มีใครพอจะอธิบายเรื่องของพระเยซูเจ้าให้ฟังอย่างชัดเจนได้บ้าง

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
maxbreaker
โพสต์: 6
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 04, 2010 12:16 pm

จันทร์ ก.ย. 10, 2012 6:13 pm

ผมเป็นคนไม่เชื่อในพระเยซูเจ้าไม่เชื่อในทุกๆสิ่งแต่ก็แสวงหาสิ่งที่ตอบข้อสงสัยได้ไม่มีใครอธิบายให้ฟังมีปัญหาไม่รู้จะไปหาใครที่ไหนผมนับถือศาสนาอิสลามแต่ผมก็นับถือตามแม่แต่ผมก็แสวงหาสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข สบายใจ หมดทุกข์ มีหลายอย่างสงสัยมากเลยอยากจะให้พวกพี่ๆที่เชื่อในพระเยซูเจ้าช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วย
เมจิ
โพสต์: 3257
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 6:44 pm

จันทร์ ก.ย. 10, 2012 7:06 pm

พระเยซูเจ้าคือพระผู้ไถ่โลกาค่ะ :s012: เเละเป็นองค์เเห่งความรัก :s013:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

จันทร์ ก.ย. 10, 2012 8:24 pm

นบีอีซา ในอิสลาม คือ พระเยซูเจ้าในศาสนาคริสต์
พระเยซู (อังกฤษ: Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเรธ (อังกฤษ: Jesus of Nazareth; 4 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30[1]) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกเยซูชาวนาซาเรธว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ
ชาวมุสลิมก็ให้ความเคารพพระเยซูเช่นกัน แต่เชื่อต่างจากชาวคริสต์ โดยชาวมุสลิมเรียกพระเยซูว่านบีอีซา คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่าพระเยซูไม่ใช่ทั้งพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า[2] แต่เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า[3] และเป็นเราะซูลที่พระเจ้าส่งมาเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมให้แก่ชาวอิสราเอล[4]เช่นเดียวกับเราะซูลอื่น ๆ นอกจากนี้พระเยซูยังได้ทำนายถึงเราะซูลอีกท่านหนึ่งที่จะมาในอนาคตด้วยว่าชื่ออะหมัด[5]
คำว่า "เยซู" มาจากคำในภาษากรีกคือ "เยซุส" Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า "ยาซูอฺ" ตามภาษาซีเรียก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า "อีซา" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ "ผู้ช่วยให้รอด" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "คริสต์" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า "คริสตอส" Χριστός [Christos] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง "ผู้ได้รับการเจิม" ชาวอาหรับเรียกว่า "มะซีฮฺ" ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น พระมหากษัตริย์ ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ เป็นต้น
เมื่อราชอาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้นชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า "พระคริสต์" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัวบุคคล ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่านมักเรียกพระองค์ว่า "พระเยซู" และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น "พระเยซูชาวนาซาเรธ" หรือ "พระเยซูบุตรของโยเซฟ" แต่นักบุญเปาโลหรือเปาโลอัครทูตมักเรียกพระองค์ว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเยซูคริสต์" ที่เรียกว่า "พระคริสต์เยซู" ก็มี
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

จันทร์ ก.ย. 10, 2012 8:25 pm

รูปภาพ

ประวัติของพระเยซู

[แก้]ปฐมวัย
ประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” [6] ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับ ๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” [7] โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ
ขณะที่มารีย์กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จักรพรรดิเอากุสตุสได้มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวงต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารีย์จึงต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” [8]
ต่อมามีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” [9] โยเซฟจึงพากุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ เนื่องจากกษัตริย์เฮโรดทราบว่าได้มีกุมารผู้ที่บังเกิดมาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว และทราบจากบรรดามหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า กุมารนั้นอยู่ที่เบธเลเฮม จึงใช้ให้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลายในบริเวณนั้นที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” [10] โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เมืองนาซาเร็ธ
เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ ที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูในช่วงระยะเวลาตั้งแต่อายุ 12 ปีจนพระเยซูทรงรับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดนไม่ได้ถูกบันทึกไว้มากนัก ชาวคริสต์เรียกช่วงเวลานี้ว่าพระชนม์ชีพเร้นลับของพระเยซู แต่เรื่องราวของพระเยซูตั้งแต่รับบัพติสมาจนสิ้นพระชนม์ที่กางเขน แล้วกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพอีกครั้งถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด
[แก้]ประกอบพระภารกิจ
เมื่อพระเยซูอายุได้ 30 ปี ก็ทรงเข้าพิธีบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดน “ครั้นพระองค์ทรงรับพิธีบัพติศมาในน้ำแล้วในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์” [11] หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลาถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนโดยไม่ได้เสวยอะไรเลย แต่กลับมีมารมาผจญพระองค์โดยการล่อลวงต่าง ๆ นา ๆ เพื่อหวังให้พระเยซูกราบลงนมัสการมาร แต่พระเยซูได้ตอบโต้มารด้วยพระธรรมจากคัมภีร์ฮีบรู จนมารเห็นว่ามิอาจล่อลวงพระองค์ได้จึงละพระองค์ไป [12]
พระองค์ทรงเริ่มพระกิจจานุกิจโดยออกสั่งสอนชนทั้งปวงให้กลับใจจากความบาป แล้วเดินตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง อย่าแสร้งทำเป็นนับถือพระเจ้าแต่ปาก “ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา” [13] ทรงสอนมิให้ทำตนเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด “เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่” [14] พระองค์ยังตรัสพระธรรมคำสั่งสอนและทรงพระราชกิจไว้อีกมากมาย ซึ่งถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือ 4 เล่มแรก ได้แก่ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น
ในการทรงพระราชกิจของพระเยซูนั้น พระองค์ได้ทรงเรียกบุคคลต่าง ๆ เข้ามาเป็นสาวก เพื่อสั่งสอนและมีส่วนช่วยพระองค์อีก 12 คน ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่าอัครทูต ได้แก่ ซีโมนเปโตร อันดรูว์ (น้องชายของซีโมน) ยากอบ บุตรเศเบดี ยอห์น (น้องชายของยากอบ) ฟีลิป บารโธโลมิว โธมัส มัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสาร ยากอบ บุตรอัลเฟอัส เลบเบอัส (ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ธัดเดอัส) ซีโมนเศโลเท และยูดาส อิสคาริโอท (ผู้ที่อายัดพระเยซู) [15]
[แก้]สิ้นพระชนม์
ผลของการที่พระเยซูออกประกาศ, สั่งสอน, รักษาโรค และทำการต่าง ๆ มากมาย ทำให้มีคนเป็นจำนวนมากติดตามพระองค์ไป “กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป” [16] “ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ พระองค์ทรงสงสารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาให้หาย” [17] “และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆหลายคน มาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย” [18] ในทางตรงกันข้ามคำสั่งสอนของพระองค์ต่อว่าพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์โดยตรง “เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและในธรรมศาลา กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้เขาเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’” [19] “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน’ โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์” [20] “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม” [21] พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดหาช่องทางจะฆ่าพระองค์เสีย “ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้” [22]
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงทราบว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานจากพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ดังที่พระองค์ได้ทรงทำนายถึงเหตุการณ์ดังกล่าวล่วงหน้าไว้สามครั้ง [23] หลังจากนั้นหนึ่งในสาวกสิบสองคน ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิตแล้วตกลงว่าจะคอยหาช่องที่จะชี้พระองค์ให้จับ เพื่อแลกกับสามสิบเหรียญเงิน ซึ่งเรื่องที่ยูดาสคิดจะทรยศต่อพระองค์นั้น พระองค์ก็ทรงทราบเช่นกัน [24]
เมื่อถึงวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พระองค์กับเหล่าสาวกได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่งในกรุงเยซูซาเล็ม เพื่อร่วมเสวยปัสกาด้วยกัน อาหารที่พระองค์ได้เสวยในคืนนั้นประกอบด้วยขนมปังและน้ำองุ่น ซึ่งก็เป็นอาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่พระองค์ได้เสวยก่อนสิ้นพระชนม์ เพราะหลังจากที่ได้เสวยอาหารแล้ว ยูดาสสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นได้ออกจากบ้านไป พวกสาวกที่เหลือไม่ทราบว่ายูดาสไปไหน แต่พระเยซูทราบว่ายูดาสจะไปหาพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี เพื่อพาทหารมาจับพระองค์
หลังจากยูดาสออกไปจากบ้านแล้ว พระองค์ตรัสคำสอนแก่พวกสาวกอีกหลายข้อ ก่อนที่จะเสด็จพาพวกเขาออกจากบ้านข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนเกทเสมนี ในขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนพระองค์เสด็จห่างจากพวกสาวกออกไปไกลประมาณขว้างหินตกแล้วอธิษฐานต่อพระเจ้า เมื่อกลับมาพบว่าพวกสาวกต่างหลับกันหมด พระองค์จึงปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นอธิษฐาน แล้วพระองค์ทรงกลับไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาทรงเห็นสาวกนอนหลับกันอีก พระองค์จึงเสด็จกลับไปอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่อกลับมาครั้งนี้พระเยซูทรงปลุกพวกสาวกให้ตื่นขึ้น ทันใดนั้น ยูดาสได้พาทหารกับเจ้าหน้าที่ของพวกปุโรหิตและฟาริสีพร้อมอาวุธเข้ามา ยูดาสตรงมาหาพระเยซูแล้วจุบคำนับพระองค์ คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระองค์ เปโตรมีดาบจึงชักออกฟันถูกหูข้างขวาของมัลคัส ซึ่งเป็นทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต พระเยซูตรัสว่า “จงเอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ ท่านคิดว่าเราจะขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ และในครู่เดียวพระองค์จะประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกอง แต่ถ้าเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร” [25] แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้พากันหนีไป
พระเยซูถูกพาไปบ้านของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการ ทั้งพวกธรรมาจารย์และมหาปุโรหิตต่างพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระองค์ แต่ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนให้การก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ ในที่สุดมหาปุโรหิตจึงถามถึงความเป็นพระคริสต์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ยอมรับว่าทรงเป็นพระคริสต์ มหาปุโรหิตจึงยุยงคนทั้งปวงว่า พระเยซูพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเพราะยกตนเองขึ้นเป็นพระคริสต์ คนทั้งปวงจึงต้องการให้ปรับโทษพระเยซูถึงตาย
เมื่อยูดาสเห็นว่าตนเองทำบาป โดยอายัดพระเยซูผู้บริสุทธิ์ให้ถึงแก่ความตาย ยูดาสก็เกิดสำนึกกลับใจนำเงินที่ได้ไปคืนให้พวกมหาปุโรหิต แต่คนเหล่านั้นไม่สนใจ ยูดาสจึงทิ้งเงินไว้แล้วออกไปผูกคอตาย
พอรุ่งเช้า พวกเขาได้พาพระเยซูไปหาปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น พวกเขาได้ฟ้องพระเยซูด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ แต่หลังจากปีลาตได้สอบถามพระองค์แล้ว ไม่พบว่ามีความผิดประการใดจึงคิดจะปล่อยพระองค์ แต่พวกเขายืนยันว่า คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย [26] เมื่อปีลาตทราบว่าพระองค์เป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในท้องที่ของกษัตริย์เฮโรด ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรดเพื่อให้ตัดสินความแทน ฝ่ายเฮโรดมีความยินดีเป็นอันมากที่จะได้พบพระเยซูเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์มานาน หวังว่าพระเยซูจะแสดงอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ให้ชมบ้าง แต่เมื่อพระเยซูไม่ได้ทำการใด เฮโรดและพวกทหารจึงได้แต่ดูหมิ่นเยาะเย้ยและส่งพระองค์กลับมาหาปีลาตอีก ปีลาตจึงสั่งมหาปุโรหิต พวกขุนนางและราษฎรให้ประชุมพร้อมกัน และกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้พาคนนี้มาหาเรา ฟ้องว่าเขาได้ยุยงราษฎร ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้งหลาย และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้องเขานั้น และเฮโรดก็ไม่เห็นว่าเขามีความผิดด้วย เพราะเฮโรดได้ส่งตัวเขากลับมายังเราอีกแล้ว ดูเถิด คนนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรซึ่งสมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้ว เราก็จะปล่อยเสีย” [27]
ในตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลปัสกา เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นมีนักโทษคนหนึ่งชื่อ บารับบัส ต้องโทษเพราะฆ่าคน ปีลาตถามพวกเขาว่า ต้องการให้ปล่อยผู้ใดระหว่างพระเยซูกับบารับบัส มหาปุโรหิตก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส พวกเขาจึงตอบว่า บารับบัส และให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน ส่วนปีลาตยังพยายามจะปล่อยพระเยซูอีกถึงกับถามพวกเขาซ้ำอีกสามครั้ง เมื่อพวกเขายืนยันตามเดิม ปีลาตก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน เพื่อแสดงว่าเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบด้วยกับการประหารพระเยซู แล้วปีลาตได้สั่งปล่อยบารับบัสและให้โบยตีพระเยซูก่อนนำไปตรึงที่กางเขน
พระเยซูทรงถูกพวกทหารของปีลาตโบยตีและหยามพระเกียรติหลายประการ [28] พระวรสารสหทรรศน์กับพระวรสารนักบุญยอห์นระบุเหตุการณ์จากนี้ต่างกันคือ พระวรสารสหทรรศน์ต่างระบุว่าเมื่อพระเยซูถูกตัดสินโทษแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้ซีโมนชาวไซรีนมาแบกกางเขนของพระเยซูตั้งแต่ต้น[29][30][31] แต่พระวรสารนักบุญยอห์นกลับระบุว่าพระเยซูเป็นผู้แบกกางเขนโดยไม่เอ่ยถึงซีโมนชาวไซรีนเลย[32] เมื่อมาถึงกลโกธาพระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคน ข้างขวาคนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง พวกขุนนางต่างกล่าวคำเยาะเย้ยพระองค์ ฝ่ายพวกทหารจับฉลากกันว่า ใครจะได้ฉลองพระองค์ไป (ยอห์น 19:24) หลังจากนั้น พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์" [33]
ในวันนั้นเป็นวันศุกร์ พวกยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนกางเขนจนถึงวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันสะบาโต จึงมาขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก แล้วจะได้เอาศพลงจากกางเขน พวกทหารจึงมาทุบขาของผู้ร้ายทั้งสองคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระเยซูจนเสียชีวิต เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว พวกทหารไม่ได้ทุบขาพระองค์ แต่ใช้ทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกจากร่างกายของพระองค์
โยเซฟแห่งอาริมาเธียได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต เอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพของพระองค์ตามธรรมเนียมชาวยิว แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย ซึ่งอยู่ในสวนแห่งหนึ่งในตำบลที่พระองค์ถูกตรึงนั้น แล้วกลิ้งก้อนหินขนาดใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้ [34] ส่วนพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีไปหาปีลาต ขอให้วางยามเฝ้าหน้าอุโมงค์ให้แข็งแรง เพราะกลัวว่าสาวกจะมาลักพระศพพระเยซูไป ปีลาตจึงสั่งให้ทหารไปประทับตราที่หินและเฝ้ายามหน้าอุโมงค์ไว้ [35]
[แก้]กลับคืนพระชนม์
ครั้นวันที่สามผ่านไป เหล่าพวกผู้หญิงได้มาที่อุโมงค์ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก ทูตของพระเจ้าองค์หนึ่งได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ แล้วกล่าวแก่หญิงนั้นว่า พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตายแล้ว และให้ไปยังแคว้นกาลิลีจะได้พบพระองค์ที่นั่น หญิงเหล่านั้นจึงไปจากอุโมงค์โดยเร็ว วิ่งไปบอกสาวกของพระเยซู ฝ่ายทหารที่เฝ้าอุโมงค์ได้เข้าไปในเมืองแล้วเล่าเหตุการณ์นั้นให้มหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกเขาปรึกษากันแล้วก็แจกเงินเป็นอันมากให้พวกทหาร โดยสั่งให้พูดกันทั่วไปว่า พวกสาวกแอบมาลักเอาศพไปในตอนกลางคืน ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วก็ทำตามนั้น บรรดาพวกยิวจึงเชื่อตามคำของทหารเหล่านั้น
หลังจากการคืนพระชนม์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงปรากฏให้เหล่าสาวกและคนเป็นจำนวนมากได้เห็นเพื่อจะได้เชื่อ เป็นพยานและวางใจในพระองค์ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา "เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา" [36]
[แก้]ปาฏิหาริย์แห่งพระเยซู

คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ได้บันทึกว่าพระเยซูได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนวนนั้นคือ การรักษาคนเป็นโรคเรื้อนให้หาย [37], การรักษาคนตาบอด [38], รักษาคนง่อยให้เดินได้[39], รักษาคนหูหนวกให้ได้ยิน [40], รักษาหญิงตกโลหิตให้หาย [41], ทรงขับผีออก (มาระโก 7:24-30), การชุบชีวิตคนตาย [42], การทวีขนมปังและปลา [43], เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นในงานแต่ง [44], การเดินบนน้ำ [45], การทรงทราบล่วงหน้าถึงอนาคตและสิ่งต่างๆ และการกลับคืนพระชนม์ชีพหลังสิ้นพระชนม์ไปครบ 3วัน
[แก้]การตรึงที่กางเขนและการเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์

คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ระบุว่าการตรึงพระเยซูที่กางเขนเกิดขึ้นตอนเช้า "เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง" [46] และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในเวลาบ่าย "เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์" [47] หลังจากนั้นพระองค์ทรงเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 "แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า" [48] "หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า 'จงจำเริญเถิด' หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า 'อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น'" [49] บุคคลที่พระเยซูทรงปรากฏให้เห็นก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ได้แก่ มารีย์ชาวมักดาลา [50], เคลโอปัสและศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อ [51], สาวกทั้งสิบเอ็ดคน [52], สาวกเจ็ดคน [53] พระเยซูทรงประทับอยู่กับเหล่าสาวกราว 40 วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา "เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา"
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

จันทร์ ก.ย. 10, 2012 8:27 pm

รูปภาพ
พระเยซูในทัศนะของอิสลาม

ดูบทความหลักที่ อีซา
มุสลิมถือว่าอีซาไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณหนึ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้บังเกิดในครรภ์มาเรียโดยมิได้มีความสัมพันธ์กับบุรุษ
ในวัยเด็กของพระเยซู คัมภีร์อัลกุรอานเล่าเพียงช่วงที่มะลักตนหนึ่งจำแลงกายเป็นบุรุษเข้ามาพบกับมัรยัม (มารีย์ (มารดาพระเยซู)) และบอกนางว่า นางจะได้บุตรโดยปราศจากบิดา เมื่อนางจะคลอดก็ได้หนีออกไปคลอดนอกเมือง ไปที่โคนต้นอินทผาลัม เมื่อคลอดเสร็จแล้ว พระผู้เป็นเจ้าไดทรงบรรดาลให้มีตาน้ำไหลออกมาให้มัรยัมได้ดื่ม เมื่อพาบุตรกลับมา นางก็ถูกถามและกล่าวหาว่านางได้ผิดประเวณีได้บุตรไร้บิดา นางไม่ยอมพูดแต่อีซาพูดออกมาว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ประทานคัมภีร์ และแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นนบี อัลกุรอานไม่ได้บอกเล่าชีวประวัติในวัยเด็กอีกเลย
คัมภีร์อัลกุรอานและ พระวรสารนักบุญบาร์นาบาส ได้บันทึกว่า เยซูได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนวนนั้นคือ การรักษาคนเป็นโรคเรื้อน การชุบชีวิตคนตาย การเรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้
คัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนกางเขนและกลับคืนพระชนม์ชีพ ในขณะที่อัลกุรอานและพระวรสารนักบุญบารนาบัสระบุว่าเยซูยังไม่ได้ตาย ผู้ที่ถูกตรึงทีไม้กางเขนเป็นผู้อื่น พระวรสารนักบุญบาร์นาบาสระบุว่า ผู้ที่ถูกตรึงนั้นคือ เยฮูดาห์
[แก้]พระนามอื่นของพระเยซู

พระผู้ไถ่ เป็นพระคุณนามของพระเยซู ในฐานะที่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าและลงมาในนามของพระยาเวห์ เพื่อประกาศแนวทางอันเป็นหลักคำสอนในศาสนาคริสต์ เพื่อให้ผู้ปรารถนาชีวิตนิรันดร์และมีโอกาสอยู่ร่วมในดินแดนของพระเจ้าภายหลังวันสุดท้ายของโลก หรือวันตัดสินผู้ที่เชื่อในพระเยซูและพระเจ้าเพื่อเข้าสู่ดินแดนสวรรค์กับผู้ไม่เชื่อและเพิกเฉยในคำสอนเพื่อไปยังขุมนรก
peopletribune
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa

จันทร์ ก.ย. 10, 2012 10:22 pm

maxbreaker เขียน:ผมเป็นคนไม่เชื่อในพระเยซูเจ้าไม่เชื่อในทุกๆสิ่งแต่ก็แสวงหาสิ่งที่ตอบข้อสงสัยได้ไม่มีใครอธิบายให้ฟังมีปัญหาไม่รู้จะไปหาใครที่ไหนผมนับถือศาสนาอิสลามแต่ผมก็นับถือตามแม่แต่ผมก็แสวงหาสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข สบายใจ หมดทุกข์ มีหลายอย่างสงสัยมากเลยอยากจะให้พวกพี่ๆที่เชื่อในพระเยซูเจ้าช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วย
สวัสดีครับ คุณmaxbreaker

ผมว่าในเรื่องของประวัติ ของพระเยซู คุณmaxbreaker คงหาอ่านได้
โดยทั่วไป ทั้งบนอินเตอร์เนต และ youtube คุณmaxbreaker คงสงสัยว่า
ทำไม?คนคริสต์ ถึงเชื่อใน "พระเยซู" แทนที่จะเชื่อใน "พระเจ้า่"

รูปภาพ
ศาสนาเป็นเรื่องของ ความเชื่อ และ วิถีปฏิบัติ ซึ่งทุกศาสนาอาจจะมีหลักความเชื่อ
และวิถีปฏิบัติที่ต่างกัน...แต่หลัก และแก่นของทุกศาสนา คือ สอนให้มนุษย์เป็น
คนดี รู้จักละอาย เกรงกลัวบาป รู้จักการให้อภัย การบริจาคเพื่อคนที่อ่อนด้อยกว่า
และรู้จักยกโทษให้ผู้อื่น

อัลลอฮ์(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงกล่าวถึงผู้ศรัทธาที่แท้จริงว่าเป็นเสมือนพี่น้องกัน
พระองค์ตรัสว่า "แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ย
ประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด
หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา" (อัล-ฮุญุรอต /10)

ซึ่งก็สอดคล้อง...กับที่พระเยซูตรัสว่า "จงรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเอง"

:s007:
ก่อนที่ คุณmaxbreaker จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักศาสนาระหว่าง
อิสาม และ คริสต์ จำต้องศึกษา ประวัติศาสตร์ ของศาสนาครับ ซึ่งรากของศาสนาทั้ง
3 ศาสนา คือ ยิว,คริสต์ และอิสลาม นั้นมาจากรากเดียวกัน ครับ ทั้งทางพฤษตินัย
และทางเผ่าพันธุ์...ผมเคยเขียนเรื่อง ฮีบรู – เบดูอิน อิรัก ลิเบีย เมโสโปเตเมียและ
อับบราฮัม
ถ้าคุณmaxbreaker สนใจลองอ่านตาม Link นะครับ

http://www.wutkatefanclub.com/webboard/ ... f=4&t=2197

การตีความ คำสอนของศาสนานั้น ท่านพุทธทาสท่านได้ให้คำนิยามไว้ ดีมากครับ
ว่ามี ภาษาคน กับ ภาษาธรรม ท่านได้ปาฐกถาธรรม ณ ศูนย์ศิลป วิทยาลัย
พระคริสตธรรมแห่งสภาคริสตจักร ประเทศไทย จ.เชียงใหม่
http://www.buddhadasa.com/BudChrist/Beunderstand1.html

:s021:
สั้น ๆ และได้ใจความนะครับ ผมตอบแบบให้ใช้ความเข้าใจ ดังนี้นะครับ

พระเจ้า : ทางคริสต์ คือ พระยาห์เวห์ หรือพระยะโฮวาห์ ทางอิสลาม คือองค์
อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)

นบีอีซา(พระเยซู) กับ ท่านนบีมูฮัมหมัด ซอล ลอล ลอ ฮูอาลัย ฮีวาซัลลัม
ทางคริสต์เชื่อว่าพระเยซู เป็นบุตรของพระเจ้า ที่ลงมาเพื่อไถ่บาปเพื่อมวลมนุษยชาติ
(ทางคริสต์จึงเชื่อว่าพระเยซู คือ พระเจ้าแท้และมนุษย์แท้) ในทางอิสลาม
เชื่อว่า พระเยซู คือ นบีอีซา ถือเป็นเพียงศาสดาคนหนึ่งขององค์ อัลลอฮฺ
(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)
แต่ชาวคริสต์จะเชื่อว่า พระเยซู คือ บุตรพระเจ้า

ดังนั้นเวลาอิสลาม ละหมาด จะเปร่งเสียง เรียก องค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)
แต่ชา่วคริสต์ จะทำสัญลักษณ์ เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต
ก่อนเข้าโบสถ์

ทางคริสต์นับวันตั้งแต่พระเยซูประสูติ...เป็นวันประกาศพันธสัญญาใหม่ ชาวคริสต์
จึงนับวันประสูติของพระเยซูเป็น ค.ศ. 1

ในทางอิสลาม นับ ฮ.ศ.1 คือ ค.ศ. 622 หรือ พ.ศ. 1165 จาก...

- ท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด ซอล ลอล ลอ ฮูอาลัย ฮีวาซัลลัม อพยพจากมักกะฮ์
สู่เมืองมะดีนะฮ์ ท่านศาสดาอพยพจากมักกะฮ์โดยมีอบูบักรร่วมเดินทางไกลด้วย
ระหว่างทางท่านได้สร้าง มัสญิดกุบาอ์ ซึ่งเป็นมัสญิดหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้น ท่าน
ศาสดาเข้าเมืองมะดีนะฮ์ในวันศุกร์ ท่านได้ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิม
ที่นั่น ซึ่งถือว่าเป็นการละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม เมื่อถึงเมืองมะดีนะฮ์
ท่านศาสดาได้สร้างความรัก ความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาระหว่างชาวมุฮาญิรีน
ผู้อพยพ กับชาวอันซ็อร ผู้ช่วยเหลือการอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมาก
ในประวัติศาสตร์อิสลาม พี่น้องมุสลิมจึงถือเอาการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด
ซอล ลอล ลอ ฮูอาลัย ฮีวาซัลลัม เป็นจุดเริ่มของศักราชอิสลาม ซึ่งเรียกว่า
ฮิจญเราะฮ์ศักราช ( ฮ.ศ. ) ปีแห่งการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด ใช่ไม๊ครับ

:s007:
ท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด ซอล ลอล ลอ ฮูอาลัย ฮีวาซัลลัม ไ้ด้บอกกับ
พี่น้องมุสลิม ให้ดำรง 5 อย่าง

1. ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)
2. ให้ดำรงการละหมาด
3. ให้บริจาคซะกาต
4. ให้ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
5. ให้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ถ้าร่างกาย,สุขภาพ และกำลังทางเศรษฐกิจ
เอื้ออำนวย

ซึ่งองค์พระเยซู ได้ทรงสอนว่า...
" จงรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตัวเอง " ( มธ.22:34-40 )
"ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย"
นั่นคือแก่น ของคำสอนพระเยซู ซึ่งพระองค์ทรงพิสูจน์ ตลอดพระชมน์ชีพของ
พระองค์ โดยใช้ชีวิตมนุษย์ของพระองค์ไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ...
:s007:
อิสลามเชื่อว่า ชีวิตบนโลกมนุษย์...เป็นไปตามที่องค์อัลลอฮฺ
(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)
กำหนด หรือทางอิสลามเรียกว่า

อินชาอันลอฮ – ให้เป็นไปในลิขิตของอัลลอฮฺ

ซึ่งในทางคริสต์เรียก "ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์"

และอิสลามก็เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย...ว่าเราจะกลับไปหาพระองค์
อินนาลิลลา ฮิวะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน - แท้จริงเราเป็นอัลลอฮฺและ
แท้จริงเราเป็นผู้กลับไปหาพระองค์


ซึ่งในทางคริสต์ "เรามาจากดิน และเราก็จะกลับไปสู่ดิน"
:s007:

เมื่อ...คุณmaxbreaker มองเห็นทา่นท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด ซอล
ลอล ลอ ฮูอาลัย ฮีวาซัลลัม
คุณmaxbreaker ก็จะเห็น "นบีอีซา"

และเมื่อ คุณmaxbreaker เห็นองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)
คุณmaxbreaker ก็จะเห็น....พระยะโฮวาห์

ผมพูดเสมอครับ ว่าศาสนา เป็นเรื่องสุขุมคัมภีรภาพ...ศาสนิก ที่ศึกษาแต่ศาสนาตน
โดยไม่เปิดใจศึกษาศาสนาอื่น หรือ ไม่รับความเชื่อ หรือวิถีปฏิบัติที่แตกต่าง

ดวงตาจะไม่เห็นธรรม ที่แท้จริง...

เป็นไปได้ไม๊ครับว่า...คริสต์ และ อิสลาม เราจะ ฮัจญ์(มุ่งไปสู่) จุดเดียวกัน

:s012:
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์
win_comeback
โพสต์: 954
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm

อังคาร ก.ย. 11, 2012 4:43 am

พระเยซูบอกไม่ต้องเชื่อพระองค์แต่ให้เชื่อในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำลองหาอ่านในไบเบิ้ลละกัน :s004:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

พุธ ก.ย. 12, 2012 6:20 am

:s004:
ตอบกลับโพส