คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโบสถ์สำเหร่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เลขที่ 37 ซอยวิจิตรวรศาสน์ ถนนเจริญนคร 59 แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ก่อนถึงโรงแรมแมริออทหากมาจากสะพานพุทธฯ
คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ เป็นคริสตจักรแห่งแรกของมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแผ่ศาสนาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในครั้งนั้นยังไม่มีที่ตั้งคริสตจักรเป็นของตนเอง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงโปรดให้อยู่รวมกับชาวต่างชาติอื่น ๆ ที่ชุมชนกุฎีจีน บริเวณหลังวัดอรุณฯ
ต่อมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2392 (ค.ศ. 1849) มิชชันนารี 5 ท่าน ได้แก่ ศาสนาจารย์สตีเฟน แมตตูน (คนไทยเรียกท่านว่า “หมอมะตูม”) และภริยา ศ.สตีเฟน บุช และภริยา และ ศ.นายแพทย์ ซามูเอล เรย์โนลด์ เฮาส์ (คนไทยเรียกท่านว่า “หมอเหา”) ได้ร่วมกันตั้งคริสตจักรขึ้น ชื่อว่า “คริสตจักร เพรสไบทีเรียนที่ 1 กรุงเทพ” มีหมอแมตตูนเป็นศิษยาภิบาล แต่ยังไม่ได้สร้างสถานที่นมัสการโดยเฉพาะ ยังคงใช้บ้านพักของมิชชันนารีเป็นสถานที่นมัสการ
ในปี พ.ศ. 2400 (ค.ศ.1857) ได้ย้ายบ้านพักมิชชันนารีมาที่สำเหร่ ซึ่งเดิมใช้เป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ และได้สร้างพระวิหารถาวรขึ้นเป็นแห่งแรกที่นี่ ในปี พ.ศ. 2403 (ค.ศ. 1860) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยใช้เงินบริจาคจากพ่อค้า กะลาสีเรือ มิชชันนารีชาวต่างชาติ และเงินสนับสนุนบางส่วนจากสหรัฐอเมริกา การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862)
ระยะเวลาที่ค่อนข้างล่าช้าดังกล่าวเนื่องมาจากสงครามกลางเมืองที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้น เมื่อพระวิหารเสร็จสมบูรณ์แล้วได้มีพิธีมอบในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 จากนั้นเป็นต้นมา คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางการทำงานของคณะเพรสไบทีเรียน นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กชาย “สำเหร่บอยส์คริสเตียนไฮสคูล” ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็น “โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน” ในปัจจุบัน
ปัจจุบันคริสตจักรที่ 1 สำเหร่ ประกอบไปด้วยพระวิหาร (โบสถ์) และหอระฆังตั้งเคียงข้างกัน โดยพระวิหารมีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นอาคารชั้นเดียวทาสีขาว หลังคามุงกระเบื้องว่าวสีแดง หันหน้าไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา (ทิศตะวันออก)
ด้านหน้าอาคารเว้นช่องเสาเป็นระเบียงทางเข้า ระหว่างช่องเสาทำเป็นวงโค้ง ประดับด้วยคิ้วและลวดบัวปูนปั้นทาสีน้ำตาลเป็นลายอุบะ และเลขอารบิค 1860 และ 1910 ระบุปี ค.ศ. ที่สร้างวิหารหลังแรก และหลังปัจจุบัน ที่กลางหน้าบันอาคารประดับด้วยลวดบัวปูนปั้นทาสีรูปดอกห้ากลีบขนาดใหญ่ในวงกลม และดอกสี่กลีบมีไส้ในวงกลมขนาดเล็กขนาบ 2 ข้าง ที่ปลายสันหลังคาด้านทิศตะวันออกประดับด้วยกางเขนทาสีขาว โครงสร้างอาคารเป็นระบบกำแพงรับน้ำหนัก พื้นทั่วไปเป็นพื้นหินอ่อน ประตูและหน้าต่างเป็นบานเปิดคู่ 2 ชั้น ประกอบด้วยบานไม้และบานกระจก เหนือช่องเปิดเหล่านี้ทำช่องแสงด้านบนเป็นโค้งครึ่งวงกลมประดับกระจกสีต่าง ๆ
ส่วนอาคารหอระฆังเป็นหอคอยสูง ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระวิหาร ประตูเข้าออกเป็นบานไม้เปิดคู่อยู่ด้านทิศตะวันตก
ภายในมีบันไดขึ้นสู่หอคอย ผนังอาคารทั้งสี่ด้านประดับลวดบัวปูนปั้นทาสีและลายอุบะแบบเดียวกับพระวิหาร มีเลขอารบิค 1912 ระบุปี ค.ศ. ที่สร้าง นอกจากนี้ยังมีกางเขนขนาดใหญ่ติดอยู่บนผนังอาคารด้านทิศตะวันออกอีก 1 อัน หลังคาหอระฆังนี้เป็นทรงปั้นหยายอดสูง โครงสร้างไม้มุงกระเบื้องว่าว ประดับชายคาด้วยไม้ฉลุ ที่ยอดอาคารและปลายสันหลังคาทั้งสี่มุมประดับด้วยแท่งไม้กลึง
เช่นเดียวกับโบสถ์โปรเตสแตนต์ทั่วไป พระวิหารหรือโบสถ์แห่งนี้มีลักษณะต่างไปจากโบสถ์คาทอลิก คือเน้นที่ความเรียบง่ายไม่มีการประดับตกแต่งด้วยรูปนักบุญต่าง ๆ สิ่งสำคัญอย่างเดียวที่เป็นประธานภายในพระวิหารได้แก่กางเขน ส่วนถาวรวัตถุเก่าแก่ของที่นี่มีเพียงนาฬิกาพระราชทาน 2 เรือน ซึ่งด้านบนแกะสลักไม้เป็นตราพระเกี้ยวพร้อมพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร.
คริสตจักรนี้มีประวัติการบูรณะซ่อมแซมตลอดจนดูแลรักษาด้วยกำลังของมวลสมาชิกเองมาโดยต่อเนื่อง แม้บางเวลาอาจขาดช่วงไปบ้างเนื่องจากเป็นภาวะที่บ้านเมืองคับขัน หรือเป็นเวลาที่ต้องทุ่มเทให้กับพันธกิจอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นกว่า อาทิ งานโรงพิมพ์ หรืองานการศึกษา
ถึงแม้ว่าโรงพิมพ์จะเลิกกิจการไปแล้ว และโรงเรียนได้ย้ายข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็น โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้ว แต่ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่พบว่าด้วยกำลังของสมาชิกซึ่งมีปริมาณไม่มากมายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ได้ร่วมกันประคับประคอง คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ แห่งนี้ให้คงมีอาคารตลอดจนสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ และสามารถยืนหยัดมาได้ถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 150 ปีแล้ว ยังผลให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำปี 2547
ปัจจุบันโล่รางวัลซึ่งพระราชทานโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้ถูกนำติดบนผนังพระวิหารเพื่อให้สาธารณชนทั่วไปได้ร่วมชื่นชม
เข้าใจว่าโบสถ์ที่เรียบง่าย แต่สื่อได้ถึงวิถีปฏิบัติแบบโปรเตสแตนต์ และมีอายุเก่าแก่รุ่นนี้ คงมีเหลืออยู่ไม่มาก โดยหลายแห่งอาจไม่โชคดีเท่าที่นี่ ด้วยอยู่ในเขตเมืองหลวงซึ่งอาจหาทุนรอนในการทำนุบำรุงให้คงสภาพได้ง่ายกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วหากจะธำรงรักษาคุณค่าทั้งหมดที่มีให้คงอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทางศิลปสถาปัตยกรรม หรือคุณค่าทางประวัติศาสตร์ชุมชนแล้ว ประเด็นความเชื่อที่ว่า “สร้างใหม่ถูกกว่าซ่อม” คงไม่ถูกนำมาใช้เพื่อตัดสินให้อาคารที่มีคุณค่าเหล่านั้นจะต้องถูกรื้อลงไป
เพราะคงไม่ต่างอะไรกับการลบความทรงจำร่วมของบรรพบุรุษที่จะได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้ตัวท่านจะไม่มีโอกาสได้อยู่บอกเล่าด้วยตนเองแล้ว.
** อ้างอิง : คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ กับ 150 ปีแห่งความเชื่อศรัทธา, 2542. รัฐ เลขวัต, รายงานใน รายวิชาปริญญาโท M.S.CRAC, 2547 www. asa.or.th/heritage และ สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง, พ.ศ. 2547