อ่า...พึ่งผ่านมา...ไม่รู้ว่าจะให้คำปรึกษาอย่างไร...แต่จะเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังครับ...เผื่อจะช่วยได้ มันเป็นอะไรที่สนุกสนานมากกกก...
ตอนประมาณ ม.๓ ตอนนั้นแบบตามประสาเด็กผู้ชายทั่วๆไป...ครับ ผมอยากขับเครื่องบิน ตั้งปณิธานว่า "จะสอบเข้านายร้อยทหารอากาศให้ได้"
ก็แบบ...เตรียมตัวสุดชีวิต ชีวิตนี้กระผมต้องมีดาวประดับบ่า ขับเครื่องบินเจ็ท อายุซักสามสิบลาออกมาเป็นกัปตันเครื่องบินพาณิชย์ อะไรประมาณนั้น
แต่แล้ว........ได้มีโอกาสคุยกับพี่ญาติ ที่ได้ทุน ทอ. ไปเรียนต่อ ป.เอก ที่เยอรมัน ว่าชีวิตในโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียน ทอ. นั้น SOTUS จ๋ามาก
ซึ่งส่วนตัว...ไม่ค่อยจะต้านทานการถูกออกคำสั่งได้...ก็เลย...ตอน ม.๔ สมัครเตรียมทหารเอาฮา..เพราะเพื่อนสมัครเกือบทั้งห้อง (ชายล้วน) ผลออกมา
ติดทั้งสี่เหล่า...เพราะฟิตมาดี เลยดูดีมากมาย...แต่ ไม่ล่ะครับ ขอลา ความฝันหลุดลอยไปอีกอย่าง ไม่ไปสอบภาคปฏิบัติ เหอๆ
ชีวิตมัธยมปลายก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ ไปอยู่เมืองนอกปีนึง เหลวแหลกสุดชีวิต ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากเรียนบริหารธุรกิจ เพราะ...ดูเท่ห์ดีแฮะ
แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อมันซักนิด...จนผ่านไป
ชะแว๊บบบบบบบบบบบ... ม.๖ ครับ กลับมาอยู่เมืองไทยพร้อมกับงงๆ ADMISSION รุ่นแรก.... ทำให้รู้สึกว่า ทำไมตูไม่เกิดเร็วกว่านี้ซักปีฟะ...
อ่านวิธีการแล้วอยาก admit มากกว่าอ่ะ...
เปิดดูตารางคณะ......อืมม....ช่วงนั้นกำลังชอบอ่านวรรณคดี ทั้งไทยและเทศ ก็เลย...เอาฟะ...อักษรฯ จุฬาฯ เอกวรรณคดี ฮ่าาาาาาา (หน้าไม่ให้ใจรัก)
ก็หลังจากที่ไม่เข้าเรียนซักเท่าไหร่ตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย...ไปโรงเรียนเพื่อ...เตะบอล เล่นบาส เกากีตาร์ ชาร์ตรักบี้ นอนกลางวัน...ก็...ยังทำเหมือนเดิม ฮ่าา
แต่...พอกลับบ้าน ออกไปเรียนพิเศษทุกวัน แบบเร่งรัดมากๆๆ กลับมาถึงบ้านสองทุ่ม นอนหลับเป็นตาย เที่ยงคืนอ่านหนังสือต่อถึงเช้า...แล้วไปนอนต่อที่โรงเรียน
มีอะไรๆ เข้ามามากมาย เท่าที่จำได้...
๑. จำได้ว่าเพื่อนชวนไปสอบ
มศว. เราก็เปิดดูระเบียบการสอบตรงที่ซื้อมา...อ่านๆๆๆๆๆ ไม่มีคณะที่ใช่เลยแฮะ...ก็เลย ขายใบสมัครต่อไปด้วยราคาแบบ..ขาดทุนชัดๆ
แต่เพื่อนที่ซื้อไปเขาสอบติด มศว. แล้วทุกวันนี้ก็เรียนที่นั่น เขาขอบใจเรามากๆ ที่ทำให้เจอคณะที่ใช่และชอบ...โอเค พระคงจัดมาอย่างนั้น เหอะๆ
๒. จากนั้น...หันมองซ้ายขวา...เอาละเว้ยๆๆๆๆ
ทัศนศิลป์ ศิลปากร...เสร็จตู อาร์ทมากกกกกกกกกก แอบสมัครอย่างมั่นใจ....ผลคือ...คุณแม่ไม่ให้ไปสอบ ฮ่าาาา
๓. ตามคำบัญชาของคุณแม่สั่งให้ไปสอบแพทย์...เอาอีกแล้ว ทำไมตูต้องเป็นรุ่นแรกที่มีความถนัดทางแพทย์บ้าบออะไรนี่ด้วย ฟิตอ่านชีวฯ เคมี อย่างเต็มที่ เพราะไม่รู้จะออกอะไร
ตอนไปสอบ...ไม่มีเล๊ยยยยยยยยยยยยย ที่อ่านมา แต่คะแนนออกมาน่าพอใจ รุ่นนั้นเต็ม ๓๐๐ ได้มา ๒๖๐ ฮ่าาา (ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้คะแนนเยอะขึ้น ช่างเหอะ...)
ตอนเลือกคณะก็แบบ...ถ้าเรียนหมอก็ต้อง ศิริราชฯ สิ...เอาเลยอันดับหนึ่งศิริราชฯ ไม่ได้ไม่เรียน แล้วก็แอบห้อย แพทย์พระมงกุฎ ไว้
ผลคือ...
ไม่ติดศิริราช...ได้พระมงกุฎ....งุบงิบไว้ก่อน ยังเลือกไม่ถูก ฮ่าาาาาาาาาาาา
๔. ตามคำบัญชาของท่านปะป๊า ที่จบวิศวะจุฬาฯ อยากให้ลูกชายเจริญรอยตาม "จงไปสอบเข้าวิศวจุฬา บัดเดี๋ยวนี้..." ก็เลยไปสอบ
วิศวอินเตอร์จุฬาฯ อาศัยคะแนน IELTS ที่ดีระดับหนึ่ง
ทำให้เข้าได้อย่างง่ายดาย (ความจริงหลักสูตรนี้มันก็เข้าได้เกือบทุกคนนั่นล่ะ แต่จะจบป่ะอีกเรื่องนึง) พูดถึงคะแนน IELTS แล้วเสียดายที่หมดอายุไปแล้ว ให้ไปสอบใหม่คงได้ไม่ถึง ๗.๐
(ตอนนั้นได้ ๗.๕ นะจ๊ะๆๆๆ ฮ่าา)
๕. เพื่อนสนิทมากๆๆๆ และสาวที่กิ๊กๆ กันอยู่ ชวนมาสอบตรงธรรมศาสตร์ เราก็เลยเปิดระเบียบการดู...จิ้มๆๆๆๆๆ ดูว่าคณะไหนดูดี เจอ..
.นิติศาสตร์...อืมมมม น่าสนใจ
(ตอนนั้นไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย และไม่สนใจเอาซะเลยยยยยยยยยยยยย) แต่อีกใจก็สนใจ
เศรษฐศาสตร์ เพราะชอบตัวเลขมากๆ ...แต่สาวเจ้าเป่าหูว่า...สอบนิติด้วยกันนะ จะได้เรียนด้วยกัน
โอเค...สอบนิติ...ก็ได้ฟะ...หนังสือไม่ได้อ่านเลย...และเป็นรุ่นแรกที่มีสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งเมพมากกกกกกกกกกกกกก ยากกว่า TUGET อีก
แต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษนี่ล่ะ ถึงสอบติดเข้ามาได้...แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรอยู่ดี
๖. เห็นสาวๆ โรงเรียนหญิงชวนกันไปสอบ SMART-I เอาวะ...เรื่องภาษาอังกฤษ และเลข ไม่รองใครแน่ๆ ไปสอบซ๊าาาาาาาาาา คะแนนออกมาน่าพอใจ
คะแนนถึง
บัญชี ๕ ปีด้วยนะ แต่...ไม่ได้ยื่น ฮ่าาา
๗. โควตา
มข. มาที่โรงเรียน...อืมๆๆๆๆๆๆ เรียนไรดีๆๆๆๆ สุดท้ายไม่มีอะไรที่สนใจ อีกอย่างไม่อยากอยู่ขอนแก่น ก็เลย ให้ใบสมัครเพื่อนไปฟรีๆ (ตอนนี้มันก็เรียนที่นั่นล่ะ)
๘. ได้เวลายื่นคะแนน Admission ด้วยความมั่นใจและแน่วแน่ แม้คะแนนภาษาไทยจะต่ำเฉียดดิน...คือน้อยสุดแล้วในบรรดาทุกวิชา ข้าพเจ้าก็ยื่น
อักษรจุฬา เอกวรรณคดี
อันดับหนึ่ง และเพียงอันดับเดียว...รู้กันไปว่าคะแนน เลข ONET เต็มร้อย วิทย์พาร์ทฟิสิกส์เต็ม และภาษาอังกฤษ ๙๕ อย่างตูจะไม่ติดคณะนี้...หึๆๆ
แต่...ผลออกมาคือ...ขาดไปร้อยคะแนน เพราะเกรดเฉลี่ยแค่ ๓.๑ ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาา ไม่ติด
![sad : emo031 :](./images/smilies/emotion_031.gif)
แทบบ้าแหนะตอนนั้น
ได้ชื่อว่าเป็นเด็กแอ๊ดไม่ติดแล้วว๊อยยยยยยยยยยยยยยส์
๙. สมัครทุน FULL ABAC ไป...ได้ทุนเต็ม
บริหารธุรกิจ มา...แอบอยากเรียนนะ
สุดท้าย เหลือที่เลือกได้ก็คือ
๑. แพทย์ พระมงกุฎ
๒. นิติ ธรรมศาสตร์
๓. บริหาร ABAC
๔. วิศวะ อินเตอร์ จุฬาฯ...
โปรดสังเกตข้อ ๒ ไม่เข้ากับชาวบ้านเลย...และนั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกเรียนนิติ...
เพราะทั้งรุ่นผมที่โรงเรียนมีเรียนแค่สองคน ดูเท่ห์ดี...............จบ เหตุผลดูดีป่ะ?
ยังจำวันสัมภาษณ์ได้ขึ้นใจ...แถทั้งนั้นน่ะ อาจารย์ถามอะไรมั่วหมด เพราะไม่มีความรู้ด้านนี้เลย
พอเข้ามาเรียน...สอบตกตั้งแต่อยู่ปีสอง พลาดเกียรตินิยม หันชีวิตเข้าหากิจกรรมและงานอาสาสมัคร
อีกใจก็ยังขวนขวายหาตัวเลข เพราะเป็นสิ่งที่รักที่สุดในชีวิต พอมาเรียนนิติ....ไม่เจอมันอีกเลย คิดถึงงงงงงงงง
แต่ก็พอเรียนได้เรื่อยๆ นะนิติ แม้จะไม่ชอบมาก แต่อยู่ด้วยก็มีความสุขดี (ยังกะแฟน)
ก็เลยไปลงเศรษฐศาสตร์ รามฯ ไปพร้อมๆ กัน กวาด G มาทุกตัวที่เป็นตัวเลข ฮ่าาา
ตอนนี้จะจบนิติแล้ว กะว่าจะต่อโท Economics Law ด้านนิติเศรษฐศาสตร์การคลัง พยายามประยุกต์อยู่
อนาคตไม่แน่นอน ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป ฮ่าาาาาาาาาาา
อยากฝากบอกคุณน้องว่า...
เลือกสิ่งที่ตัวเองอยู่ด้วยแล้วมีความสุข พ่อแม่พอใจบ้าง หางานหาเงินได้พอใช้ อย่าโกหกตัวเองว่าเราชอบอะไร
อย่าเลือกอะไรเพราะกระแส หรือเพราะตามเพื่อนนะจ๊ะๆๆ
อะไรที่เรามีความสุขกับมัน ตอนเรียนเราจะสุขมากๆๆๆ ทำข้อสอบได้คะแนนดี จบออกมาคะแนนดี หางานดีๆ ทำได้ ครอบครัวมีความสุข มีความสุขกับงานที่ทำ...
ไม่ใช่แค่ ๔ ปีในมหาลัยนะ...มันอาจจะหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตก็ได้ครับ
ปล. กลับไปคิดเหตุการณ์ตอนนั้นก็ฮาดี กว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้ ฮ่าาาาาาา