เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(36)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(>)โยเซฟ ชาวอาริมาเธียขออนุญาตอัญเชิญพระศพพระเยซูเจ้าลง
ขณะที่เกิดความโกลาหลในกรุงเยรูซาเล็มนั้น สมาชิกสภาสูงได้ยื่นคำขอปิลาตหักขาผู้ที่ถูกตรึง
กางเขนเพื่อจบชีวิตของพวกเขาก่อนรุ่งอรุณของวันสับบาโต ปิลาตจึงส่งเพชฌฆาตไปปฏิบัติหน้าที่
ตามคำขอทันที
ก่อนบ่ายสี่โมงโยเซฟ ชาวอาริมาเธีย ขออนุญาตปิลาตอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าลงจาก
ไม้กางเขนหลังจากได้ปรึกษากับนิโคเดมัสเรื่องการฝังพระศพในคูหาใหม่ที่ท้ายสวนของเขา
ปิลาตซึ่งขณะนั้นทราบเรื่องจากนายร้อยอะเบนาดาร์ถึงพระสุรเสียงที่ดังก้องก่อนสิ้นพระชนม์และ
การเกิดแผ่นดินไหวแล้ว ปิลาตประหลาดใจเพียงเรื่องเดียวคือการที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์เร็ว
กว่าปกติ ปิลาตอนุญาตให้โยเซฟฯ อัญเชิญพระศพลงจากกางเขนได้ และให้นำไปทำพิธีฝังพระศพ
ได้ทันที การให้อนุญาตอย่างรวดเร็วดูเหมือนเป็นการกระทำเพื่อชดเชยพฤติกรรมเหี้ยมโหดและ
อยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับพระองค์ก่อนหน้านั้น ขณะเดียวกันปิลาตก็ดีใจที่สามารถสร้างความขุ่นเคือง
อย่างยิ่งต่อบรรดาสมณะและชาวฟารีสี เพราะปิลาตทราบว่าพวกเขาต้องการให้ฝังพระศพอย่างไร้
เกียรติเช่นเดียวกับศพของผู้ร้ายทั้งสอง นอกจากนั้น ปิลาตยังส่งนายร้อยอะเบนาดาร์ไปช่วยปลด
พระศพพระเยซูเจ้าลงจากกางเขนด้วย
เมื่อโยเซฟฯ ออกจากจวนของปิลาตแล้วก็รีบไปหานิโคเดมัสที่รออยู่ที่บ้านของสตรีใจศรัทธาผู้หนึ่ง
ซึ่งมีอาชีพขายสมุนไพรหอม นิโคเดมัสซื้อเครื่องหอมเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ชโลมพระศพ ส่วนโยเซฟฯ
ซื้อผ้าอย่างดีเพื่อใช้พันพระศพ และเมื่อกลับไปที่บ้านแล้วก็สั่งให้คนรับใช้หลายคนจัดเตรียมบันไดปีน
ค้อน หมุดตอก เหยือกน้ำ ฟองน้ำ ฯลฯ
----------------------
จบตอนที่(36)
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
“พระมหาทรมาน “ (ตอนที่ 36-45 ) (ชุดที่3 )
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่( (37)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(+)การเปิดแผลที่สีข้างของพระเยซูเจ้า – การตายของผู้ร้ายทั้งสอง
ขณะที่เกิดความโกลาหลในกรุงเยรูซาเล็มอยู่นั้น ธรรมชาติทั่วเขากัลวาริโอเงียบสงัดราวกับกำลัง
ไว้อาลัยอยู่ ผู้ที่มาดูเหตุการณ์ต่างออกไปจากเขากัลวาริโอด้วยความอกสั่นขวัญแขวน พระนางมารีย์,
ยอห์น, มารีย์ มักดาลา, มารีย์ เคลโอปัส, และนางสะโลเม ยังคงอยู่เบื้องหน้าพระมหากางเขน
ขณะที่รองผู้บัญชาการ คัสซีอุส ขี่ม้าไปมา เพชฌฆาตหกคนเข้ามาในบริเวณพร้อมกับบันไดปีนและ
ท่อนเหล็กเพื่อใช้ทุบแขนขาของผู้ถูกตรึงเพื่อให้เสียชีวิตเร็วขึ้น เมื่อเห็นว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว
ก็ถอยออกไป จากนั้นก็ยกบันไดไปที่กางเขนของผู้ร้ายทั้งสอง เพชฌฆาตคนหนึ่งใช้ท่อนเหล็กทุบแขน
ใต้ข้อศอกทั้งสองข้าง ขณะที่อีกคนหนึ่งทุบขาทั้งสองข้างบริเวณเหนือและใต้หัวเข่า เกสมาสร้องเสียง
หลงอย่างน่ากลัว เพชฌฆาตคนนั้นจึงทุบหน้าอกอย่างเต็มแรงสามครั้ง ส่วนดิสมาสส่งเสียงครางลึก ๆ
และหยุดหายใจ เขาเป็นคนแรกในบรรดาผู้ตายที่ได้เสวยสุขร่วมกับพระผู้ไถ่ จากนั้นเพชฌฆาตก็แก้
เชือกออก ร่างทั้งสองตกลงมาบนพื้นดินและถูกลากไปทิ้งในหนองน้ำลึกข้างเขากัลวาริโอ
เพชฌฆาตดูเหมือนยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า แต่รองผู้บัญชาการ คัสซีอุส
ชายหนุ่มตาเหล่ได้รับพระพรในบัดดล เขาตระหนักถึงพฤติกรรมการทุบแขนขาของนักโทษของ
เพชฌฆาตอย่างโหดร้าย และอาการประหวั่นพรั่นพรึงจนตัวสั่นของสตรีใจศรัทธาว่า พวกเขาจะจัดการ
อย่างไรต่อกับพระศพของพระเยซูเจ้า คัสซีอุสจึงตัดสินใจประกาศชี้ขาดว่า พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว
ซึ่งทำให้คำทำนายในพระคัมภีร์ที่ว่า “กระดูกของเขาจะไม่หักจนชิ้นเดียว” เป็นจริงโดยไม่รู้ตัว
คัสซีอุสหยิบหอกและขี่ม้าอย่างรวดเร็วขึ้นไปบนเนินที่มีมหากางเขนปักอยู่ ใช้มือทั้งสองกำหอกไว้แน่น
แทงไปที่สีข้างด้านขวาของพระเยซูเจ้าทะลุพระหฤทัยและปลายโผล่ออกที่สีข้างด้านซ้าย เมื่อเขาถอน
หอกออก ก็มีพระโลหิตและน้ำพุ่งออกมาถูกใบหน้าและร่างของเขาคล้ายกับน้ำของศีลล้างบาป พระพร
แห่งความรอดเข้าสถิตอยู่ในดวงวิญญาณของเขาทันที เขากระโดดลงจากหลังม้า คุกเข่าประกาศ
ความเชื่อของตนในองค์พระเยซูเจ้า
พระนางมารีย์รู้สึกเหมือนกับถูกคมหอกนั้นแทงเข้าไปที่ดวงหทัยของพระนางเอง และแทบทรงตัวยืนไม่ได้
คัสซีอุสยังคงคุกเข่าขอบพระคุณไม่เพียงแต่สำหรับพระพรที่ได้รับเท่านั้น แต่สำหรับนัยน์ตาที่หาย
เป็นปกติอีกด้วย พระโลหิตของพระเยซูเจ้าทรงพิชิตดวงใจทุกดวงของผู้ที่อยู่ที่นั่น เหล่าทหารเมื่อเห็น
อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคัสซีอุส รีบคุกเข่าอยู่ข้างเขา และสารภาพผิดต่อพระเยซูเจ้า น้ำและพระโลหิตยังคง
ไหลออกจากสีข้างของพระองค์ขณะที่สตรีใจศรัทธาใช้คนโทรองรับไว้
--------------------
จบตอนที่(37)
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(+)การเปิดแผลที่สีข้างของพระเยซูเจ้า – การตายของผู้ร้ายทั้งสอง
ขณะที่เกิดความโกลาหลในกรุงเยรูซาเล็มอยู่นั้น ธรรมชาติทั่วเขากัลวาริโอเงียบสงัดราวกับกำลัง
ไว้อาลัยอยู่ ผู้ที่มาดูเหตุการณ์ต่างออกไปจากเขากัลวาริโอด้วยความอกสั่นขวัญแขวน พระนางมารีย์,
ยอห์น, มารีย์ มักดาลา, มารีย์ เคลโอปัส, และนางสะโลเม ยังคงอยู่เบื้องหน้าพระมหากางเขน
ขณะที่รองผู้บัญชาการ คัสซีอุส ขี่ม้าไปมา เพชฌฆาตหกคนเข้ามาในบริเวณพร้อมกับบันไดปีนและ
ท่อนเหล็กเพื่อใช้ทุบแขนขาของผู้ถูกตรึงเพื่อให้เสียชีวิตเร็วขึ้น เมื่อเห็นว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว
ก็ถอยออกไป จากนั้นก็ยกบันไดไปที่กางเขนของผู้ร้ายทั้งสอง เพชฌฆาตคนหนึ่งใช้ท่อนเหล็กทุบแขน
ใต้ข้อศอกทั้งสองข้าง ขณะที่อีกคนหนึ่งทุบขาทั้งสองข้างบริเวณเหนือและใต้หัวเข่า เกสมาสร้องเสียง
หลงอย่างน่ากลัว เพชฌฆาตคนนั้นจึงทุบหน้าอกอย่างเต็มแรงสามครั้ง ส่วนดิสมาสส่งเสียงครางลึก ๆ
และหยุดหายใจ เขาเป็นคนแรกในบรรดาผู้ตายที่ได้เสวยสุขร่วมกับพระผู้ไถ่ จากนั้นเพชฌฆาตก็แก้
เชือกออก ร่างทั้งสองตกลงมาบนพื้นดินและถูกลากไปทิ้งในหนองน้ำลึกข้างเขากัลวาริโอ
เพชฌฆาตดูเหมือนยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า แต่รองผู้บัญชาการ คัสซีอุส
ชายหนุ่มตาเหล่ได้รับพระพรในบัดดล เขาตระหนักถึงพฤติกรรมการทุบแขนขาของนักโทษของ
เพชฌฆาตอย่างโหดร้าย และอาการประหวั่นพรั่นพรึงจนตัวสั่นของสตรีใจศรัทธาว่า พวกเขาจะจัดการ
อย่างไรต่อกับพระศพของพระเยซูเจ้า คัสซีอุสจึงตัดสินใจประกาศชี้ขาดว่า พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว
ซึ่งทำให้คำทำนายในพระคัมภีร์ที่ว่า “กระดูกของเขาจะไม่หักจนชิ้นเดียว” เป็นจริงโดยไม่รู้ตัว
คัสซีอุสหยิบหอกและขี่ม้าอย่างรวดเร็วขึ้นไปบนเนินที่มีมหากางเขนปักอยู่ ใช้มือทั้งสองกำหอกไว้แน่น
แทงไปที่สีข้างด้านขวาของพระเยซูเจ้าทะลุพระหฤทัยและปลายโผล่ออกที่สีข้างด้านซ้าย เมื่อเขาถอน
หอกออก ก็มีพระโลหิตและน้ำพุ่งออกมาถูกใบหน้าและร่างของเขาคล้ายกับน้ำของศีลล้างบาป พระพร
แห่งความรอดเข้าสถิตอยู่ในดวงวิญญาณของเขาทันที เขากระโดดลงจากหลังม้า คุกเข่าประกาศ
ความเชื่อของตนในองค์พระเยซูเจ้า
พระนางมารีย์รู้สึกเหมือนกับถูกคมหอกนั้นแทงเข้าไปที่ดวงหทัยของพระนางเอง และแทบทรงตัวยืนไม่ได้
คัสซีอุสยังคงคุกเข่าขอบพระคุณไม่เพียงแต่สำหรับพระพรที่ได้รับเท่านั้น แต่สำหรับนัยน์ตาที่หาย
เป็นปกติอีกด้วย พระโลหิตของพระเยซูเจ้าทรงพิชิตดวงใจทุกดวงของผู้ที่อยู่ที่นั่น เหล่าทหารเมื่อเห็น
อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคัสซีอุส รีบคุกเข่าอยู่ข้างเขา และสารภาพผิดต่อพระเยซูเจ้า น้ำและพระโลหิตยังคง
ไหลออกจากสีข้างของพระองค์ขณะที่สตรีใจศรัทธาใช้คนโทรองรับไว้
--------------------
จบตอนที่(37)
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ ( 38 )
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(*)การเชิญพระศพลงจากกางเขน
เมื่อทุกคนออกจากบริเวณพระมหากางเขนไปแล้วยกเว้นทหาร 2-3 คน ดิฉันเห็นโยเซฟ
ชาวอาริมาเธีย และนิโคเดมัสไปที่พระคูหาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นและตกลงกันถึงวิธีการที่จะ
นำพระวรกายของพระเยซูเจ้าลงจากพระมหากางเขน หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับเข้าเมืองและ
จัดเตรียมบันไดปีน 2 อันพร้อมตะขอเกี่ยวยึดบันไดและอุปกรณ์อื่นที่จำเป็น
พวกเขาซื้อเครื่องหอมใส่ไว้ในถังเล็กหลายใบและสมุนไพรอีกหลายถุง โยเซฟฯ ถือกล่อง
ใส่น้ำมันหอม คนรับใช้แบกแคร่สำหรับวางเหยือกน้ำ ถุงหนังสัตว์ ฟองน้ำ และอุปกรณ์ต่าง ๆ
รวมทั้งตะเกียง กลุ่มคนรับใช้ออกเดินทางไปก่อน ผ่านบ้านที่พระมารดา ยอห์น และสตรีใจศรัทธา
5 คนกำลังซื้อน้ำหอมเพื่อชโลมพระศพด้วย หลังจากนั้นยอห์นและสตรีใจศรัทธาที่โอบม้วนผ้าลินิน
ไว้ใต้เสื้อคลุมก็เดินตามกลุ่มคนรับใช้ที่อยู่ไกลออกไป ทุกคนแต่งกายในชุดไว้อาลัย
เมื่อโยเซฟฯ และนิโคเดมัสไปถึงเขากัลวาริโอ ทั้งสองพบกลุ่มคนรับใช้ที่ล่วงหน้ามาก่อน สตรีใจ
ศรัทธาบางคนกำลังร่ำไห้อยู่ที่พระมหากางเขน คัสซีอุสและทหารที่กลับใจอยู่ไกลออกไป ทั้งหมด
อยู่ในอิริยาบถสำรวม นิโคเดมัสและโยเซฟฯ พาดบันไดไว้ด้านหลังพระมหากางเขนและปีนบันได
ขึ้นไป นายร้อยอะเบนาดาร์ซึ่งกลับมาที่พระมหากางเขนพอดีก็ช่วยถอนตะปูที่พระบาทด้วย ส่วน
คัสซีอุสเป็นผู้เก็บรวบรวมตะปูทั้งหมดและส่งให้พระมารดา
เป็นภาพที่ประทับใจทีเดียวที่เห็นทุกคนจัดการทำทุกสิ่งอย่างเบามือที่สุด ราวกับกลัวว่าพระเยซูเจ้า
จะทรงเจ็บปวด นัยน์ตาของทุกคนจ้องมองไปที่พระวรกายระหว่างเชิญพระศพลงจากพระมหากางเขน
ด้วยความเคารพและอยู่ในอาการสำรวมมาก พวกเขาพูดจากันด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเมื่อจำเป็นเท่านั้น
จากนั้นก็นำพระศพไปวางในแขนทั้งสองของพระมารดาที่กางออกรับ
------------------------
จบตอนที่( 38 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(*)การเชิญพระศพลงจากกางเขน
เมื่อทุกคนออกจากบริเวณพระมหากางเขนไปแล้วยกเว้นทหาร 2-3 คน ดิฉันเห็นโยเซฟ
ชาวอาริมาเธีย และนิโคเดมัสไปที่พระคูหาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นและตกลงกันถึงวิธีการที่จะ
นำพระวรกายของพระเยซูเจ้าลงจากพระมหากางเขน หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับเข้าเมืองและ
จัดเตรียมบันไดปีน 2 อันพร้อมตะขอเกี่ยวยึดบันไดและอุปกรณ์อื่นที่จำเป็น
พวกเขาซื้อเครื่องหอมใส่ไว้ในถังเล็กหลายใบและสมุนไพรอีกหลายถุง โยเซฟฯ ถือกล่อง
ใส่น้ำมันหอม คนรับใช้แบกแคร่สำหรับวางเหยือกน้ำ ถุงหนังสัตว์ ฟองน้ำ และอุปกรณ์ต่าง ๆ
รวมทั้งตะเกียง กลุ่มคนรับใช้ออกเดินทางไปก่อน ผ่านบ้านที่พระมารดา ยอห์น และสตรีใจศรัทธา
5 คนกำลังซื้อน้ำหอมเพื่อชโลมพระศพด้วย หลังจากนั้นยอห์นและสตรีใจศรัทธาที่โอบม้วนผ้าลินิน
ไว้ใต้เสื้อคลุมก็เดินตามกลุ่มคนรับใช้ที่อยู่ไกลออกไป ทุกคนแต่งกายในชุดไว้อาลัย
เมื่อโยเซฟฯ และนิโคเดมัสไปถึงเขากัลวาริโอ ทั้งสองพบกลุ่มคนรับใช้ที่ล่วงหน้ามาก่อน สตรีใจ
ศรัทธาบางคนกำลังร่ำไห้อยู่ที่พระมหากางเขน คัสซีอุสและทหารที่กลับใจอยู่ไกลออกไป ทั้งหมด
อยู่ในอิริยาบถสำรวม นิโคเดมัสและโยเซฟฯ พาดบันไดไว้ด้านหลังพระมหากางเขนและปีนบันได
ขึ้นไป นายร้อยอะเบนาดาร์ซึ่งกลับมาที่พระมหากางเขนพอดีก็ช่วยถอนตะปูที่พระบาทด้วย ส่วน
คัสซีอุสเป็นผู้เก็บรวบรวมตะปูทั้งหมดและส่งให้พระมารดา
เป็นภาพที่ประทับใจทีเดียวที่เห็นทุกคนจัดการทำทุกสิ่งอย่างเบามือที่สุด ราวกับกลัวว่าพระเยซูเจ้า
จะทรงเจ็บปวด นัยน์ตาของทุกคนจ้องมองไปที่พระวรกายระหว่างเชิญพระศพลงจากพระมหากางเขน
ด้วยความเคารพและอยู่ในอาการสำรวมมาก พวกเขาพูดจากันด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเมื่อจำเป็นเท่านั้น
จากนั้นก็นำพระศพไปวางในแขนทั้งสองของพระมารดาที่กางออกรับ
------------------------
จบตอนที่( 38 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่( 39 )
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(at)การชโลมพระวรกายของพระเยซูเจ้า
พระมารดานั่งอยู่บนผ้าผืนใหญ่ มีการตระเตรียมทุกสิ่งอย่างประณีตที่สุดเพื่อให้พระนางสามารถ
ปฏิบัติหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ มารีย์ มักดาลาหมอบอยู่แทบพระบาททำหน้าที่เป็น
ผู้ช่วยพระมารดา ขณะเดียวกัน พวกผู้ชายก็เตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการชโลมพระศพ คัสซีอุส
และกลุ่มทหารที่กลับใจอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ทหารคนอื่นทำหน้าที่รักษาการเพื่อป้องกันไม่ให้
ผู้อื่นเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย ยอห์นช่วยประสานงานกับทุกฝ่าย กลุ่มสตรีใจศรัทธามีถุงหนังขนาด
ใหญ่หลายใบและเหยือกน้ำตั้งอยู่บนแคร่ข้างกองไฟ พวกเธอช่วยส่งเหยือกที่มีน้ำสะอาดและฟองน้ำ
ตามที่พระมารดาและมารีย์ มักดาลาต้องการ และบีบน้ำจากฟองน้ำที่ชำระพระวรกายแล้วลงในถุง
หนังสัตว์หลายใบ ดิฉันเห็นคัสซีอุสและบางครั้งก็ทหารคนอื่นถือเหยือกเดินไปใส่น้ำจากพุน้ำกิโฮน
ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักและนำมาวางลงบนแคร่
พระมารดาทำความสะอาดพระวรกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บรรจงถอดมงกุฎหนามจากด้านหลัง
ตัดหนามที่ตำลึกออกและใช้ปากคีบถอนหนามออกจนหมด พระมารดาใช้ฟองน้ำชุบน้ำในเหยือกเช็ด
ล้างคราบพระโลหิตออกจากพระเกศาและที่พระพักตร์ก่อนจะทำความสะอาดพระวรกายส่วนบน
ก่อนจะชโลมพระกายด้วยเครื่องหอมโดยมีสตรีใจศรัทธาช่วยส่งกล่องใส่น้ำหอมให้พระนางเปิด
ใช้ทาทุกพระแผล รวมทั้งชโลมพระเกศาและเทน้ำหอมตามด้วยเครื่องหอมใส่ที่รูตะปูทั้งหมดและที่
พระแผลที่สีข้าง มารีย์ มักดาลาคุกเข่าใช้ผ้าลินินคลุมส่วนที่พระมารดาทำความสะอาดและชโลมด้วย
เครื่องหอมแล้วตามลำดับ
พระมารดาพันพระเศียรด้วยผ้าลินิน แต่ไม่ได้พันปิดพระพักตร์ หลังจากนั้นยอห์นเดินไปใกล้พระนางขอ
อนุญาตนำพระศพออกไปชโลมเครื่องหอมพระวรกายส่วนอื่นต่อจนเสร็จ เนื่องจากขณะนั้นใกล้จะถึง
เวลาเริ่มวันสับบาโตแล้ว พระมารดากอดพระศพกล่าวอำลาพระองค์ด้วยถ้อยคำที่กินใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นพวกผู้ชายใช้ผ้ารองพระศพที่พระนางอุ้มอยู่และนำออกไป
พระศพถูกนำไปวางบนก้อนหินเรียบ ดิฉันเห็นนิโคเดมัสและโยเซฟฯ คุกเข่าทำความสะอาดบริเวณช่วง
ล่างของพระเยซูเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็เทน้ำมดยอบไปทั่วพระวรกายด้วยความเคารพ และใช้ผ้าลินินขนาด
1 x 3 หลาวางไว้ใต้พระโสณี (ตะโพก) และวางสมุนไพรหอมหลายมัดไว้บนพระเพลา (ตัก) จากนั้นก็
ใช้ผงฝุ่นหอมโรยไปทั่วพระวรกาย ก่อนจะพันส่วนล่างของพระศพ
ยอห์นพาพระมารดาและสตรีใจศรัทธาไปข้างพระศพ พระนางคุกเข่าใกล้พระเศียร และใช้ผ้าลินิน
เนื้อดีที่ภรรยาของปิลาตมอบให้ไว้ก่อนหน้านั้นรองใต้พระเศียร หลังจากนั้น พระมารดาวางเครื่องหอม
ตั้งแต่พระอังสาจนถึงพระปรางก่อนที่พวกผู้ชายจะวางเครื่องหอมส่วนที่เหลือบนพระวรกาย, จัดให้พระกร
ทั้งสองไขว้กันเหนือพระอุระ, ใช้ผ้าขาวผืนใหญ่พันรอบพระวรกายและวางพระศพไว้บนผ้ายาว 6 หลาที่
ใช้พันรอบพระศพอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่พระมารดา สตรีใจศรัทธา และผู้ชายทุกคนที่นั่นกำลังคุกเข่าอยู่รอบพระศพเพื่ออำลาพระองค์
เป็นครั้งสุดท้าย เกิดอัศจรรย์ปรากฏมีรอยพระแผลทั้งห้าที่ผ้าพันพระศพ ทุกคนหลั่งน้ำตาขณะจูบที่
รอยประทับอัศจรรย์ก่อนนำพระศพไป และทุกคนก็ประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งขณะช่วยกันยกพระศพเมื่อ
พบว่าผ้าทุกชิ้นที่พันทบกันอยู่รอบพระวรกายกลับเป็นสีขาวดังเดิม ยกเว้นผืนด้านบนที่มีรอยพระประทับ
ซึ่งมิได้เกิดจากพระแผล แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างเหนือธรรมชาติ หลังจากพระองค์ทรงเสด็จกลับคืน
พระชนมชีพแล้ว ผ้าผืนนี้อยู่ในครอบครองของกลุ่มพระสหายของพระเยซูเจ้า
-------------------------
จบตอนที ( 39 ) )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(at)การชโลมพระวรกายของพระเยซูเจ้า
พระมารดานั่งอยู่บนผ้าผืนใหญ่ มีการตระเตรียมทุกสิ่งอย่างประณีตที่สุดเพื่อให้พระนางสามารถ
ปฏิบัติหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ มารีย์ มักดาลาหมอบอยู่แทบพระบาททำหน้าที่เป็น
ผู้ช่วยพระมารดา ขณะเดียวกัน พวกผู้ชายก็เตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการชโลมพระศพ คัสซีอุส
และกลุ่มทหารที่กลับใจอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ทหารคนอื่นทำหน้าที่รักษาการเพื่อป้องกันไม่ให้
ผู้อื่นเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย ยอห์นช่วยประสานงานกับทุกฝ่าย กลุ่มสตรีใจศรัทธามีถุงหนังขนาด
ใหญ่หลายใบและเหยือกน้ำตั้งอยู่บนแคร่ข้างกองไฟ พวกเธอช่วยส่งเหยือกที่มีน้ำสะอาดและฟองน้ำ
ตามที่พระมารดาและมารีย์ มักดาลาต้องการ และบีบน้ำจากฟองน้ำที่ชำระพระวรกายแล้วลงในถุง
หนังสัตว์หลายใบ ดิฉันเห็นคัสซีอุสและบางครั้งก็ทหารคนอื่นถือเหยือกเดินไปใส่น้ำจากพุน้ำกิโฮน
ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักและนำมาวางลงบนแคร่
พระมารดาทำความสะอาดพระวรกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บรรจงถอดมงกุฎหนามจากด้านหลัง
ตัดหนามที่ตำลึกออกและใช้ปากคีบถอนหนามออกจนหมด พระมารดาใช้ฟองน้ำชุบน้ำในเหยือกเช็ด
ล้างคราบพระโลหิตออกจากพระเกศาและที่พระพักตร์ก่อนจะทำความสะอาดพระวรกายส่วนบน
ก่อนจะชโลมพระกายด้วยเครื่องหอมโดยมีสตรีใจศรัทธาช่วยส่งกล่องใส่น้ำหอมให้พระนางเปิด
ใช้ทาทุกพระแผล รวมทั้งชโลมพระเกศาและเทน้ำหอมตามด้วยเครื่องหอมใส่ที่รูตะปูทั้งหมดและที่
พระแผลที่สีข้าง มารีย์ มักดาลาคุกเข่าใช้ผ้าลินินคลุมส่วนที่พระมารดาทำความสะอาดและชโลมด้วย
เครื่องหอมแล้วตามลำดับ
พระมารดาพันพระเศียรด้วยผ้าลินิน แต่ไม่ได้พันปิดพระพักตร์ หลังจากนั้นยอห์นเดินไปใกล้พระนางขอ
อนุญาตนำพระศพออกไปชโลมเครื่องหอมพระวรกายส่วนอื่นต่อจนเสร็จ เนื่องจากขณะนั้นใกล้จะถึง
เวลาเริ่มวันสับบาโตแล้ว พระมารดากอดพระศพกล่าวอำลาพระองค์ด้วยถ้อยคำที่กินใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นพวกผู้ชายใช้ผ้ารองพระศพที่พระนางอุ้มอยู่และนำออกไป
พระศพถูกนำไปวางบนก้อนหินเรียบ ดิฉันเห็นนิโคเดมัสและโยเซฟฯ คุกเข่าทำความสะอาดบริเวณช่วง
ล่างของพระเยซูเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็เทน้ำมดยอบไปทั่วพระวรกายด้วยความเคารพ และใช้ผ้าลินินขนาด
1 x 3 หลาวางไว้ใต้พระโสณี (ตะโพก) และวางสมุนไพรหอมหลายมัดไว้บนพระเพลา (ตัก) จากนั้นก็
ใช้ผงฝุ่นหอมโรยไปทั่วพระวรกาย ก่อนจะพันส่วนล่างของพระศพ
ยอห์นพาพระมารดาและสตรีใจศรัทธาไปข้างพระศพ พระนางคุกเข่าใกล้พระเศียร และใช้ผ้าลินิน
เนื้อดีที่ภรรยาของปิลาตมอบให้ไว้ก่อนหน้านั้นรองใต้พระเศียร หลังจากนั้น พระมารดาวางเครื่องหอม
ตั้งแต่พระอังสาจนถึงพระปรางก่อนที่พวกผู้ชายจะวางเครื่องหอมส่วนที่เหลือบนพระวรกาย, จัดให้พระกร
ทั้งสองไขว้กันเหนือพระอุระ, ใช้ผ้าขาวผืนใหญ่พันรอบพระวรกายและวางพระศพไว้บนผ้ายาว 6 หลาที่
ใช้พันรอบพระศพอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่พระมารดา สตรีใจศรัทธา และผู้ชายทุกคนที่นั่นกำลังคุกเข่าอยู่รอบพระศพเพื่ออำลาพระองค์
เป็นครั้งสุดท้าย เกิดอัศจรรย์ปรากฏมีรอยพระแผลทั้งห้าที่ผ้าพันพระศพ ทุกคนหลั่งน้ำตาขณะจูบที่
รอยประทับอัศจรรย์ก่อนนำพระศพไป และทุกคนก็ประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งขณะช่วยกันยกพระศพเมื่อ
พบว่าผ้าทุกชิ้นที่พันทบกันอยู่รอบพระวรกายกลับเป็นสีขาวดังเดิม ยกเว้นผืนด้านบนที่มีรอยพระประทับ
ซึ่งมิได้เกิดจากพระแผล แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างเหนือธรรมชาติ หลังจากพระองค์ทรงเสด็จกลับคืน
พระชนมชีพแล้ว ผ้าผืนนี้อยู่ในครอบครองของกลุ่มพระสหายของพระเยซูเจ้า
-------------------------
จบตอนที ( 39 ) )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ ( 40 )
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(&)การวางพระศพในพระคูหา
พวกผู้ชายช่วยกันวางพระศพบนแผ่นหนังสัตว์ที่มีผ้าสีน้ำตาลปูทับอยู่ ยึดปลายแผ่นหนังไว้กับ
คานหามคู่ทำให้ดิฉันคิดถึงการหามหีบพันธสัญญา ทหาร 2 คนถือไต้เดินนำขบวน นิโคเดมัส
และโยเซฟฯ แบกด้านหน้า ขณะที่อะเบนาดาร์ และยอห์นแบกด้านหลัง ผู้ที่เดินตามมาเป็นลำดับ
ได้แก่พระมารดา, มารีย์ มักดาลา, สตรีใจศรัทธา, คัสซีอุสและทหารปิดท้ายขบวน ขบวนใช้เวลา
เดินทางประมาณ 7 นาที ทุกคนที่รู้จักเพลงร่วมร้องเพลงสดุดี ดิฉันเห็นยากอบ บุตรของเศเบดีซึ่ง
เป็นพี่ชายของยอห์นยืนอยู่บนเนินเขาทางอีกด้านหนึ่งเฝ้ามองดูขบวนเคลื่อนผ่านไปและต่อมาก็ได้
เล่าสิ่งที่เห็นแก่ศิษย์คนอื่น
ขบวนหยุดที่สวนของโยเซฟฯ วางพระศพในพระคูหาที่ขุดใหม่ซึ่งคนรับใช้ของนิโคเดมัสเพิ่งเข้า
มาทำความสะอาดก่อนหน้านั้น สตรีใจศรัทธานั่งลงหน้าถ้ำพระคูหา ขณะที่ผู้หามพระศพทั้งสี่ช่วยกัน
ขุดโพรงเล็ก ๆ วางสมุนไพรหอม, ปูผ้าผืนหนึ่งบนสมุนไพรและยกพระศพมาวางลงบนผืนผ้านี้
พวกเขาถวายพระเกียรติเคารพพระศพก่อนออกจากถ้ำพระคูหา
พระมารดาเข้าไปก้มลงใกล้พระเศียรด้วยความรักอาลัยครู่หนึ่งก่อนจะออกจากถ้ำ
ต่อจากนั้นมารีย์ มักดาลาก็เข้าไปวางดอกไม้บนพระวรกาย, จูบพระบาทอยู่นานจนพวกผู้ชายต้องเรียก
ให้เธอออกมาอยู่รวมกับสตรีคนอื่นเพราะใกล้จะเริ่มวันสับบาโตแล้ว จากนั้นพวกผู้ชายก็ช่วยกันกลิ้งหิน
ก้อนใหญ่ปิดหน้าถ้ำพระคูหา
--------------------------
จบตอนที่ ( 40 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(&)การวางพระศพในพระคูหา
พวกผู้ชายช่วยกันวางพระศพบนแผ่นหนังสัตว์ที่มีผ้าสีน้ำตาลปูทับอยู่ ยึดปลายแผ่นหนังไว้กับ
คานหามคู่ทำให้ดิฉันคิดถึงการหามหีบพันธสัญญา ทหาร 2 คนถือไต้เดินนำขบวน นิโคเดมัส
และโยเซฟฯ แบกด้านหน้า ขณะที่อะเบนาดาร์ และยอห์นแบกด้านหลัง ผู้ที่เดินตามมาเป็นลำดับ
ได้แก่พระมารดา, มารีย์ มักดาลา, สตรีใจศรัทธา, คัสซีอุสและทหารปิดท้ายขบวน ขบวนใช้เวลา
เดินทางประมาณ 7 นาที ทุกคนที่รู้จักเพลงร่วมร้องเพลงสดุดี ดิฉันเห็นยากอบ บุตรของเศเบดีซึ่ง
เป็นพี่ชายของยอห์นยืนอยู่บนเนินเขาทางอีกด้านหนึ่งเฝ้ามองดูขบวนเคลื่อนผ่านไปและต่อมาก็ได้
เล่าสิ่งที่เห็นแก่ศิษย์คนอื่น
ขบวนหยุดที่สวนของโยเซฟฯ วางพระศพในพระคูหาที่ขุดใหม่ซึ่งคนรับใช้ของนิโคเดมัสเพิ่งเข้า
มาทำความสะอาดก่อนหน้านั้น สตรีใจศรัทธานั่งลงหน้าถ้ำพระคูหา ขณะที่ผู้หามพระศพทั้งสี่ช่วยกัน
ขุดโพรงเล็ก ๆ วางสมุนไพรหอม, ปูผ้าผืนหนึ่งบนสมุนไพรและยกพระศพมาวางลงบนผืนผ้านี้
พวกเขาถวายพระเกียรติเคารพพระศพก่อนออกจากถ้ำพระคูหา
พระมารดาเข้าไปก้มลงใกล้พระเศียรด้วยความรักอาลัยครู่หนึ่งก่อนจะออกจากถ้ำ
ต่อจากนั้นมารีย์ มักดาลาก็เข้าไปวางดอกไม้บนพระวรกาย, จูบพระบาทอยู่นานจนพวกผู้ชายต้องเรียก
ให้เธอออกมาอยู่รวมกับสตรีคนอื่นเพราะใกล้จะเริ่มวันสับบาโตแล้ว จากนั้นพวกผู้ชายก็ช่วยกันกลิ้งหิน
ก้อนใหญ่ปิดหน้าถ้ำพระคูหา
--------------------------
จบตอนที่ ( 40 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ (4 1 )
จากนิมิตของสบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
หลังการฝังพระศพ นิโคเดมัสและโยเซฟฯ กลับเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระมารดา นายร้อย
อะเบนาดาร์และผู้ร่วมขบวนหลายคนไปร่วมชุมนุมกันที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย มารีย์ มารดาของ
มาระโกและสตรีใจศรัทธาบางคนกลับเข้าเมือง คัสซีอุสกลับไปรายงานปิลาตถึงพระพรที่ได้รับ
และการมีนัยน์ตาปกติหลังจากใช้หอกแทงสีข้างพระศพ รวมทั้งการมีส่วนอำนวยความสะดวก
ในการทำความสะอาดพระศพ ตลอดจนการฝังพระศพในสวนหลังบ้านของโยเซฟฯ นอกจากนั้น
คัสซีอุสยังขออาสาเป็นผู้คุมทหารยามที่คาดว่าศัตรูของพระเยซูจะมาขอกับปิลาตเพื่อเฝ้ารอบ
บริเวณพระคูหามิให้ศิษย์ของพระเยซูมาขโมยพระศพอีกด้วย
โยเซฟฯ และนิโคเดมัสพบเปโตรและยากอบในเมือง จากนั้นก็กลับไปที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย
เปโตรขอบคุณพวกเขาที่ทำพิธีฝังพระศพอย่างสมพระเกียรติ ทุกคนตกลงใช้ห้องอาหารมื้อ
สุดท้าย เป็นที่ชุมนุมบรรดาอัครสาวกและศิษย์คนอื่นที่พวกเขากำลังไปตามหา
พระมารดาพักอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีที่กั้นซอยออกเป็นห้องเล็กสำหรับสตรีที่มากับพระนาง
พวกเธออยู่รอบพระมารดาและเริ่มสวดภาวนาด้วยความเศร้าโศกและสำรวม หลังจากนั้น
โยเซฟฯ กับศิษย์ฯ 2 คนก็มาถึงและเสนอจะไปเป็นเพื่อนกับสตรีที่อยากกลับบ้าน สตรี 3 คน
ตอบรับข้อเสนอ และออกเดินทางไปด้วยกันทันที แต่เมื่อเข้าใกล้ศาลาของมหาสมณะคายาฟาส
ก็มีชายอาวุธครบมือเข้าจับกุมโยเซฟฯ ขณะที่คนอื่นที่มาด้วยกันวิ่งหนีไปด้วยความกลัว ผู้ที่จับ
กุมโยเซฟฯ เป็นคนต่างศาสนาซึ่งไม่ถือวันสับบาโต มหาสมณะคายาฟาสจึงส่งพวกเขาออก
ปฏิบัติการโดยตั้งใจจะให้โยเซฟฯ ถูกขังจนตาย และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนดึกของคืนนั้น ดิฉันเห็นมหาสมณะคายาฟาส และชาวยิวระดับหัวหน้าพากันไปที่จวนของ
ปิลาต กล่าวว่า “...ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สามเพื่อมิให้ศิษย์ของเขาขโมยศพไป
แล้วประกาศแก่ประชาชนว่า ‘เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว’ การหลอกลวงครั้งนี้จะ
ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน” (มธ 27:63-64) ปิลาตไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงตอบว่า
“ท่านจงจัดทหารยามไปเฝ้าตามใจชอบเถิด” (มธ 27:65) แต่ก็ส่งคัสซีอุสเป็นผู้ควบคุมร่วม
ไปด้วยและให้รายงาน ดิฉันเห็นคนของมหาสมณะ (12) คนออกจากเมืองไปพร้อมกับ
ทหารยามชุดหนึ่ง
เมื่อคนของมหาสมณะไปถึงพระคูหาก็เห็นพระศพยังอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ใช้เชือกขึงที่ประตู
พระคูหา ตามยาวและตามขวางมัดติดกับก้อนหินใหญ่ก่อนจะใช้ตราประทับปิดผนึกช่องทาง
เข้าทั้งหมดและกลับเข้าเมือง ขณะที่ทหารยืนเฝ้ายาม 6 คนผลัดกันเฝ้าครั้งละ 3 คนอยู่ที่ประตู
ด้านนอก คัสซีอุสอยู่ด้านหน้าทางเข้าตลอดเวลา
สตรีใจศรัทธาแยกกันไปพักงีบหลับในห้องใหญ่ที่กั้นเป็นส่วน ๆ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน พวกเธอ
ก็ลุกขึ้น มาร่วมชุมนุมกันอยู่รอบตะเกียงเพื่ออธิษฐานภาวนาพร้อมกับพระมารดา ราวตีสาม
ยอห์นและศิษย์ฯบางคนที่สัญญาจะพาพวกเธอไปที่พระวิหารก็มาถึง ทั้งหมดพากันไปที่
พระวิหารเพราะเป็นประเพณีของชาวยิวหลายคนที่จะไปถึงพระวิหารก่อนรุ่งเช้าหลังจากวันที่
กินลูกแกะปัสกา อย่างไรก็ตาม สภาพในพระวิหารในขณะนั้นผิดปกติและไม่มีคนเลย ดิฉัน
เข้าใจว่าพระมารดาตั้งใจไปอำลาพระวิหารที่พระนางเคยปฏิบัติศาสนกิจมาตลอดชีวิต
ภายในพระวิหารมีร่องรอยการแตกพังอยู่หลายจุด ห้องด้านหน้าของพระสงฆ์ที่กั้นเชื่อมกับ
ส่วนที่สงวนไว้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแตกเป็นรูขนาดใหญ่จนคนเดินผ่านเข้าไปได้ และผนังส่วน
ที่เหลือก็อาจพังลงมาได้ทุกเมื่อ ม่านใหญ่ในพระวิหารฉีกขาดกลางเป็นสองส่วน และเสาค้ำ
ก็เอียงดูไม่มั่นคง พระมารดาหมอบกราบและจูบสถานที่เคยปฏิบัติศาสนกิจแต่ละจุดด้วย
น้ำตานองหน้าพร้อมกับอธิบายเรื่องราวประกอบให้กับกลุ่มสตรีที่มาด้วย : การถวายพระนาง
เมื่อยังเยาว์วัย, การหมั้นกับนักบุญโยเซฟ, การถวายพระเยซูเจ้าและการระลึกถึงคำทำนาย
ของผู้เฒ่าสิเมโอนและคมดาบเสียบแทงดวงหทัยของพระนางซึ่งบัดนี้เป็นจริงทุกประการ ฯลฯ
พระมารดาและกลุ่มสตรีกลับไปถึงห้องอาหารมื้อสุดท้ายก่อนรุ่งอรุณและแยกกันไปพักผ่อน
ขณะที่ยอห์นและศิษย์ฯ บางคนกลับเข้าไปในห้องอาหารที่มีผู้ชายราว 20 คนชุมนุมอธิษฐาน
ภาวนากันอยู่รอบตะเกียง ดิฉันเห็นพวกเขารับประทานอาหารด้วยกันเงียบ ๆ โดยไม่มีผู้ใด
เข้ามารบกวน เนื่องจากเป็นบ้านส่วนตัวของนิโคเดมัสที่อนุญาตให้พวกเขาใช้สถานที่ได้
ระหว่างเทศกาลปัสกา
--------------------------
จบตอนที่ (41)
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของสบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
หลังการฝังพระศพ นิโคเดมัสและโยเซฟฯ กลับเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระมารดา นายร้อย
อะเบนาดาร์และผู้ร่วมขบวนหลายคนไปร่วมชุมนุมกันที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย มารีย์ มารดาของ
มาระโกและสตรีใจศรัทธาบางคนกลับเข้าเมือง คัสซีอุสกลับไปรายงานปิลาตถึงพระพรที่ได้รับ
และการมีนัยน์ตาปกติหลังจากใช้หอกแทงสีข้างพระศพ รวมทั้งการมีส่วนอำนวยความสะดวก
ในการทำความสะอาดพระศพ ตลอดจนการฝังพระศพในสวนหลังบ้านของโยเซฟฯ นอกจากนั้น
คัสซีอุสยังขออาสาเป็นผู้คุมทหารยามที่คาดว่าศัตรูของพระเยซูจะมาขอกับปิลาตเพื่อเฝ้ารอบ
บริเวณพระคูหามิให้ศิษย์ของพระเยซูมาขโมยพระศพอีกด้วย
โยเซฟฯ และนิโคเดมัสพบเปโตรและยากอบในเมือง จากนั้นก็กลับไปที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย
เปโตรขอบคุณพวกเขาที่ทำพิธีฝังพระศพอย่างสมพระเกียรติ ทุกคนตกลงใช้ห้องอาหารมื้อ
สุดท้าย เป็นที่ชุมนุมบรรดาอัครสาวกและศิษย์คนอื่นที่พวกเขากำลังไปตามหา
พระมารดาพักอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีที่กั้นซอยออกเป็นห้องเล็กสำหรับสตรีที่มากับพระนาง
พวกเธออยู่รอบพระมารดาและเริ่มสวดภาวนาด้วยความเศร้าโศกและสำรวม หลังจากนั้น
โยเซฟฯ กับศิษย์ฯ 2 คนก็มาถึงและเสนอจะไปเป็นเพื่อนกับสตรีที่อยากกลับบ้าน สตรี 3 คน
ตอบรับข้อเสนอ และออกเดินทางไปด้วยกันทันที แต่เมื่อเข้าใกล้ศาลาของมหาสมณะคายาฟาส
ก็มีชายอาวุธครบมือเข้าจับกุมโยเซฟฯ ขณะที่คนอื่นที่มาด้วยกันวิ่งหนีไปด้วยความกลัว ผู้ที่จับ
กุมโยเซฟฯ เป็นคนต่างศาสนาซึ่งไม่ถือวันสับบาโต มหาสมณะคายาฟาสจึงส่งพวกเขาออก
ปฏิบัติการโดยตั้งใจจะให้โยเซฟฯ ถูกขังจนตาย และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนดึกของคืนนั้น ดิฉันเห็นมหาสมณะคายาฟาส และชาวยิวระดับหัวหน้าพากันไปที่จวนของ
ปิลาต กล่าวว่า “...ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สามเพื่อมิให้ศิษย์ของเขาขโมยศพไป
แล้วประกาศแก่ประชาชนว่า ‘เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว’ การหลอกลวงครั้งนี้จะ
ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน” (มธ 27:63-64) ปิลาตไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงตอบว่า
“ท่านจงจัดทหารยามไปเฝ้าตามใจชอบเถิด” (มธ 27:65) แต่ก็ส่งคัสซีอุสเป็นผู้ควบคุมร่วม
ไปด้วยและให้รายงาน ดิฉันเห็นคนของมหาสมณะ (12) คนออกจากเมืองไปพร้อมกับ
ทหารยามชุดหนึ่ง
เมื่อคนของมหาสมณะไปถึงพระคูหาก็เห็นพระศพยังอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ใช้เชือกขึงที่ประตู
พระคูหา ตามยาวและตามขวางมัดติดกับก้อนหินใหญ่ก่อนจะใช้ตราประทับปิดผนึกช่องทาง
เข้าทั้งหมดและกลับเข้าเมือง ขณะที่ทหารยืนเฝ้ายาม 6 คนผลัดกันเฝ้าครั้งละ 3 คนอยู่ที่ประตู
ด้านนอก คัสซีอุสอยู่ด้านหน้าทางเข้าตลอดเวลา
สตรีใจศรัทธาแยกกันไปพักงีบหลับในห้องใหญ่ที่กั้นเป็นส่วน ๆ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน พวกเธอ
ก็ลุกขึ้น มาร่วมชุมนุมกันอยู่รอบตะเกียงเพื่ออธิษฐานภาวนาพร้อมกับพระมารดา ราวตีสาม
ยอห์นและศิษย์ฯบางคนที่สัญญาจะพาพวกเธอไปที่พระวิหารก็มาถึง ทั้งหมดพากันไปที่
พระวิหารเพราะเป็นประเพณีของชาวยิวหลายคนที่จะไปถึงพระวิหารก่อนรุ่งเช้าหลังจากวันที่
กินลูกแกะปัสกา อย่างไรก็ตาม สภาพในพระวิหารในขณะนั้นผิดปกติและไม่มีคนเลย ดิฉัน
เข้าใจว่าพระมารดาตั้งใจไปอำลาพระวิหารที่พระนางเคยปฏิบัติศาสนกิจมาตลอดชีวิต
ภายในพระวิหารมีร่องรอยการแตกพังอยู่หลายจุด ห้องด้านหน้าของพระสงฆ์ที่กั้นเชื่อมกับ
ส่วนที่สงวนไว้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแตกเป็นรูขนาดใหญ่จนคนเดินผ่านเข้าไปได้ และผนังส่วน
ที่เหลือก็อาจพังลงมาได้ทุกเมื่อ ม่านใหญ่ในพระวิหารฉีกขาดกลางเป็นสองส่วน และเสาค้ำ
ก็เอียงดูไม่มั่นคง พระมารดาหมอบกราบและจูบสถานที่เคยปฏิบัติศาสนกิจแต่ละจุดด้วย
น้ำตานองหน้าพร้อมกับอธิบายเรื่องราวประกอบให้กับกลุ่มสตรีที่มาด้วย : การถวายพระนาง
เมื่อยังเยาว์วัย, การหมั้นกับนักบุญโยเซฟ, การถวายพระเยซูเจ้าและการระลึกถึงคำทำนาย
ของผู้เฒ่าสิเมโอนและคมดาบเสียบแทงดวงหทัยของพระนางซึ่งบัดนี้เป็นจริงทุกประการ ฯลฯ
พระมารดาและกลุ่มสตรีกลับไปถึงห้องอาหารมื้อสุดท้ายก่อนรุ่งอรุณและแยกกันไปพักผ่อน
ขณะที่ยอห์นและศิษย์ฯ บางคนกลับเข้าไปในห้องอาหารที่มีผู้ชายราว 20 คนชุมนุมอธิษฐาน
ภาวนากันอยู่รอบตะเกียง ดิฉันเห็นพวกเขารับประทานอาหารด้วยกันเงียบ ๆ โดยไม่มีผู้ใด
เข้ามารบกวน เนื่องจากเป็นบ้านส่วนตัวของนิโคเดมัสที่อนุญาตให้พวกเขาใช้สถานที่ได้
ระหว่างเทศกาลปัสกา
--------------------------
จบตอนที่ (41)
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ (42)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เนื้อหาตอนหนึ่งของการเสด็จลงไปในนรก
หลังจากการส่งเสียงร้องครั้งสุดท้ายแล้ว ดิฉันเห็นพระวิญญาณของพระองค์เสด็จเข้าไปใน
“สามโลก” “ใต้บาดาล” มีพื้นผิวเป็นมวลดอกไม้ไหวเอนไปมาตามสายลม และมีดวงวิญญาณ
จำนวนมากรอเข้าสวรรค์ องค์พระผู้ไถ่ปรากฏพระองค์อย่างสว่างไสวห้อมล้อมด้วยนิกรเทวดา
การเสด็จของพระองค์เปรียบได้กับสายน้ำค้างที่สดชื่นซัดสาดผ่านเข้าไป
ต่อจากนั้นดิฉันเห็นพระผู้ทรงชัยเสด็จเข้าไปในไฟชำระที่เต็มไปด้วยคนต่างศาสนาที่เป็นคนดี
เป็นผู้ที่ได้รับแสงสว่างแห่งความจริงแต่เพียงลาง ๆ พวกเขาต่างรอคอยความจริงที่สมบูรณ์
ดวงวิญญาณของคนต่างศาสนาเหล่านี้หมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ สรรเสริญแซ่ซ้อง
พระองค์ด้วยความชื่นชมยินดีสุดที่จะประมาณ
ที่สุดดิฉันเห็นพระเยซูคริสต์เสด็จลงไปกลางเหวขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นขุมนรกที่สร้างจากหินแกรนิตสีดำ
แต่สว่างจ้าเหมือนเป็นโลหะ เมื่อประตูเปิดออก ใครเล่าจะสามารถบรรยายเสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึง
กลัวจนหูแทบระเบิดและวาดภาพที่น่าหดหู่ของผู้คนในสถานที่น่าเกลียดนั้นได้! มีความสับสนอลหม่าน
การทะเลาะเบาะแว้งและความน่าสมเพชที่เจ็บปวดและสิ้นหวัง
เราคงนึกภาพไม่ออกเมื่อทูตสวรรค์กระชากประตูนรกเปิดด้วยเสียงดังราวกับฟ้าร้อง พระเยซูคริสต์
ตรัสกับวิญญาณของยูดาสเป็นคนแรก หมู่ทูตสวรรค์บังคับให้เหล่าปีศาจสยบราบคาบโดยไม่มีทางเลี่ยง
ดิฉันเห็นลูชีแฟร์ถูกเหวี่ยงลงไปใจกลางขุมนรกที่ดำสนิทและน่าสยดสยอง ดิฉันยังหยั่งทราบในนิมิตว่า
พระเป็นเจ้าจะทรงปล่อยมันประมาณ 50-60 ปีก่อน ค.ศ.2000 แต่ก็ยังมีปีศาจอีกจำนวนหนึ่งที่จะถูกปล่อย
ออกมาก่อนหน้าลูชีแฟร์เพื่อให้พวกมันมาล่อลวงมนุษย์เป็นการแก้แค้นพระองค์
ลำดับต่อไป ดิฉันเห็นกองทัพดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ได้รับการไถ่กู้ออกจากไฟชำระ และจากใต้บาดาล
ทั้งหมดติดตามพระเยซูคริสต์ไปยังจุดที่สว่างไสว ดวงวิญญาณของดิสมาสที่สำนึกผิดกลับใจก็อยู่
ที่นั่นด้วย และพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์” (ลก 23:43) ก็เป็นอันสำเร็จไป
------------------------
จบตอนที่ ( 42 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เนื้อหาตอนหนึ่งของการเสด็จลงไปในนรก
หลังจากการส่งเสียงร้องครั้งสุดท้ายแล้ว ดิฉันเห็นพระวิญญาณของพระองค์เสด็จเข้าไปใน
“สามโลก” “ใต้บาดาล” มีพื้นผิวเป็นมวลดอกไม้ไหวเอนไปมาตามสายลม และมีดวงวิญญาณ
จำนวนมากรอเข้าสวรรค์ องค์พระผู้ไถ่ปรากฏพระองค์อย่างสว่างไสวห้อมล้อมด้วยนิกรเทวดา
การเสด็จของพระองค์เปรียบได้กับสายน้ำค้างที่สดชื่นซัดสาดผ่านเข้าไป
ต่อจากนั้นดิฉันเห็นพระผู้ทรงชัยเสด็จเข้าไปในไฟชำระที่เต็มไปด้วยคนต่างศาสนาที่เป็นคนดี
เป็นผู้ที่ได้รับแสงสว่างแห่งความจริงแต่เพียงลาง ๆ พวกเขาต่างรอคอยความจริงที่สมบูรณ์
ดวงวิญญาณของคนต่างศาสนาเหล่านี้หมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ สรรเสริญแซ่ซ้อง
พระองค์ด้วยความชื่นชมยินดีสุดที่จะประมาณ
ที่สุดดิฉันเห็นพระเยซูคริสต์เสด็จลงไปกลางเหวขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นขุมนรกที่สร้างจากหินแกรนิตสีดำ
แต่สว่างจ้าเหมือนเป็นโลหะ เมื่อประตูเปิดออก ใครเล่าจะสามารถบรรยายเสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึง
กลัวจนหูแทบระเบิดและวาดภาพที่น่าหดหู่ของผู้คนในสถานที่น่าเกลียดนั้นได้! มีความสับสนอลหม่าน
การทะเลาะเบาะแว้งและความน่าสมเพชที่เจ็บปวดและสิ้นหวัง
เราคงนึกภาพไม่ออกเมื่อทูตสวรรค์กระชากประตูนรกเปิดด้วยเสียงดังราวกับฟ้าร้อง พระเยซูคริสต์
ตรัสกับวิญญาณของยูดาสเป็นคนแรก หมู่ทูตสวรรค์บังคับให้เหล่าปีศาจสยบราบคาบโดยไม่มีทางเลี่ยง
ดิฉันเห็นลูชีแฟร์ถูกเหวี่ยงลงไปใจกลางขุมนรกที่ดำสนิทและน่าสยดสยอง ดิฉันยังหยั่งทราบในนิมิตว่า
พระเป็นเจ้าจะทรงปล่อยมันประมาณ 50-60 ปีก่อน ค.ศ.2000 แต่ก็ยังมีปีศาจอีกจำนวนหนึ่งที่จะถูกปล่อย
ออกมาก่อนหน้าลูชีแฟร์เพื่อให้พวกมันมาล่อลวงมนุษย์เป็นการแก้แค้นพระองค์
ลำดับต่อไป ดิฉันเห็นกองทัพดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ได้รับการไถ่กู้ออกจากไฟชำระ และจากใต้บาดาล
ทั้งหมดติดตามพระเยซูคริสต์ไปยังจุดที่สว่างไสว ดวงวิญญาณของดิสมาสที่สำนึกผิดกลับใจก็อยู่
ที่นั่นด้วย และพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์” (ลก 23:43) ก็เป็นอันสำเร็จไป
------------------------
จบตอนที่ ( 42 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ ( 43 )
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(#)ค่ำคืนก่อนวันกลับคืนพระชนมชีพและอิสรภาพของโยเซฟฯ
พระมารดาอธิษฐานภาวนาอย่างต่อเนื่อง ปรารถนาแรงกล้าที่จะเห็นพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏกายยืนอยู่ข้างพระนาง แจ้งว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว
ทูตสวรรค์ขอให้พระนางไปที่ประตูบ้านของนิโคเดมัส เมื่อทราบเช่นนี้ ดวงหทัยของพระนาง
โลดเต้นด้วยความยินดี พระนางรีบสวมเสื้อคลุมยาวและออกเดินทางตามลำพังไปทันทีโดย
ไม่ได้บอกผู้ใด
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ดิฉันเห็นพระมารดาเดินไปจนเกือบถึงทางเข้าบ้านนิโคเดมัส
อยู่แล้ว ทันใดนั้นพระนางก็หยุดและมองขึ้นไปเห็นพระวิญญาณที่เจิดจรัสของพระเยซูเจ้าบน
กำแพงเมือง ห้อมล้อมด้วยบรรดาพระอัยกา พระองค์เสด็จลงมาพบพระนางก่อนจะทรงผิน
พระพักตร์ไปทางบรรดาพระอัยกาที่มากับพระองค์พร้อมกับตรัสแนะนำว่า
“นี่คือมารีย์ แม่ของข้าพเจ้า” แล้วพระองค์ก็ทรงหายลับไป พระนางรีบกลับไปห้องอาหารสุดท้าย
สตรีใจศรัทธากำลังช่วยกันเตรียมน้ำหอมและเครื่องหอมอย่างขะมักเขม้น พระนางไม่ได้เล่าสิ่งที่
เพิ่งเกิดขึ้นให้พวกเธอฟัง แต่ความเข้มแข็งและพลังใจของพระนางกลับคืนมาอย่างเต็มเปี่ยม
และดังนั้นพระนางจึงปลอบใจและกระตุ้นให้พวกเธอทุกคนมีความเชื่อที่มั่นคง
ไม่นานหลังจากที่พระมารดากลับไปที่ห้องอาหารสุดท้าย ดิฉันเห็นที่โยเซฟฯ กำลังสวดภาวนา
ด้วยใจร้อนรนในที่คุมขัง และทันใดนั้นเกิดมีแสงจ้าในห้องขัง มีเสียงเรียกชื่อท่านขณะเดียวกัน
หลังคาห้องขังก็เปิดออกพร้อมกับปรากฏมีร่างที่สว่างไสวปล่อยปลายผ้าผืนยาวคล้ายกับผ้าที่ท่าน
ใช้พันพระวรกายของพระเยซูเจ้า โยเซฟฯ ยึดปลายผ้าที่ตกลงมาด้วยมือทั้งสอง และท่านก็ถูกฉุด
ขึ้นไป หลังจากนั้นช่องก็ปิดทันทีที่ท่านผ่านพ้นช่องเปิดพร้อมกับการหายวับไปของร่างนั้น
โยเซฟฯ เดินบนสันกำแพงจนถึงบริเวณที่อยู่ใกล้กับห้องอาหารมื้อสุดท้ายก่อนจะปีนลงมา
และเข้าไปในห้องอาหาร เมื่อโยเซฟฯ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง ทุกคนประหลาดใจและ
ดีใจเป็นล้นพ้น หลังจากนั้นทุกคนสวดขอบพระคุณพระเจ้าด้วยความร้อนรน และนำเครื่องดื่มมา
ให้โยเซฟฯ ที่กำลังหิวโหย โยเซฟฯ ออกจากกรุงเยรูซาเล็มในคืนนั้น ท่านหนีไปที่บ้านเกิดที่
อาริมาเธีย และอยู่ที่นั่นจนมั่นใจว่าปลอดภัยจึงกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง
--------------------------
จบตอนที่ ( 43 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(#)ค่ำคืนก่อนวันกลับคืนพระชนมชีพและอิสรภาพของโยเซฟฯ
พระมารดาอธิษฐานภาวนาอย่างต่อเนื่อง ปรารถนาแรงกล้าที่จะเห็นพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏกายยืนอยู่ข้างพระนาง แจ้งว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว
ทูตสวรรค์ขอให้พระนางไปที่ประตูบ้านของนิโคเดมัส เมื่อทราบเช่นนี้ ดวงหทัยของพระนาง
โลดเต้นด้วยความยินดี พระนางรีบสวมเสื้อคลุมยาวและออกเดินทางตามลำพังไปทันทีโดย
ไม่ได้บอกผู้ใด
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ดิฉันเห็นพระมารดาเดินไปจนเกือบถึงทางเข้าบ้านนิโคเดมัส
อยู่แล้ว ทันใดนั้นพระนางก็หยุดและมองขึ้นไปเห็นพระวิญญาณที่เจิดจรัสของพระเยซูเจ้าบน
กำแพงเมือง ห้อมล้อมด้วยบรรดาพระอัยกา พระองค์เสด็จลงมาพบพระนางก่อนจะทรงผิน
พระพักตร์ไปทางบรรดาพระอัยกาที่มากับพระองค์พร้อมกับตรัสแนะนำว่า
“นี่คือมารีย์ แม่ของข้าพเจ้า” แล้วพระองค์ก็ทรงหายลับไป พระนางรีบกลับไปห้องอาหารสุดท้าย
สตรีใจศรัทธากำลังช่วยกันเตรียมน้ำหอมและเครื่องหอมอย่างขะมักเขม้น พระนางไม่ได้เล่าสิ่งที่
เพิ่งเกิดขึ้นให้พวกเธอฟัง แต่ความเข้มแข็งและพลังใจของพระนางกลับคืนมาอย่างเต็มเปี่ยม
และดังนั้นพระนางจึงปลอบใจและกระตุ้นให้พวกเธอทุกคนมีความเชื่อที่มั่นคง
ไม่นานหลังจากที่พระมารดากลับไปที่ห้องอาหารสุดท้าย ดิฉันเห็นที่โยเซฟฯ กำลังสวดภาวนา
ด้วยใจร้อนรนในที่คุมขัง และทันใดนั้นเกิดมีแสงจ้าในห้องขัง มีเสียงเรียกชื่อท่านขณะเดียวกัน
หลังคาห้องขังก็เปิดออกพร้อมกับปรากฏมีร่างที่สว่างไสวปล่อยปลายผ้าผืนยาวคล้ายกับผ้าที่ท่าน
ใช้พันพระวรกายของพระเยซูเจ้า โยเซฟฯ ยึดปลายผ้าที่ตกลงมาด้วยมือทั้งสอง และท่านก็ถูกฉุด
ขึ้นไป หลังจากนั้นช่องก็ปิดทันทีที่ท่านผ่านพ้นช่องเปิดพร้อมกับการหายวับไปของร่างนั้น
โยเซฟฯ เดินบนสันกำแพงจนถึงบริเวณที่อยู่ใกล้กับห้องอาหารมื้อสุดท้ายก่อนจะปีนลงมา
และเข้าไปในห้องอาหาร เมื่อโยเซฟฯ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง ทุกคนประหลาดใจและ
ดีใจเป็นล้นพ้น หลังจากนั้นทุกคนสวดขอบพระคุณพระเจ้าด้วยความร้อนรน และนำเครื่องดื่มมา
ให้โยเซฟฯ ที่กำลังหิวโหย โยเซฟฯ ออกจากกรุงเยรูซาเล็มในคืนนั้น ท่านหนีไปที่บ้านเกิดที่
อาริมาเธีย และอยู่ที่นั่นจนมั่นใจว่าปลอดภัยจึงกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง
--------------------------
จบตอนที่ ( 43 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ (44)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(!)ค่ำคืนการเสด็จคืนพระชนมชีพ และสตรีใจศรัทธาที่พระคูหา
ไม่นานต่อมา ดิฉันเห็นพระคูหาของพระเยซูเจ้าและบริเวณโดยรอบที่ยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม
คัสซีอุสกำลังคาดคะเนว่าจะมีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ทูตสวรรค์ 2 องค์ในชุดพระสงฆ์ไขว้มือ
เหนืออกถวายเกียรติพระศพอยู่ องค์หนึ่งอยู่ใกล้พระเศียรและอีกองค์หนึ่งใกล้พระบาท ต่อมา
ดิฉันเห็นพระวิญญาณของพระเยซูเจ้าแล่นทะลุผ่านก้อนหินเข้าไปในพระ และผ้าพันพระศพก็หลุดออก
นิมิตที่ดิฉันเห็นในอันดับต่อไปล้ำลึกมาก ดิฉันเห็นเหมือนกับพระวิญญาณและพระกายที่ปราศจาก
ชีวิตถูกนำแยกจากกันเป็นสองส่วนไปจากพระคูหา ทูตสวรรค์ทั้งสองที่เฝ้าพระศพยกพระกายขึ้น
โดยที่ยังคงรักษาตำแหน่งของพระวรกายอยู่ตามเดิม แล้วพระวรกายที่ไม่มีผ้าพันใด ๆ ก็ทะลุผ่าน
ก้อนหินออกไป ต่อมาดูเหมือนดิฉันเห็นพระวรกายที่มีพระแผลแห่งพระมหาทรมานปรากฏเฉพาะ
พระพักตร์พระบิดาเจ้าสวรรค์ ห้อมล้อมด้วยเหล่านิกรเทวดาเหลือคณานับขับร้องสรรเสริญ
ณ เวลานั้นเอง ก้อนหินที่พระคูหาสั่นไหวอย่างรุนแรง ทหารที่เฝ้าพระคูหา 3 คนล้มลงหมดสติ
ขณะที่อีก 3 คนออกไปหาซื้อของในเมือง คัสซีอุสรู้สึกในส่วนลึกว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่
ดิฉันเห็นสตรีใจศรัทธาเตรียมเครื่องหอมต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะไปที่พระคูหาก่อน
ดวงอาทิตย์ขึ้นด้วยกลัวว่าจะพบศัตรูของพระเยซูเจ้า แต่พระมารดาที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ
ปลอบใจและแนะนำให้นอนพักก่อนซึ่งพวกเธอก็ทำตามคำแนะนำ
ดิฉันเห็นพระวิญญาณของพระเยซูเจ้าเจิดจรัสทะลุผ่านก้อนหินไปสัมผัสและผ่านเข้าไปสถิตอยู่ใน
พระวรกาย และทันใดพระวิญญาณและพระวรกายก็ร่วมสนิทเป็นพระเทวภาพของพระองค์
พระองค์ทรงลุกขึ้น ทรงสะบัดผ้าพันพระศพออก และทั่วบริเวณถ้ำพระคูหาก็สว่างไสว
หลังจากนั้น ดิฉันเห็นพระวรกายที่รุ่งโรจน์ของพระองค์ปรากฏขึ้นทะลุผ่านก้อนหินใหญ่หน้าประตู
คล้ายกับผ่านของเหลว พื้นพิภพสั่นสะเทือน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ด้วยความเร็วแสง
ยกก้อนหินไปวางทางด้านขวาและนั่งอยู่บนนั้น ขณะเดียวกันก็เห็นทหารยามที่ล้มพับอยู่กับพื้น
เมื่อคัสซีอุสเห็นแสงสว่างจ้าที่พระคูหา ก็เข้าไปใกล้ที่วางพระศพและพบแต่ผ้าพันพระศพ จึงออกไป
ด้านนอกตั้งใจจะไปรายงานปิลาต แต่ยังคงรี ๆ รอ ๆ เผื่อจะมีเหตุการณ์อื่นอีกเนื่องจากคัสซีอุสรับรู้
เพียงการเกิดแผ่นดินไหว, เห็นทูตสวรรค์นั่งอยู่บนก้อนหินและพระคูหาที่ว่างเปล่า แต่ท่านยังไม่เห็น
องค์พระเยซูเจ้า
ขณะที่พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จคืนพระชนมชีพนั้น สตรีใจศรัทธากำลังปรึกษากันว่าจะจัดการอย่างไร
กับหินก้อนใหญ่ที่หน้าพระคูหา พวกเธอตั้งใจจะมาที่พระคูหาเพื่อรดน้ำหอมบนพระวรกายถวาย
พระเกียรติสูงสุดเท่าที่จะทำได้แด่พระองค์ ดิฉันเห็นพวกเธอเดินเข้ามาในสวน แต่ทันทีที่เห็นทหาร
นอนล้มแน่นิ่งอยู่กับพื้น ก็ตกใจวิ่งหนีไปทางเนินกลโกธา ยกเว้นมารีย์ มักดาลาซึ่งกล้ามากกว่าคนอื่น
เธอเดินหน้าต่อไปและเห็นก้อนหินใหญ่อยู่ด้านข้าง แต่ประตูยังปิดอยู่ เธอเปิดประตู และแปลกใจที่
เห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ทันใดก็เกิดมีแสงสว่างรุ่งโรจน์ในถ้ำ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนั่งอยู่ที่
ด้านขวา ครั้งนี้เธอตกใจรีบวิ่งออกไปแจ้งข่าวแก่อัครสาวกที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย
คัสซีอุสยังคงอยู่ที่เดิมนานพอควร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านจึงไปที่จวนของปิลาตเพื่อรายงานเรื่อง
ทั้งหมด ระหว่างนั้น มารีย์ มักดาลาไปถึงห้องอาหารมื้อสุดท้าย ทันทีที่เธอพบเปโตรและยอห์นที่มา
เปิดประตูให้ เธอก็รีบแจ้งข่าวโดยไม่ได้เข้าไปในห้องว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว
ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” (ยน 20:13) จากนั้นเธอก็วิ่งกลับไปที่สวนอีก ขณะที่เปโตรและ
ยอห์นกลับเข้าไปในห้องอาหารพูด 2-3 คำกับศิษย์ฯ ก่อนจะวิ่งตามเธอไป แต่ยอห์นวิ่งเร็วกว่า
ดิฉันเห็นมารีย์ มักดาลากลับเข้าไปในสวน เธอตรงไปที่พระคูหา และเห็นทูตสวรรค์สององค์นั่งอยู่
ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดกับเธอว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” (ยน 20:13) เธอตอบทั้งน้ำตาว่า
“เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” (ยน 20:13)
ขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ เธอจึงออกไปนอกพระคูหาเพื่อค้นหาพระศพ
ในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่ได้ใส่ใจด้วยว่าทั้งสองเป็นทูตสวรรค์ ในสมองของเธอมีเพียงสิ่งเดียว
คือ “พระเยซูเจ้าอยู่ที่ไหน?”
จากนั้นเธอก็เห็นบุรุษร่างสูงยืนอยู่ใกล้ ๆ ทักเธอว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด?”
(ยน 20:15) เธอคิดว่าเป็นคนสวน เพราะในมือถือพลั่วและแต่งกายคล้ายกับคนทำสวน
เธอจึงตอบไปว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่า ท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน...”
(ยน 20:15) บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่า "มารีย์" (ยน 20:16) – เธอจำพระสุรเสียงได้ทันที ทูลตอบว่า
"รับโบนี (พระอาจารย์)!” (ยน 20:16) และทรุดตัวลงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ ยื่นแขนทั้งสองออก
เพื่อสัมผัสพระบาทของพระองค์ แต่พระองค์ทรงห้ามเธอ ตรัสว่า“อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย ...
แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา ...”(ยน 20:17)
แล้วพระองค์ก็ทรงอันตรธานหายไป
พระดำรัสที่ว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย” นั้น พระองค์ทรงอธิบายให้ดิฉันทราบในภายหลังว่า
เป็นเพราะมารีย์ มักดาลาเป็นคนใจร้อนจนอาจไม่ทันคิดถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่บาปที่เพิ่ง
สำเร็จไป และคิดว่า พระวรกายที่เธอเห็นยังคงเป็นพระวรกายสิ้นพระชนม์ของพระองค์ มิใช่พระ
วรกายที่รุ่งโรจน์ ส่วนพระดำรัสที่ว่า “เรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา” นั้น เป็นเพราะพระองค์ยัง
ไม่ได้แสดงพระองค์แด่พระบิดาตั้งแต่ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อขอบพระคุณสำหรับชัยชนะเหนือ
ความตาย และการไถ่บาปที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะพระบิดาทรงเป็นเจ้าของผลงานนี้ในลำ
ดับแรก ซึ่งมารีย์ มักดาลา ควรเข้าใจในเรื่องนี้
ดิฉันแลเห็นมารีย์ มักดาลาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และวิ่งเข้าไปในพระคูหาอีก เธอเห็นทูตสวรรค์
ทั้งสองยังอยู่ที่นั่นอย่างเดิม และเตือนเธอให้ระลึกถึงพระดำรัสที่ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จำต้องถูกมอบ
ในเงื้อมมือของคนบาป จะต้องถูกตรึงกางเขนและจะกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม" (ลก 24:7)
มารีย์ มักดาลาจึงเข้าใจและรีบไปที่เนินกลโกธาเพื่อไปหาเพื่อน ๆ ที่กำลังตระเวนหาเธออยู่ด้วย
ความเป็นห่วง
เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้กินเวลาเพียง 2-3 นาที จากนั้นยอห์นก็วิ่งเข้ามาในสวน ท่านหยุดที่ทาง
เข้าถ้ำและมองเข้าไปข้างในก็เห็นกองผ้าลินินวางอยู่ด้านหนึ่ง ท่านรอให้เปโตรตามมาทัน
จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในพระคูหาด้วยกัน และเห็นผ้าพันพระศพที่วางอยู่ ยอห์นเชื่อถึงการเสด็จ
กลับคืนพระชนมชีพในทันที และทั้งสองก็เข้าใจพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ตรัสก่อนเริ่มพระมหา
ทรมานอย่างแจ่มแจ้ง เปโตรหยิบผ้าลินินมาไว้ในเสื้อคลุมยาว และทั้งสองก็รีบกลับไปในเมือง
หลังจากนั้น ดิฉันเห็นทหารที่ล้มพับอยู่กับพื้นเริ่มรู้สึกตัวและลุกขึ้นรีบออกจากสวนด้วยความกลัว
กลับไปที่จวนของปิลาต
-----------------
จบตอนท่ี ( 44 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(!)ค่ำคืนการเสด็จคืนพระชนมชีพ และสตรีใจศรัทธาที่พระคูหา
ไม่นานต่อมา ดิฉันเห็นพระคูหาของพระเยซูเจ้าและบริเวณโดยรอบที่ยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม
คัสซีอุสกำลังคาดคะเนว่าจะมีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ทูตสวรรค์ 2 องค์ในชุดพระสงฆ์ไขว้มือ
เหนืออกถวายเกียรติพระศพอยู่ องค์หนึ่งอยู่ใกล้พระเศียรและอีกองค์หนึ่งใกล้พระบาท ต่อมา
ดิฉันเห็นพระวิญญาณของพระเยซูเจ้าแล่นทะลุผ่านก้อนหินเข้าไปในพระ และผ้าพันพระศพก็หลุดออก
นิมิตที่ดิฉันเห็นในอันดับต่อไปล้ำลึกมาก ดิฉันเห็นเหมือนกับพระวิญญาณและพระกายที่ปราศจาก
ชีวิตถูกนำแยกจากกันเป็นสองส่วนไปจากพระคูหา ทูตสวรรค์ทั้งสองที่เฝ้าพระศพยกพระกายขึ้น
โดยที่ยังคงรักษาตำแหน่งของพระวรกายอยู่ตามเดิม แล้วพระวรกายที่ไม่มีผ้าพันใด ๆ ก็ทะลุผ่าน
ก้อนหินออกไป ต่อมาดูเหมือนดิฉันเห็นพระวรกายที่มีพระแผลแห่งพระมหาทรมานปรากฏเฉพาะ
พระพักตร์พระบิดาเจ้าสวรรค์ ห้อมล้อมด้วยเหล่านิกรเทวดาเหลือคณานับขับร้องสรรเสริญ
ณ เวลานั้นเอง ก้อนหินที่พระคูหาสั่นไหวอย่างรุนแรง ทหารที่เฝ้าพระคูหา 3 คนล้มลงหมดสติ
ขณะที่อีก 3 คนออกไปหาซื้อของในเมือง คัสซีอุสรู้สึกในส่วนลึกว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่
ดิฉันเห็นสตรีใจศรัทธาเตรียมเครื่องหอมต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะไปที่พระคูหาก่อน
ดวงอาทิตย์ขึ้นด้วยกลัวว่าจะพบศัตรูของพระเยซูเจ้า แต่พระมารดาที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ
ปลอบใจและแนะนำให้นอนพักก่อนซึ่งพวกเธอก็ทำตามคำแนะนำ
ดิฉันเห็นพระวิญญาณของพระเยซูเจ้าเจิดจรัสทะลุผ่านก้อนหินไปสัมผัสและผ่านเข้าไปสถิตอยู่ใน
พระวรกาย และทันใดพระวิญญาณและพระวรกายก็ร่วมสนิทเป็นพระเทวภาพของพระองค์
พระองค์ทรงลุกขึ้น ทรงสะบัดผ้าพันพระศพออก และทั่วบริเวณถ้ำพระคูหาก็สว่างไสว
หลังจากนั้น ดิฉันเห็นพระวรกายที่รุ่งโรจน์ของพระองค์ปรากฏขึ้นทะลุผ่านก้อนหินใหญ่หน้าประตู
คล้ายกับผ่านของเหลว พื้นพิภพสั่นสะเทือน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ด้วยความเร็วแสง
ยกก้อนหินไปวางทางด้านขวาและนั่งอยู่บนนั้น ขณะเดียวกันก็เห็นทหารยามที่ล้มพับอยู่กับพื้น
เมื่อคัสซีอุสเห็นแสงสว่างจ้าที่พระคูหา ก็เข้าไปใกล้ที่วางพระศพและพบแต่ผ้าพันพระศพ จึงออกไป
ด้านนอกตั้งใจจะไปรายงานปิลาต แต่ยังคงรี ๆ รอ ๆ เผื่อจะมีเหตุการณ์อื่นอีกเนื่องจากคัสซีอุสรับรู้
เพียงการเกิดแผ่นดินไหว, เห็นทูตสวรรค์นั่งอยู่บนก้อนหินและพระคูหาที่ว่างเปล่า แต่ท่านยังไม่เห็น
องค์พระเยซูเจ้า
ขณะที่พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จคืนพระชนมชีพนั้น สตรีใจศรัทธากำลังปรึกษากันว่าจะจัดการอย่างไร
กับหินก้อนใหญ่ที่หน้าพระคูหา พวกเธอตั้งใจจะมาที่พระคูหาเพื่อรดน้ำหอมบนพระวรกายถวาย
พระเกียรติสูงสุดเท่าที่จะทำได้แด่พระองค์ ดิฉันเห็นพวกเธอเดินเข้ามาในสวน แต่ทันทีที่เห็นทหาร
นอนล้มแน่นิ่งอยู่กับพื้น ก็ตกใจวิ่งหนีไปทางเนินกลโกธา ยกเว้นมารีย์ มักดาลาซึ่งกล้ามากกว่าคนอื่น
เธอเดินหน้าต่อไปและเห็นก้อนหินใหญ่อยู่ด้านข้าง แต่ประตูยังปิดอยู่ เธอเปิดประตู และแปลกใจที่
เห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ทันใดก็เกิดมีแสงสว่างรุ่งโรจน์ในถ้ำ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนั่งอยู่ที่
ด้านขวา ครั้งนี้เธอตกใจรีบวิ่งออกไปแจ้งข่าวแก่อัครสาวกที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย
คัสซีอุสยังคงอยู่ที่เดิมนานพอควร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านจึงไปที่จวนของปิลาตเพื่อรายงานเรื่อง
ทั้งหมด ระหว่างนั้น มารีย์ มักดาลาไปถึงห้องอาหารมื้อสุดท้าย ทันทีที่เธอพบเปโตรและยอห์นที่มา
เปิดประตูให้ เธอก็รีบแจ้งข่าวโดยไม่ได้เข้าไปในห้องว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว
ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” (ยน 20:13) จากนั้นเธอก็วิ่งกลับไปที่สวนอีก ขณะที่เปโตรและ
ยอห์นกลับเข้าไปในห้องอาหารพูด 2-3 คำกับศิษย์ฯ ก่อนจะวิ่งตามเธอไป แต่ยอห์นวิ่งเร็วกว่า
ดิฉันเห็นมารีย์ มักดาลากลับเข้าไปในสวน เธอตรงไปที่พระคูหา และเห็นทูตสวรรค์สององค์นั่งอยู่
ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดกับเธอว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” (ยน 20:13) เธอตอบทั้งน้ำตาว่า
“เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” (ยน 20:13)
ขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ เธอจึงออกไปนอกพระคูหาเพื่อค้นหาพระศพ
ในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่ได้ใส่ใจด้วยว่าทั้งสองเป็นทูตสวรรค์ ในสมองของเธอมีเพียงสิ่งเดียว
คือ “พระเยซูเจ้าอยู่ที่ไหน?”
จากนั้นเธอก็เห็นบุรุษร่างสูงยืนอยู่ใกล้ ๆ ทักเธอว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด?”
(ยน 20:15) เธอคิดว่าเป็นคนสวน เพราะในมือถือพลั่วและแต่งกายคล้ายกับคนทำสวน
เธอจึงตอบไปว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่า ท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน...”
(ยน 20:15) บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่า "มารีย์" (ยน 20:16) – เธอจำพระสุรเสียงได้ทันที ทูลตอบว่า
"รับโบนี (พระอาจารย์)!” (ยน 20:16) และทรุดตัวลงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ ยื่นแขนทั้งสองออก
เพื่อสัมผัสพระบาทของพระองค์ แต่พระองค์ทรงห้ามเธอ ตรัสว่า“อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย ...
แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา ...”(ยน 20:17)
แล้วพระองค์ก็ทรงอันตรธานหายไป
พระดำรัสที่ว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย” นั้น พระองค์ทรงอธิบายให้ดิฉันทราบในภายหลังว่า
เป็นเพราะมารีย์ มักดาลาเป็นคนใจร้อนจนอาจไม่ทันคิดถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่บาปที่เพิ่ง
สำเร็จไป และคิดว่า พระวรกายที่เธอเห็นยังคงเป็นพระวรกายสิ้นพระชนม์ของพระองค์ มิใช่พระ
วรกายที่รุ่งโรจน์ ส่วนพระดำรัสที่ว่า “เรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา” นั้น เป็นเพราะพระองค์ยัง
ไม่ได้แสดงพระองค์แด่พระบิดาตั้งแต่ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อขอบพระคุณสำหรับชัยชนะเหนือ
ความตาย และการไถ่บาปที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะพระบิดาทรงเป็นเจ้าของผลงานนี้ในลำ
ดับแรก ซึ่งมารีย์ มักดาลา ควรเข้าใจในเรื่องนี้
ดิฉันแลเห็นมารีย์ มักดาลาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และวิ่งเข้าไปในพระคูหาอีก เธอเห็นทูตสวรรค์
ทั้งสองยังอยู่ที่นั่นอย่างเดิม และเตือนเธอให้ระลึกถึงพระดำรัสที่ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จำต้องถูกมอบ
ในเงื้อมมือของคนบาป จะต้องถูกตรึงกางเขนและจะกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม" (ลก 24:7)
มารีย์ มักดาลาจึงเข้าใจและรีบไปที่เนินกลโกธาเพื่อไปหาเพื่อน ๆ ที่กำลังตระเวนหาเธออยู่ด้วย
ความเป็นห่วง
เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้กินเวลาเพียง 2-3 นาที จากนั้นยอห์นก็วิ่งเข้ามาในสวน ท่านหยุดที่ทาง
เข้าถ้ำและมองเข้าไปข้างในก็เห็นกองผ้าลินินวางอยู่ด้านหนึ่ง ท่านรอให้เปโตรตามมาทัน
จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในพระคูหาด้วยกัน และเห็นผ้าพันพระศพที่วางอยู่ ยอห์นเชื่อถึงการเสด็จ
กลับคืนพระชนมชีพในทันที และทั้งสองก็เข้าใจพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ตรัสก่อนเริ่มพระมหา
ทรมานอย่างแจ่มแจ้ง เปโตรหยิบผ้าลินินมาไว้ในเสื้อคลุมยาว และทั้งสองก็รีบกลับไปในเมือง
หลังจากนั้น ดิฉันเห็นทหารที่ล้มพับอยู่กับพื้นเริ่มรู้สึกตัวและลุกขึ้นรีบออกจากสวนด้วยความกลัว
กลับไปที่จวนของปิลาต
-----------------
จบตอนท่ี ( 44 )
------->โปรดติดตามตอนต่อไป
เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ ( 45 )
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(+)การเล่าเรื่องของทหารยามที่เฝ้าพระคูหา
คัสซีอุสไปถึงจวนของปิลาตหลังจากการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพราวหนึ่งชั่วโมง และเล่า
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังที่สุด ปิลาตรับฟังด้วยความตื่นกลัว แต่ซ่อนความรู้สึกไว้ และพูดว่า
“เทพเจ้าต่าง ๆ เห็นท่านเป็นคนมีจิตอ่อนจึงให้เห็นนิมิตเพื่อให้ท่านตื่นตระหนก ฉันขอแนะนำ
ให้ท่านเลิกพูดถึงเรื่องนี้ และอย่าไปเล่าเรื่องที่โง่เขลานี้กับบรรดาพระสงฆ์ เพราะพวกเขาจะมี
ปฏิกิริยาที่เลวร้ายที่สุดกับท่าน” เมื่อปิลาตพูดจบแล้ว คัสซีอุสก็ลาออกไป ส่วนปิลาตก็ไปถวาย
เครื่องบูชาแด่เทพที่ท่านนับถือ
ไม่นานต่อมา ทหารยามทั้งสามก็มาถึงจวนของปิลาต และเล่าเหตุการณ์ตรงกับที่เพิ่งได้ยิน
มาแล้วจากคัสซีอุส ปิลาตจึงส่งพวกเขาไปหามหาสมณะคายาฟาสซึ่งเมื่อทราบเรื่องก็ติดสินบน
และให้บอกกับทุกคนว่า พวกเขาง่วงนอนและขณะที่นอนหลับอยู่ บรรดาสานุศิษย์ได้ขโมยศพไป
อย่างไรก็ตาม ทหารกลุ่มนี้ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวเรื่องจะไม่ตรงกับที่คัสซิอุสรายงานปิลาต
แต่มหาสมณะสัญญาจะจัดการเรื่องให้เรียบร้อยกับปิลาตเอง หลังจากนั้นชาวฟาริสี และสะดูสีก็
กระจายข่าวนี้ออกไป
อย่างไรก็ตาม การป่าวประกาศของพวกเขาดูจะไม่ได้ผลมากนัก เพราะหลังจากการเสด็จกลับคืน
พระชนมชีพของพระเยซูเจ้า มีหลายคนที่ตายไปนานแล้วออกจากหลุมศพปรากฏตัวแก่ลูกหลานที่
ไม่มีจิตใจแข็งกระด้างมากนักและกระตุ้นให้กลับใจ พวกเขายังปรากฏตัวให้กำลังใจและให้มี
ความเชื่อแก่สานุศิษย์ที่มีความเชื่อไม่มั่นคงและได้หนีไปอยู่ในชนบทด้วยความกลัวให้กลับมา
อาศัยอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปอยู่ในหลุมศพตามเดิม ขณะที่การกลับคืน
พระชนมชีพ ของพระเยซูเจ้าเป็นพระวรกายรุ่งโรจน์ตลอดไปและเป็นพระวรกายที่เสด็จขึ้นสวรรค์
ต่อหน้าบรรดาสานุศิษย์ทุกคน
------------------------- จบบริบูรณ์
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(+)การเล่าเรื่องของทหารยามที่เฝ้าพระคูหา
คัสซีอุสไปถึงจวนของปิลาตหลังจากการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพราวหนึ่งชั่วโมง และเล่า
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังที่สุด ปิลาตรับฟังด้วยความตื่นกลัว แต่ซ่อนความรู้สึกไว้ และพูดว่า
“เทพเจ้าต่าง ๆ เห็นท่านเป็นคนมีจิตอ่อนจึงให้เห็นนิมิตเพื่อให้ท่านตื่นตระหนก ฉันขอแนะนำ
ให้ท่านเลิกพูดถึงเรื่องนี้ และอย่าไปเล่าเรื่องที่โง่เขลานี้กับบรรดาพระสงฆ์ เพราะพวกเขาจะมี
ปฏิกิริยาที่เลวร้ายที่สุดกับท่าน” เมื่อปิลาตพูดจบแล้ว คัสซีอุสก็ลาออกไป ส่วนปิลาตก็ไปถวาย
เครื่องบูชาแด่เทพที่ท่านนับถือ
ไม่นานต่อมา ทหารยามทั้งสามก็มาถึงจวนของปิลาต และเล่าเหตุการณ์ตรงกับที่เพิ่งได้ยิน
มาแล้วจากคัสซีอุส ปิลาตจึงส่งพวกเขาไปหามหาสมณะคายาฟาสซึ่งเมื่อทราบเรื่องก็ติดสินบน
และให้บอกกับทุกคนว่า พวกเขาง่วงนอนและขณะที่นอนหลับอยู่ บรรดาสานุศิษย์ได้ขโมยศพไป
อย่างไรก็ตาม ทหารกลุ่มนี้ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวเรื่องจะไม่ตรงกับที่คัสซิอุสรายงานปิลาต
แต่มหาสมณะสัญญาจะจัดการเรื่องให้เรียบร้อยกับปิลาตเอง หลังจากนั้นชาวฟาริสี และสะดูสีก็
กระจายข่าวนี้ออกไป
อย่างไรก็ตาม การป่าวประกาศของพวกเขาดูจะไม่ได้ผลมากนัก เพราะหลังจากการเสด็จกลับคืน
พระชนมชีพของพระเยซูเจ้า มีหลายคนที่ตายไปนานแล้วออกจากหลุมศพปรากฏตัวแก่ลูกหลานที่
ไม่มีจิตใจแข็งกระด้างมากนักและกระตุ้นให้กลับใจ พวกเขายังปรากฏตัวให้กำลังใจและให้มี
ความเชื่อแก่สานุศิษย์ที่มีความเชื่อไม่มั่นคงและได้หนีไปอยู่ในชนบทด้วยความกลัวให้กลับมา
อาศัยอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปอยู่ในหลุมศพตามเดิม ขณะที่การกลับคืน
พระชนมชีพ ของพระเยซูเจ้าเป็นพระวรกายรุ่งโรจน์ตลอดไปและเป็นพระวรกายที่เสด็จขึ้นสวรรค์
ต่อหน้าบรรดาสานุศิษย์ทุกคน
------------------------- จบบริบูรณ์