โดย สนธิ สารธรรม
ผลเสียประการที่หนึ่ง ทำให้เกิดน้ำท่วม กรณีน้ำท่วมในบังกลาเทศ น้ำจากหิมะละลายไหลบ่าลงมา
ดินไม่อาจดูดซับน้ำได้หมด แต่รากของต้นไม้จะดูดซับน้ำได้เป็นจำนวนมาก ส่งต่อมายังลำต้น กิ่งก้านและ
ใบ และระเหยเป็นไอน้ำ ก่อให้เกิดเมฆฝนวนเวียนกันเช่นนี้ ต้นไม้ยังช่วยยึดดิน รักษาความอุดมสมบูรณ์
ของหน้าดินไว้ได้อีกด้วย
ผลเสียหายประการที่สอง คือภาวะการณ์เรือนกระจก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาป่า
กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศ ครอบคลุมกั้นมิให้ความร้อนระเหยออกไปจากผิวโลก ทำให้อุณหภูมิของโลก
สูงขึ้น 0.5 °C หากอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงถึง 60 เมตร
เมืองใหญ่ ๆ จะจมอยู่ใต้ทะเล รวมทั้งลอนดอน นิวยอร์ค และกรุงเทพฯ
ผลเสียหายประการที่สาม คือสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป พืชสัตว์จะสูญพันธุ์ ประมาณว่าสิ่งมีชีวิตอีก
ประมาณ 5-10 ล้านชนิดจะสูญพันธุ์อีก 10 ปีข้างหน้า ป่าเขตร้อนแหล่งกำเนิดของสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยา
เมื่อป่าถูกทำลาย สมุนไพรมีค่าก็พลอยสูญพันธุ์ไปด้วย
พืชและสัตว์ถูกทำลายโดยคนป่าไร้วัฒนธรรม การย้ายถิ่นที่อยู่ของชนเผ่านอแมต (NOMAD) ในอเมริกาใต้
คือแหล่งสลัมในเมืองริโอเดอจาเนโรของบราซิลในปัจจุบัน แต่คนที่เจริญแล้วสามารถทำลายสิ่งแวดล้อมได้
เร็วกว่า กว้างกว่าคนป่าเถื่อน ป่าดงดิบในลุ่มแม่น้ำอเมซอนกว้างใหญ่กว่าประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษรวมกัน
ถูกทำลายเพราะการทำเหมืองแร่เหล็กมูลค่าเพียง 600 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นเอง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของโลกที่กำลังย่างเข้าศตวรรษที่ 21 นี้ นักวิทยาศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์กันอย่าง
มากว่า วิถีชีวิตและความเจริญอย่างไร้ขอบเขตทางวัตถุของมนุษย์ กำลังก่อผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของ
โลกอย่างรุนแรงและน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศที่เพิ่มความร้อนระอุให้แก่
โลก และการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาคที่ทำให้เกิดการเสียสมดุลของมวลชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้อุบัติขึ้นและขยายตัว
ออกไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
ระหว่างวันที่ 22 - 24 ตุลาคม 2533 นี้มีการสัมมนาเรื่อง "ผลกระทบของระบบนิเวศวิทยาเขตร้อนเมื่อ
โลกเปลี่ยนแปลง" ซึ่งจัดโดยสาขาชีววิทยาแห่งสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่โรงแรมรอยัลออร์คิด
เชอราตัน กรุงเทพฯ สรุปว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลกที่กำลังกลายเป็นปัญหามลภาวะในชั้น
บรรยากาศของโลกนี้ มีสาเหตุมาจากสารเคมีที่มนุษย์ผลิต และนำมาใช้ในกิจกรรมประจำวันของมนุษย์ และ
เป็นตัวการที่เข้าไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน หรือที่เรียก
ย่อ ๆ ว่าสารซี.เอฟ.ซี. ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ ใช้ทำโฟม และเป็นสารขับละออง หรือสเปรย์ สารนี้
จะไปทำลายชั้นโอโซนที่ทำหน้าที่กลั่นกรองรังสีอุลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ได้ถึง 95 % รังสีนี้หากมีมาก
เกินไปจะมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลก
ผลเสียหายประการที่สี่ ที่มีผลต่อมลภาวะของโลกก็คือเกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน ทำให้รังสีจากแสงอาทิตย์
ส่องผ่านเข้ามาสู่พื้นผิวโลกมากขึ้น ซึ่งคาดกันว่าอีก 100 ปีข้างหน้า อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้น 1.5 - 4 องศา
เซลเซียส หรือ 3 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ย ผลของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้วัฏจักรของน้ำเปลี่ยนไป
คือเมื่อ อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีการขยายตัวของน้ำมากขึ้น ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น หรืออาจเกิดจากภูเขาน้ำแข็งจาก
ขั้วโลกละลาย โดยคาดว่าอีก 100 ปีข้างหน้า น้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 1.5 เมตร จะมีผลให้แผ่นดินที่อยู่ชายฝั่งทะเล
ต้องจมน้ำหมด สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ก็ต้องเสียหาย นอกจากนั้นตลิ่งจะถูกเซาะมากขึ้น ภูเขาจะจมหายเนื่องจาก
น้ำทะเลจะท่วม เข้ามาในแผ่นดินถึง 20 กิโลเมตร นั่นหมายความว่า ก.ท.ม.เองก็ต้องจมใต้น้ำ
นอกจากนั้น บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังวิตกว่า ในกรณีที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น จะทำให้เกิดพายุบนโลก
มากขึ้น กล่าวคือ อุณหภูมิของโลกหากสูงขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสก็จะผลให้เกิดพายุบนโลกมากขึ้น เนื่องจาก
ความร้อนจะเป็นตัวเร่งให้มีการม้วนตัวของอากาศมากขึ้น ซึ่งจากสถิติอุณหภูมิตั้งแต่ปี 1980 - 1989 อุณหภูมิ
ในมหาสมุทรแปซิฟิกสูงขึ้นปีละ 0.1 องศาเซลเซียสก็ทำให้เกิดพายุมากขึ้นกว่าปกติแล้วในบริเวณนี้ และจาก
ข้อสังเกตสำหรับเมืองไทยพบว่าในช่วงเดือนตุลาคม พายุที่พัดผ่านประเทศไทยน่าจะลดลงเนื่องจากมีลมหนาว
พัดผ่าน แต่ปรากฏว่าในช่วงนี้กลับมีพายุมาก และจากผลของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น จะทำให้ฝนตกชุกในบางบริเวณ
และเกิดความแห้งแล้งในบางบริเวณ เนื่องจากฝนไม่ตก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผลผลิตตามบริเวณต่าง ๆ ของโลก
เปลี่ยนแปลงไป คือ บางบริเวณจะมีผลผลิตสูงขึ้น แต่ในบางแห่งจะมีผลผลิตลดลง ส่วนสิ่งมีชีวิตบนโลกนั้นที่ไม่
สามารถทนต่อความร้อนที่สูงขึ้นได้ ก็จะตายและสูญพันธุ์ไป
ส่วนวิธีการที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวข้างต้นที่รู้จักกันในชื่อ "ภาวะเรือนกระจก" นั้นจะต้องลด
การใช้เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล คือน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะไปห่อ
หุ้มชั้นบรรยากาศของโลก ไทยควรหันมาใช้พลังงานแสงแดด ลม แทน เป็นต้น และที่สำคัญคือต้องลดการใช้
สารซี.เอฟ.ซี. ซึ่งจากสถิติปรากฏว่าสารนี้เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศของโลกปีละ 5% แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้
ได้มีการประชุมกันในระดับโลกหลายครั้งแล้ว และสำหรับประเทศไทยได้กำหนดให้ปี 1999 เป็นการเริ่มต้น
ปลอดสาร ซี.เอฟ.ซี. นั่นหมายความว่านับแต่นั้นจะต้องไม่มีการใช้สาร ซี.เอฟ.ซี. ในการผลิต
แต่อย่างไรก็ตาม ดร.วอร์เรน วาย บรอกเคลแมน จากมหาวิทยาลัยมหิดลให้ทัศนะว่า การเปลี่ยนแปลง
ของอุณหภูมิของโลกนั้นน่าจะมีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาค เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
ของอุณหภูมิของโลกนั้นจะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ และสลับสับเปลี่ยนกันไป เช่น โลกเคยผ่านยุคน้ำแข็งมาแล้ว
และก็สามารถปรับตัวเองได้ในที่สุด แต่ปัญหาด้านชีวภาคนั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่เมื่อสูญเสียไปแล้ว ไม่สามารถ
ทำกลับคืนมาได้ เช่น ชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ๆ พัฒนาจากสปีชีส์ใช้เวลาเป็นล้านปีต่อหนึ่งสปีชีส์ ซึ่งถือว่า
การพัฒนาของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นใช้เวลาน้อยกว่าการเกิดสปีชีส์หนึ่ง ๆ เป็นพันเท่า หากมีการสูญญเสียไป
ดังนั้นจำเป็นต้องอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า คือต้องมีการอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้ของโลก ซึ่งสภาวการณ์เรื่องพื้นที่
ป่าไม้ของประเทศไทยในขณะนี้ลดลงไปอย่างมาก และได้ส่งผลถึงระบบชีวภาคของไทยและของโลกเป็นอย่างมาก
เช่น สัตว์ป่าที่หายากเริ่มสูญพันธุ์ไปแล้วหลายชนิด นอกจากการทำลายป่าไม้จะมีผลต่อระบบชีวภาคของไทยแล้ว
พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยซึ่งมีลักษณะเป็นหย่อมเล็ก ๆ และแต่ละแห่งไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้เมื่อป่าบริเวณนั้นเสื่อม
โทรมลง สัตว์ป่าไม่สามารถอพยพหนีจากป่าบริเวณนั้นไปบริเวณอื่นได้ทัน เพราะเป็นป่าผืนเล็กเมื่อเสื่อมโทรม
ก็จะหมดไปได้โดยเร็ว
ส่วนดร.เอ มาร์คแฮม ได้กล่าวถึงการอนุรักษ์ป่าเขตร้อน ซึ่งจะมีผลต่ออุณหภูมิของโลกว่า การเปลี่ยนแปลง
ของสภาพอากาศแม้นเพียงระยะสั้น ก็จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพป่าอย่างรวดเร็ว และจะส่งผลกระทบ
อย่างรุนแรง เช่น เกิดสภาพแห้งแล้ง และมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสัตว์ป่าที่จะไม่มีอาหารกิน นอกจากนั้นป่า
ในเขตร้อนยังเป็นตัวเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกถึง 50% หากป่าในเขตร้อนนี้ถูกทำลายไป ก็เท่ากับเป็น
การทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในโลกเพิ่มสูงขึ้น มีผลทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นด้วย วิธีแก้ไขปัญหานี้คือ
ต้องพยายามเก็บรักษาป่าไม้ดั้งเดิมที่โลกมีอยู่แล้วไม่ให้ลดน้อยลงไปอีก และต้องปลูกป่าเพิ่มขึ้นอีก 129 ล้าน
เฮกตาร์ เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ทั้งนี้ต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็น 2 เท่าคือ อีก 100 ล้าน เฮกตาร์
ในรอบ 10 ปีข้างหน้า และต้องมีการจัดการเรื่องป่าไม้ให้ดีไม่ใช่ใช้ครั้งเดียวแล้วหมดไป แต่ควรจะสามารถ
ใช้ได้เรื่อย ๆ
จะเห็นว่ามนุษย์ขาดสำนึกของความรับผิดชอบ ไม่รู้คุณค่าของธรรมชาติ มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งต้องการกอบโกยแสวงหาความมั่งคั่งใส่ตนและพวกพ้องโดยไม่คำนึงว่าโลกทั้งโลกได้สูญเสียอะไรไปบ้าง
สิบปีที่เหลือช่างสั้นนัก นานาชาติจะต้องร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์ธรรมชาติ หันหน้าเข้าประนีประนอมผ่อนปรน
โดยสันติวิธี เพื่อแก้ไขปัญหาขัดแยังด้วยใจที่เปิดกว้างและเป็นธรรม หาไม่วาระสุดท้ายของโลกก็จะมาถึงในไม่ช้า
ตามคำทำนายของนอสตราดามุส