การฝึกสมาธิตามหลักพุทธถือเป็นบาปรึป่าวครับ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
13PM.
โพสต์: 428
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:54 am
ที่อยู่: ลุ่มแม่น้ำกังตั๋ง

พฤหัสฯ. เม.ย. 09, 2009 5:31 pm

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบฝึกสมาธิตามหลักพุทธ แต่เป้นเพียงการนำหลักการมาใช้เท่านั้นนะครับไม่ได้นับถืออะไร หลักการที่นำมาใช้ก็อย่างเช่นการทำอณาปาณสติ และการตัดต้นเหตุของทุกข์ซึ่งนำมาใช้ในการปฏิบัติสมาธิ ผมทำเป้นประจำหลายปีแล้ว ก็อยากจะถามผู้รู้ว่าขัดกับหลักความเชื่อของคาทอลิกรึเปล่า เพราะผมก็เป็นคาทอลิกที่เค่รงครัดในการเข้าวัดพอสมควร

p.s. พระเจ้าอวยพรครับ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. เม.ย. 09, 2009 5:35 pm

ไม่ผิดหลักศาสนาครับ ศาสนาคริสต์ก็มีนะครับ
ทำสมาธิแบบศาสนาคริสต์สิครับ (หลักการเหมือนกับพุทธ)
ลองไปอ่านที่นี่นะครับ

---+++การทำสมาธิในคริสตศาสนา+++---
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=7247.0
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พฤหัสฯ. เม.ย. 09, 2009 9:33 pm

ทำแล้ว รักผู้อื่นมากขึ้นมั้ยล่ะคะ  เข้าใจความรักมากขึ้นมั้ย  จิตใจอ่อนโยนมากขึ้นมั้ย  ให้อภัยมากขึ้นมั้น  มีความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้ามากขึ้นมั้ย  เข้าใจรหัสธรรมล้ำลึกเพิ่มขึ้นมั้ย  อ่านพระคัมภีร์เข้าใจมากขึ้นมั้ย

การดับทุกข์  ถ้าฝึกแล้ว เรายินดีที่จะพลีกรรมมากขึ้นมั้ย หรือว่า กลายเป็นว่า การพลีกรรมอ่อนลงไป

การเจริญอณาปาณสติ  หลังจากออกสมาธิแล้ว เราคิดว่า เราเหนือกว่าคนอื่นทั่วไปหรือไม่ที่สามารถทำได้  หรือว่า มันช่วยให้เราได้ยินเสียงพระมากขึ้นหรือไม่  หรือได้ยินเสียงตัวเองดังกว่า

จากประสบการณ์นะคะ การฝึกสมาธิแบบพุทธ สิ่งที่ต้องระวังมากคือ เรื่องความจองหอง จะเข้ามาง่ายมากๆ  เราควรมีเป้าหมายที่ชัดว่า เราฝึก เพื่อที่เราจะได้ยินเสียงพระได้ดีขึ้น เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์แนบแน่นขึ้น

อันนี้เป็น guideline คร่าวๆนะคะ ที่น่าจะช่วยพิจารณาว่า บาปหรือไม่บาป  หลักๆก็คือ ความสัมพันธ์กับพระน่ะค่ะ ทางคริสต์ เมื่อเราภาวนา ความสัมพันธ์กับพระเราจะมากขึ้น นั่นคือ เราจะรู้จักกันและกันมากขึ้น เรารู้จักพระ พระรู้จักเรา(อยู่แล้ว) แต่พระองค์จะบอกให้เรารู้มากขึ้นว่า เราคือใคร นั่นคือ เราจะรู้จักตัวเอง จากการเปิดเผยของพระ ไม่ได้รู้ เพราะเรารู้เอง

พระอวยพรนะคะ
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 7:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 7:36 pm

เสริมนิดนะคะ  สำหรับเรื่องทั่วๆไปด้วย

หลายอย่างที่ เราไม่เห็นว่า เป็นบาป แต่ถ้าทำไปแล้ว มันไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์เรากับพระเลย เราก็ไม่น่าเสียเวลาทำนะคะ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
yack
โพสต์: 816
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 11, 2008 11:01 am

ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 7:58 pm

ระลึกถึงพระก็เป็นการทำสมาธินะเเบบว่าทำใจให้สงบปล่อยทุกอย่างไว้ข้างนอกสมอง เเละทำใจให้ว่างเเละเติมให้เต็มด้วยความรัก
ก็จะทำให้เรา รู้สึกเหมือนได้เห็นความรักของพระองค์ เเละได้ไกล้ชิดพระองค์มากขึ้น ทำให้เรามองโลกในมุมมองใหม่มากขึ้นมุมมองเเห่งความรัก
จะทำให้เรามีกำลังสู้ต่อไปกับเรื่องต่าง ๆ เเละมีสติ มากพอที่จะจัดการปัญหาต่าง ๆ

บางทีเราก็ให้พระองค์ตรัสกับเราก็ได้นะ ว่าต้องการให้เราทำอะไร หรือว่า เราควรทำอย่างไรต่อไป

อ่าต่อด้วยการอ่านพระคำภีก็ดีนะ จะได้รู้ว่าพระจะตรัสอะไรกับเราใง  ::011::
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 11:34 pm

ผมขอออกความเห็นนิดหน่อยแล้วกันนะครับ เรื่องบาปไม่บาปผมคงตัดสินใจตอบไม่ได้หรอก เพราะไม่รู้เหมือนกัน
แต่ที่ผมรู้คือว่าของเราเองก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว ขุมทรัพย์ในพระคัมภีร์ที่จะทำให้เราละ ปล่อยวางอย่างทางโน้นเขาก็ตั้งเยอะ รำพึงพระวาจาอย่างเดียวก็บานตะไทแล้ว อยากตัดต้นเหตุของทุกข์ก็ง่ายๆโดยยกให้เป็นธุระของพระ ถ้ายกให้แล้วมันไม่หายทุกข์แสดงว่าทุกข์นั้นย่อมไม่ใช่ธุระของพระ เมื่อไม่ใช่ธุระของพระก็ย่อมเป็นธุระของมนุษย์ เมื่อเป็นธุระของมนุษย์ก็ย่อมต้องเหนื่อยแบบมนุษย์คือเหนื่อยแบบที่ต้องการปล่อยให้มันโล่งๆ โล่งไปโล่งมาเห็นแก้วกลางกาย มาๆไปๆชักตาลายงงๆ โล่งไปโล่งมา ระวังพระจะหายไปด้วยน่อ

ทุกข์ของเราบนโลกนี้เป็นเพราะเราอยู่ในชีวิตเนรเทศไม่ใช่หรือ โดยความทุกข์นั้นเราจะได้รับรางวัลทีหลังไม่ใช่หรือ แล้วใยเราต้องไปตัดต้นเหตุแห่งทุกข์เสียล่ะ พระเยซูยังไม่ผลักถ้วยของพระองค์ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เลย แล้วเราจะไปตัดทุกข์ทำไม ยินดีกับมันดีกว่า เมื่อยินดีกับมันได้มันก็ไม่ทุกข์ พระองค์ก็สอนเราไว้อย่างนี้ ทำไมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำสมาธิให้เป็นที่สะดุดกันโครมครามด้วย ที่ว่าสะดุดเพราะว่าหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจก็เลยสะดุด ฝ่ายทางโน้นเองก็คงบอกว่า ดูสิ พวกคริสต์ยังต้องมานั่งสมาธิ ไปๆมาๆเราเลยอดเป็นเกลือและเป็นแสงสว่างไปเสียอย่างน่าเสียดาย เพราะจะไปอธิบายให้เขาฟังว่าเวลาฉันมีความทุกข์ฉันมองเห็นพระองค์บนไม้กางเขนแล้วฉันก็ได้รับการบรรเทาก็ไม่ได้ เพราะว่ายังต้องไปนั่งสมาธิเพื่อดับต้นเหตุแห่งทุกข์โดยไม่ได้มองไปที่ไม้กางเขน

ผมอาจจะมีมุมมองที่แคบไปหน่อยก็ได้ แต่ผมไม่รังเกียจศาสนาอื่น แต่ผมเชื่อมั่นในสมบัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบให้แก่ผมแล้ว ทั้งครบหมดแล้ว ผมเลยไม่เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความสบายใจอีก

ด้วยความเคารพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

เสาร์ เม.ย. 11, 2009 12:08 am

เป้าหมายของการทำสมาธิของคุณ คืออะไรครับ

นั่นเป็นคำตอบที่จะชี้ให้คุณดูว่า คุณทำได้ หรือไม่ได้

เหมือนคำถามที่ว่า

คุณกินยาเพื่ออะไร

เพื่อรักษา เพื่อบรรเทา เพื่อเสพติด เพื่อฆ่าตัวตาย?

พิจารณาออย่างง่ายได้ใช่ไหมครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

เสาร์ เม.ย. 11, 2009 12:17 am

อันตน เขียน: ผมขอออกความเห็นนิดหน่อยแล้วกันนะครับ เรื่องบาปไม่บาปผมคงตัดสินใจตอบไม่ได้หรอก เพราะไม่รู้เหมือนกัน
แต่ที่ผมรู้คือว่าของเราเองก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว ขุมทรัพย์ในพระคัมภีร์ที่จะทำให้เราละ ปล่อยวางอย่างทางโน้นเขาก็ตั้งเยอะ รำพึงพระวาจาอย่างเดียวก็บานตะไทแล้ว อยากตัดต้นเหตุของทุกข์ก็ง่ายๆโดยยกให้เป็นธุระของพระ ถ้ายกให้แล้วมันไม่หายทุกข์แสดงว่าทุกข์นั้นย่อมไม่ใช่ธุระของพระ เมื่อไม่ใช่ธุระของพระก็ย่อมเป็นธุระของมนุษย์ เมื่อเป็นธุระของมนุษย์ก็ย่อมต้องเหนื่อยแบบมนุษย์คือเหนื่อยแบบที่ต้องการปล่อยให้มันโล่งๆ โล่งไปโล่งมาเห็นแก้วกลางกาย มาๆไปๆชักตาลายงงๆ โล่งไปโล่งมา ระวังพระจะหายไปด้วยน่อ

ทุกข์ของเราบนโลกนี้เป็นเพราะเราอยู่ในชีวิตเนรเทศไม่ใช่หรือ โดยความทุกข์นั้นเราจะได้รับรางวัลทีหลังไม่ใช่หรือ แล้วใยเราต้องไปตัดต้นเหตุแห่งทุกข์เสียล่ะ พระเยซูยังไม่ผลักถ้วยของพระองค์ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เลย แล้วเราจะไปตัดทุกข์ทำไม ยินดีกับมันดีกว่า เมื่อยินดีกับมันได้มันก็ไม่ทุกข์ พระองค์ก็สอนเราไว้อย่างนี้ ทำไมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำสมาธิให้เป็นที่สะดุดกันโครมครามด้วย ที่ว่าสะดุดเพราะว่าหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจก็เลยสะดุด ฝ่ายทางโน้นเองก็คงบอกว่า ดูสิ พวกคริสต์ยังต้องมานั่งสมาธิ ไปๆมาๆเราเลยอดเป็นเกลือและเป็นแสงสว่างไปเสียอย่างน่าเสียดาย เพราะจะไปอธิบายให้เขาฟังว่าเวลาฉันมีความทุกข์ฉันมองเห็นพระองค์บนไม้กางเขนแล้วฉันก็ได้รับการบรรเทาก็ไม่ได้ เพราะว่ายังต้องไปนั่งสมาธิเพื่อดับต้นเหตุแห่งทุกข์โดยไม่ได้มองไปที่ไม้กางเขน

ผมอาจจะมีมุมมองที่แคบไปหน่อยก็ได้ แต่ผมไม่รังเกียจศาสนาอื่น แต่ผมเชื่อมั่นในสมบัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบให้แก่ผมแล้ว ทั้งครบหมดแล้ว ผมเลยไม่เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความสบายใจอีก

ด้วยความเคารพ
เข้ามาเห็นด้วยกับความเห็นเท่าเจ้าคณะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
13PM.
โพสต์: 428
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:54 am
ที่อยู่: ลุ่มแม่น้ำกังตั๋ง

เสาร์ เม.ย. 11, 2009 1:21 pm

โดยส่วนตัวผมแล้วเป้าหมายที่ฝึกสมาธิแบบนี้ก้เพื่อทำให้ใจสงบแล้วเกิดปัญญาครับไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง สำคัญคือมีสติ ก็อย่างที่บอกครับว่าในทางปฏิบัติกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาเพราะนำหลักการฝึกสมาธิของชาวพุทธมาใช้ อย่างไรเสียก้ขอขอบพระคุณทุกท่านที่แนะนำนะครับแล้วจะลองปรับใช้ดู
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

เสาร์ เม.ย. 11, 2009 1:47 pm

joruno เขียน: โดยส่วนตัวผมแล้วเป้าหมายที่ฝึกสมาธิแบบนี้ก้เพื่อทำให้ใจสงบแล้วเกิดปัญญาครับไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง สำคัญคือมีสติ ก็อย่างที่บอกครับว่าในทางปฏิบัติกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาเพราะนำหลักการฝึกสมาธิของชาวพุทธมาใช้ อย่างไรเสียก้ขอขอบพระคุณทุกท่านที่แนะนำนะครับแล้วจะลองปรับใช้ดู
สวดขอพระจิตเจ้าด้วยใจศรัทธา ง่ายกว่าไหม ::015::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ เม.ย. 11, 2009 8:52 pm

อันตน เขียน:
joruno เขียน: โดยส่วนตัวผมแล้วเป้าหมายที่ฝึกสมาธิแบบนี้ก้เพื่อทำให้ใจสงบแล้วเกิดปัญญาครับไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง สำคัญคือมีสติ ก็อย่างที่บอกครับว่าในทางปฏิบัติกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาเพราะนำหลักการฝึกสมาธิของชาวพุทธมาใช้ อย่างไรเสียก้ขอขอบพระคุณทุกท่านที่แนะนำนะครับแล้วจะลองปรับใช้ดู
สวดขอพระจิตเจ้าด้วยใจศรัทธา ง่ายกว่าไหม ::015::
ในความเงียบนะคะ  มันจะมีการเผยแสดงของพระเป็นเจ้าอยู่แล้ว ประเด็นคือ ถ้าเรารู้ว่า นี่คือ การไขแสดงจากพระเป็นเจ้า คือผลงานพระจิตเจ้า เราจะไม่จองหอง แต่ถ้าเราคิดว่า การเผยแสดง หรือ ปัญญา ปรีชาญาณ หรือ wisdom ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากฝีมือเรา เกิดจากการกำหนดสติของเรา อันนั้นแหละ ความจองหองจะเข้ามา  ::001:: เพราะอย่าลืมว่า ถ้าพระเป็นเจ้าจะกระทำแล้ว คนที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลย แต่เค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระ  พระองค์ก็ทำให้เค้าเกิดปัญญาได้เหมือนกัน  ::001::

ถ้าเคยทำอาณาปาณสติ  และชอบการนั่งสมาธิแบบนี้ ไม่ลองไปเข้าเงียบกับเยซูอิตดูล่ะคะ  น่าจะชอบนะคะ  จะลืมแบบพุทธไปเลยล่ะ  ::004::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ เม.ย. 11, 2009 9:08 pm

ลองติคต่อดูตามนี้นะคะ  อันนี้ข้อมูลเก่าแล้ว แต่เบอร์โทรน่าจะยังใช้ได้ค่ะ

ฝึกปฏิบัติจิต เพื่อพบพระเจ้าในทุกสิ่ง
สนใจร่วมฝึกปฏิบัติจิต ครั้งต่อไป ติดต่อที่ พี่หมวย โทร 0-6795-8050

http://www.bangsaenchurch.org/Spiritual/exercise.html
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

อาทิตย์ เม.ย. 12, 2009 10:30 pm

Buddy เขียน: ลองติคต่อดูตามนี้นะคะ  อันนี้ข้อมูลเก่าแล้ว แต่เบอร์โทรน่าจะยังใช้ได้ค่ะ

ฝึกปฏิบัติจิต เพื่อพบพระเจ้าในทุกสิ่ง
สนใจร่วมฝึกปฏิบัติจิต ครั้งต่อไป ติดต่อที่ พี่หมวย โทร 0-6795-8050

http://www.bangsaenchurch.org/Spiritual/exercise.html
เห็นไหม ของเราก็มี ลองดูนะครับ
Cecilia_PEAR
โพสต์: 202
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:23 pm
ที่อยู่: 1506/504 ซ.7/ม.สราลี เทพารักษ์ สป. // อาสนวิหาอัสสัมชัญ
ติดต่อ:

ศุกร์ เม.ย. 17, 2009 1:20 am

อันตน เขียน: ผมขอออกความเห็นนิดหน่อยแล้วกันนะครับ เรื่องบาปไม่บาปผมคงตัดสินใจตอบไม่ได้หรอก เพราะไม่รู้เหมือนกัน
แต่ที่ผมรู้คือว่าของเราเองก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว ขุมทรัพย์ในพระคัมภีร์ที่จะทำให้เราละ ปล่อยวางอย่างทางโน้นเขาก็ตั้งเยอะ รำพึงพระวาจาอย่างเดียวก็บานตะไทแล้ว อยากตัดต้นเหตุของทุกข์ก็ง่ายๆโดยยกให้เป็นธุระของพระ ถ้ายกให้แล้วมันไม่หายทุกข์แสดงว่าทุกข์นั้นย่อมไม่ใช่ธุระของพระ เมื่อไม่ใช่ธุระของพระก็ย่อมเป็นธุระของมนุษย์ เมื่อเป็นธุระของมนุษย์ก็ย่อมต้องเหนื่อยแบบมนุษย์คือเหนื่อยแบบที่ต้องการปล่อยให้มันโล่งๆ โล่งไปโล่งมาเห็นแก้วกลางกาย มาๆไปๆชักตาลายงงๆ โล่งไปโล่งมา ระวังพระจะหายไปด้วยน่อ

ทุกข์ของเราบนโลกนี้เป็นเพราะเราอยู่ในชีวิตเนรเทศไม่ใช่หรือ โดยความทุกข์นั้นเราจะได้รับรางวัลทีหลังไม่ใช่หรือ แล้วใยเราต้องไปตัดต้นเหตุแห่งทุกข์เสียล่ะ พระเยซูยังไม่ผลักถ้วยของพระองค์ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เลย แล้วเราจะไปตัดทุกข์ทำไม ยินดีกับมันดีกว่า เมื่อยินดีกับมันได้มันก็ไม่ทุกข์ พระองค์ก็สอนเราไว้อย่างนี้ ทำไมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำสมาธิให้เป็นที่สะดุดกันโครมครามด้วย ที่ว่าสะดุดเพราะว่าหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจก็เลยสะดุด ฝ่ายทางโน้นเองก็คงบอกว่า ดูสิ พวกคริสต์ยังต้องมานั่งสมาธิ ไปๆมาๆเราเลยอดเป็นเกลือและเป็นแสงสว่างไปเสียอย่างน่าเสียดาย เพราะจะไปอธิบายให้เขาฟังว่าเวลาฉันมีความทุกข์ฉันมองเห็นพระองค์บนไม้กางเขนแล้วฉันก็ได้รับการบรรเทาก็ไม่ได้ เพราะว่ายังต้องไปนั่งสมาธิเพื่อดับต้นเหตุแห่งทุกข์โดยไม่ได้มองไปที่ไม้กางเขน

ผมอาจจะมีมุมมองที่แคบไปหน่อยก็ได้ แต่ผมไม่รังเกียจศาสนาอื่น แต่ผมเชื่อมั่นในสมบัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบให้แก่ผมแล้ว ทั้งครบหมดแล้ว ผมเลยไม่เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความสบายใจอีก

ด้วยความเคารพ
เข้ามาเหนด้วยเจ้าค่ะ

บางทีทุกข์ ก็เป็นพระพรของพระนะคะ ไม่เหนต้องไปวุ่นวายอาไรกะมันมากก  ฝากไว้ที่พระทั้งหมดเลย เชื่อมั่นวางใจในความรักของพระก็พอแร้ววว  อิอิ

จริงๆ สวดสายประคำก็ฝึกสมาธิดีนะคะ  : emo027 :  : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 :
Akira
โพสต์: 101
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 05, 2007 6:51 pm

ศุกร์ เม.ย. 17, 2009 4:33 pm

อันที่จริง สมาธิก็ไม่ใช่เรื่องแปลกพิศดารใดๆ เลย ในชีวิตประจำวันของเราก็มีการใช้สมาธิกันอยู่แล้ว เวลาวาดภาพ เวลาที่เราเพ่งไปเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือดูทีวีอย่างใจจดใจจ่อ นั่นก็เป็นการทำสมาธิแล้ว จะว่าไปแล้วเรื่องสมาธินี่ มันเป็นธรรมชาติของคนเรามากกว่า เมื่อจะกระทำสิ่งใดโดยเพ่งแต่เรื่องนั้น แม้ว่าจะตอบกระทู้ก็เถอะ ก็ถือว่าเป็นการใช้สมาธิแล้ว

ที่ต่างกันก็จะเป็นแค่แนวทางการทำมากกว่าว่าจะเอาไปจดจ่อกับอะไร เช่น ความว่าง หรือตัวเลข หรือพระ หรือลมหายใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
(⊙△⊙)คุณxuู๓้uxoม(⊙△⊙)
โพสต์: 892
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 12:38 am

จันทร์ เม.ย. 20, 2009 4:16 am

ใจอยู่กับพระ มิบาปเจ้าคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
^_^Matthew^_^
โพสต์: 354
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 2:03 am
ที่อยู่: 125 ม.7 ถ.ชัยภูมิ-สีคิ้ว ต.หนองนาแซง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ 36000
ติดต่อ:

จันทร์ เม.ย. 20, 2009 8:20 am

แต่ถ้ากันพี่น้องสะดุด ก็ทำส่วนตัวเองในห้องได้นะครับ
คริสตชนคนหนี่ง

จันทร์ เม.ย. 27, 2009 10:13 am

บาปคือการหันหลังให้พระเจ้า การทำตามใจตนเอง ทำเพื่อตัวเอง มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ทุกอย่างที่ทำเพื่อตัวเอง เป็นบาปทั้งสิ้น อาดัมเอวา เริ่มทำบาปครั้งแรกก็เพื่อตัวเอง กินผลไม้ต้องห้ามก็เพื่อตัวเอง ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ถ้าทำเพื่อพระเจ้าเห็นแก่พระองค์ก็จะยอมปฏิเสธความต้องการของตัวเอง เชื่อฟังพระองค์  เราทำทุกสิ่งได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำจะเป็นประโยชน์  ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่เราทำนั้น เราทำเพื่อพระเจ้า และทำให้เรารักพระองค์ เจริญขึ้นในความสัมพันธ์กับพระองค์หรือไม่เท่านั้นเองครับ  น้ำพระทัยพระเจ้าของพระเจ้าคือการที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ อยู่กับพระองค์ ทิ้งความบาป ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง กางเขนอยู่ตรงหน้า ยอมทนทุกข์ร่วมกับพระองค์ ทุกคนที่เลือกเดินทางแคบ ปลายทางคือแผ่นดินสวรรค์ ต้องแบกกางเขน ไปที่ไหนล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ไปสู่ความตาย  เราถึงต้องตาย ต้องปฏิเสธตัวเอง ปฏิเสธเนื้อหนัง ทุบตีเนื้อหนัง เพื่อพระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ตัวเราต้องด้อยลง  
                                                                                                                                                          พระเจ้าอวยพระพรครับ
                                                                                                                                                              คริสตชนคนหนึ่ง  
kactga
โพสต์: 6
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 31, 2009 12:44 am

พุธ พ.ค. 06, 2009 9:21 pm

โดยส่วนตัว ผมคิดว่า การสวดสายประคำ ก้ คือการผึกสมาธิอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ตอบกลับโพส