การทำศัลยกรรมถือเป็นบาปมั้ยครับ
พูดยากนะ .....
บางที คนเราเพื่อให้ออกมาดูดีที่สุด ก็ขอเพิ่มนิสนึง
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ คนเรายึดติดที่ใบหน้าและรูปกายมากขึึ้น อย่างการเป็นคนในวงการบันเทิง
เอาเป็นว่าถ้าทำแล้ว ทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ถือว่าเป็นพระพรก็แล้วกัน
แต่ยิ่งทำ ยิ่งแย่ ก็นั่นละ การลงโทษจากพระองค์
แต่หลักการแท้จริง คือ พอใจในสิ่งที่ได้รับจากพระองค์ เกิดมาขี้เหร่อย่างไร ก็ต้องภูมิใจ
ว่านี่คือพระพร คือสิ่งมหัศจรรย์ ที่พระองค์ทรงคาดการไว้แล้วว่าเหมาะสม
.................................
ศัลยกรรมมีหลายแบบที่ว่า คือ ศัลยกรรมเพื่อช่วยเหลือ บางคนเกิดมาไม่มีรูทวารหนัก
ก็ต้องพึ่งพาการผ่าตัดศัลยกรรม ด้วยจำเป็น บางคนโดนสุนัขดุฟัดหน้าซะเละ ไม่ศัลยกรรม
หน้าก็ต้องเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำแกงในร้านอาหาร ชิมิละ ก็ต้องพึ่งศัลยกรรม
ถ้าสมมติ โดนน้ำกรดสาดหน้าจนหน้าเละเป็น น้องเลดี้มูน ปุปะ ก็ต้องพึ่งศัลยกรรม
เสริมจมูก จมูกยังใช้การในฐานะจมูกเช่นเดิม อันนี้ยังพอว่า
เพราะบางคนก็เข้าใจว่าทานอาหารที่มีสารละลายดั้งมากเกินไป จึงต้องเอาซิลิโคน
เอาพลาสติกเข้าดันไว้ จะได้มีของคำ้ใบหน้า ไม่ไห้ย่นยู่
แต่ถ้าไปเจื๋อนเอาเจ้าหนูออก ถือว่า ทำให้ผิดฟังก์ชั่นที่พระเจ้าตั้งไว้ อันนี้เป็นบาปครับ
เพราะของมีไว้ให้ใช้แบบภายนอก แต่อยากให้เป็นของใช้ภายใน ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
บางที คนเราเพื่อให้ออกมาดูดีที่สุด ก็ขอเพิ่มนิสนึง
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ คนเรายึดติดที่ใบหน้าและรูปกายมากขึึ้น อย่างการเป็นคนในวงการบันเทิง
เอาเป็นว่าถ้าทำแล้ว ทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ถือว่าเป็นพระพรก็แล้วกัน
แต่ยิ่งทำ ยิ่งแย่ ก็นั่นละ การลงโทษจากพระองค์
แต่หลักการแท้จริง คือ พอใจในสิ่งที่ได้รับจากพระองค์ เกิดมาขี้เหร่อย่างไร ก็ต้องภูมิใจ
ว่านี่คือพระพร คือสิ่งมหัศจรรย์ ที่พระองค์ทรงคาดการไว้แล้วว่าเหมาะสม
.................................
ศัลยกรรมมีหลายแบบที่ว่า คือ ศัลยกรรมเพื่อช่วยเหลือ บางคนเกิดมาไม่มีรูทวารหนัก
ก็ต้องพึ่งพาการผ่าตัดศัลยกรรม ด้วยจำเป็น บางคนโดนสุนัขดุฟัดหน้าซะเละ ไม่ศัลยกรรม
หน้าก็ต้องเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำแกงในร้านอาหาร ชิมิละ ก็ต้องพึ่งศัลยกรรม
ถ้าสมมติ โดนน้ำกรดสาดหน้าจนหน้าเละเป็น น้องเลดี้มูน ปุปะ ก็ต้องพึ่งศัลยกรรม
เสริมจมูก จมูกยังใช้การในฐานะจมูกเช่นเดิม อันนี้ยังพอว่า
เพราะบางคนก็เข้าใจว่าทานอาหารที่มีสารละลายดั้งมากเกินไป จึงต้องเอาซิลิโคน
เอาพลาสติกเข้าดันไว้ จะได้มีของคำ้ใบหน้า ไม่ไห้ย่นยู่
แต่ถ้าไปเจื๋อนเอาเจ้าหนูออก ถือว่า ทำให้ผิดฟังก์ชั่นที่พระเจ้าตั้งไว้ อันนี้เป็นบาปครับ
เพราะของมีไว้ให้ใช้แบบภายนอก แต่อยากให้เป็นของใช้ภายใน ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
แก้ไขล่าสุดโดย Léon เมื่อ พุธ ส.ค. 05, 2009 11:04 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เอาง่ายๆครับ
แล้วแต่เจตนา
ถ้าต้องการเสริมสร้างบุคลิคให้ดูดีขึ้น อันนี้ก็ไม่บาปครับ เพราะมันก็เหมือนแต่งหน้าแบบถาวร ถ้ามันบาป การแต่งหน้า ก็น่าจะบาปชั่วคราว หรือแม้แต่การดัดฟัน ซึ่งเปลี่ยนรูปร่างใบหน้าไปในทางที่ดีแบบถาวรเช่นกัน แต่จริงๆมันก็ไม่บาปอะไร
แต่ถ้าต้องการทำในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องบาปทางเพศ เช่นการแปลงเพศ อันนี้ก็คงบาปครับ
แล้วแต่เจตนา
ถ้าต้องการเสริมสร้างบุคลิคให้ดูดีขึ้น อันนี้ก็ไม่บาปครับ เพราะมันก็เหมือนแต่งหน้าแบบถาวร ถ้ามันบาป การแต่งหน้า ก็น่าจะบาปชั่วคราว หรือแม้แต่การดัดฟัน ซึ่งเปลี่ยนรูปร่างใบหน้าไปในทางที่ดีแบบถาวรเช่นกัน แต่จริงๆมันก็ไม่บาปอะไร
แต่ถ้าต้องการทำในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องบาปทางเพศ เช่นการแปลงเพศ อันนี้ก็คงบาปครับ
-
- โพสต์: 37
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 18, 2008 1:13 am
ถ้าพูดตามพระคัมภีร์แล้ว
ก็น่าจะมีแนวโน้มในทางที่ผิดครับ
แต่ข้อพระคัมภีร์ไม่ได้ชี้ชัดไว้เลย จึงทำได้ครับ
แต่อย่างไรแล้วอย่าทำเลยดีกว่า
เพราะคงไม่มีไครมาอ้างว่า นู๋ไปทำศัลยกรรมมา เพื่อมีหน้าตาที่ดูดีเพื่อใช้ในงานประกาศ
หรือเพื่อให้ดูแล้วเจริญตา แก่พี่น้อง หรืออะไรประมาณนี้
ก็น่าจะมีแนวโน้มในทางที่ผิดครับ
แต่ข้อพระคัมภีร์ไม่ได้ชี้ชัดไว้เลย จึงทำได้ครับ
แต่อย่างไรแล้วอย่าทำเลยดีกว่า
เพราะคงไม่มีไครมาอ้างว่า นู๋ไปทำศัลยกรรมมา เพื่อมีหน้าตาที่ดูดีเพื่อใช้ในงานประกาศ
หรือเพื่อให้ดูแล้วเจริญตา แก่พี่น้อง หรืออะไรประมาณนี้
พระเจ้าท่านรู้ ว่าเรายังติดในความสวยงาม ท่านเข้าใจ และคงไม่ว่าอะไรครับ
สังคมยุคนี้ มันมีอะไรมาทำให้เราต้องมองกันแต่ความสวยงามเยอะ
ตราบใดที่เราไม่เลยเถิดให้เกินขอบเขต พระองค์จะทรงดูแลเรา
สังคมยุคนี้ มันมีอะไรมาทำให้เราต้องมองกันแต่ความสวยงามเยอะ
ตราบใดที่เราไม่เลยเถิดให้เกินขอบเขต พระองค์จะทรงดูแลเรา
สมัยยุคกลาง (แต่ไม่แน่ใจว่าช่วงไหน) พระศาสนจักรถือว่า การแต่งหน้าเป็นบาปครับวอ เขียน: แค่เสริมหล่อนี่นะ บาป เว่อร์แล้ว
แต่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อะไรที่อาจจะเคยผิดก็กลับถูกได้
ไม่ใช่เพราะความจริงเปลี่ยนแปลง แต่เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป
เหมือนใส่เสื้อกันหนาวหน้าหนาวก็โอเค แต่ถ้ามาใส่หน้าร้อนก็ไม่ไหว
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เมื่อคืนได้ศึกษาคำเทศนาบนภูเขา อธิบายโดย ดร.จอห์น สทอทท์ อ่านแล้วขำดี
เรื่องการหย่าร้าง ตามธรรมบัญญัติ การตีความคน รับบี มี 2 สาย สายรับบี แซมรับ และสายรับบี เฮลเล ( ทั้งสองชื่อจำไม่แม่น ) จะค้นใหม่ แล้วจะแก้ให้ภายหลัง
การที่สามีจะหย่าภรรยาได้ เพราะเธอทำสิ่งที่น่าละอาย ตานีมาตีความสิ่งที่น่าละอาย คืออะไร
1.รับบีสายแรก ตีความตามตัวอักษร ต้องล่วงประเวณี เป็นชู้กับชายอื่น ให้หย่าได้
2.รับบีสายสอง ตีความอย่างเสรีนิยมและถูกใจฟาริสีมาก ครับ ว่า "สิ่งที่น่าละอายของภรรยา"
คือ 1.ทำอาหารไม่อร่อย 2. หน้าตาไม่สะสวยเหมือนสตรีอื่นๆ เป็นต้น
พวกฟาริสีนำคำถาม มาถามพระเยซูเจ้าเพราะต้องการทราบว่าพระองค์ จะยืนข้างรับบีสายไหน
ที่เล่าให้ฟัง อยากบอกว่า ให้เธอทำศัลยกรรมเหอะสามีจะได้ไม่หย่า อิอิ
เรื่องการหย่าร้าง ตามธรรมบัญญัติ การตีความคน รับบี มี 2 สาย สายรับบี แซมรับ และสายรับบี เฮลเล ( ทั้งสองชื่อจำไม่แม่น ) จะค้นใหม่ แล้วจะแก้ให้ภายหลัง
การที่สามีจะหย่าภรรยาได้ เพราะเธอทำสิ่งที่น่าละอาย ตานีมาตีความสิ่งที่น่าละอาย คืออะไร
1.รับบีสายแรก ตีความตามตัวอักษร ต้องล่วงประเวณี เป็นชู้กับชายอื่น ให้หย่าได้
2.รับบีสายสอง ตีความอย่างเสรีนิยมและถูกใจฟาริสีมาก ครับ ว่า "สิ่งที่น่าละอายของภรรยา"
คือ 1.ทำอาหารไม่อร่อย 2. หน้าตาไม่สะสวยเหมือนสตรีอื่นๆ เป็นต้น
พวกฟาริสีนำคำถาม มาถามพระเยซูเจ้าเพราะต้องการทราบว่าพระองค์ จะยืนข้างรับบีสายไหน
ที่เล่าให้ฟัง อยากบอกว่า ให้เธอทำศัลยกรรมเหอะสามีจะได้ไม่หย่า อิอิ