ความเชื่อ
เรื่องผี เชื่อแน่นอนอยู่แล้ว ศาสนาเราไม่ใช่ศาสนาที่เชื่อที่อยู่บนพื้่นฐานของเหตุผลแบบนักปราชญกรีกยุคนั้น หรือพวกศาสตรแห่งวิทยาศาสตรปัจจุบัน ที่ต้องพิสูตรได้ แต่ศาสนาคริสต์เราเชื่อในเรื่องที่อยู่หลังความตาย แล้วเป้าหมายชีวิตคริสตชนก็มุ่งไปที่ชีวิตหลังความตาย
21 ในโมงนั้นเอง พระเยซูทรงมีความเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณ จึงตรัสว่า " โอ ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมี ปัญญาและคนสุขุมรอบคอบ และได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้แก่ทารกน้อย ข้าแต่พระบิดา ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์(ลก.10:21)
ในพระคัมภีร์ก็กล่าวถึงผี ที่ใช้ทั้ง Devil และ Spirit
ที่กล่าวถึง Devil
มธ.8:28 - 32
8:28 ครั้นพระองค์ทรงข้ามฟากไปถึงแดนเกอร์กาซีแล้ว มีคนสองคนที่มีผีสิงได้ออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์ พวกเขาดุร้ายนัก จนไม่มีผู้ใดอาจผ่านไปทางนั้นได้
8:28 And when he was come to the other side into the country of the Gergesenes, there met him two possessed with devils, coming out of the tombs, exceeding fierce, so that no man might pass by that way
8:29 ดูเถิด เขาร้องตะโกนว่า "พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาที่นี่เพื่อจะทรมานพวกเราก่อนเวลาหรือ"
8:29 And, behold, they cried out, saying, What have we to do with thee, Jesus, thou Son of God? art thou come hither to torment us before the time?
8:30 ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
8:30 And there was a good way off from them an herd of many swine feeding.
8:31 ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ว่า "ถ้าท่านขับพวกเราออก ก็ขอให้เข้าอยู่ในฝูงสุกรนั้นเถิด"
8:31 So the devils besought him, saying, If thou cast us out, suffer us to go away into the herd of swine.
8:32 พระองค์จึงตรัสแก่ผีเหล่านั้นว่า "ไปเถอะ" ผีเหล่านั้นก็ออกไปเข้าสิงอยู่ในฝูงสุกร ดูเถิด สุกรทั้งฝูงนั้นก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายจนสิ้น
8:32 And he said unto them, Go. And when they were come out, they went into the herd of swine: and, behold, the whole herd of swine ran violently down a steep place into the sea, and perished in the waters.
ข้อพระคัมภีร์เหมือนกัน (มก 5:1-21; ลก 8:26-40) (Mark 5:1-21; Luke 8:26-40)
มก.1:39
1:39 พระองค์ได้ประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี และได้ขับผีออกเสียหลายผี
1:39 And he preached in their synagogues throughout all Galilee, and cast out devils.
ลก.4:33-36
4:33 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดัง
4:33 And in the synagogue there was a man, which had a spirit of an unclean devil, and cried out with a loud voice,
4:34 กล่าวว่า "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
4:34 Saying, Let us alone; what have we to do with thee, thou Jesus of Nazareth? art thou come to destroy us? I know thee who thou art; the Holy One of God.
4:35 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ" เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชาชนแล้ว ก็ออกมาจากเขา แต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
4:35 And Jesus rebuked him, saying, Hold thy peace, and come out of him. And when the devil had thrown him in the midst, he came out of him, and hurt him not.
4:36 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักพูดกันว่า "คำนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา"
4:36 And they were all amazed, and spake among themselves, saying, What a word is this! for with authority and power he commandeth the unclean spirits, and they come out.
1 ยน.3:8-9
3:8 ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย
3:8 He that committeth sin is of the devil; for the devil sinneth from the beginning. For this purpose the Son of God was manifested, that he might destroy the works of the devil.
3:9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า
3:9 Whosoever is born of God doth not commit sin; for his seed remaineth in him: and he cannot sin, because he is born of God.
ที่กล่้าวถึง Spirit
มก.6:49
49 เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี แล้วพากันร้องอึงไป
49 But when they saw him walking upon the sea, they supposed it had been a spirit, and cried out:
ข้อพระคัมภีร์ที่เหมือนกัน (มธ.14:26 ,ยน. 6:19)
ลก. 24:37-39
37 ฝ่ายเขาทั้งหลายสะดุ้งตกใจกลัวคิดว่าเห็นผี
37 But they were terrified and affrighted, and supposed that they had seen a spirit.
38 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม เหตุไฉนความคิดสนเท่ห์จึงบังเกิดขึ้นในใจของท่านทั้งหลายเล่า
38 And he said unto them, Why are ye troubled? and why do thoughts arise in your hearts?
24:39 จงดูมือของเราและเท้าของเราว่า เป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนท่านเห็นเรามีอยู่นั้น"
24:39 Behold my hands and my feet, that it is I myself: handle me, and see; for a spirit hath not flesh and bones, as ye see me have.
ดังนั้นในโลกใบนี้จึงมีผีที่เป็นทั้ง Devil(ปีศาจ) และ Spirit(ผีหรือวิญญาณ)
21 ในโมงนั้นเอง พระเยซูทรงมีความเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณ จึงตรัสว่า " โอ ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมี ปัญญาและคนสุขุมรอบคอบ และได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้แก่ทารกน้อย ข้าแต่พระบิดา ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์(ลก.10:21)
ในพระคัมภีร์ก็กล่าวถึงผี ที่ใช้ทั้ง Devil และ Spirit
ที่กล่าวถึง Devil
มธ.8:28 - 32
8:28 ครั้นพระองค์ทรงข้ามฟากไปถึงแดนเกอร์กาซีแล้ว มีคนสองคนที่มีผีสิงได้ออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์ พวกเขาดุร้ายนัก จนไม่มีผู้ใดอาจผ่านไปทางนั้นได้
8:28 And when he was come to the other side into the country of the Gergesenes, there met him two possessed with devils, coming out of the tombs, exceeding fierce, so that no man might pass by that way
8:29 ดูเถิด เขาร้องตะโกนว่า "พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาที่นี่เพื่อจะทรมานพวกเราก่อนเวลาหรือ"
8:29 And, behold, they cried out, saying, What have we to do with thee, Jesus, thou Son of God? art thou come hither to torment us before the time?
8:30 ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
8:30 And there was a good way off from them an herd of many swine feeding.
8:31 ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ว่า "ถ้าท่านขับพวกเราออก ก็ขอให้เข้าอยู่ในฝูงสุกรนั้นเถิด"
8:31 So the devils besought him, saying, If thou cast us out, suffer us to go away into the herd of swine.
8:32 พระองค์จึงตรัสแก่ผีเหล่านั้นว่า "ไปเถอะ" ผีเหล่านั้นก็ออกไปเข้าสิงอยู่ในฝูงสุกร ดูเถิด สุกรทั้งฝูงนั้นก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายจนสิ้น
8:32 And he said unto them, Go. And when they were come out, they went into the herd of swine: and, behold, the whole herd of swine ran violently down a steep place into the sea, and perished in the waters.
ข้อพระคัมภีร์เหมือนกัน (มก 5:1-21; ลก 8:26-40) (Mark 5:1-21; Luke 8:26-40)
มก.1:39
1:39 พระองค์ได้ประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี และได้ขับผีออกเสียหลายผี
1:39 And he preached in their synagogues throughout all Galilee, and cast out devils.
ลก.4:33-36
4:33 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดัง
4:33 And in the synagogue there was a man, which had a spirit of an unclean devil, and cried out with a loud voice,
4:34 กล่าวว่า "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
4:34 Saying, Let us alone; what have we to do with thee, thou Jesus of Nazareth? art thou come to destroy us? I know thee who thou art; the Holy One of God.
4:35 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ" เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชาชนแล้ว ก็ออกมาจากเขา แต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
4:35 And Jesus rebuked him, saying, Hold thy peace, and come out of him. And when the devil had thrown him in the midst, he came out of him, and hurt him not.
4:36 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักพูดกันว่า "คำนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา"
4:36 And they were all amazed, and spake among themselves, saying, What a word is this! for with authority and power he commandeth the unclean spirits, and they come out.
1 ยน.3:8-9
3:8 ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย
3:8 He that committeth sin is of the devil; for the devil sinneth from the beginning. For this purpose the Son of God was manifested, that he might destroy the works of the devil.
3:9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า
3:9 Whosoever is born of God doth not commit sin; for his seed remaineth in him: and he cannot sin, because he is born of God.
ที่กล่้าวถึง Spirit
มก.6:49
49 เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี แล้วพากันร้องอึงไป
49 But when they saw him walking upon the sea, they supposed it had been a spirit, and cried out:
ข้อพระคัมภีร์ที่เหมือนกัน (มธ.14:26 ,ยน. 6:19)
ลก. 24:37-39
37 ฝ่ายเขาทั้งหลายสะดุ้งตกใจกลัวคิดว่าเห็นผี
37 But they were terrified and affrighted, and supposed that they had seen a spirit.
38 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม เหตุไฉนความคิดสนเท่ห์จึงบังเกิดขึ้นในใจของท่านทั้งหลายเล่า
38 And he said unto them, Why are ye troubled? and why do thoughts arise in your hearts?
24:39 จงดูมือของเราและเท้าของเราว่า เป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนท่านเห็นเรามีอยู่นั้น"
24:39 Behold my hands and my feet, that it is I myself: handle me, and see; for a spirit hath not flesh and bones, as ye see me have.
ดังนั้นในโลกใบนี้จึงมีผีที่เป็นทั้ง Devil(ปีศาจ) และ Spirit(ผีหรือวิญญาณ)
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 3:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เรื่องดูดวงพระคัมภีร์ก็มีนะ อย่างพวกโหราจารย์เห็ดดางดาวแล้วทำนายได้ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิด อ่านดู
มัทธิว 2:1-12
(1)ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม (2)สืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” (3)เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย (4)พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” (5)เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า (6)เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า ซึ่งจะเป็นผู้นำอิสราเอล ประชากรของเรา”
(7)ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏ (8)แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมารอย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” (9)เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำทางให้ และมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับของพระกุมาร (10)เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนัก (11)เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำ กำยาน และมดยอบออกมาถวายพระองค์ (12)แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น
ในเมื่อในพระคัมภีร์มีกล่าวถึงการดูดวงดาว มีโหราศาสตร์ทำนานดวงดาว พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าการดูดวงนั้นไม่มีจริง เพราะในพระคัมภีร์นั้นบอกไว้ว่า ทุกๆ สิ่งมาจากพระเจ้า วิถีชีวิตเราก็ล้วนมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู่กำหนดทั้งสิ้น
(5) "เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ให้แก่บรรดาประชาชาติ"(ยรม.1:5)
พระเจ้าทรงกำหนดเราไว้แล้่วว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไรบ้าง เหมือนอย่างว่าเราเขียนนิยายการ์ตูน เราก็กำหนดแล้วว่าตัวนี้หน้าตาแบบนี้ ตัวนู้นมีหน้าตาแบบนั้น ชอบกินอาหารแบบนี้ ตัวนี้นิสัยแบบนี้ ตัวนู้นนิสัยแบบนั้น ก็มีก็สุดแล้วแต่ว่าพระเจ้าเป็นคนเขียนนิยายการ์ตูนให้แต่ละตัวเป็นแบบไหน ดังนั้นพวกโหราจารย์ก็คือเอาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการกำหนดล่วงหน้าของพระผู้เป็นเจ้า แต่พระคัมภีร์ก็ได้ห้ามไว้ว่า ชาวคริสต์ไม่ควรกระทำเนื่องจากทำให้เราขาดความไว้วางใจในพระเจ้า แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีจริงในศาสตรนี้
แต่ก็มีพวกพวกโหราศาสตร ผู้เป็นปราชญแห่งตะวันออกไกล ที่เก่งในเรื่องศาสตรนี้อย่างถูกต้องและแท้จริง ขณะเดียวกันหมอดูที่ไม่จัดว่าเป็นบัณฑิตรู้อะไรแบบงูๆ ปลาๆ แล้วก็ใช้อาชีพนั้นหากินเพื่อลอกเอาเงินก็มีครับ ดังนั้นในสังคมปัจจุบันจึงเชื่อไม่ได้เพราะมีของปลอมมากว่าของจริงครับ พวกนักปราชญในดินแดนตะวันออกสมัยก่อนที่รู้ัในศาสตร์เหล่านี้ก็หาได้นำความรู้พวกนี้มาเป็นอาชีพหมอดูหากิน เพราะพวกเขาเป็นระดับ ศาสตราจารย์ เป็นผู้มีความรู้ คงไม่คิดทำแบบนั้นแน่พวกเขาจะมีความสุขด้วยการค้นคว้าหาความรู้แล้วก็แสวงหาติดตามความรู้นั้นนั่นแหละความสุขของพวกเขา
ส่วนผี ทั้งที่เป็นวิญญาณคนตาย หรือปีศาจ ระดับไหนก็ตามไม่สามารถรู้อนาคตได้ ต่อใ้หเรียกมาเข้าทรงยังไงก็ไม่อาจรู้อนาคตได้ เพราะคนที่รู้อนาคตได้คือพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นองค์เดียว แม้แต่แม่พระหรือนักบุญก็ยังไม่รู้เลยครับ
มัทธิว 2:1-12
(1)ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม (2)สืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” (3)เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย (4)พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” (5)เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า (6)เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า ซึ่งจะเป็นผู้นำอิสราเอล ประชากรของเรา”
(7)ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏ (8)แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมารอย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” (9)เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำทางให้ และมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับของพระกุมาร (10)เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนัก (11)เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำ กำยาน และมดยอบออกมาถวายพระองค์ (12)แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น
ในเมื่อในพระคัมภีร์มีกล่าวถึงการดูดวงดาว มีโหราศาสตร์ทำนานดวงดาว พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าการดูดวงนั้นไม่มีจริง เพราะในพระคัมภีร์นั้นบอกไว้ว่า ทุกๆ สิ่งมาจากพระเจ้า วิถีชีวิตเราก็ล้วนมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู่กำหนดทั้งสิ้น
(5) "เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ให้แก่บรรดาประชาชาติ"(ยรม.1:5)
พระเจ้าทรงกำหนดเราไว้แล้่วว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไรบ้าง เหมือนอย่างว่าเราเขียนนิยายการ์ตูน เราก็กำหนดแล้วว่าตัวนี้หน้าตาแบบนี้ ตัวนู้นมีหน้าตาแบบนั้น ชอบกินอาหารแบบนี้ ตัวนี้นิสัยแบบนี้ ตัวนู้นนิสัยแบบนั้น ก็มีก็สุดแล้วแต่ว่าพระเจ้าเป็นคนเขียนนิยายการ์ตูนให้แต่ละตัวเป็นแบบไหน ดังนั้นพวกโหราจารย์ก็คือเอาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการกำหนดล่วงหน้าของพระผู้เป็นเจ้า แต่พระคัมภีร์ก็ได้ห้ามไว้ว่า ชาวคริสต์ไม่ควรกระทำเนื่องจากทำให้เราขาดความไว้วางใจในพระเจ้า แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีจริงในศาสตรนี้
แต่ก็มีพวกพวกโหราศาสตร ผู้เป็นปราชญแห่งตะวันออกไกล ที่เก่งในเรื่องศาสตรนี้อย่างถูกต้องและแท้จริง ขณะเดียวกันหมอดูที่ไม่จัดว่าเป็นบัณฑิตรู้อะไรแบบงูๆ ปลาๆ แล้วก็ใช้อาชีพนั้นหากินเพื่อลอกเอาเงินก็มีครับ ดังนั้นในสังคมปัจจุบันจึงเชื่อไม่ได้เพราะมีของปลอมมากว่าของจริงครับ พวกนักปราชญในดินแดนตะวันออกสมัยก่อนที่รู้ัในศาสตร์เหล่านี้ก็หาได้นำความรู้พวกนี้มาเป็นอาชีพหมอดูหากิน เพราะพวกเขาเป็นระดับ ศาสตราจารย์ เป็นผู้มีความรู้ คงไม่คิดทำแบบนั้นแน่พวกเขาจะมีความสุขด้วยการค้นคว้าหาความรู้แล้วก็แสวงหาติดตามความรู้นั้นนั่นแหละความสุขของพวกเขา
ส่วนผี ทั้งที่เป็นวิญญาณคนตาย หรือปีศาจ ระดับไหนก็ตามไม่สามารถรู้อนาคตได้ ต่อใ้หเรียกมาเข้าทรงยังไงก็ไม่อาจรู้อนาคตได้ เพราะคนที่รู้อนาคตได้คือพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นองค์เดียว แม้แต่แม่พระหรือนักบุญก็ยังไม่รู้เลยครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ จันทร์ พ.ค. 11, 2009 12:43 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
3กษัตริย์ เป็นนักปราชญ์ดูดาวครับ ไม่ใช่หมอดูJoseph เขียน: เรื่องดูดวงพระคัมภีร์ก็มีนะ อย่างพวกโหราจารย์เห็ดดางดาวแล้วทำนายได้ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิด อ่านดู
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 33#p145233
ดาราศาสตร์ กับ ไสยศาสตร์ เป็นคนละเรื่องครับ
ราชวงศ์ฺฮั่นแห่งดินแดนตะวันออกไกล อยู่ในช่วง 206 ปีก่อนก่อนคริสตศักราช ถึง คริสตศักราช 220 [ Han Dynasty (206 B.C.–220 A.D.)] ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นคือเด็กหนุ่มชาวบ้านทีี่เรียกว่า "เล่าปัง" [ Liu Bang (Han GaoZu)] เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ อาศัยอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ แต่เพราะชะตาฟ้ากำหนดเขาจึงได้เป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินตะวันออกไกล และเป็นราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุดในดินแดนตะวันออกแห่งนี้ ดังนั้นเหล่าโหราจารย์ ปราชญ์ผู้เชียวชาญแห่งดินแดนตะวันออกไกลก็น่าจะมาจากราชวงศ์ฮั่นนี้แหละ เพราะเท่าที่อ่านประวัติศาสตร์จีนในยุค ชุนชิว(ราชวงศ์โจว) เลียดก๊ก(ราชวงศ์โจวถึงราชวงศ์ฉิน) จนถึงราชวงศ์ฮั่นก็มักจะมีปราชญ์ทำนองนี้อยู่เป็นอันมาก แม้แต่ตอนสิ้นยุคของราชวงศ์ฮั่น ก็ยังมีปราชญ์ท่านหนึ่งหวังกู้ราชวงศ์ฮั่นกลับคืนมาที่เรารู้จักกันดีจนคุ้นหู มีนามว่า จูกัดเหลียงหรือขงเบ้ง (Kong Ming) ก็ได้รู้ในศาสตร์ด้านนี้ไม่แพ้กัน ขงเบ้งได้ช่วยทายาทราชวงศ์ฮั่นผู้ตกยากท่านหนึ่งนามว่า "เล่าปี่" (Liu Bei) แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะรู้ว่าตนเองฝืนชะตาฟ้าว่าหมดยุคราชวงศ์ฮั่นแล้ว แถมยังรู้ชะตาตัวเองผ่านการดูดาวด้วย
ดังนั้นช่วงสมัยยุคที่พระเยซูเกิดจนถึงตายก็อยู่ในยุคสมัย 30 ปีก่อนคริสตศักราช (30 B.C) ก็อยู่ในยุคราชวงศ์ฮั่นนี่แหละ ดังนั้นตำราวิชาการก็น่าจะมาจากที่เดียวกัน
http://www.metmuseum.org/toah/hd/hand/hd_hand.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Han_Dynasty
http://en.wikipedia.org/wiki/Emperor_Gaozu_of_Han
ดังนั้นช่วงสมัยยุคที่พระเยซูเกิดจนถึงตายก็อยู่ในยุคสมัย 30 ปีก่อนคริสตศักราช (30 B.C) ก็อยู่ในยุคราชวงศ์ฮั่นนี่แหละ ดังนั้นตำราวิชาการก็น่าจะมาจากที่เดียวกัน
http://www.metmuseum.org/toah/hd/hand/hd_hand.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Han_Dynasty
http://en.wikipedia.org/wiki/Emperor_Gaozu_of_Han
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 11:57 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เสริมอีกนิดว่าศาสนาคริสต์เราสอนไม่ให้ยุ้งกับพวก ดูดวง หรือโชคชะตา หรือสนใจอะไรพวกนี้นะครับ แต่ที่ยกมาให้ดูคือศาสตร์อย่างหนึ่งในยุคนั้นที่มาเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ตอนหนึ่งเท่านั้น การดูดวงดาวตำราโบราณบอกว่าผู้ที่จะมีดาวประจำตัวได้นั้นก็ต้องเป็นผู้มีบุญระดับเจ้าไม่ใช่บุคลธรรมดาส่วนจะเชือหรือไม่นั่นสุดแล้วแต่ตามใจเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องความเชื่อของศาสนาเรา ศาสนาเราไม่ได้สอนให้ดูดวง หรือโชค ยาม เพราะ เราเชื่อว่าทุกวิถีพระเจ้าเป็นผู้กำหนดไม่ใช่โชคยามหรือดวงชะตา
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ จันทร์ พ.ค. 11, 2009 12:39 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1042
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 22, 2008 11:37 am
- ที่อยู่: Ether23@hotmail.com
3 กษัตร์ย เห็น ดาวเบธเลเฮม แล้วก็มาพบพระเยซู
ก็ได้พบว่า ดวงดาวยังรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่นี่อยู่ทางนี้
เพราะฉะนั้น ดวงดาวยังพาสรรเสริญพระเจ้าเลยครับ
เราควรสรรเสริญพระเจ้าดีกว่าไปดูดวง
ก็ได้พบว่า ดวงดาวยังรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่นี่อยู่ทางนี้
เพราะฉะนั้น ดวงดาวยังพาสรรเสริญพระเจ้าเลยครับ
เราควรสรรเสริญพระเจ้าดีกว่าไปดูดวง
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
1. เชื่อเรื่องผีครับ เป็นวิญญาณของผู้ตายเพื่อขอคำภาวนาจากเราหรือเพื่อจุดประสงค์อื่น ซึ่งพระเป็นเจ้าต้องทรงอนุญาตครับ
2. ห้ามดูดวง เพราะ ถือเป็นการขาดความเชื่อและวางใจพระเจ้าครับ
2. ห้ามดูดวง เพราะ ถือเป็นการขาดความเชื่อและวางใจพระเจ้าครับ