ค่อยข้าง งง เลยทีเดียวครับ มาถึงเห็นคนเอามือแตะฟองน้ำแล้วแปะหัว ผมก็ทำตาม
เข้าไปให้นั่งก็นั่ง ให้ยืนก็ยืน ให้คุกเข่าก็ทำตาม แต่ เค้าร้องเพลงกันอะ ผมก็ไม่รู้จะร้องอะไร - -"
พอ นั่ง ๆ ยืน ๆ แล้วคนอื่นก็ไปต่อคิวกินขนมปังกนแต่ผมไม่ได้ไปต่อกิน ลำบากดีเหมือนกันครับ
แต่ออกมาแล้วรู้สึกสบายใจดีครับ วันนี้เค้าพูดถึงนักบุญ 2 คนนะครับ
ปล. ไปวัดอัครเทวดาราฟาเอลมา รอบ 6 โมงเช้า ตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง บ้านอยู่ไกล T T
วันนี้ไปโบสถ์มาแล้วครับ ครั้งแรกในชีวิต
- pagorn1174
- โพสต์: 122
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 08, 2012 12:13 pm
- ที่อยู่: House No.157 Village No.3,Thon Samo Sub-district,Tha Chang District,Singburi Province 16140
ผมก็เป็นแบบนี้ เมื่อ ประมาณ 1เดือนกว่าๆ ตอนนี้ผมเริ่มคล่องแล้ว
เป็นกำลังใจให้ นะครับ ถ้าทำด้วยใจ อีกหน่อย ก็ดีขึ้นเองแหละครับ
เป็นกำลังใจให้ นะครับ ถ้าทำด้วยใจ อีกหน่อย ก็ดีขึ้นเองแหละครับ
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
สวัสดีครับ คุณoasismanoasisman เขียน:ค่อยข้าง งง เลยทีเดียวครับ
เบื้องต้นขอต้อนรับคุณoasisman เข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา และการดำเนินชีวิตตาม
พระหรรษทานของพระเป็นเจ้า...
ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา และการศึกษา ครับ จะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั้นคงเข้าถึง "แก่น" ของแต่ละศาสนายากยิ่ง
คาทอลิกเรานั้นเมื่อก่อนที่เราจะเข้าโบสถ์ เราจะเอานิ้วแตะที่น้ำเสก ที่ชุบอยู่กับฟองน้ำoasisman เขียน:มาถึงเห็นคนเอามือแตะฟองน้ำแล้วแปะหัว ผมก็ทำตาม
แล้วทำสัญลักษณ์ เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน...
เรียก พระตรีเอกนุภาพ
"ไม่ใช่เอามือแตะฟองน้ำแล้วแปะหัว" ครับ ... มันยิ่งใหญ่มากกว่าความคิดตื้น ๆ เช่นนั้น
ทางพุทธเรียก สิ่งเหล่านี้ว่า ... "สมาธิ" ทางอิสลามเรียก “ยัซกุรูน” ทางคาทอลิกเราก่อน
เข้าโบสถ์ถึงต้องทำสัญลักษณ์ ที่ว่าเพื่อให้เราเตรียมพร้อม เพื่อระลึกตัว และมีสมาธิในการ
ใช้เวลาพูดคุยกับพระเจ้า ไงครับ ซึ่งทุกศาสนามีกุศโลบายธรรม ที่ต่างกันไปแต่มีจุดหมาย
เดียวกัน คือ การเตรียมตัวให้พร้อม และมีสมาธิ ทางพุทธอาจจะเป็นการถอดรองเท้า กราบ
พระแบบเบญจางคประดิษฐิ์(เพื่อระลึกถึงสิ่งสูงสุดทั้ง 5 คือ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระ
ธรรม พระสงฆ์ และปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย) ส่วนในทางทางอิสลาม
ต้องมีการทำความสะอาดร่างกาย ก่อนเข้ามัสยิดละหมาด คือ การชำระล้างมือ ปาก จมูก
ใบหน้า แขน ศีรษะ หู และเท้า...ทุกศาสนามีเหมือนกัน
นั่นคือการแสดงความเคารพ ยำเกรง ... และคนต่างศาสนนิก ที่เข้ามาควรให้เกรียติ และ
ทำความเข้าใจ อย่างน้อย ๆ ควรมีภูมิปัญญาเบื้องต้น ก่อนที่จะเดินเข้าในโบสถ์
เพราะโบสถ์ไม่ใช่ที่สาธารณะ แต่เป็นที่ของพระเจ้า
ถ้าเป็นพี่น้องมุสลิม นครมักกะฮ์ ที่ใช้เป็นที่ประกอบพิที่หัจญ์ ถือเป็น แผ่นดินหะรอม
(แผ่นดินต้องห้าม) จะไม่ให้พี่น้องต่างศาสนิกเข้าในพื้นที่ดังกล่าวเลย
การนั่ง ยืน และคุกเข่า และร้องเพลง เป็นภาคพิธีกรรม การนั่ง ยืน และคุกเข่า เพื่อเป็นoasisman เขียน: เข้าไปให้นั่งก็นั่ง ให้ยืนก็ยืน ให้คุกเข่าก็ทำตาม แต่ เค้าร้องเพลงกันอะ ผมก็ไม่รู้จะร้องอะไร - -"
พอ นั่ง ๆ ยืน ๆ
การพลีกรรม ทรมานตนเอง และเพื่อเตือนให้คริสชนรู้ว่า ไม่ว่าเราจะยิ่งใหญ่เพียงใดใน
โลกมนุษย์ แต่เราต่ำต้อยเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์
เพลงที่ขับร้องนั้น คริสตชนเราใช้เวลาทั้งชีวิต ตั้งแต่แรกเกิด เด็กจะซึมซับเพลง ต้องมี
การเรียนคำสอน เรียนขับร้องเพลง ทางพิธีกรจะบอกให้เปิดหนังสือเพลงหน้าไหน ซึ่ง
เดี๋ยวนี้โบสถ์ใหญ่ ๆ ใน กทม. และต่างจังหวัด มีป้ายไฟบอก ขอให้คุณoasisman มองไป
ที่ด้านหน้าจะมีจอไฟ(ทั้งด้านซ้ายและขวา) บทเพลงในศาสนาคริสต์ เป็นบทเพลงที่
ร้องไม่ยาก การแต่งด้วยโน๊ตไม่ซับซ้อน มีคีย์เดียว ร้องตามเค้าไม่กี่ครั้งก็ติดหู เข้าใจ
ง่าย คำร้อง ทำนองส่วนใหญ่ มีทั้งที่แต่งโดยบาทหลวง ซิสเตอร์ ในไทย และแปลมา
จากคำร้อง ทำนอง จากต่างประเทศ เช่น อิตาลี ,ฝรั่งเศส และภาษาละติน
oasisman เขียน: แล้วคนอื่นก็ไปต่อคิวกินขนมปังกนแต่ผมไม่ได้ไปต่อกิน ลำบากดีเหมือนกันครับ
ไม่ใช่การต่อคิวกินขนมปัง ครับ เป็นแก่นของคริสตชน ในพิธีบูชามิสซาเหล่าคริสตชน
(ซึ่งทุกศาสนา ทุกผู้คนที่เข้าร่วมควรให้เกียรติสูงสุด และสงบเสงี่ยม ในช่วงเวลาดัง
กล่าว) แผ่นปังนั้นแทนพระกายของพระเยซูเจ้า ที่มอบให้มนุษย์ทุกคน ในศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิก เราเชื่อว่าพระเยซู คือ บุตรของพระเป็นเจ้า คือ พระเจ้าแท้และ
มนุษย์แท้ พระองค์ทรงพลีร่างกายของพระองค์เพื่อไถ่บาปมวลให้แก่มนุษยชาติ
ซึ่งพิธีมิสซาภาคถวาย เอามาจาก Last Supper หรือ พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย
ซึ่งเป็นพระกระยาหารที่พระเยซูประทานแด่ สานุศิษย์ทั้ง 12 องค์
แ่ก่น ของ พิธีมิสซา อยู่ที่หัวใจ 2 เรื่องครับ
1. การแก้บาป ก่อนที่คริสตชน จะเข้าร่วมพิธีมิสซา ตรงนี้ คนต่างศาสนาหลายท่านมี
ความเข้าใจที่ผิด ชอบแซวว่า "คนคริสต์นี่ดีนะ ทำบาปแล้วก็แก้ได้" จริง ๆ แล้ว บาป
นั้นก็เหมือนกับ กรรม ในทางศาสนาพุทธ ซึ่งไม่สามารถ ตัดกรรม ได้...
เพียงแต่พิธีกรรม ต้องการให้ระลึก และรู้สึกตัว ว่าเราได้ทำอะไรลงไป และตระหนัก
ในสิ่งที่ทำไปว่าผิดพระบัญญัติของศาสนา และจะไม่ทำสิ่งนั้นอีก พร้อมยินดีชดใช้
โทษ ในสิ่งที่ทำไป ซึ่งตรงนี้พระสงฆ์จะมอบกิจใช้โทษบาป ให้ผู้ที่แก้บาป ได้ทำ ซึ่ง
ส่วนใหญ่ เป็นการสวดภาวนา
2. การออกไปรับศีลมหาสนิท ก่อนออกพิธีกรในโบสถ์จะประกาศออกไมค์ ชัดเจนว่า
เป็นพิธีที่สงวนไว้สำหรับคริสตชนที่เตรียมตัวดีแล้วเท่านั้น (คือ ไม่ใช่คริสตชนทุกคน
จะไปรับได้ เค้าใช้คำว่า "คริสตชนที่เตรียมตัวดีแล้วเท่านั้น" ซึ่งถ้าแม้เราเป็นคริสตชน
แต่ไม่ไ้ด้เตรียมตัวให้ดี แล้วออกไปรับศีล ทางคาทอลิกเราเรียก "ทุรจารศีล")
การรับศีล หมายถึง การรับพระกายของพระคริสตเจ้า เข้ามาอยู่ในกายของเรา ซึ่งจะ
เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเหล่าคริสตชน ในการรักษาศีล ทำตัวให้เป็นคนดี รู้จักการให้ และ
สำคัญคือ การให้อภัย ทำตนเองให้มีคุณค่าต่อสังคม และผู้คนรอบข้าง
เป็นช่วงที่พระสงฆ์ เทศน์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเอามาจากพระวรสาร ที่เป็นบทอ่าน ณ สัปดาห์oasisman เขียน: วันนี้เค้าพูดถึงนักบุญ 2 คนนะครับ
นั้น ๆ ซึ่งแล้วแต่กุศโลบาย หรือจิตวิทยาของพระสงฆ์แต่ละท่าน ตรงนี้ทางพุทธก็เหมือน
กัน การที่พระเทศน์ ก็มีสไตล์ที่่ต่างกัน
ศาสนาทุกศาสนา สอน ใ้ห้คนทุกคนเป็นคนดี สอนให้รู้จักการให้ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น
อย่างสันติสุข และการให้อภัยซึ่งกันและกัน...
ศาสนาทุกศาสนาเป็นเรื่อง สุขุม คัมภีรภาพ (สุขุมลุ่มลึก)
"ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ ทรงได้พิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้
เป็นเวลา ถึง 7 สัปดาห์ ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียด
อ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัย
ว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชนแต่หลังจากพระองค์ได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้ว
ทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบ
เสมือนบัว 4 เหล่า ดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป"
ดังนั้นการจะศึกษาศาสนาใดให้ถ่องแท้ และไม่เข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ นั้นต้องใช้หลักง่าย ๆ
ที่เราเรียน มาแต่เด็ก ๆ คือ สุ จิ ปุ ลิ คือ ฟัง คิด ถาม และ เขียน ครับ
ความพยายามและความศรัทธา สูง ครับ ขอพระเจ้าอวยพร ครับoasisman เขียน: ปล. ไปวัดอัครเทวดาราฟาเอลมา รอบ 6 โมงเช้า ตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง บ้านอยู่ไกล T T
หากคุณoasisman มีความประสงค์ และมีความศรัทธาอยางแรงกล้า มีความเชื่อให้พระเจ้า
และมีความประสงค์จะเข้าเป็นคาทอลิก ผมแนะนำด้วยความจริงใจว่า ติอต่อไปหาคุณพ่อ
เจ้าอาวาท หรือ คุณพ่อปลัด ที่...
วัดอัครเทวดาราฟาแอล ปากน้ำ
โทรศัพท์ 02-701-7046, 02-701-7047
http://www.raphael-church.com/index.php ... est01.html
อย่าเข้ามาศึกษาแบบคิดไปเอง แบบ...
"เอามือแตะฟองน้ำแล้วแปะหัว"
"การต่อคิวกินขนมปัง"
มันจะเป็น แบบ อหิงสกกุมาร หรือ องคุลิมาล คือ คิดดี แต่ไปผิดทาง
จึงเห็นผิดเป็นชอบไล่ฆ่าคนนึกว่าคือการปลดปล่อย (หากไม่เคยอ่านประวัติท่าน เรียนเชิญ
ตาม Link นะครับ)
http://www.dharma-gateway.com/monk/grea ... e-marn.htm
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
ขอบคุณครับ คุณChervalCherval เขียน:พี่ณัฐฯมายาว ฮ๋าๆ ได้ความรู้ไปเต็มหัวเลยวันนี้
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
ด้วยความยินดีครับ นั่นแหละครับ ไฟบอกให้เปิดหนังสือเพลงหน้าไหน ส่วนหนังสือเพลงก็oasisman เขียน:ขอบคุณมากครับ ตอนแรกผมคิดว่าไฟที่ขึ้นคือการนับจำนวนคน ก็ว่ามันติด ๆ ดับ ๆ
สามารถหยิบตอนก่อนเข้าโบสถ์ครับ
อึ่มม! ด้วยความเชื่อโดยสุจริตใจอย่างยิ่งยวดของผม ผมเชื่อว่าคริสตชนทุกคนยินดีตอบoasisman เขียน: ถามคนแถวนั้นก็เหมือนไม่เต็มใจตอบด้วย
และให้ความช่วยเหลือครับ ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ เพียงแต่กาละเทศะ ในการถามนั้น
เป็นสิ่งสำคัญ บางขณะในพิธีกรรมของคริสตชนนั้นมีความสำคัญ และต้องใช้สมาธิ สัตบุรุษ
ที่คุณ oasisman ถามเค้า เค้าอาจจะอยู่ในภาวะจิตนั้นระหว่างพิธี กาละเทศะ นั้น
มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ทัศนคติเชิงบวก ในการเข้าร่วมมิสซา นะครับ
พระเจ้าอวยพรครับ! ศาสนาคริสต์ สอนให้เรารักกัน รักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเองoasisman เขียน: เดี๋ยวอาทิตย์นี้ไปใหม่ครับ
ผมก็ว่า อยากจะสวดตามแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงจริง ๆ เช้า ๆ ก็ดีนะครับคนไม่เยอะมาก
รู้จักให้อภัย เหล่าคริสตชน จึงเตรียมพร้อมทุกสัปดาห์เพื่อไปร่วมพิธีมิสซาในโบสถ์ใกล้บ้าน
เป็นการน้อมตัวเอง เพื่อหาพระเจ้า ลดละให้สิ่งที่เป็นบาป รวมถึงการสำรวม สงบจิต สงบใจ
ระลึกถึงสิ่งที่ทำไม่ดี หรือ บาป ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเตือนสติที่จะไม่ทำผิดอีก ในสัปดาห์
ต่อ ๆ ไป
การเข้าโบสถ์ เป็นการไปเติมพลังฝ่ายวิญญาณ เพื่อที่จะได้มีแรงพลัง ออกมาปฏิบัติหน้าที่
ฝ่ายโลก และแบกกางเขนในชีวิตประจำวัน การฟังพระวาจา เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนิน
ชีวิต
สิ่งหนึ่งที่ทำให้สังคม คริสตชน เป็นสังคมที่สงบสุข มีแต่ความรัก และเสียงร้องเพลง
มีจิตวิญญาณที่สงบและร่มเย็น...
หวังว่าคุณoasisman จะซึมซับ เรื่องราวดี ๆ ของคริสตศาสนา นะครับ
-
- โพสต์: 119
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 5:37 pm
ดีใจด้วยคะ ตื่นเต้นแทนพี่จังเลย หนูก้ออยากไปเหมือนกัน .....แต่แค่ไม่มีโอกาส