เด็ก ป6 พกมีดแทงเพื่อนดับ คิดยังไงกับข่าวนี้
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
http://www.thairath.co.th/content/region/273032
เด็กป.6 แทงเพื่อนตายที่ลำปาง อ้างไม่ตั้งใจทำร้ายถึงชีวิต รับไม่กินเส้นกันมานาน เพราะถูกข่มขู่บ่อยครั้ง จึงซื้อมีดพกสั้นเตรียมป้องกันตัว ตอนเกิดเหตุแค่เหวี่ยงมีดไปมา ด้านญาติเหยื่อเศร้ากำลังจะจัดวันเกิดครบรอบ 12 ปีให้...
จากกรณีเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 2 ก.ค. พ.ต.ท.วรธันย์ เครือจันทร์ต๊ะ พนักงานสอบสวน สภ.เสริมงาม จ.ลำปาง รับแจ้งเกิดเหตุเด็กแทงกันเสียชีวิต ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในห้องเรียนชั้น ป.6/2 พบรอยเลือดตกอยู่ในห้องจำนวนมาก และมีมีดปอกผลไม้ ยาวประมาณ 7 นิ้ว ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 1 เล่ม เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย ทราบชื่อคือ ด.ช.กอล์ฟ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6/2 ถูกแทงด้วยอาวุธมีดเข้าบริเวณใต้ราวนมซ้าย 1 แห่ง คมมีดตัดขั้วหัวใจเสียชีวิตทันที และที่กลางหลังอีก 1 แผล ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกัน ทราบชื่อคือ ด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปีเท่ากัน หลังก่อเหตุก็เกิดอาการตื่นตกใจ ไม่ยอมพูดจากับใคร กระทั่งครูได้ติดต่อไปยังผู้ปกครองให้มารับตัว
จาก นั้นผู้ปกครองของ ด.ช.เอ ได้พาเด็กไปมอบตัวที่ สภ.เสริมงาม ซึ่งทาง ผกก.สภ.เสริมงาม พร้อมพนักงานสอบสวน ได้นำตัวเด็กเข้าไปในห้อง โดยไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าไป และไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ เนื่องจากเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ และมี พ.ร.บ.เด็กและเยาวชนคุ้มครอง ส่วนสาเหตุที่ ด.ช.เอ ลงมือทำร้ายเพื่อนจนเสียชีวิต ทราบว่า ด.ช.เอ อ้างว่า มักถูก ด.ช.กอล์ฟ ทำร้ายเป็นประจำ
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของ ด.ช.กอล์ฟ ซึ่งญาติกำลังจัดเตรียมงานศพ เปลี่ยนเสื้อผ้าและบรรจุศพลงโลง บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า เนื่องจากในวันที่ ด.ช.กอล์ฟเสียชีวิต เป็นวันเกิดครบรอบ 12 ปีด้วย นางจินดา อายุ 50 ปี มีศักดิ์เป็นย่าของ ด.ช.กอล์ฟ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า พ่อแม่ของ ด.ช.กอล์ฟ ไปทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีหลายปีแล้ว ฝากให้ตนกับญาติๆ เลี้ยงดู และจะส่งค่าเล่าเรียนมาให้เป็นประจำทุกเดือน ปกติน้องเป็นเด็กนิสัยร่าเริง ไม่เกเร และยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนด้วย หลังเลิกเรียนจะกลับมาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ที่สนามใกล้บ้านทุกวัน และวันที่ 2 ก.ค. เป็นวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 12 ปี ญาติๆ ตั้งใจไว้ว่ากลับมาจากโรงเรียนจะเลี้ยงฉลองวันเกิดให้ กระทั่งช่วงเย็นทางโรงเรียนก็มาหาที่บ้าน บอกว่า ด.ช.กอล์ฟ ถูกเพื่อนในชั้นเรียนแทงเสียชีวิตแล้ว ตนได้ยินก็ตกใจมาก คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงกับครอบครัวของตนเช่นนี้
ด้านผู้ปกครองของ ด.ช.เอ กล่าวทั้งน้ำตาขณะไปส่งลูกชายที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัด ลำปาง ว่า ลูกบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแทงเพื่อน ก่อนเกิดเหตุถูกชกต่อยและสู้ไม่ได้ จึงใช้มีดกวัดแกว่งไปมา แบบไม่มีเป้าหมาย และไม่รู้ว่าจะถูกหน้าท้องเพื่อนจนเสียชีวิต ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้ตายก็เข้ามาทำร้ายถึงในห้องเรียน พร้อมกล่าวอาฆาตแค้นเหมือนเดิม และวันจันทร์ลูกขอเงินเพิ่มเป็น 100 บาท ถามว่าทำไมถึงเอาเงินไปมากกว่าทุกวัน จนทราบว่าลูกชายแอบเอาไปซื้อมีดปอกผลไม้ขนาดสั้นในตลาด เนื่องจากกลัวเพื่อนจะทำร้ายอีก กระทั่งลูกก่อเหตุสลดใจดังกล่าว.
เด็กป.6 แทงเพื่อนตายที่ลำปาง อ้างไม่ตั้งใจทำร้ายถึงชีวิต รับไม่กินเส้นกันมานาน เพราะถูกข่มขู่บ่อยครั้ง จึงซื้อมีดพกสั้นเตรียมป้องกันตัว ตอนเกิดเหตุแค่เหวี่ยงมีดไปมา ด้านญาติเหยื่อเศร้ากำลังจะจัดวันเกิดครบรอบ 12 ปีให้...
จากกรณีเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 2 ก.ค. พ.ต.ท.วรธันย์ เครือจันทร์ต๊ะ พนักงานสอบสวน สภ.เสริมงาม จ.ลำปาง รับแจ้งเกิดเหตุเด็กแทงกันเสียชีวิต ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในห้องเรียนชั้น ป.6/2 พบรอยเลือดตกอยู่ในห้องจำนวนมาก และมีมีดปอกผลไม้ ยาวประมาณ 7 นิ้ว ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 1 เล่ม เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย ทราบชื่อคือ ด.ช.กอล์ฟ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6/2 ถูกแทงด้วยอาวุธมีดเข้าบริเวณใต้ราวนมซ้าย 1 แห่ง คมมีดตัดขั้วหัวใจเสียชีวิตทันที และที่กลางหลังอีก 1 แผล ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกัน ทราบชื่อคือ ด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปีเท่ากัน หลังก่อเหตุก็เกิดอาการตื่นตกใจ ไม่ยอมพูดจากับใคร กระทั่งครูได้ติดต่อไปยังผู้ปกครองให้มารับตัว
จาก นั้นผู้ปกครองของ ด.ช.เอ ได้พาเด็กไปมอบตัวที่ สภ.เสริมงาม ซึ่งทาง ผกก.สภ.เสริมงาม พร้อมพนักงานสอบสวน ได้นำตัวเด็กเข้าไปในห้อง โดยไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าไป และไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ เนื่องจากเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ และมี พ.ร.บ.เด็กและเยาวชนคุ้มครอง ส่วนสาเหตุที่ ด.ช.เอ ลงมือทำร้ายเพื่อนจนเสียชีวิต ทราบว่า ด.ช.เอ อ้างว่า มักถูก ด.ช.กอล์ฟ ทำร้ายเป็นประจำ
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของ ด.ช.กอล์ฟ ซึ่งญาติกำลังจัดเตรียมงานศพ เปลี่ยนเสื้อผ้าและบรรจุศพลงโลง บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า เนื่องจากในวันที่ ด.ช.กอล์ฟเสียชีวิต เป็นวันเกิดครบรอบ 12 ปีด้วย นางจินดา อายุ 50 ปี มีศักดิ์เป็นย่าของ ด.ช.กอล์ฟ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า พ่อแม่ของ ด.ช.กอล์ฟ ไปทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีหลายปีแล้ว ฝากให้ตนกับญาติๆ เลี้ยงดู และจะส่งค่าเล่าเรียนมาให้เป็นประจำทุกเดือน ปกติน้องเป็นเด็กนิสัยร่าเริง ไม่เกเร และยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนด้วย หลังเลิกเรียนจะกลับมาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ที่สนามใกล้บ้านทุกวัน และวันที่ 2 ก.ค. เป็นวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 12 ปี ญาติๆ ตั้งใจไว้ว่ากลับมาจากโรงเรียนจะเลี้ยงฉลองวันเกิดให้ กระทั่งช่วงเย็นทางโรงเรียนก็มาหาที่บ้าน บอกว่า ด.ช.กอล์ฟ ถูกเพื่อนในชั้นเรียนแทงเสียชีวิตแล้ว ตนได้ยินก็ตกใจมาก คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงกับครอบครัวของตนเช่นนี้
ด้านผู้ปกครองของ ด.ช.เอ กล่าวทั้งน้ำตาขณะไปส่งลูกชายที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัด ลำปาง ว่า ลูกบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแทงเพื่อน ก่อนเกิดเหตุถูกชกต่อยและสู้ไม่ได้ จึงใช้มีดกวัดแกว่งไปมา แบบไม่มีเป้าหมาย และไม่รู้ว่าจะถูกหน้าท้องเพื่อนจนเสียชีวิต ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้ตายก็เข้ามาทำร้ายถึงในห้องเรียน พร้อมกล่าวอาฆาตแค้นเหมือนเดิม และวันจันทร์ลูกขอเงินเพิ่มเป็น 100 บาท ถามว่าทำไมถึงเอาเงินไปมากกว่าทุกวัน จนทราบว่าลูกชายแอบเอาไปซื้อมีดปอกผลไม้ขนาดสั้นในตลาด เนื่องจากกลัวเพื่อนจะทำร้ายอีก กระทั่งลูกก่อเหตุสลดใจดังกล่าว.
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
เด็กสมัยนี้น่ากลัวอะะพกมีดดดดดด
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
เด็ก คือ ผ้าขาว
ครอบครัว สังคม และสภาวะแวดล้อม จะเป็นเบ้าหลอมเด็กที่เป็นผ้าขาวนั้น ๆ
ให้เป็นสีอะไร ถ้าครอบครัว สังคมรอบข้าง หรือสภาแวดล้อม(เช่น ละครทีวี,ภาพยนตร์
หรือแม้แต่ปัจจุบัน มีสื่อผ่าน Social Network เช่น facebook,youtube,instagram)
เหล่านี้ล้วนเป็นองคาพยพ ที่จะค่อย ๆ หล่อหลอม ผ้าขาวเหล่านั้น เป็นสีอะไร แดง
เหลือง ดำ ขาว หรือเปอะเปื้อน
ในสังคมคาทอลิก หรือ คริสตชน เมื่อเด็กทารกเกิดมา พ่อแม่จะพาไปรับศีลล้างบาป
เพื่อล้างบาปกำเนิดที่บรรพบุรุษของมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าจึงถูกขับไล่จากพระราชัย
สวรรค์ และเพื่อให้เด็กคนนั้นได้รับพระพร เป็นศิริมงคล
นอกจากนั้นคาทอลิก ยังให้มีพ่อทูลหัว ซึ่งพ่อแม่จะเลือกจากบุคคลที่ดี มีศีลธรรม
อยู่ในศีลในพรของพระ ซึ่งเด็ก ๆ จะสามารถใช้เป็นแบบอย่างได้
เมื่อเด็กคนนั้นเริ่มรู้ความ พ่อแม่จะพาเข้าโบสถ์ เด็ก ๆ ยังฟังมิสซา ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถ
ขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าได้ แต่การพาเด็กไปสัปดาห์แล้ว สัปดาห์เล่า ทำให้เด็ก
ซึมซับ สิ่งดี ๆ ความเอื้ออาทรต่าง ๆ รู้จักการให้ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน และสำคัญคือ
รู้จักการให้อภัย
พอเด็กเริ่มเดินได้ เด็ก ๆ ตามพ่อแม่ไปรับศีลมหาสนิท เด็กอยากรับบ้าง พ่อแม่สอนว่า
ยังรับไม่ได้ หนูต้องรับศีลมหาสนิทครั้งแรก(ศีลน้อยก่อน) เด็ก ๆ ตามไป บาทหลวง
มอบพระพรจากพระเจ้าด้วยการเอามือปรกที่ศรีษะ ...เด็กรอวัน ว่าเมื่อไหร่จะได้รับศีล
เมื่อเด็กโตและเริ่มเข้าเรียน คริสตชนจะมีชั่วโมงให้เด็กได้เรียนคำสอน ตอนเด็ก ๆ ทุกคน
ก็รู้สึกเบื่อเพราะอยากเล่นสนุกมากกว่า นอกจากนั้นยังมีชั่วโมงสอนขับร้องในโบสถ์ เพื่อ
สอนให้เด็กขับร้อง บทเพลงสรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์ เด็กจะชอบหรือไม่ชอบ แต่มันคือ
การกล่อมเกาจิตใจ ให้เด็กคาทอลิก มีจิตใจอ่อนโยน
เมื่อเด็กเรียนถึง ป.3 ถึง ป.4 เด็กจะได้รับศีลน้อย การเตรียมตัวรับศีลมีการเตรียมล่วงหน้า
เป็นปี ๆ เด็กจะอยู่ในศีลธรรม มีจิตใจอ่อนโยน และทำตัวเป็นเด็กดี เพื่อเตรียมรับพระกาย
และพระโลหิตของพระเยซู เป็นครั้งแรก ซึ่งทุกคนจะตื่นเต้น ภูมิใจ และประหม่ามาก ๆ
เมื่อมีพระกาย และพระโลหิตของพระเยซู นำไปสู่ร่างกาย และจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้จะ
ดึงเด็ก ๆ ว่า ทุกวันอาทิตย์ต้องไปแก้บาป รับศีล ....ทำให้เด็ก มีหลักยึดเหนี่ยวทางใจ
เมื่อเด็กเรียนถึง ป.5 ป.6 เด็กจะเตรียมตัวรับศีลกำลัง ศีลกำลังเป็นศีล ที่จะบ่งบอกว่าเด็ก
คนนั้น ๆ "บรรลุนิติภาวะทางความเชื่อ และความศรัทธา" จะเห็นได้ว่าเด็กคริสตชน จะมี
ลำดับชั้นการพัฒนาทางความเชื่อ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อก่อนสมัย ป.6 ขึ้น ม.1 ยังมีการรับศีลมหาสนิทอย่างสง่า หรือ ที่เราเรียกว่า "ศีลสง่า"
เพื่อตรอกลิ่มแห่งความเชื่อ ความศรัทธา เข้าไปสู่ความคิดคริสตชนที่เป็นเยาวชนทุกคน
เพราะศาสนจักรทราบดี ช่วงวัยรุ่น เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของเยาวชนทุกชาติ ทุกภาษา
เหล่านี้ล้วนเป็น องคาพยพ และกุศโลบายทางศาสนา ที่คาทอลิก รุ่นแล้ว รุ่นเล่า
ได้หล่อหลอมขึ้น โดยผ่าน พ่อแม่ บาทหลวง ครูคำสอน และกระแสเรียก
เป็นอย่างนี้มารุ่นแล้ว รุ่นเล่า...เราจึงไม่เห็นเด็ก คริสต์ หรือ คาทอลิก มีพฤติกรรมก้าวร้าว
ที่ผมพูดมาทั้งหมดคือ เรื่องของ การหล่อหลอม ของเด็กคนนั้น ๆ ครับ ซึ่งเป็นปัญหา
ในระดับชาติ ซึ่งรัฐฯ และผู้บริหารชาติบ้านเมือง และท้องถิ่น รวมถึงพ่อแม่ต้องเฝ้าดู
และสร้าง เพราะเดี๋ยวนี้ คุณภาพของประเทศ วัดกันที่คุณภาพ ประชากร และการ
อยู่ในศีลในธรรม ของประชากร แบบออกจากบ้านไม่ต้องปิดประตู จอดรถไปต้องดึง
กุญแจออก....แบบประเทศภูฏาน ที่เค้าวัด GDP ของประเทศจาก การวัดการพัฒนา
ของประเทศจากความสุขมวลรวมของประชาชาติ หรือที่เราเรียกว่า Gross National
Happiness" หรือ GHP
ครอบครัว สังคม และสภาวะแวดล้อม จะเป็นเบ้าหลอมเด็กที่เป็นผ้าขาวนั้น ๆ
ให้เป็นสีอะไร ถ้าครอบครัว สังคมรอบข้าง หรือสภาแวดล้อม(เช่น ละครทีวี,ภาพยนตร์
หรือแม้แต่ปัจจุบัน มีสื่อผ่าน Social Network เช่น facebook,youtube,instagram)
เหล่านี้ล้วนเป็นองคาพยพ ที่จะค่อย ๆ หล่อหลอม ผ้าขาวเหล่านั้น เป็นสีอะไร แดง
เหลือง ดำ ขาว หรือเปอะเปื้อน
ในสังคมคาทอลิก หรือ คริสตชน เมื่อเด็กทารกเกิดมา พ่อแม่จะพาไปรับศีลล้างบาป
เพื่อล้างบาปกำเนิดที่บรรพบุรุษของมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าจึงถูกขับไล่จากพระราชัย
สวรรค์ และเพื่อให้เด็กคนนั้นได้รับพระพร เป็นศิริมงคล
นอกจากนั้นคาทอลิก ยังให้มีพ่อทูลหัว ซึ่งพ่อแม่จะเลือกจากบุคคลที่ดี มีศีลธรรม
อยู่ในศีลในพรของพระ ซึ่งเด็ก ๆ จะสามารถใช้เป็นแบบอย่างได้
เมื่อเด็กคนนั้นเริ่มรู้ความ พ่อแม่จะพาเข้าโบสถ์ เด็ก ๆ ยังฟังมิสซา ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถ
ขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าได้ แต่การพาเด็กไปสัปดาห์แล้ว สัปดาห์เล่า ทำให้เด็ก
ซึมซับ สิ่งดี ๆ ความเอื้ออาทรต่าง ๆ รู้จักการให้ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน และสำคัญคือ
รู้จักการให้อภัย
พอเด็กเริ่มเดินได้ เด็ก ๆ ตามพ่อแม่ไปรับศีลมหาสนิท เด็กอยากรับบ้าง พ่อแม่สอนว่า
ยังรับไม่ได้ หนูต้องรับศีลมหาสนิทครั้งแรก(ศีลน้อยก่อน) เด็ก ๆ ตามไป บาทหลวง
มอบพระพรจากพระเจ้าด้วยการเอามือปรกที่ศรีษะ ...เด็กรอวัน ว่าเมื่อไหร่จะได้รับศีล
เมื่อเด็กโตและเริ่มเข้าเรียน คริสตชนจะมีชั่วโมงให้เด็กได้เรียนคำสอน ตอนเด็ก ๆ ทุกคน
ก็รู้สึกเบื่อเพราะอยากเล่นสนุกมากกว่า นอกจากนั้นยังมีชั่วโมงสอนขับร้องในโบสถ์ เพื่อ
สอนให้เด็กขับร้อง บทเพลงสรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์ เด็กจะชอบหรือไม่ชอบ แต่มันคือ
การกล่อมเกาจิตใจ ให้เด็กคาทอลิก มีจิตใจอ่อนโยน
เมื่อเด็กเรียนถึง ป.3 ถึง ป.4 เด็กจะได้รับศีลน้อย การเตรียมตัวรับศีลมีการเตรียมล่วงหน้า
เป็นปี ๆ เด็กจะอยู่ในศีลธรรม มีจิตใจอ่อนโยน และทำตัวเป็นเด็กดี เพื่อเตรียมรับพระกาย
และพระโลหิตของพระเยซู เป็นครั้งแรก ซึ่งทุกคนจะตื่นเต้น ภูมิใจ และประหม่ามาก ๆ
เมื่อมีพระกาย และพระโลหิตของพระเยซู นำไปสู่ร่างกาย และจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้จะ
ดึงเด็ก ๆ ว่า ทุกวันอาทิตย์ต้องไปแก้บาป รับศีล ....ทำให้เด็ก มีหลักยึดเหนี่ยวทางใจ
เมื่อเด็กเรียนถึง ป.5 ป.6 เด็กจะเตรียมตัวรับศีลกำลัง ศีลกำลังเป็นศีล ที่จะบ่งบอกว่าเด็ก
คนนั้น ๆ "บรรลุนิติภาวะทางความเชื่อ และความศรัทธา" จะเห็นได้ว่าเด็กคริสตชน จะมี
ลำดับชั้นการพัฒนาทางความเชื่อ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อก่อนสมัย ป.6 ขึ้น ม.1 ยังมีการรับศีลมหาสนิทอย่างสง่า หรือ ที่เราเรียกว่า "ศีลสง่า"
เพื่อตรอกลิ่มแห่งความเชื่อ ความศรัทธา เข้าไปสู่ความคิดคริสตชนที่เป็นเยาวชนทุกคน
เพราะศาสนจักรทราบดี ช่วงวัยรุ่น เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของเยาวชนทุกชาติ ทุกภาษา
เหล่านี้ล้วนเป็น องคาพยพ และกุศโลบายทางศาสนา ที่คาทอลิก รุ่นแล้ว รุ่นเล่า
ได้หล่อหลอมขึ้น โดยผ่าน พ่อแม่ บาทหลวง ครูคำสอน และกระแสเรียก
เป็นอย่างนี้มารุ่นแล้ว รุ่นเล่า...เราจึงไม่เห็นเด็ก คริสต์ หรือ คาทอลิก มีพฤติกรรมก้าวร้าว
ที่ผมพูดมาทั้งหมดคือ เรื่องของ การหล่อหลอม ของเด็กคนนั้น ๆ ครับ ซึ่งเป็นปัญหา
ในระดับชาติ ซึ่งรัฐฯ และผู้บริหารชาติบ้านเมือง และท้องถิ่น รวมถึงพ่อแม่ต้องเฝ้าดู
และสร้าง เพราะเดี๋ยวนี้ คุณภาพของประเทศ วัดกันที่คุณภาพ ประชากร และการ
อยู่ในศีลในธรรม ของประชากร แบบออกจากบ้านไม่ต้องปิดประตู จอดรถไปต้องดึง
กุญแจออก....แบบประเทศภูฏาน ที่เค้าวัด GDP ของประเทศจาก การวัดการพัฒนา
ของประเทศจากความสุขมวลรวมของประชาชาติ หรือที่เราเรียกว่า Gross National
Happiness" หรือ GHP
เห็นด้วยกับคุณณัฐวุฒิค่ะ.... ...
สิ่งแวดล้อม สังคม เปลี่ยนแปลงไปมาก เทคโนโลยี่เจริญขึ้น เดี๋ยวนี้คนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ
กอบโกย โกงกิน ใจร้ายมากขึ้น ไม่มีความเมตตา เด็กๆก็เรียนแบบ จะโทษใครล่ะ...ผู้ปกครองบ้านเมือง
ต้องรีบแก้ไข คนทำผิดเริ่มมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ นักเรียนอาชีวะตีกัน แล้วบางทีมีข่าวเด็กหญิงตบตีกัน
ว่อนเนตไปหมด สงสารเด็กๆ อนาคตของชาติ วังเวง...จริงๆ
สิ่งแวดล้อม สังคม เปลี่ยนแปลงไปมาก เทคโนโลยี่เจริญขึ้น เดี๋ยวนี้คนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ
กอบโกย โกงกิน ใจร้ายมากขึ้น ไม่มีความเมตตา เด็กๆก็เรียนแบบ จะโทษใครล่ะ...ผู้ปกครองบ้านเมือง
ต้องรีบแก้ไข คนทำผิดเริ่มมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ นักเรียนอาชีวะตีกัน แล้วบางทีมีข่าวเด็กหญิงตบตีกัน
ว่อนเนตไปหมด สงสารเด็กๆ อนาคตของชาติ วังเวง...จริงๆ
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
ครับ คุณrosa-lee เดี๋ยวนี้สถานพินิจมีแต่เด็กเต็มไปหมด ทั้งหญิงชาย ตั้งแต่ก่อคดีrosa-lee เขียน:เห็นด้วยกับคุณณัฐวุฒิค่ะ.... ...
สิ่งแวดล้อม สังคม เปลี่ยนแปลงไปมาก เทคโนโลยี่เจริญขึ้น เดี๋ยวนี้คนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ
กอบโกย โกงกิน ใจร้ายมากขึ้น ไม่มีความเมตตา เด็กๆก็เรียนแบบ จะโทษใครล่ะ...ผู้ปกครองบ้านเมือง
ต้องรีบแก้ไข คนทำผิดเริ่มมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ นักเรียนอาชีวะตีกัน แล้วบางทีมีข่าวเด็กหญิงตบตีกัน
ว่อนเนตไปหมด สงสารเด็กๆ อนาคตของชาติ วังเวง...จริงๆ
ปล้น ฆ่า ฉกชิง วิ่งราว และ ยาเสพติด เดี๋ยวนี้ยาเสพติด ผู้ค้าเริ่มใช้เด็กเป็นผู้ส่งยา
เพราะเวลาถูกจับแล้ว ตำรวจเมตตาทำคดีอ่อน หรือเวลาถูกศาลพิพากษา ก็ไม่ต้อง
เข้าคุก ส่งไปสถานพินิจแทน
เมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในสถานพินิจ ถือเป็นต้นทุนของประเทศ แทนที่เวลาของประชากร
ช่วงที่มีแรงพลังมหาศาล จะถูกใช้ไปในทางที่ดี ใช้พัฒนาประเทศ ค้นคิดสิ่งใหม่ ๆ
และเป็นอนาคตของชาติ กลับถูกจำกัดอาณาเขต ต้องมีต้นทุน ทั้งสถานที่ และผู้คุม
ความประพฤติ...
ปัญหาเหล่านี้ เนื่องจาก เด็ก และ เยาวชน เหล่านั้น "ไกลพระเจ้า"
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
อ่านข่าวอันนี้แล้วรู้สึกแปลก ๆ
จำได้ว่าก่อนหน้านี้อ่านเจออีกอันนึงเรื่องนี้นี่แหละ รายละเอียดไม่มาก บอกแค่ว่าเด็กมีเรื่องทะเลาะกัน(แต่ไม่ได้บอกว่าคนนึงถูกรังแกประจำ) แล้วผู้ตายเข้ามาจะต่อยเลยโดนแทงสวน ซึ่งข่าวอันนั้นบอกว่าใช้ "มีดพก" เป็นอาวุธ
ส่วนข่าวอันนี้ ตอนแรกบอกมีดพก แต่จู่ ๆ เรียกมีดปอกผลไม้ ตกลงมันคือมีดปอกผลไม้ที่ใช้แทงคนใช่ปะ (ว่าแต่เป็นมีดปอกแบบไหนไม่ได้บอกรายละเอียดแฮะ เพราะจำได้ว่ามันมีแบบซ่อนคมแทงคนไม่ตาย คิดว่าน่าจะคนละแบบกัน)
แต่ภาพรวมโดยสรุปก็น่าจะประมาณ
- ผู้ตายน่าจะเป็นคนที่ชอบแกล้ง ข่มเหงรังแกเด็กที่เป็นผู้ฆ่าอยู่บ่อย ๆ (เรื่องนี้ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงเรื่องแบบนี้พบได้ในทุกชั้นเรียน จนกล่าวกันว่าชั้นเรียนหนึ่ง ๆ ต้องมีเด็กที่ถูกรุมแกล้งอย่างน้อย 1 คน ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกไม่สู้คน และอ่อนแอเกินกว่าจะชกต่อยชนะใคร)
- ในความเป็นจริง การคาดหวังให้มีการฟ้องครูหรือให้ผู้ใหย่มาช่วยจัดการแล้วจะเรียบร้อยนั้น มันเป็นได้แค่อุดมคติโลกสวย ในความเป็นจริงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไม่ฟ้องกัน เช่น เกรงกลัวผู้รังแก กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วมีปัญหา การถูกหาว่าเป็นพวกขี้ฟ้อง ถูกรังเกียจ และที่สำคัญ มักจะถูกรังแกมากยิ่งขึ้นหลังจากการฟ้องครั้งแรกประสบความสำเร็จ (โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นเด็กผู้ชาย คำว่า "ศักดิ์ศรี" นั้นมีอิทธิพลมากกว่าที่คิด ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นโดยมากสภาพสังคมจะสอนไม่ให้หือกับผู้ชาย นอกจากจะมีสักคนที่ก๋ากั๋นพอ แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน)
- บางครั้งผู้ใหญ่เองก็แก้ปัญหาไม่ถูกวิธี ไม่มองให้ลึก แก้แต่เปลือก สุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนอาจจะเป็นตัวเด็กที่ถูกรังแกเสียเอง ในหลาย ๆ ความหมาย
- เมื่อความอดทนถึงจุดหนึ่ง ๆ หรืออาจจะขีดสุด ไม่แปลกอะไรที่จะมีการหาอาวุธมาพกไว้เพื่อป้องกันตัวเอง (การพยายามปกป้องตัวเองจากอันตรายเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสภาพแวดล้อมทำให้เขาเป็น โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถหาทางออกอื่น ๆ ได้ และเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ จะให้ไปแลกหมัดกับคนที่แข็งแรงกว่ามันก็ยากที่จะชนะ)
- อีกจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ หลังจากฆ่าไปแล้ว เด็กมีอาการตื่นตกใจกลัวเสียเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยในคนที่ได้ลงมือฆ่าใครสักคนเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะเมื่อแค่อยากป้องกันตัวเองไม่ได้เจตนาถึงขั้นจะฆ่า ยิ่งกว่านั้นอาจมองได้อีกว่า จริง ๆ เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นคนเลวโดยสันดาน
- ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ผู้ปกครองฝ่ายผู้ตายจะพูดถึงผู้ตายแต่ในด้านดี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง คือถ้าไม่ใช่เพราะเจตนาเข้าข้างหัวชนฝา ก็อาจเป็นเพราะไม่รู้มาก่อน เนื่องจากการที่เด็กจะทำตัวสองหน้าระหว่างบ้านกับโรงเรียนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะคงไม่มีเด็กคนไหนโง่พอจะประกาศให้คนในบ้านทราบว่าตนไปทำอะไรไม่ดีที่โรงเรียนมา
- พูดแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้า มันดูไม่ยุติธรรมนัก ต่อให้เด็กนั้นเป็นผู้ฆ่า แต่เดิมเขาก็แค่อยากป้องกันตัวเท่านั้น ถ้าเขาไม่ทำก็ต้องถูกทำร้ายเสียเองมิใช่หรือ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อปกป้องตัวเอง เขากลับต้องถูกส่งเข้าสถานพินิจตามกฎหมาย (ทั้งที่ทีตอนเขาถูกรังแก กฎเหล่านั้นก็ไม่ได้มาช่วยปกป้องอะไร หรือทำให้เขาพ้นจากการถูกข่มเหงเลย)
- เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่เ้ข้าข้างเด็กที่แทง มากล่าวถึงผู้ตายมั่ง (แต่มันก็อาจจะฟังดูลำเอียงไปนิดอยู่ดี) ก็ไม่อยากจะตัดสินหรอกนะ แต่จากเท่าที่ดู ผู้ตายเองก็ไม่ดี เป็นฝ่ายชอบไปหาเรื่องข่มเหงรังแก ใช้กำลังกับคนอื่นก่อน ไม่ปฏิเสธหรอกว่าความตายอาจจะรุนแรงเกินไป แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่า "ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมา" ...... ก็เถียงลำบากอยู่
ไม่รู้สินะ คงเป็นเพราะเราคิดว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนั้นดี เนื่องจากอดีตที่ผ่านมา ยอมรับว่าเราเองก็ไม่ได้มีสภาพต่างจากเขาเท่าไหร่ (และสารภาพว่ามีครั้งหนึ่ง ตอนที่ชักมีดคัตเตอร์นั่นมา หากไม่ได้เพื่อนคนอื่น ๆ ช่วยห้าม เราอาจไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ได้) แต่เราเข้าใจดี ความเจ็บปวดของคนที่ถูกรังแก ถูกเหยียบอยู่ใต้อำนาจมาเกือบตลอดชีวิต มันทรมานแค่ไหนยังไง ดังนั้นแม้เราจะไม่ถึงขั้นสนับสนุน (ถ้าเมื่อก่อนก็ไม่แน่) แต่ก็ไม่ขอกล่าวโทษอะไรเด็กคนนั้นเช่นกัน เพราะเราเข้าใจความไม่ยุติธรรมแบบนั้นดี
"เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีคุณสมบัติเป็นนักบุญได้ตั้งแต่เกิด"
ฉะนั้นเราจึงไม่ขอตัดสินว่า เด็กที่ฆ่าคนเป็นคนเลว ชั่วช้า ระยำ ไม่มีความเป็นคน ส่วนผู้ตายนั้น หากเกเรจริงเราก็คงต้องขอแสดงความเสียใจ "ที่เขาหมดโอกาสกลับตัวกลับใจก่อนเวลาอันควรเสียแล้ว"
จำได้ว่าก่อนหน้านี้อ่านเจออีกอันนึงเรื่องนี้นี่แหละ รายละเอียดไม่มาก บอกแค่ว่าเด็กมีเรื่องทะเลาะกัน(แต่ไม่ได้บอกว่าคนนึงถูกรังแกประจำ) แล้วผู้ตายเข้ามาจะต่อยเลยโดนแทงสวน ซึ่งข่าวอันนั้นบอกว่าใช้ "มีดพก" เป็นอาวุธ
ส่วนข่าวอันนี้ ตอนแรกบอกมีดพก แต่จู่ ๆ เรียกมีดปอกผลไม้ ตกลงมันคือมีดปอกผลไม้ที่ใช้แทงคนใช่ปะ (ว่าแต่เป็นมีดปอกแบบไหนไม่ได้บอกรายละเอียดแฮะ เพราะจำได้ว่ามันมีแบบซ่อนคมแทงคนไม่ตาย คิดว่าน่าจะคนละแบบกัน)
แต่ภาพรวมโดยสรุปก็น่าจะประมาณ
- ผู้ตายน่าจะเป็นคนที่ชอบแกล้ง ข่มเหงรังแกเด็กที่เป็นผู้ฆ่าอยู่บ่อย ๆ (เรื่องนี้ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงเรื่องแบบนี้พบได้ในทุกชั้นเรียน จนกล่าวกันว่าชั้นเรียนหนึ่ง ๆ ต้องมีเด็กที่ถูกรุมแกล้งอย่างน้อย 1 คน ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกไม่สู้คน และอ่อนแอเกินกว่าจะชกต่อยชนะใคร)
- ในความเป็นจริง การคาดหวังให้มีการฟ้องครูหรือให้ผู้ใหย่มาช่วยจัดการแล้วจะเรียบร้อยนั้น มันเป็นได้แค่อุดมคติโลกสวย ในความเป็นจริงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไม่ฟ้องกัน เช่น เกรงกลัวผู้รังแก กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วมีปัญหา การถูกหาว่าเป็นพวกขี้ฟ้อง ถูกรังเกียจ และที่สำคัญ มักจะถูกรังแกมากยิ่งขึ้นหลังจากการฟ้องครั้งแรกประสบความสำเร็จ (โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นเด็กผู้ชาย คำว่า "ศักดิ์ศรี" นั้นมีอิทธิพลมากกว่าที่คิด ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นโดยมากสภาพสังคมจะสอนไม่ให้หือกับผู้ชาย นอกจากจะมีสักคนที่ก๋ากั๋นพอ แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน)
- บางครั้งผู้ใหญ่เองก็แก้ปัญหาไม่ถูกวิธี ไม่มองให้ลึก แก้แต่เปลือก สุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนอาจจะเป็นตัวเด็กที่ถูกรังแกเสียเอง ในหลาย ๆ ความหมาย
- เมื่อความอดทนถึงจุดหนึ่ง ๆ หรืออาจจะขีดสุด ไม่แปลกอะไรที่จะมีการหาอาวุธมาพกไว้เพื่อป้องกันตัวเอง (การพยายามปกป้องตัวเองจากอันตรายเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสภาพแวดล้อมทำให้เขาเป็น โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถหาทางออกอื่น ๆ ได้ และเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ จะให้ไปแลกหมัดกับคนที่แข็งแรงกว่ามันก็ยากที่จะชนะ)
- อีกจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ หลังจากฆ่าไปแล้ว เด็กมีอาการตื่นตกใจกลัวเสียเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยในคนที่ได้ลงมือฆ่าใครสักคนเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะเมื่อแค่อยากป้องกันตัวเองไม่ได้เจตนาถึงขั้นจะฆ่า ยิ่งกว่านั้นอาจมองได้อีกว่า จริง ๆ เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นคนเลวโดยสันดาน
- ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ผู้ปกครองฝ่ายผู้ตายจะพูดถึงผู้ตายแต่ในด้านดี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง คือถ้าไม่ใช่เพราะเจตนาเข้าข้างหัวชนฝา ก็อาจเป็นเพราะไม่รู้มาก่อน เนื่องจากการที่เด็กจะทำตัวสองหน้าระหว่างบ้านกับโรงเรียนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะคงไม่มีเด็กคนไหนโง่พอจะประกาศให้คนในบ้านทราบว่าตนไปทำอะไรไม่ดีที่โรงเรียนมา
- พูดแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้า มันดูไม่ยุติธรรมนัก ต่อให้เด็กนั้นเป็นผู้ฆ่า แต่เดิมเขาก็แค่อยากป้องกันตัวเท่านั้น ถ้าเขาไม่ทำก็ต้องถูกทำร้ายเสียเองมิใช่หรือ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อปกป้องตัวเอง เขากลับต้องถูกส่งเข้าสถานพินิจตามกฎหมาย (ทั้งที่ทีตอนเขาถูกรังแก กฎเหล่านั้นก็ไม่ได้มาช่วยปกป้องอะไร หรือทำให้เขาพ้นจากการถูกข่มเหงเลย)
- เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่เ้ข้าข้างเด็กที่แทง มากล่าวถึงผู้ตายมั่ง (แต่มันก็อาจจะฟังดูลำเอียงไปนิดอยู่ดี) ก็ไม่อยากจะตัดสินหรอกนะ แต่จากเท่าที่ดู ผู้ตายเองก็ไม่ดี เป็นฝ่ายชอบไปหาเรื่องข่มเหงรังแก ใช้กำลังกับคนอื่นก่อน ไม่ปฏิเสธหรอกว่าความตายอาจจะรุนแรงเกินไป แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่า "ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมา" ...... ก็เถียงลำบากอยู่
ไม่รู้สินะ คงเป็นเพราะเราคิดว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนั้นดี เนื่องจากอดีตที่ผ่านมา ยอมรับว่าเราเองก็ไม่ได้มีสภาพต่างจากเขาเท่าไหร่ (และสารภาพว่ามีครั้งหนึ่ง ตอนที่ชักมีดคัตเตอร์นั่นมา หากไม่ได้เพื่อนคนอื่น ๆ ช่วยห้าม เราอาจไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ได้) แต่เราเข้าใจดี ความเจ็บปวดของคนที่ถูกรังแก ถูกเหยียบอยู่ใต้อำนาจมาเกือบตลอดชีวิต มันทรมานแค่ไหนยังไง ดังนั้นแม้เราจะไม่ถึงขั้นสนับสนุน (ถ้าเมื่อก่อนก็ไม่แน่) แต่ก็ไม่ขอกล่าวโทษอะไรเด็กคนนั้นเช่นกัน เพราะเราเข้าใจความไม่ยุติธรรมแบบนั้นดี
"เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีคุณสมบัติเป็นนักบุญได้ตั้งแต่เกิด"
ฉะนั้นเราจึงไม่ขอตัดสินว่า เด็กที่ฆ่าคนเป็นคนเลว ชั่วช้า ระยำ ไม่มีความเป็นคน ส่วนผู้ตายนั้น หากเกเรจริงเราก็คงต้องขอแสดงความเสียใจ "ที่เขาหมดโอกาสกลับตัวกลับใจก่อนเวลาอันควรเสียแล้ว"
แก้ไขล่าสุดโดย Valkyrie Zero Number เมื่อ อังคาร ก.ค. 03, 2012 10:45 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ลงสีใจความที่เน้น ๆ ให้แล้วดูง่ายขึ้นมั้ยเมจิเมจิ เขียน:ตาลายเลยพี่ข้างบนงะ
บอกก่อนนะว่า พี่เองก็ไม่ได้สนับสนุนให้แก้แค้น (ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ไม่แน่) แ่ต่ที่ว่าไปนี่คือ พี่มองว่ามันไม่แปลกสำหรับมนุษย์ และเพราะพี่เองก็เคยผ่านชีวิตแบบนั้นมาก่อน ก็เลยรู้สึกเห็นอกเห็นใจและเข้าใจเด็กที่แทงมากเป็นพิเศษน่ะ
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
สมัยก่อนครูตีแบบสุดๆๆ สมัยนี้เรอะโดนหน่อยฟ้องศาล เด็กมันเลยออกมาเป็นแบบนี้
แต่เมจิ น่ากัวววไหมอะ
แต่เมจิ น่ากัวววไหมอะ
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
ขอยอมรับว่าชีวิตสมัยมัธยมต้นของผมก็คล้ายๆแบบนี้แหละครับ โดนเพื่อนรังแกบ่อยๆ โดนล้อ โดนแกล้ง ซึ้งเลยว่าความรู้สึกอยากจะเอาคืนมันเป็นยังไง
ไอ้ความคิดที่อยากจะเอาคืนหรืออยากสั่งสอนให้คนที่มาทำร้ายเราบางครั้งมันรุนแรงอย่างเหลือเชื่อนะครับ(แต่ในช่วงสั้นๆ เหมือนอารมณ์ชั่ววูบ)
ข่าวนี้ผมว่าจะให้เอาผิดใครโดยตรงคงยาก อยากจะมองว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อความละเลยของสังคมมาบรรจบกันมากกว่า
ปล.คุณValkyrie Zero Numberดูอารมณ์ดีขึ้นนะครับ(เหมือนความดาร์คจะลดลงหน่อย)
ไอ้ความคิดที่อยากจะเอาคืนหรืออยากสั่งสอนให้คนที่มาทำร้ายเราบางครั้งมันรุนแรงอย่างเหลือเชื่อนะครับ(แต่ในช่วงสั้นๆ เหมือนอารมณ์ชั่ววูบ)
ข่าวนี้ผมว่าจะให้เอาผิดใครโดยตรงคงยาก อยากจะมองว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อความละเลยของสังคมมาบรรจบกันมากกว่า
ผมเห็นด้วยกับ 2 ข้อนี้นะ(ไม่ใช่เห็นดีเห็นงามนะครับ แค่รู้สึกว่ามันตรงกับสถานการณ์จริง)Valkyrie Zero Number เขียน:
- ในความเป็นจริง การคาดหวังให้มีการฟ้องครูหรือให้ผู้ใหย่มาช่วยจัดการแล้วจะเรียบร้อยนั้น มันเป็นได้แค่อุดมคติโลกสวย ในความเป็นจริงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไม่ฟ้องกัน เช่น เกรงกลัวผู้รังแก กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วมีปัญหา การถูกหาว่าเป็นพวกขี้ฟ้อง ถูกรังเกียจ และที่สำคัญ มักจะถูกรังแกมากยิ่งขึ้นหลังจากการฟ้องครั้งแรกประสบความสำเร็จ (โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นเด็กผู้ชาย คำว่า "ศักดิ์ศรี" นั้นมีอิทธิพลมากกว่าที่คิด ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นโดยมากสภาพสังคมจะสอนไม่ให้หือกับผู้ชาย นอกจากจะมีสักคนที่ก๋ากั๋นพอ แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน)
- ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ผู้ปกครองฝ่ายผู้ตายจะพูดถึงผู้ตายแต่ในด้านดี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง คือถ้าไม่ใช่เพราะเจตนาเข้าข้างหัวชนฝา ก็อาจเป็นเพราะไม่รู้มาก่อน เนื่องจากการที่เด็กจะทำตัวสองหน้าระหว่างบ้านกับโรงเรียนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะคงไม่มีเด็กคนไหนโง่พอจะประกาศให้คนในบ้านทราบว่าตนไปทำอะไรไม่ดีที่โรงเรียนมา
ปล.คุณValkyrie Zero Numberดูอารมณ์ดีขึ้นนะครับ(เหมือนความดาร์คจะลดลงหน่อย)
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ดูแล้วน่าจะโชคดีนะเมจิ เขียน:. มิสของน่าก็น่ากลัวเป็นบางคนอ่านะ เเต่ครูจะไม่ตีเด็กเพราะมาร์เซอร์สั่งห้ามห้ามเเตะต้องเด็กโชคดีสุดฯwin_comeback เขียน:สมัยก่อนครูตีแบบสุดๆๆ สมัยนี้เรอะโดนหน่อยฟ้องศาล เด็กมันเลยออกมาเป็นแบบนี้
แต่เมจิ น่ากัวววไหมอะ
ปล.เมจิฝากช่วยดู pm พี่ด้วย
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
เมจิไม่ได้พกมีดใช่ไหมจ่ะ
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
เมจิไม่ได้พกมีดใช่ไหมจ่ะ
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
หนังเนียวอ่ะแทงไม่เข้าหรอก55