ห้อยพระได้ด้วยหรอครับ ?
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
บัญญัติข้อแรกเลยและคับ
-0-
-0-
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ผิดครับmew มาแว้ววว เขียน: คือ เมื่อตอนกลางวันมิวเรียนวิชาพละศึกษา มิวเห็นอาจารย์ที่สอนวิชาพละ ห้อยพระพิฆเนศ ทั้งๆที่
อาจารย์เป็นคริสต์ คริสตชนสามารถห้อยพระได้เหรอครับ ไม่บาปหรอครับ สับสน
สำเนาถูกต้องคะ ถ้าเราเป็นคริสตชน รับศีลล้างบาปแล้ว~ฮีUโปฟัuxaoxน้ๅโJ~ เขียน: บัญญัติข้อแรกเลยและคับ
-0-
"จงรักพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าสุดดวงใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา" มธ 22:37
"จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น" มธ 4:10
จริง อย่างที่น้องฮิปโป..ฯบอกไว้ข้างบน
พระบัญญัติข้อแรกเรียกร้องให้เราหล่อเลี้ยงและเฝ้ารักษาความเชื่อของเราด้วยความรอบคอบ
ตื่นเฝ้า และผลักไสทุกสิ่งซึ่งอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งมีหลายวิธีที่จะทำบาปและขัดกับความเชื่อ
ขอพระจิตเจ้านำทางพวกเราคริสตชนสู่ทิศทางเดียวกับองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรพระเป็นเจ้า ::001::
คือ จริงๆมิวรู้อ่าครับว่าผิด : xemo016 :
แต่งงครับว่าทำไมอาจารย์ถึงห้อยพระพิฆเนศ แปลกใจครับ อาจารย์คนนี้เวลาสอนหนังสือก็จะเล่าเรื่องพระเป็นเจ้า ไบเบิ้ล ให้นักเรียนฟังบ่อยๆ แต่ทำไมตอนนี้มาห้อยพระพิฆเนศซะงั้น : xemo017 :
แต่งงครับว่าทำไมอาจารย์ถึงห้อยพระพิฆเนศ แปลกใจครับ อาจารย์คนนี้เวลาสอนหนังสือก็จะเล่าเรื่องพระเป็นเจ้า ไบเบิ้ล ให้นักเรียนฟังบ่อยๆ แต่ทำไมตอนนี้มาห้อยพระพิฆเนศซะงั้น : xemo017 :
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
คงเป็นความเชื่อของเค้านะครับ น้องมิว ไปก้าวก่ายไม่ได้หรอก ไม่เหมาะจะไปวิจารณ์ด้วยmew มาแว้ววว เขียน: คือ จริงๆมิวรู้อ่าครับว่าผิด
แต่งงครับว่าทำไมอาจารย์ถึงห้อยพระพิฆเนศ แปลกใจครับ อาจารย์คนนี้เวลาสอนหนังสือก็จะเล่าเรื่องพระเป็นเจ้า ไบเบิ้ล ให้นักเรียนฟังบ่อยๆ แต่ทำไมตอนนี้มาห้อยพระพิฆเนศซะงั้น
แปร่ว....อันนี้พี่ก็บ่ทราบได้หรอกน้อง....mew มาแว้ววว เขียน: คือ จริงๆมิวรู้อ่าครับว่าผิด : xemo016 :
แต่งงครับว่าทำไมอาจารย์ถึงห้อยพระพิฆเนศ แปลกใจครับ อาจารย์คนนี้เวลาสอนหนังสือก็จะเล่าเรื่องพระเป็นเจ้า ไบเบิ้ล ให้นักเรียนฟังบ่อยๆ แต่ทำไมตอนนี้มาห้อยพระพิฆเนศซะงั้น : xemo017 :
นี่แหละ จึงเป็นเหตุผลสำคัญมากที่เราต้องการแสดงตนเป็นคริสตชนอย่างชัดเจน ด้วยการใช้ชีวิตเป็นพยาน
ความเชื่อส่วนบุคคลมั้งครับ
ผลที่ได้จากการบูชาพระพิฆเนศ
1. การบูชาพระพิฆเณศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย หากเป็นผู้ที่ศึกษาฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเณศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรมตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเณศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเณศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า
2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเณศเพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเณศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดามารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา
ไม่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ปัญญาญาณของพระพิฆเณศยังกล่าวไว้ในเรื่องการเขียนมหาภารตะว่า พระฤๅษีวยาสเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่พระพิฆเนศขอให้เป็นผู้เขียน ในการเขียนนั้นพระพิฆเณศกล่าวว่าอย่าให้สะดุด ต้องบอกกล่าวทีเดียวให้จบ พระฤๅษีก็แก้ว่าย่อมได้ แต่ตนจะใช้โศลกที่เข้าใจยาก เป็นปรัชญาลึกซึ้ง ต้องตีความหมายก่อนเขียน และหากพระพิฆเนศไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้หยุดถาม ทั้งนี้ พระฤๅษีเองจะได้พักเหนื่อยด้วย แสดงว่าความสามารถในการเขียน การจำ ของพระพิฆเนศนั้นนับว่าเป็นยอด ด้วยเหตนี้ ผู้ที่นับถือพระพิฆเณศและหมั่นพิจารณา ในคุณข้อนี้ย่อมเป็นผู้ได้มาซึ่งปัญญาแห่งเทวะ ประกอบด้วยคุณความดี คึอ ความกตัญญูต่อบิดามารดา และจากเนื้อเรื่องที่กล่าวมา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็นเทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเณศเป็นพิเศษ
การนับถือพระพิฆเนศ เพื่ออานิสงค์เรื่องปัญญาความรู้นั้น ควรที่ต้องรับถือควบคู่กับ พระแม่สรัสวดี เทวีแห่งปัญญา พรหมจรรย์ และความบริสุทธิ์ ทั้งพระนางยังเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการอีกด้วย การนับถือคตินี้ จะเห็นได้ชัดจากภาพมี 3 เทพประทับอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นไตรภาคีระหว่าง พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ผู้ใดประสงค์ความมีปัญญา ประกอบด้วยความสำเร็จ ความร่ำรวย ความฉลาด ก็หารูปภาพเหล่านี้มาบูชาเอาเถิด (ในลักษณะตรีเทวะ หรือ ไตรภาคี หรือ ตรีเอกานุภาพ เช่น พระตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ)
3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคืออำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ
4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น ชีวิตของผู้ที่มีพระองค์เป็นสรณะจะหอมหวานอยู่เสมอ
5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากคติเรื่องพระพิฆเณศเป็นยมทูต เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจ ซึ่งคตินี้น่าจะรับจากการที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนุ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี มีภูติผีทั้งหลายแวดล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความตาย คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ และผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้
6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเณศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเณศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆเณศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเณศ พระพิฆเณศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเณศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย
ผลที่ได้จากการบูชาพระพิฆเนศ
1. การบูชาพระพิฆเณศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย หากเป็นผู้ที่ศึกษาฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเณศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรมตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเณศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเณศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า
2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเณศเพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเณศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดามารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา
ไม่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ปัญญาญาณของพระพิฆเณศยังกล่าวไว้ในเรื่องการเขียนมหาภารตะว่า พระฤๅษีวยาสเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่พระพิฆเนศขอให้เป็นผู้เขียน ในการเขียนนั้นพระพิฆเณศกล่าวว่าอย่าให้สะดุด ต้องบอกกล่าวทีเดียวให้จบ พระฤๅษีก็แก้ว่าย่อมได้ แต่ตนจะใช้โศลกที่เข้าใจยาก เป็นปรัชญาลึกซึ้ง ต้องตีความหมายก่อนเขียน และหากพระพิฆเนศไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้หยุดถาม ทั้งนี้ พระฤๅษีเองจะได้พักเหนื่อยด้วย แสดงว่าความสามารถในการเขียน การจำ ของพระพิฆเนศนั้นนับว่าเป็นยอด ด้วยเหตนี้ ผู้ที่นับถือพระพิฆเณศและหมั่นพิจารณา ในคุณข้อนี้ย่อมเป็นผู้ได้มาซึ่งปัญญาแห่งเทวะ ประกอบด้วยคุณความดี คึอ ความกตัญญูต่อบิดามารดา และจากเนื้อเรื่องที่กล่าวมา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็นเทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเณศเป็นพิเศษ
การนับถือพระพิฆเนศ เพื่ออานิสงค์เรื่องปัญญาความรู้นั้น ควรที่ต้องรับถือควบคู่กับ พระแม่สรัสวดี เทวีแห่งปัญญา พรหมจรรย์ และความบริสุทธิ์ ทั้งพระนางยังเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการอีกด้วย การนับถือคตินี้ จะเห็นได้ชัดจากภาพมี 3 เทพประทับอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นไตรภาคีระหว่าง พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ผู้ใดประสงค์ความมีปัญญา ประกอบด้วยความสำเร็จ ความร่ำรวย ความฉลาด ก็หารูปภาพเหล่านี้มาบูชาเอาเถิด (ในลักษณะตรีเทวะ หรือ ไตรภาคี หรือ ตรีเอกานุภาพ เช่น พระตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ)
3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคืออำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ
4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น ชีวิตของผู้ที่มีพระองค์เป็นสรณะจะหอมหวานอยู่เสมอ
5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากคติเรื่องพระพิฆเณศเป็นยมทูต เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจ ซึ่งคตินี้น่าจะรับจากการที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนุ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี มีภูติผีทั้งหลายแวดล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความตาย คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ และผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้
6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเณศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเณศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆเณศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเณศ พระพิฆเณศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเณศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
อื้ม ..
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
อื่ม ขอบคุณข้อมูล ของ 7Sin
แต่อันที่จริง ไม่ว่าจะทำอะไร มันต้องมีความยากความง่าย มีอุปสรรค และความราบลื่น ปนๆกันไป สิ่งที่เราต้องมีเพื่อที่จะสำเร็จก็คือ ความขยัน อดทน เรียนรู้ และปรับปรุงอยู่เสมอ ต้องมีความพยายามด้วย
เหมือนนักธุรกิจคริสเตียนหลายคน ก็ไม่ได้พึ่งพระพิฆเนศ แต่ก็สามารถทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นะครับ : xemo026 :
อย่างนักธุรกิจคริสเตียน อเมริกา 2 ท่าน ก็สร้างบริษัทหนึ่งจนใหญ่โต เกิดเป็น corporate group โดยไม่ได้มานั่งงมงายอยู่กับสิ่งใด แต่อาศัยสิ่งที่ผมบอกไปข้างต้น และอาศัยคำสอนของพระเจ้า นำมาปฏิบัติ อันที่จริง จะไปตรงกับ "ข้อมูลดีๆเอามาฝาก" ที่โพสต์โดยคุณ negai ครับ : xemo026 :
แต่อันที่จริง ไม่ว่าจะทำอะไร มันต้องมีความยากความง่าย มีอุปสรรค และความราบลื่น ปนๆกันไป สิ่งที่เราต้องมีเพื่อที่จะสำเร็จก็คือ ความขยัน อดทน เรียนรู้ และปรับปรุงอยู่เสมอ ต้องมีความพยายามด้วย
เหมือนนักธุรกิจคริสเตียนหลายคน ก็ไม่ได้พึ่งพระพิฆเนศ แต่ก็สามารถทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นะครับ : xemo026 :
อย่างนักธุรกิจคริสเตียน อเมริกา 2 ท่าน ก็สร้างบริษัทหนึ่งจนใหญ่โต เกิดเป็น corporate group โดยไม่ได้มานั่งงมงายอยู่กับสิ่งใด แต่อาศัยสิ่งที่ผมบอกไปข้างต้น และอาศัยคำสอนของพระเจ้า นำมาปฏิบัติ อันที่จริง จะไปตรงกับ "ข้อมูลดีๆเอามาฝาก" ที่โพสต์โดยคุณ negai ครับ : xemo026 :
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ พ.ย. 18, 2009 9:56 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 740
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 12, 2009 11:36 pm
อาจารย์ คนนี้ ไม่มีจุดยืนของตัวเองเลย
หุ หุ(หมายถึงเป็นคริสตชนแต่ไปห้อยบูชาสิ่งอื่น ซึ่งไม่ถวายเกรียติแด่พระเจ้า)
หุ หุ(หมายถึงเป็นคริสตชนแต่ไปห้อยบูชาสิ่งอื่น ซึ่งไม่ถวายเกรียติแด่พระเจ้า)
-
- โพสต์: 740
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 12, 2009 11:36 pm
"จะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก"
"แผ่นดินของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช"
ข้อนี้โดนมากๆครับ(ยืมของคุณบอยมา)
"แผ่นดินของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช"
ข้อนี้โดนมากๆครับ(ยืมของคุณบอยมา)
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
เราคิดว่านะ หากเป็นคนที่คอยสอนเรื่องไบเบิล แต่มาห้อยพระอื่นแบบนี้ ถ้าจะหาข้อแก้ต่างให้เขา ก็คงจะมี
1.อาจมีเหตุจำเป็นบางอย่างก็ได้ เช่นเดียวกับที่บางคนเป็นคริสต์แต่ครอบครัวพุทธ(หรืออาจเป็นพุทธผสมพราหมณ์)สั่งให้ห้อยพระหรือจตุคามไม่ให้ถอด ทำนองนั้นแหละ (ถ้ายังสอนด้วยใจได้อยู่ ก็น่าดีใจนะในกรณีนี้ เพราะถึงมีอย่างอื่นมาห้อยคอก็ไม่สามารถหยุดความรักที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดได้)
2.ห้อยเล่น ๆ เป็นแฟชั่น แบบเดียวกับที่คนไม่ได้เป็นคริสต์(หรือบางคนเกลียดคริสเตียนด้วยซ้ำ) แต่ดันห้อยกางเขนหน้าตาเฉย
3.ถือว่าไม่เป็นไร ให้เกียรติกันไม่เห็นเป็นไร (คิดแบบนั้นก็ไม่อยากว่าหรอกนะ แต่ก็ควรจะดูขอบเขตของตัวเองด้วย ในฐานะลูกของพระเจ้า)
4.จงใจทำผิดพระบัญญัติข้อ 1 และ 2 (บาปเต็ม ๆ )
เป็นไปได้ประมาณนี้มั้งคะ
1.อาจมีเหตุจำเป็นบางอย่างก็ได้ เช่นเดียวกับที่บางคนเป็นคริสต์แต่ครอบครัวพุทธ(หรืออาจเป็นพุทธผสมพราหมณ์)สั่งให้ห้อยพระหรือจตุคามไม่ให้ถอด ทำนองนั้นแหละ (ถ้ายังสอนด้วยใจได้อยู่ ก็น่าดีใจนะในกรณีนี้ เพราะถึงมีอย่างอื่นมาห้อยคอก็ไม่สามารถหยุดความรักที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดได้)
2.ห้อยเล่น ๆ เป็นแฟชั่น แบบเดียวกับที่คนไม่ได้เป็นคริสต์(หรือบางคนเกลียดคริสเตียนด้วยซ้ำ) แต่ดันห้อยกางเขนหน้าตาเฉย
3.ถือว่าไม่เป็นไร ให้เกียรติกันไม่เห็นเป็นไร (คิดแบบนั้นก็ไม่อยากว่าหรอกนะ แต่ก็ควรจะดูขอบเขตของตัวเองด้วย ในฐานะลูกของพระเจ้า)
4.จงใจทำผิดพระบัญญัติข้อ 1 และ 2 (บาปเต็ม ๆ )
เป็นไปได้ประมาณนี้มั้งคะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ก็ต้องทำใจ เพราะบางที อาจารย์ก็อาจจะอ่อนด้านคำสอน
หรืออาจจะสูญเสียความเชื่อ เห็นอะไรดี หรืออะไรที่ช่วยเน้นให้นู่นนี่เป็นพิเศษ
ก็อยากจะได้บ้าง
ก็เหมือนคนไทยหลาย ๆ คน ที่ลงหนังสือพิมพ์กันบ่อย ๆ ที่ก็ไหว้หมด นับถือหมด
ใครว่าดีก็แห่ตามกันไป ทั้งราหู ทั้งพระของทางแขก พระจีน ฯลฯ ไม่ใช่พระก็ยังไหว้
ทั้ง ๆ ที่ถ้าศึกษาแก่นของศาสนาพุทธจริง ๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนให้ทำแบบนั้น
จึงเข้าทำนองว่า กราบไหว้นับถือ ออกแนวธุรกิจ
คือ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์บางอย่างมา
หรืออาจจะสูญเสียความเชื่อ เห็นอะไรดี หรืออะไรที่ช่วยเน้นให้นู่นนี่เป็นพิเศษ
ก็อยากจะได้บ้าง
ก็เหมือนคนไทยหลาย ๆ คน ที่ลงหนังสือพิมพ์กันบ่อย ๆ ที่ก็ไหว้หมด นับถือหมด
ใครว่าดีก็แห่ตามกันไป ทั้งราหู ทั้งพระของทางแขก พระจีน ฯลฯ ไม่ใช่พระก็ยังไหว้
ทั้ง ๆ ที่ถ้าศึกษาแก่นของศาสนาพุทธจริง ๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนให้ทำแบบนั้น
จึงเข้าทำนองว่า กราบไหว้นับถือ ออกแนวธุรกิจ
คือ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์บางอย่างมา
เหล่านี้ พระเจ้าผมทำได้หมดครับ เผลอๆว่าได้มากกว่าด้วย7Sin เขียน: ความเชื่อส่วนบุคคลมั้งครับ
ผลที่ได้จากการบูชาพระพิฆเนศ
1. การบูชาพระพิฆเณศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย หากเป็นผู้ที่ศึกษาฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเณศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรมตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเณศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเณศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า
2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเณศเพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเณศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดามารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา
ไม่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ปัญญาญาณของพระพิฆเณศยังกล่าวไว้ในเรื่องการเขียนมหาภารตะว่า พระฤๅษีวยาสเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่พระพิฆเนศขอให้เป็นผู้เขียน ในการเขียนนั้นพระพิฆเณศกล่าวว่าอย่าให้สะดุด ต้องบอกกล่าวทีเดียวให้จบ พระฤๅษีก็แก้ว่าย่อมได้ แต่ตนจะใช้โศลกที่เข้าใจยาก เป็นปรัชญาลึกซึ้ง ต้องตีความหมายก่อนเขียน และหากพระพิฆเนศไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้หยุดถาม ทั้งนี้ พระฤๅษีเองจะได้พักเหนื่อยด้วย แสดงว่าความสามารถในการเขียน การจำ ของพระพิฆเนศนั้นนับว่าเป็นยอด ด้วยเหตนี้ ผู้ที่นับถือพระพิฆเณศและหมั่นพิจารณา ในคุณข้อนี้ย่อมเป็นผู้ได้มาซึ่งปัญญาแห่งเทวะ ประกอบด้วยคุณความดี คึอ ความกตัญญูต่อบิดามารดา และจากเนื้อเรื่องที่กล่าวมา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็นเทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเณศเป็นพิเศษ
การนับถือพระพิฆเนศ เพื่ออานิสงค์เรื่องปัญญาความรู้นั้น ควรที่ต้องรับถือควบคู่กับ พระแม่สรัสวดี เทวีแห่งปัญญา พรหมจรรย์ และความบริสุทธิ์ ทั้งพระนางยังเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการอีกด้วย การนับถือคตินี้ จะเห็นได้ชัดจากภาพมี 3 เทพประทับอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นไตรภาคีระหว่าง พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ผู้ใดประสงค์ความมีปัญญา ประกอบด้วยความสำเร็จ ความร่ำรวย ความฉลาด ก็หารูปภาพเหล่านี้มาบูชาเอาเถิด (ในลักษณะตรีเทวะ หรือ ไตรภาคี หรือ ตรีเอกานุภาพ เช่น พระตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ)
3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคืออำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ
4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น ชีวิตของผู้ที่มีพระองค์เป็นสรณะจะหอมหวานอยู่เสมอ
5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากคติเรื่องพระพิฆเณศเป็นยมทูต เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจ ซึ่งคตินี้น่าจะรับจากการที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนุ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี มีภูติผีทั้งหลายแวดล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความตาย คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ และผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้
6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเณศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเณศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆเณศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเณศ พระพิฆเณศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเณศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย
แถมไม่ต้องบูชา ไม่ต้องเอาอะไรมาห้อยให้มันเกะกะคอด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย sasuke เมื่อ พุธ พ.ย. 18, 2009 11:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
น่าจะเป็นแบบที่พี่ๆหลายคนบอกแหละค่ะ
เมื่อก่อนเพิร์ลก็ห้อยพระเต็มคอเลยนะ (ประมาณกำนันในหนัง อิอิ )
(แม่ให้ห้อย ประมาณว่า วัดไหนศักดิ์สิืทธิ์แม่ฉันไปเช่ามาให้ลูกห้อยหมด)
แต่พอกลับใจจะเปลี่ยนศาสนา (น่าจะช่วง ม.1-2 อ่าที่เริ่มสนใจจริงๆจังๆ)
เพิร์ลก็ถอดออกหมดเลย แล้วบังเอิญว่าเพื่อนพี่สาวให้เหรียญแม่พระกับไม้กางเขนมา
ก็เลยเอามาห้อยแทน จนปัจจุบันก็หาซื้อมาห้อยเป็นของตัวเองแล้วค่ะ อิอิ
เมื่อก่อนเพิร์ลก็ห้อยพระเต็มคอเลยนะ (ประมาณกำนันในหนัง อิอิ )
(แม่ให้ห้อย ประมาณว่า วัดไหนศักดิ์สิืทธิ์แม่ฉันไปเช่ามาให้ลูกห้อยหมด)
แต่พอกลับใจจะเปลี่ยนศาสนา (น่าจะช่วง ม.1-2 อ่าที่เริ่มสนใจจริงๆจังๆ)
เพิร์ลก็ถอดออกหมดเลย แล้วบังเอิญว่าเพื่อนพี่สาวให้เหรียญแม่พระกับไม้กางเขนมา
ก็เลยเอามาห้อยแทน จนปัจจุบันก็หาซื้อมาห้อยเป็นของตัวเองแล้วค่ะ อิอิ
เค้าคงไขว้เขวทางความเชื่อมั๊งครับ
อาจมีแฟน หรือ คนที่มีอิทธิพลทางความคิด เอาให้
แล้วก็ ทำเพื่อ ตามใจ คนเหล่านั้น
เดี๋ยวไม่นานถ้ามีคนร่วมความเชื่อที่พอจะติ จะเตือนกันได้ คงไม่เกิดปัญหา
เอาเป็นว่า เราก็ภาวนา่ให้เค้าหลุดจากตรงนี้ละกันครับ
อาจมีแฟน หรือ คนที่มีอิทธิพลทางความคิด เอาให้
แล้วก็ ทำเพื่อ ตามใจ คนเหล่านั้น
เดี๋ยวไม่นานถ้ามีคนร่วมความเชื่อที่พอจะติ จะเตือนกันได้ คงไม่เกิดปัญหา
เอาเป็นว่า เราก็ภาวนา่ให้เค้าหลุดจากตรงนี้ละกันครับ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ว้าวๆ แต่ก่อนน้องเพิร์ล เป็นตู้พระเคลื่อนที่หรอเนี่ย ฮิฮิA Sheep เขียน: น่าจะเป็นแบบที่พี่ๆหลายคนบอกแหละค่ะ
เมื่อก่อนเพิร์ลก็ห้อยพระเต็มคอเลยนะ (ประมาณกำนันในหนัง อิอิ )
(แม่ให้ห้อย ประมาณว่า วัดไหนศักดิ์สิืทธิ์แม่ฉันไปเช่ามาให้ลูกห้อยหมด)
แต่พอกลับใจจะเปลี่ยนศาสนา (น่าจะช่วง ม.1-2 อ่าที่เริ่มสนใจจริงๆจังๆ)
เพิร์ลก็ถอดออกหมดเลย แล้วบังเอิญว่าเพื่อนพี่สาวให้เหรียญแม่พระกับไม้กางเขนมา
ก็เลยเอามาห้อยแทน จนปัจจุบันก็หาซื้อมาห้อยเป็นของตัวเองแล้วค่ะ อิอิ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
สำเนาถูกต้องตาม sasukesasuke เขียน:เหล่านี้ พระเจ้าผมทำได้หมดครับ เผลอๆว่าได้มากกว่าด้วย7Sin เขียน: ความเชื่อส่วนบุคคลมั้งครับ
ผลที่ได้จากการบูชาพระพิฆเนศ
1. การบูชาพระพิฆเณศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย หากเป็นผู้ที่ศึกษาฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเณศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรมตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเณศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเณศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า
2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเณศเพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเณศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดามารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา
ไม่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ปัญญาญาณของพระพิฆเณศยังกล่าวไว้ในเรื่องการเขียนมหาภารตะว่า พระฤๅษีวยาสเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่พระพิฆเนศขอให้เป็นผู้เขียน ในการเขียนนั้นพระพิฆเณศกล่าวว่าอย่าให้สะดุด ต้องบอกกล่าวทีเดียวให้จบ พระฤๅษีก็แก้ว่าย่อมได้ แต่ตนจะใช้โศลกที่เข้าใจยาก เป็นปรัชญาลึกซึ้ง ต้องตีความหมายก่อนเขียน และหากพระพิฆเนศไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้หยุดถาม ทั้งนี้ พระฤๅษีเองจะได้พักเหนื่อยด้วย แสดงว่าความสามารถในการเขียน การจำ ของพระพิฆเนศนั้นนับว่าเป็นยอด ด้วยเหตนี้ ผู้ที่นับถือพระพิฆเณศและหมั่นพิจารณา ในคุณข้อนี้ย่อมเป็นผู้ได้มาซึ่งปัญญาแห่งเทวะ ประกอบด้วยคุณความดี คึอ ความกตัญญูต่อบิดามารดา และจากเนื้อเรื่องที่กล่าวมา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็นเทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเณศเป็นพิเศษ
การนับถือพระพิฆเนศ เพื่ออานิสงค์เรื่องปัญญาความรู้นั้น ควรที่ต้องรับถือควบคู่กับ พระแม่สรัสวดี เทวีแห่งปัญญา พรหมจรรย์ และความบริสุทธิ์ ทั้งพระนางยังเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการอีกด้วย การนับถือคตินี้ จะเห็นได้ชัดจากภาพมี 3 เทพประทับอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นไตรภาคีระหว่าง พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ผู้ใดประสงค์ความมีปัญญา ประกอบด้วยความสำเร็จ ความร่ำรวย ความฉลาด ก็หารูปภาพเหล่านี้มาบูชาเอาเถิด (ในลักษณะตรีเทวะ หรือ ไตรภาคี หรือ ตรีเอกานุภาพ เช่น พระตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ)
3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคืออำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ
4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น ชีวิตของผู้ที่มีพระองค์เป็นสรณะจะหอมหวานอยู่เสมอ
5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากคติเรื่องพระพิฆเณศเป็นยมทูต เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจ ซึ่งคตินี้น่าจะรับจากการที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนุ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี มีภูติผีทั้งหลายแวดล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความตาย คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ และผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้
6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเณศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเณศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆเณศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเณศ พระพิฆเณศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเณศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย
แถมไม่ต้องบูชา ไม่ต้องเอาอะไรมาห้อยให้มันเกะกะคอด้วย
ก็ตามความเชื่อของ พราหมณ์-ฮินดู
แต่เริ่มเดิมทีไม่ได้มีพระ หรือ เทวรูปให้ห้อยหรอกครับ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E% ... 9%E0%B8%9B
แต่เดิมนั้นพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพแต่อย่างใด ศาสนาพราหมณ์ หรือ ฮินดู ซึ่งมีมาก่อนศาสนาพุทธ ก็ไม่มีรูปเคารพเป็นเทวรูปเช่นกัน หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา อยากจะมีสิ่งที่จะทำให้รำลึกถึง หรือเป็นสัญญลักษณ์ขององค์ศาสดา เพื่อที่จะบอกกล่าวเล่าขาน เรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงศึกษาค้นคว้าหาทางดับทุกข์ และทรงชี้แนะสอนสั่งผู้คน ถึงการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นอยู่ ที่ก่อให้เกิดความผาสุขในหมู่มวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลก
คราวแรกนั้นชาวพุทธก็ได้แต่นำเอาสิ่งของอันได้แก่ ดิน น้ำ และกิ่ง ก้าน ใบโพธิ์ จากบริเวณสังเวชนียสถาน 4 แห่ง คือ สถานที่ประสูติ (ลุมพินีวัน),ตรัสรู้ พุทธคยา, ปฐมเทศนา(พาราณสี)และปรินิพพาน (กุสินารา) เก็บมาไว้เป็นที่ระลึกบูชาคุณพระพุทธเจ้า
ล่วงมาถึงในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง เมื่อ 2,200 ปีก่อน หรือหลังจากการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้ามา 300 ปี พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงส่งสมณะทูต จำนวน 500 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังเมืองตักกศิลา แคว้นคันธาราฐ จึงมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองที่ประสิทธิประสาทวิทยาการต่าง ๆ นับว่า "เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกทางพระพุทธศาสนา" แต่ก็ยังไม่มีรูปเคารพแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปคน
พระพุทธชินราชพระพุทธรูป หรือ รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า เริ่มมีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ระหว่าง พ.ศ. 500 ถึง 550 เมื่อชาวกรีก ที่ชาวชมพูทวีป (อินเดียโบราณ) เรียกชาวต่างแดนว่า "โยนา" หรือ "โยนก" โดยพระเจ้าเมนันเดอร์ที่ 1 หรือ พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีก ยกทัพกรีกเข้ามาครอบครองแคว้นคันธาราฐ (ปัจจุบันเป็นดินแดนของอัฟกานิสถาน) จากนั้นพระองค์ก็แผ่อาณาเขตไปทั่วบริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของชมพูทวีป และสร้างเมืองหลวงเป็นที่ประทับ ณ เมืองสากล (Sakala) หลังจากที่ได้พบพระสงฆ์ท่านหนึ่งนามว่า นาคเสน จึงมีเรื่องราวแห่งการตั้งคำถามของพระเจ้ามิลินท์ต่อพระนาคเสน จนทำพระเจ้ามิลินท์ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา (คำถามคำตอบปุจฉาวิสัชนา ซึ่งถูกเขียนบันทึกเป็นหนังสือและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาก เรื่องนี้ก็คือ มิลินทปัญหา - The Milinda Panha or The Questions of King Minlinda) ได้มีการสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมทางพุทธศาสนามากมายในแคว้นคันธาราฐ
พระพุทธรูปรูปแรกจึงเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้ามิลินท์ หรือเมนันเดอร์ที่ 1 ชาวกรีกที่มาครอบครองแคว้นคันธาราฐ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 2,000 ปีที่แล้วนั่นเอง พระพุทธรูปที่เกิดขึ้นครั้งแรกจึงเรียกรูปแบบของพระพุทธรูปนี้ว่า แบบคันธาราฐ โดยถ่ายแบบอย่างเทวรูปที่พวกชาวกรีกนับถือกันในยุโรปมาสร้าง พระพุทธรูปแบบคันธาราฐจึงมีใบหน้าเหมือนฝรั่งชาวกรีก จีวรก็เป็นริ้วเหมือนเครื่องนุ่งห่มของเทวรูปกรี
แต่เริ่มเดิมทีไม่ได้มีพระ หรือ เทวรูปให้ห้อยหรอกครับ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E% ... 9%E0%B8%9B
แต่เดิมนั้นพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพแต่อย่างใด ศาสนาพราหมณ์ หรือ ฮินดู ซึ่งมีมาก่อนศาสนาพุทธ ก็ไม่มีรูปเคารพเป็นเทวรูปเช่นกัน หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา อยากจะมีสิ่งที่จะทำให้รำลึกถึง หรือเป็นสัญญลักษณ์ขององค์ศาสดา เพื่อที่จะบอกกล่าวเล่าขาน เรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงศึกษาค้นคว้าหาทางดับทุกข์ และทรงชี้แนะสอนสั่งผู้คน ถึงการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นอยู่ ที่ก่อให้เกิดความผาสุขในหมู่มวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลก
คราวแรกนั้นชาวพุทธก็ได้แต่นำเอาสิ่งของอันได้แก่ ดิน น้ำ และกิ่ง ก้าน ใบโพธิ์ จากบริเวณสังเวชนียสถาน 4 แห่ง คือ สถานที่ประสูติ (ลุมพินีวัน),ตรัสรู้ พุทธคยา, ปฐมเทศนา(พาราณสี)และปรินิพพาน (กุสินารา) เก็บมาไว้เป็นที่ระลึกบูชาคุณพระพุทธเจ้า
ล่วงมาถึงในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง เมื่อ 2,200 ปีก่อน หรือหลังจากการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้ามา 300 ปี พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงส่งสมณะทูต จำนวน 500 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังเมืองตักกศิลา แคว้นคันธาราฐ จึงมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองที่ประสิทธิประสาทวิทยาการต่าง ๆ นับว่า "เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกทางพระพุทธศาสนา" แต่ก็ยังไม่มีรูปเคารพแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปคน
พระพุทธชินราชพระพุทธรูป หรือ รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า เริ่มมีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ระหว่าง พ.ศ. 500 ถึง 550 เมื่อชาวกรีก ที่ชาวชมพูทวีป (อินเดียโบราณ) เรียกชาวต่างแดนว่า "โยนา" หรือ "โยนก" โดยพระเจ้าเมนันเดอร์ที่ 1 หรือ พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีก ยกทัพกรีกเข้ามาครอบครองแคว้นคันธาราฐ (ปัจจุบันเป็นดินแดนของอัฟกานิสถาน) จากนั้นพระองค์ก็แผ่อาณาเขตไปทั่วบริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของชมพูทวีป และสร้างเมืองหลวงเป็นที่ประทับ ณ เมืองสากล (Sakala) หลังจากที่ได้พบพระสงฆ์ท่านหนึ่งนามว่า นาคเสน จึงมีเรื่องราวแห่งการตั้งคำถามของพระเจ้ามิลินท์ต่อพระนาคเสน จนทำพระเจ้ามิลินท์ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา (คำถามคำตอบปุจฉาวิสัชนา ซึ่งถูกเขียนบันทึกเป็นหนังสือและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาก เรื่องนี้ก็คือ มิลินทปัญหา - The Milinda Panha or The Questions of King Minlinda) ได้มีการสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมทางพุทธศาสนามากมายในแคว้นคันธาราฐ
พระพุทธรูปรูปแรกจึงเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้ามิลินท์ หรือเมนันเดอร์ที่ 1 ชาวกรีกที่มาครอบครองแคว้นคันธาราฐ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 2,000 ปีที่แล้วนั่นเอง พระพุทธรูปที่เกิดขึ้นครั้งแรกจึงเรียกรูปแบบของพระพุทธรูปนี้ว่า แบบคันธาราฐ โดยถ่ายแบบอย่างเทวรูปที่พวกชาวกรีกนับถือกันในยุโรปมาสร้าง พระพุทธรูปแบบคันธาราฐจึงมีใบหน้าเหมือนฝรั่งชาวกรีก จีวรก็เป็นริ้วเหมือนเครื่องนุ่งห่มของเทวรูปกรี
แก้ไขล่าสุดโดย 7Sin เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 19, 2009 6:10 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
กางเขน/เทวรูป/พระพุทธรูป หรือ สิ่งอื่นๆในความหมายเดียวกัน แต่เดิมแล้ว ที่สร้างขึ้นมา ไม่ได้สร้างขึ้นมาให้เพื่อกราบไหว้บูชาอย่างเดียวครับ แต่มีนัยยะสร้างขึ้นมาเพื่อ รำลึก เพื่อที่จะได้ไม่ลืม ซึ่ง พระคุณ หรือ คำสอน ของศาสดาในศาสนานั้นๆ ที่ชาวคริสเตียน สวดภาวนากับกางเขน หรือ รูปพระแม่ หรืออื่นๆ ก็เพื่อที่จะได้นึกถึงพระเจ้า หรือ พระเยซู ที่ช่วยไถ่บาป หรือในชาวพุทธ ที่กราบไหว้พระพุทธเจ้า ก็เพื่อรำลึกถึงพุทธคุณที่ทรงเผยแพร่คำสอน หรือในชาวฮินดู-พราหมณ์ บูชารูปเทวดาต่างๆ เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ในความดี
ดังนั้น กางเขน เทวรูป พระพุทธรูป หรืออะไรอื่นๆ ก็เหมือนแค่เปลือกของแอปเปิ้ลครับ มันเป็นแค่สิ่งห่อหุ้มบางๆเท่านั้น จริงอยู่ที่เรากินเปลือกแอปเปิ้ลได้ แต่คุณจะอิ่มเหรอ ถ้าเอาแต่กินเปลือกแอปเปิ้ล ดังนั้นเราไม่ควรจะกินแต่เปลือก (-นับถือศานาเพราะรูปเคารพ/ปาฎิหาริย์-)ควรจะเลือกกินเนื้อ (-ศึกษาและปฎิบัติตนตามแก่นของคำสอนของศาสนานั้นๆ-)ด้วยครับ
ดังนั้น กางเขน เทวรูป พระพุทธรูป หรืออะไรอื่นๆ ก็เหมือนแค่เปลือกของแอปเปิ้ลครับ มันเป็นแค่สิ่งห่อหุ้มบางๆเท่านั้น จริงอยู่ที่เรากินเปลือกแอปเปิ้ลได้ แต่คุณจะอิ่มเหรอ ถ้าเอาแต่กินเปลือกแอปเปิ้ล ดังนั้นเราไม่ควรจะกินแต่เปลือก (-นับถือศานาเพราะรูปเคารพ/ปาฎิหาริย์-)ควรจะเลือกกินเนื้อ (-ศึกษาและปฎิบัติตนตามแก่นของคำสอนของศาสนานั้นๆ-)ด้วยครับ
ประเด็นของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าเปลือกหรือไม่เปลือกครับ
แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าคริสตชนไม่สมควรที่จะไปเห็นดีเห็นงามกับสิ่งอื่น "ที่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาตัวเอง"
เพราะไม่ว่าการนำเทวรูปอื่นๆติดตัว ห้อยคอ สักยันต์ ไม่ว่าเพื่อสวยงามหรือเพื่อบูชาก็แล้วแต่
เหล่านี้ล้วนผิดพระบัญญัติประการแรกของพระเจ้าที่ว่า "จงนับถือพระเจ้าองค์เดียว" ทั้งสิ้น
และก่อนที่ใครจะกล่าวหาว่านี่เป็นเปลือก ผมขออนุญาตอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อน
การที่เราห้อยคอด้วยเทวรูปต่างๆ ที่เราเชื่อว่าจะสามารถช่วยเราได้ในเรื่องต่างๆ การเรียนศิลปะ ฯลฯ
นั่นแสดงถึงความไม่ไว้ใจในพระเจ้าของเราเอง ไม่ไว้ใจว่าทุกสิ่งที่ดำเนินไปในชีวิตเป็นพระประสงค์ของพระองค์
และคิดที่จะไม่ยอมทำตามพระประสงค์โดยการขอสิ่งอื่นให้ช่วย (โดยที่ "สิ่งอื่น" นี้ จะช่วยได้แค่ไหนก็ไม่รู้)
ความเป็นจริงแล้วสำหรับเราคริสตชนทุกนิกาย เราเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนเป็นพระประสงค์
ทั้งสิ่งที่เราคิดว่ามันดีสำหรับเรา หรือไม่ดีสำหรับเราก็ตาม ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า และมีความหมายทั้งสิ้น
สิ่งดีก็ช่วยให้เรามีแรงบรรเทาใจ สิ่งไม่ดีก็เป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องยอมรับทั้งดีและไม่ดี
ไม่ใช่จะเอาแต่ดี ไม่ดีไม่เอา แล้วก็หันไปหาพระอื่น ทั้งๆที่สิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี มันก็มีความหมายที่ดีในตัวของมัน
มนุษย์ก็อย่างนี้ ไม่ดีนิดหน่อยก็ต่อว่าพระเจ้า อยากได้แต่อะไรที่ตัวเองต้องการ ไม่สนใจพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่พอได้สิ่งดีแล้วกลับไปขอบคุณ "ไอ้ก้อนทองก้อนปูน" ที่อยู่ที่คอ แทนที่จะขอบคุณคนให้นี่มันน่าน้อยใจแทนคนให้จริงๆ
แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าคริสตชนไม่สมควรที่จะไปเห็นดีเห็นงามกับสิ่งอื่น "ที่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาตัวเอง"
เพราะไม่ว่าการนำเทวรูปอื่นๆติดตัว ห้อยคอ สักยันต์ ไม่ว่าเพื่อสวยงามหรือเพื่อบูชาก็แล้วแต่
เหล่านี้ล้วนผิดพระบัญญัติประการแรกของพระเจ้าที่ว่า "จงนับถือพระเจ้าองค์เดียว" ทั้งสิ้น
และก่อนที่ใครจะกล่าวหาว่านี่เป็นเปลือก ผมขออนุญาตอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อน
การที่เราห้อยคอด้วยเทวรูปต่างๆ ที่เราเชื่อว่าจะสามารถช่วยเราได้ในเรื่องต่างๆ การเรียนศิลปะ ฯลฯ
นั่นแสดงถึงความไม่ไว้ใจในพระเจ้าของเราเอง ไม่ไว้ใจว่าทุกสิ่งที่ดำเนินไปในชีวิตเป็นพระประสงค์ของพระองค์
และคิดที่จะไม่ยอมทำตามพระประสงค์โดยการขอสิ่งอื่นให้ช่วย (โดยที่ "สิ่งอื่น" นี้ จะช่วยได้แค่ไหนก็ไม่รู้)
ความเป็นจริงแล้วสำหรับเราคริสตชนทุกนิกาย เราเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนเป็นพระประสงค์
ทั้งสิ่งที่เราคิดว่ามันดีสำหรับเรา หรือไม่ดีสำหรับเราก็ตาม ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า และมีความหมายทั้งสิ้น
สิ่งดีก็ช่วยให้เรามีแรงบรรเทาใจ สิ่งไม่ดีก็เป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องยอมรับทั้งดีและไม่ดี
ไม่ใช่จะเอาแต่ดี ไม่ดีไม่เอา แล้วก็หันไปหาพระอื่น ทั้งๆที่สิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี มันก็มีความหมายที่ดีในตัวของมัน
มนุษย์ก็อย่างนี้ ไม่ดีนิดหน่อยก็ต่อว่าพระเจ้า อยากได้แต่อะไรที่ตัวเองต้องการ ไม่สนใจพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่พอได้สิ่งดีแล้วกลับไปขอบคุณ "ไอ้ก้อนทองก้อนปูน" ที่อยู่ที่คอ แทนที่จะขอบคุณคนให้นี่มันน่าน้อยใจแทนคนให้จริงๆ
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
ก้อถาม อาจารย์พละ ตรงๆเลยซิค่ะ มาถามในบอร์ดนี้แล้วจะรู้มั๊ยเนี่ย...mew มาแว้ววว เขียน: คือ เมื่อตอนกลางวันมิวเรียนวิชาพละศึกษา มิวเห็นอาจารย์ที่สอนวิชาพละ ห้อยพระพิฆเนศ ทั้งๆที่
อาจารย์เป็นคริสต์ คริสตชนสามารถห้อยพระได้เหรอครับ ไม่บาปหรอครับ สับสน
แล้วมาบอกด้วยน๊า ว่าอาจารย์เค้าตอบว่าอะไร
บางทีอาจารย์เค้าอาจรอให้ใครสักคนถามอยู่ก้อด้ายนะ
พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าร้องเรียกหาพระองค์ พระเจ้าของลูก พระองค์คือทุกสิ่งทุกอย่างของลูก
เมื่อลูกมีพระองค์ ลูกก็มีทุกสิ่ง เพราะพระองค์คือผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง
พระพรและพระหรรษทานที่มนุษย์ได้รับ ล้วนหลั่งไหลมาจากดวงพระทัยอันเปี่ยมล้นด้วยความรักของพระองค์
- ต้นไม้แห่งเจสซี
- โพสต์: 343
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 21, 2009 3:33 pm
- ที่อยู่: หลุมที่4 สุสานวัดพระราชินีแห่งสันติภาพ อรัญประเทศ
- ติดต่อ:
อาจเป็นความเชื่อส่วนตัวของเขาครับ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
คำแนะนำ โดยนักบุญเปาโล
"ในการตักเตือนนั้น อย่าตำหนิชายผู้มีอาวุโส แต่จงขอร้องเขาเสมือนเป็นบิดา
จงถือว่าคนหนุ่มๆทั้งหลายเป็นเสมือนพี่หรือน้อง
และผู้หญิงผู้มีอาวุโสเป็นเสมือนมารดา
และส่วนหญิงสาวๆ ก็ให้เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว มีใจบริสุทธิ์ต่อเขา
อย่างที่บางท่านบอก ลองหาวิธีพูดคุย.... เพื่อดึงเขากลับเข้ามาสู่ความจริง
"ในการตักเตือนนั้น อย่าตำหนิชายผู้มีอาวุโส แต่จงขอร้องเขาเสมือนเป็นบิดา
จงถือว่าคนหนุ่มๆทั้งหลายเป็นเสมือนพี่หรือน้อง
และผู้หญิงผู้มีอาวุโสเป็นเสมือนมารดา
และส่วนหญิงสาวๆ ก็ให้เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว มีใจบริสุทธิ์ต่อเขา
อย่างที่บางท่านบอก ลองหาวิธีพูดคุย.... เพื่อดึงเขากลับเข้ามาสู่ความจริง