คนเพื่อการเป็นมนุษย์

(((+))) แล้ว “คนทุกคน” จะต้อง “คนอะไร?”
(((+))) และ “คนทุกคน” จะต้อง “คนกันอย่างไร?”
(((+))) โดย “คนทุกคน” จะต้อง “คนเพื่ออะไร?”
>>>ใครไม่เรียนรู้ ใครไม่ใส่ใจ และใครไม่ทำหน้าที่
ใครเหล่านี้จักเสียทีที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็น “คน”
>>>ใครเหล่านี้ จักหลุดพ้นไม่ได้ เพราะจะห่างไกลจากการเป็น “มนุษย์” โดยแท้
>>>ผู้ปรารถนานิพพาน คืนกลับบ้านไปกราบพระบิดา จงเร่งหาคำตอบสู่การปฏิบัติโดยด่วน!!! ก่อน 56 วัน 7 ราตรี จะมาเยือน
“คนทุกคน” จะต้อง “คนอะไร?”
1.คำว่า “คน” เป็นกริยา หมายถึง การเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลางจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
2.จิตวิญญาณที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น จะเป็นรูปธรรมที่มี 2 มิติ คือ มิติของเครื่องยนต์แห่งกรรมที่เรียกว่า “กายสังขาร” ทางด้านกายภาพ อันเป็นเปลือกนอกที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “กายหยาบ” และมิติของจิตวิญญาณที่เรียกว่า “แก่นแท้” ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานผู้ขันอาสาข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นรูปธรรมสองมิติบนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้
3.เนื่องจากจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ซึ่งมาเกิดเป็นรูปธรรมสองมิติ ที่เรียกว่า “คน” นั้น เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีความบริสุทธิ์สะอาดและละเอียดอ่อนมาก จึงมีความอ่อนไหวหรือเสียสมดุลได้ง่ายหากถูกกระตุ้นปลุกเร้าด้วยเงื่อนไขด้านลบจากภายนอก ในสภาวะที่ตนไม่รู้ตัว เพราะถูกกำหนดติดตั้งให้เร้นลึกอยู่ข้างในเปลือกนอกที่เป็นกายหยาบนั่นเอง
4.ถ้าปล่อยให้จิตวิญญาณเกิดการเสื่อมหรือเสียสมดุลรุนแรงแล้วจะยากแก่การแก้ไขเยียวยาอย่างยิ่ง ดังนั้นองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณจึงทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณนั้นๆแบ่งภาคตนเองออกมาส่วนหนึ่ง เรียกว่า “จิตปัจจุบัน” หรือจิตหยาบ เพื่อให้เป็นตัวแทนของแก่นแท้ในการทำหน้าที่แทนตนเอง ในบทบาทของ “คนสองมิติ” เพื่อความปลอดภัยของจิตวิญญาณโดยตรงดังกล่าวแล้ว
5.ภารกิจหลักของจิตหยาบที่จะต้องทำแทนแก่นแท้ของตนเองก็คือ จะต้องทำหน้าที่สื่อสารกับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนตลอดเวลายกเว้นเวลาหลับว่า ในขณะนั้นๆตนกำลังสัมผัสรู้ดูเห็นอะไรอยู่ โดยอาศัยกลไกอวัยวะประสาทสัมผัสภายนอกที่เรียกว่า “อายตนะทั้งห้า” คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสซึ่งทำงานร่วมกับอายตนะภายใน คือ จิตหยาบเองนั่นแหละ เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
6.สาเหตุที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าเอาไว้ให้ มิได้มีแค่อย่างสองอย่างก็เพราะว่าพระองค์ได้ทรงกำหนดสร้างสรรพสิ่งต่างๆเอาไว้บนโลกนี้หลากหลายมิติและหลากหลายรูปแบบ โดยมีทั้งของแข็ง ของเหลว ก๊าซ มีทั้งสี กลิ่น รสชาติ และอุณหภูมิร้อนเย็น เป็นต้น
7.ทุกๆคนโดยจิตหยาบหรือจิตปัจจุบัน จึงต้องใช้กลไกทั้งห้าเหล่านี้ “สับเปลี่ยน-หมุนเวียน” สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งต่างๆรายรอบตัวที่ตนเผชิญ แล้วสื่อสารส่งข้อมูลเข้าไปข้างในแก่นแท้คือจิตวิญญาณของตนเองให้เกิดการรับรู้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และครบครัน เพื่อให้แก่นแท้ของตนใช้ข้อมูลข่าวสารที่จิตหยาบสื่อถ่ายทอดเข้าไปให้สู่การเรียนรู้ในอันที่จะสั่นสะเทือนตนเองเพื่อการกระทำตอบสนอง ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้และการกระทำสนองตอบต่อสิ่งเร้านั้นๆทางกายหยาบให้ถูกต้องในบั้นปลาย
8.การหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันใช้กลไกอายตนะทั้งห้า เพื่อสื่อสารการรับรู้ของจิตหยาบไปยังจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนดังกล่าวนี้ จึงหมายถึง “การคน” หรือการเหวี่ยงหมุนอายตนะภายนอกที่มีอยู่รายรอบเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์แต่ละคน เพื่อนำข้อมูลที่ได้ถ่ายทอดเข้าไปสู่จุดศูนย์กลางของการเหวี่ยงหมุน คือ จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในแต่ละคนนั่นเอง
9.ดังนั้น หน้าที่หลักของจิตหยาบซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้ก็คือ การใช้จิตหยาบของตน “คน” อายตนะภายนอกทั้งห้า เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาสื่อสารต่อเข้าไปยัง “จิตวิญญาณ” ผู้มอบอำนาจให้ตนเองทำหน้าที่แทนโดยแท้ จิตหยาบจึงมีหน้าที่เพียง “รับรู้แล้วถ่ายทอดต่อ” แล้วรับบัญชาจากจิตวิญญาณของตนอีกทอดหนึ่งว่าตนจะต้องตอบสนองทางกายภาพต่อสิ่งเร้านั้นๆอย่างไร แล้วก็แสดงออกไปอย่างนั้น แต่น่าเศร้ายิ่งนักที่จิตหยาบของคนแทบทั้งโลกไม่รู้หน้าที่ของตนที่กล่าวแล้ว และทำเกินหน้าที่อีกต่างหากด้วย คือ เมื่อรับรู้ข้อมูลใดๆแล้วก็รับเอามันเสียเอง แล้วกระทำตอบสนองสิ่งเร้านั้นเองตามอำเภอใจ โดยมิได้ใส่ใจจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเองเลยว่ากำลังรอท่า “ข้อมูล” เพื่อทำหน้าที่ในบทบาทของคนสองมิติที่แท้จริงอยู่นานแล้ว
(((+))) ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ คำตอบในคำถามที่ว่า “คนทุกคน” จะต้อง “คนอะไร?” และทำไมจึงต้อง “คน”
ป.วิสุทธิปัญญา
18-01-2012
++++++++++
ที่มา http://www.jitchakraval.com
==================
โดยส่วนตัวแล้ว.... ไม่ว่าศาสนาไหน ปฏิบัติทางธรรม เน้นคุณความดี คิดดี ทำดี พูดดี เป็นผู้เจริญแท้.... ไม่ใช่สวมเพียงชุด นั่งวิปัสสนากรรมฐาน ภาวนาแต่จิตใจหยาบ เพราะจิตยังไม่สูงพอ....เพราะยังไม่มีคำว่า "รัก" อยู่ในหัวใจ จริงไหม แล้วอย่างนี้ จะรักตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร และไม่ใช่คำว่า "รักแบบมีเงื่อนงำ" เพราะมีสิ่งแอบแฝงอยู่ มีเหล์สนัย ดังนั้น "อำนาจความรักไม่เกิด"