่านหนังสือจิตวิทยาเรื่อง "ความฝัน" เขาบอกทั้งคนทั้งสัตว์ฝันเป็นหมดเวลาเราผักผ่อนร่างกายหยุดทำงาน แต่สมองยังไม่ได้หยุดทำงานจะเก็บเอาความทรงจำไปฝันอะไรต่อมิอะไร เป็นเรื่องเป็นราว คนเราฝันทุกคืนไม่มีคืนไหนที่ไม่ฝัน ส่วนจะจำได้หรือไม่พี่เชื่อว่าน่าจะเป็นเหมือนที่น้องข้างบนยกมาให้อ่าน

ความฝันเป็นเรื่องธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีสมอง ถ้าไม่มีสมองก็ไม่ฝัน เพราะสมองจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีการหยุดพัก ถ้าสมองหยุดพักก็เท่ากับว่าสมองตายแล้ว คนเราฝันทุกคืนแต่จำได้หรือไม่ได้เท่านั้น

แต่มุมมองจากพระคัมภีร์แล้ว จะเห็นโจแซฟ ทำนายฝันได้ เอเสเคียเห็นภาพนิมิต นักบุญยอแซฟฝันเห็นทูตสวรรค์มาบอกให้เดินทางไปอียิปต์ นักบุญยอห์นฝันแล้วเขียนพระคัมภีร์วิวรรณ์ ดังนั้นจากพระคัมภีร์ก็สรุปได้ว่า ความฝันไม่ใช่แค่กินแล้วก็นอนแล้วก็ฝันตามธรรมชาติสมองมนุษย์เท่านั้น แต่หลางครั้งในฝันก็ยังติดต่อกับจิตอื่นๆ ได้ไม่ว่าวิญญาณของผู้ตายไปแล้ว ปีศาจ ทูตสวรรค์ แม่พระ นักบุญ แม้กระทั้งพระเยซูเอง แต่หลังๆ จะยากหน่อย แต่ที่บอยๆ คือวิญญาณผู้ตายไปแล้ว ลงมาก็ผีโสโครก(ปีศาจ) แล้วก็ปีศาจ(ปีศาจระดับทูตสวรรค์)
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ เสาร์ ม.ค. 31, 2009 8:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
siriya
โพสต์: 311
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 9:04 am

จันทร์ ก.พ. 02, 2009 12:35 pm

ดีจริง ๆ  พึ่งจะรู้นะเนี้ย
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

อังคาร ก.พ. 03, 2009 8:59 pm

ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ ::001::
ล็อคหัวข้อ