และเรื่องที่ต้องเป็นไปของทุกคนที่จะต้องเกิด และ ดับ เป็นครั้งเดียวของชีวิตทุกผู้คนที่เกิดนี้ที่จะต้องเป็นไป ไม่ช้าก็เร็ว แต่เราก็หวังว่าเราจะอยู่บนนี้ให้นานที่สุด ทั้งเรา คนที่เรารู้จัก ญาติพี่น้อง และ คนที่เรารัก .......นานที่สุด...
เดิมทีก่อนที่จะมาถึงวันนี้เมื่อเดือนก่อนที่จะกลับไปลาว พี่วิมลได้นัดกับผมว่าจะพาผมเข้าโบสถ์ที่โบสถ์นักบุญเปโตรนี้ในวันที่ 1 สิงหาคม 53 นี้ แต่ติดขัดบางประการ จึงไม่ได้มาในวันที่นัดไว้ แต่ก็นัดกันว่ามาครั้งต่อไปจะพาผมมาให้ได้ เพราะผมเป็นพุทธที่ไม่ค่อยเข้าวัดเนื่องจากเหตุหลายประการ ผมอยากจะไปโบสถ์คริสต์ซึ่งพี่วิมลได้แนะง่ายๆว่าเข้าไป สำรวมหน่อย เขาทำอะไรเราก็ทำตามไปเท่านั้นแหละ ผมกลัวว่าจะเขินในการเข้าไป เท่านั้นเอง และผมได้มีโอกาสเข้าโบสถ์ในครั้งนี้คืองานคุณหมวยนี้เป็นครั้งแรก และก็เป็นที่โบสถ์แห่งนี้ที่เรานัดกันไว้ ผมยินดีที่ได้เข้าโบสถ์และเห็นพิธีกรรมในศาสนาคริสต์ครั้งแรก ดูยิ่งใหญ่ และเป็นพิธีการและผมเพิ่งรู้ว่าการที่เราได้ตายจากในภพนี้เป็นการกลับไปอยู่เบื้องบน อยู่กับพระเจ้าด้วยความสุข สงบ ไม่ต้องรับรู้เรื่องงาน ความลำบาก ความสุขต่างๆที่ได้รับบนโลกนี้ กลับไปเกิดใหม่ในพระเจ้าในวันที่เราฝังร่างบนพื้นดินที่เราเกิดนี้ และก่อนที่จะถึงวันนี้ผมได้รับรู้ถึงการแบ่งปัน ตั้งแต่การตั้งศพซึ่งในวันที่มีพิธีสวดมิซซา ที่เมื่อวันที่เริ่มสวดสำหรับคุณหมวยก็ได้สวดกับอีกท่านหนึ่งที่ล่วงลับเช่นกัน ในที่เดียวกัน โดยกล่าวชื่อของท่านทั้งสองเป็นการแบ่งปัน พิธีร่วมกัน ซึ่งผมชอบในวิธีการนี้มาก ที่ในเมื่อทุกคนที่ดับนี้จะต้องไปเกิดในพระเจ้าตามศาสนาของตัวเองที่นับถือ พิธีการก็ควรจะรวมกันได้ และผู้ดับบนโลกนี้ก็ไปมีความสุขสงบกับพระเจ้า และพี่น้องเพื่อนฝูงที่เป็นคริสต์ชน วันหน้าก็ต้องพบความ สุข สงบ แบบนี้เช่นกันทุกคน..................
แตกต่างกับศาสนาพุทธ ที่เมื่อตายไปจะต้องไปชดใช้กรรมที่กระทำในชาตินี้ก่อนที่กระทำมา เช่นปีนต้นงิ้ว โดนหอกแหลมแทง ต้องลงกระทะทองแดง 500 ชาติบ้าง ความผิดไม่แน่นอนตามแต่พระจะไปเทศน์บอกความผิดนั้น ไม่ตรงกันสักคดีตามแต่พระจะนึกเรื่องแล้วพูดไป เพราะความเชื่อของแต่ละศาสนา เมื่อเราตายไปก็จะไปเกิดในภพชาติของศาสนานั้น และมีรุ่นพี่ผมที่มาในงานนี้ รุ่นเดียวกับพี่วิมลจากเดิมนับถือพุทธแต่วันนี้ได้นับถือศาสนาคริสต์แล้ว แนะนำผมเลยเรื่องเปลี่ยนวิธีการนับถือศาสนาใหม่ที่ตั้งมั่น โดยเล่าว่าเมื่อนับถือศาสนาคริสต์ไปโบสถ์บ่อยๆชีวิตดีขึ้น ได้พบผู้คนมีความรู้สึกที่ดีในชีวิต มีความหวังและอยากได้อะไรก็ขอกับพระเจ้า ก็สัมฤทธิ์ผลเสมอ ซึ่งในความเป็นจริง ศาสนาคริสต์ได้บอกกล่าวถึงสิ่งยึดเหนี่ยวของชีวิตคน แบ่งปัน รู้จักการให้ การเผื่อแผ่ ซึ่งในศาสนาพุทธซึ่งผู้เป็นพระคือใครก็ได้โกนหัว ห่มผ้าเหลือง เข้าวัด ก็เป็นพระแล้ว จะสึกก็ง่ายไปบอกกล่าวคำสั้นๆก็ไม่ต้องเป็นพระแล้วมันง่ายไปหน่อย จึงมีข่าวในศาสนาพุทธตามความเป็นจริงที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกเดือนต้องมีเรื่องจากเหตุจากวัด จากพระ ที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม มีพระส่วนน้อยที่สำรวม ยึดมั่นในศีลธรรม ในความคิดผมซึ่งฝังหัวแต่เดิม แตกต่างจากคริสต์ซึ่งนักบวชในศาสนาคริสต์จะต้องเรียนมาเพื่อเป็นนักบวช แน่วแน่ว่าจะเป็นนักบวชจึงจะเป็นได้ เป็นขั้นเป็นตอน เพราะพี่วิมลก็เคยอยู่ที่บ้านเณรอัสสัมชัญมาก่อนเมื่อเปลี่ยนวิถีมาเรียนเพาะช่างจึงละจากความเป็นนักบวชที่ทางบ้านส่งมาเรียน และพี่คนนี้เมื่อเข้าไปในโบสถ์ในวันพิธีตั้งใจในพิธีมาก ผมชำเรืองมองดูแอบชื่นชมในใจ และก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับยังบอกกล่าวให้ผมลองเข้าโบสถ์ดูชีวิตจะได้ดีขึ้น มาซิ มากับผมก็ได้ ผมยังประทับใจเลยที่ได้มาในครั้งแรกนี้.........
ในการยึดมั่นต่อศาสนาพี่วิมลซึ่งผมยึดเป็นแบบอย่าง เมื่อครั้งที่ตามองไม่เห็นรู้สึกอย่างไร ซึ่งนานแล้วที่ผมเคยถาม พี่ตอบว่าไม่รู้สึกอย่างไร ตาไม่เห็นก็เป็นเรื่องของตา ความคิด สมอง ความจำยังอยู่คู่กับตัวเราใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปก่อนที่ไม่มีจะใช้ เข้าใจหรือยัง ........
และในวันนี้ ผมได้ถามถึงความศูนย์เสียในครั้งนี้ระหว่างอยู่บนรถด้วยกันว่าจะเป็นไปอย่างไรในธุรกิจที่ลาวที่สร้างมา ...คำตอบคือเหมือนเดิม ลูกน้องที่ลาวกลัวว่าจะไม่กลับ กลับแน่ค่อยคิดแก้ไขกันไป ถ้ำพระแม่ก็เป็นของหมวยเป็นผู้สร้างก็แล้วกัน ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า อุปสรรคมีบ้างแต่ทุกคนต้องเจอไม่ใช่หรือ..ชัช...
เมื่อหลังวันงาน หนึ่งวันเสียงโทรที่มือถือผมเป็นเสียงพี่วิมลโทรมาทักทาย ผมถามว่าใครกดเบอร์ให้พี่ พี่ตอบว่าผมนี่ละกดเอง คนกดเบอร์ไม่อยู่แล้ว ต้องทำด้วยตัวเองต้องจำเบอร์คนบางคนให้ได้ ...เพื่อทำเองให้ได้ไม่ต้องรอรบกวนใคร....ผมสะเทือนใจมากแต่ผมก็ยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งของคนบางคน...ที่พี่จำได้ในความมืด....ที่มีพระเจ้าคอยนำทางนั้น.......
ขอบันทึกรูปภาพงานที่ถ่ายไว้บางส่วน แต่บางครั้งยังคิดว่าฝันไป ทำไมเร็วเช่นนี้.........
คุณเมธาที่ขับรถกลับกันมาจากลาวเมื่อ 14 สิงหาคม 2553 และครั้งนี้กลับไปไม่มีแล้วเช่นเมื่อตอนมา เลือกรูปนี้ยังประทับใจรอยยิ้มที่จริงใจตลอดไป
ในงานสวดมิซซา
คุณแม่และ น้องชายคุณหมวย