
วันนี้คาณิตา มีเรื่องจะเล่าให้เพื่อนๆอ่านคะ เป็นเรื่องราวของทำสอนที่ว่าไม่ให้รับประทานอาหารที่ถวายแด่รูปเคารพหรือพระอื่น
หลายคนคิดว่านี่เป็นแค่คำสอนธรรมดา แค่ไม่ให้ไปมีส่วนร่วมในพระอื่นเท่านั้น แต่ว่าความจริงแล้ว คำสอนนี้ได้ป้องกันภัยจากความมืดที่มองไม่เห็นอีกด้วย
ในสมัยที่เรายังเด็กเล้กๆอยู่นั้น ไม่เคยรู้จักพระคริสต์ ไม่รู้จักคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์นี้เลย เพราะว่าครอบครัวและต้นตระกูลเป็นพูธ และถ้าเป็นพุธแบบเพียวๆจะไม่ว่าเลยคะ แต่เป็นพุธบวกพราหม์ วัฒนธรรมของพวกเราในจ.สุรินทร์ส่วนใหญ่ตกทอดมาจากสมัยขอมโบราณหรือเขมร ที่คนส่วญ่ใหญ่จะบูชาภูติผี พระศิวะ ศิวะลึง เคารพดวงวิญญาณทั้งหลายที่มีอยู่ในท้องถิ่น อะไรพวกนี้ละ และที่แย่กว่านั้น ปู่ทวดและอีกหลายๆคนในตระกูลของเราเป็นหมอผี คนทรง(ปัจจุบันพี่สาวของย่ายังเป็นอยู่)
นานมาแล้วตอนที่ทวดยังไม่ตาย ท่านเคยบอกเราว่า "อย่าไปกินของที่เขาเซ่นภูตผี ห้ามกินของที่เขาได้ถวายแด่ดวงวิญาณแล้วเด็ดขาด เพราะมันอันตราย"
ทุกคนคงอยากจะบอกว่าโอ้ยไครมันจะไปกล้ากินของเซ่น แต่ว่าใน จ.สุรินทร์บ้านของเรานั้นเขาจะกินของเซ่นกันนะคะ เช่นในช่วงเทสกาล "แซนโดนยัยโดนตา" แปลเป็นภาษาไทยภาคกลางคงจะแปลได้ว่า "การเซ่นไหว้บรรพบุรษ" คือจะนำอาหารมาหลากหลาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือเหล้าขาว(ผีชอบกินหรือคนชอบกันแน่)มาใช้ในพิธี พอเซ่นเสร็จแล้วก้จะแบ่งกันกิน
ตอนนั้นเราเพิ่งได้รู้ว่าพระเจ้าท่านทดสอบลองใจอยู่ เพราะวันนั้น มัวแต่วิ่งเล่นไม่ได้กินข้าวเช้า(ตามประสาเด็ก)หิวข้าวมากๆ แล้วพวกญาติๆก้เรียกให้เราไปกินของที่เหลือจากการเซ่น ตอนนั้นละสะดุ่งเพราะไปคิดถึงคำที่ทวดสอนไว้ว่าห้ามกิน เพราะจะเป็นอันตราย กลัว สุดท้ายก็อดข้าวจนถึงเช้าอีกวันหนึ่ง5555555 เวรกำจริง5555
เคยมีคนถามเราว่า กินของเซ่นแล้วจะเป็นอันตรายยังไง เราเองเคยถามทวดที่เป็นหมอผี ท่านก้ได้บอกว่า "อันตรายสิ... เพราะไม่รู้ว่าใครแอบเล่นของ ไส่คุณสัยให้เราบ้าง สมัยก่อน เขามักจะส่งผ่านคุณสัยไปทางของเซ่นเหล่านี้ บางครั้งคนแปลกหน้ามายื่นของกินให้ก้ห้ามรับมากินระวังจะมีภัยถึงชีวิต"
ถึงแม้ว่าการเล่นของส่วนไหญ่ใช้แต่ในสมัยก่อน แต่ทุกวันก้ยังมีคนใช้วิชาเหล่านี้หลงเหลืออยุ่บ้าง นอกจากเรื่องของเซ่นแล้ว ให้ระวังเรื่องการสะเดาะเคราะณ์ด้วย
หลายคนอาจเข้าใจว่า การสะเดาะเคราะห์เป็นพิธีเอาเคราะห์ออกจากตัวเอง แล้วมันจะอันตรายตรงใหน ข้อนี้ทวดของเราก็ได้บอกว่า
การสะเดาะเคราะห์ เป็นการนำเคราะห์ออกจากตนเองก็จริง แต่ว่า การสะเดาะเคราะห์ มันก้มีอยู่สองรูปแบบ คือ
1 แค่ทำให้ผู้ที่คิดว่าตนเองมีเคราะห์สบายใจ อาจจะแค่ทำกะทงสะเดาะเคราะห์ สวดบ่นๆพักหนึ่ง แล้ว เอากระทงนั้นไปทิ้งตามสี่แยก
2.พิธีนี้สำหรับคนมีเคราะห้สาหัด นักไสยเวทย์สมัยก่อน(และพวกที่เป็นหมอผีจริงจะทำ ไม่ใช่พวกต้มตุ๋น) จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ ผู้ที่มาร้องขอ เป็นการนำเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ภัยไข้เจ็บต่างๆ ออกจากตนเองแล้วโยนให้คนอื่นเป็นผู้รับเคราะห์แทน คือจะมีการทำกะทงสะเดาะเคราะห์ แบบข้อ1 มาวางตรงสี่แยก ไครที่บังเอินเดินผ่านไปไกล้อณาเขต เหยียบ ข้าม จะได้รับเคราะห์ตามที่คนทำพีธีนั้นกำหนดไว้
ดังนั้นทวดจึงบอกเราว่าให้ระวัง อย่าไปไกล้หรือเหยียบ ข้าม เด็ดขาด แล้วยังย้ำอีกว่าถึงไม่เชื่อว่ามีการเล่นของจริงๆ แต่ยังไงก้ให้ระวังตัวไว้
นี่เป็นเรื่องที่ทวด ผู้เป็นหมอผีเล่าให้ฟังคะ (แต่แกเป็นหมอผีประเภท แก้ของ นะคะ ไม่ใช่โยนของไส่คนอื่น เพราะแกบอกว่ามันบาป)ปัจจุบันทวดตายไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เรายังเล้กๆเหมือนกันคะ แต่ยังจำคำสั่งสอนของแกเอาไว้ได้ จึงอยากเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟัง
ทุกวันนี้เราไม่กลัวเดรฉานวิชาเหล่านี้อีกแล้ว เพราะว่า พระเจ้าทรงปกป้องดุแลให้ปลอดภัย ขอขอบคุรพระเจ้าที่นำพามาสู่ทางพระองค์
หมายเหตุ อีกนิดหนึ่งคะ ท่านทวดยังเตือนเอาไว้อีกว่า "อย่ามายุ่งกับ เดรฉานวิขา เหล่านี้เลย ศึกษาได้ แต่ห้ามยุ่งเกี่ยว เมื่อใดที่เป็นมันขึ้นมาแล้ว ก้ต้องมีสักครั้งที่ต้องนำออกมาใช้ จงจำไว้ว่า ถ้าทำร้ายผู้อื่นด้วยอวิชา มันจะย้อนเข้าหาตนเองถึง3เท่า จิตใจมนุษย์มันอ่อนแอเกินไป เมื่อแรกเป็นนาย แต่ไม่นานจะโดนคราบงำด้วยอวิชานั้น และไม่เคยที่มีนักไสยเวทคนไหนตายดี"
นายแห่งอวิชานั้น ทวดบอกว่า คือ เท้า เวสวัญ ในคำภี อภรรพณ์เวทย์ของฮินดู ท่านเป็นนายของพยายักษ์ เป็นเจ้าแห่งอสูระกาย เจ้านายแห่งป่าช้า หรือเป็นเจ้านายสูงสุดเหนือพยามารทั้งมวล ตำแหน่งนี้มันคุ้นๆเนอะว่ามั้ยคะ