บทความดีๆ โดยคุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( 2 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 29, 2024 11:14 pm

( 1 )

อาหารจากสวรรค์

ศีลมหาสนิทเป็นอาหารทรงชีวิตที่มาจากสวรรค์ “ พระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์
ให้ท่าน.....เราเป็นปังแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย”(ยน.6:32,35)
ภาพพจน์ของศีลมหาสนิทเป็นอาหาร ทำให้เราคิดถึงอาหารที่เรารับประทานและน้ำที่เราดื่มทุกๆวัน
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเลือดเป็นเนื้อเป็นชีวิตของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ล้นที่พ้นของเรายอมกลายเป็น
เลือดเป็นเนื้อเป็นชีวิตของเรา มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระเจ้าองค์ใดของศาสนาใดบ้างที่เรารู้จัก รักมนุษย์
ถึงขนาดยอมเป็นอาหารให้มนุษย์รับประทาน ถ้าเราลองคิดในแง่ที่ว่า “You are what you eat” คุณ
เป็นอย่างที่คุณกินนั่แหละ มองในด้านของมนุษย์ พระเจ้าทรงรักเราจนกระทั่งยอมเป็นเลือดเป็นเนื้อ
เป็นชีวิตเดียวกับเรา มองในด้านของพระเจ้า พระองค์ทรงรักเรามนุษย์ถึงขนาดยกระดับเรามนุษย์ผู้
ต่ำต้อยให้เป็นเหมือนกับพระองค์ ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนศีลมหาสนิทก็แสดงถึงความรักของพระเจ้า
ต่อเรามนุษย์สุดพรรณนา
คำสั่งของพระเยซูคริสตเจ้าในการตั้งศีลมหาสนิท พระวรสาร 3 ฉบับ นักบุญมัทธิว มาระโก ลูกา
เล่าเรื่องการตั้งศีลมหาสนิทไว้ใกล้เคียงกันมาก มีกล่าวถึงเรื่องขนมปังและเหล้าองุ่น แต่มีเฉพาะของ
นักบุญลูกาที่กล่าวถึงคำสั่งของพระเยซูคริสตเจ้า “จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”(ลก.22:19) นักบุญลูกา
กล่าวถึงเรื่องนี้เพราะเหตุการณ์นี้จำเป็นต้องกระทำให้เกิดขึ้นในพระศาสนจักรตลอดไป แน่นอนที่สุดคำ
สั่งนี้เป็นคำสั่งให้ถวายบูชาขอบพระคุณ เพราะบูชาขอบพระคุณกับบูชาบนไม้กางเขน ซึ่งพระเยซูคริสตเจ้า
ถวายพระองค์เองเป็นบูชาแดพระบิดาเจ้าเพื่อไถ่โทษมนุษยชาติ เป็นบูชาเดียวกันและไม่ใช่การระลึกถึง
เท่านั้นแต่การทำให้เหตุการณ์นั้นเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ถ้าเราพิจารณาเฉพาะส่วนของบูชาขอบพระคุณ
ก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่ถ้าเราพิจารณาในด้านจิตตารมณ์ของศีลมหาสนิทการรักและรับใช้ เราจะพบว่าคำ
สั่งนี้รวมความถึงทุกคนที่เชื่อในพระองค์ จะต้องรับเอาจิตตารมรณ์ของศีลมหาสนิทการรักและรับใช้ไป
ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการถวายบูชาชดเชยบาปของมนุษยชาติ ซึ่งพระเยซู
คริสตเจ้าทรงถวายพระองค์เองเป็นบูชาแด่พระบิดาเจ้าบนไม้กางเขน โดยการรักและรับใช้ผู้อื่นถวายชีวิต
ของตนเป็นบูชาในชีวิตจริง ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่คริสตชนปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งความรัก จึงเป็นการ
ถวายบูชาในชีวิตจริงโดยการอุทิศตนรักและรับใช้ผู้อื่น
ขนมปังและเหล้าองุ่นอาหารที่แสนธรรมดา ถูกนำมาเป็นเครื่องหมายของการประทับอยู่ขององค์พระเยซู
คริสเจ้าท่ามกลางเรา แสดงให้เห็นว่าพระองค์มีความปรารถนาให้เรามีความมั่นใจ และได้สัมผัสความรัก
และการประทับอยู่ของพระองค์อยู่เสมอในชีวิตประจำวัน เป็นการเน้นย้ำว่าพระองค์รักเราจริง ทรงปรารถนา
แบ่งปันชีวิตกับเรา และพระองค์ทรงรักษาสัญญาที่ทรงให้ไว้กับเราเสมอ “จงรู้เถิดว่าเราจะอยู่กับท่านทุกวัน
ตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”(มธ.28:20) ขอให้การสมโภชศีลมหาสนิทนี้ เตือนใจให้เราคิดถึงความรักของ
พระเจ้า รู้คุณพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ และตอบสนองความรักของพระองค์ การตอบสนองความรัก
ของพระองค์ก็คือการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์นั่นเอง “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตาม
บทบัญญัติของเรา”(ยน14:15)
พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 4 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 29, 2024 11:19 pm

( 2 )


“อย่ามองข้ามสิ่งง่ายๆเรื่องเล็กๆ”

ถ้าเราลองทบทวนเรื่องราวและปัญหาต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
เราจะพบว่าหลายครั้งหลายหนเราพลาดเพราะเรื่องเล็กๆ ปัญหาสำคัญหลายอย่างเราแก้ได้โดยอาศัยวิธี
การง่ายๆ ความสำเร็จหลายประการเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคาดไม่ถึง จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่าเรื่อง
ที่ผู้เขียนๆเล่ามาตอนต้นนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งนี้จึงขอเล่าประสบการณ์ที่พบมาเพื่อเป็นอุทาหรณ์ข้อคิด
เตือนใจในเรื่องที่ผู้เขียนกำลังเขียนนี้ ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยไปเบิกเงินทำธุรกรรมที่ธนาคารใกล้ๆวัดที่ผู้เขียน
ไปทำหน้าที่อยู่ในเวลานั้น ความจริงผู้เขียนไปทำธุรกรรมที่ธนาคารนั้นบ่อยๆเพราะอยู่ใกล้บ้านที่สุด แต่ครั้ง
สุดท้ายผู้เขียนต้องการเบิกเงินเยอะหน่อยเจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่า “คุณมาธุรกรรมที่นี่ไม่ได้ต้องไปทำ
ที่ธนาคารสาขาที่คุณเปิดบัญชี” ผู้เขียนบอกเขาว่า “ได้มาทำที่นี่เป็นประจำ” เขาไม่เชื่อจึงไปเชิญผู้จัดการสาขา
นั้นมาอธิบาย ผู้เขียนจึงบอกกับผู้จัดการว่า “คุณลองเอาสมุดบัญชีธนาคารไปตรวจสอบดูว่าจริงหรือเปล่า”
หลังจากตรวจสอบแล้วผู้จัดการธนาคารเชิญผู้เขียนไปคุยเป็นการส่วนตัวในห้องทำงาน และขอร้องว่าอย่า
ร้องเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เพื่อเห็นแก่พนักงานหลายชีวิตที่ทำงานอยู่สาขานั้น ไม่เช่นนั้นพนักงานอาจถูกเชิญ
ออกทั้งหมดหรือไม่ก็ต้องปิดสาขานั้นไป (ผู้เขียนทำตามการขอร้องนั้น) แต่ทำไมภายหลังสาขานั้นจึงปิดไป
ไม่ทราบ ผู้เขียนทำงานในโรงพยาบาลมาหลายปีพบว่า”เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่” แค่เสี้ยนตำ หมากัด
เฉี่ยวๆนิดเดียว ในที่สุดเสียชีวิตเพราะเรื่องเล็กๆเหล่านี้ ผู้เขียนเคยประสบปัญหาในเรื่องงานศาสนสัมพันธ์
ไม่ทราบจะเริ่มอย่างไรทำอย่างไร บรรดาสภาภิบาลเวลานั้นก็ไม่ใครกล้าสามารถทำได้ วันหนึ่งมีจดหมาย
ของวัดพุทธที่อยู่ใกล้ๆแถวๆนั้นหลงมา เพราะชื่อไม่เป็นทางการคนเขาเรียกวัดพุทธและวัดคริสต์เหมือนๆกัน
ผู้เขียนจึงชวนสภาภิบาลบางคนเอาเอกสารจดหมายไปคืนที่วัดนั้น วันนั้นจึงมีโอกาสเสวนากับเจ้าอาวาส
วัดนั้นและสามารถเข้าออกหยิบยืมของใช้กันได้ เคยไปขออนุญาตสวดแบบคริสต์กับเจ้าอาวาสท่านหนึ่งแล้ว
ท่านเชิญให้ไปคุยด้วยนานพอสมควร ภายหลังจึงทราบว่าท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด และมีโอกาสร่วมงานกับ
ท่านและพระลูกวัดนั้นบ่อยอยู่เหมือนกัน เชื่อไหมว่าปัญหาใหญ่ๆหลายเรื่องผู้เขียนแก้ตกเพราะผู้เขียนยกมือ
ไหว้ทักทายคน ปัญหาหลายเรื่องเกิดขึ้นเพราะผู้เขียนมีหน้าตาเป็นอาวุธบอกบุญไม่รับ แค่เห็นคนบางคนเขา
ก็เกลียดขี้หน้าคันบาทาขึ้นมาแล้ว และบังเอิญสิ่งที่กำลังทำหรือกำลังจะทำ คนๆนั้นเขาเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ที่
นั้นทำอย่างไรก็ไม่ผ่านเสียที จนต้องไปทักทายพูดคุยพอรู้จักกันรู้ถึงนิสัยใจคอกันทุกอย่างก็ราบรื่นดำเนินไป
ด้วยดี หลายๆเรื่องในชีวิตต้องแก้โดยอาศัยการค่อยๆแก้ปมเล็กๆน้อยๆไปเรื่อยๆก่อน เราจึงจะได้มีพลังมาก
พอในการแก้ไขปมปัญหาใหญ่ๆต่อไป เพราะปมปัญหาเล็กๆน้อยๆในชีวิตที่สะสมกันมากๆเข้าสามารถบั่นทอน
กำลังใจ ทำให้เราท้อแท้หมดกำลังที่จะต่อสู้ชีวิตได้เหมือนกัน ผู้ใหญ่ที่ผู้เขียนเคารพท่านหนึ่งบอกว่า “การยิ้ม
ทักทายผู้คน” “การยกมือไหว้” “การขอบคุณ” “การขอโทษ” แม้ในเรื่องเรื่องเล็กๆน้อยๆ” ไม่เคยขาดทุนมีแต่
กำไรและจะได้มาในสิ่งที่คาดไม่ถึงเสียด้วย ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อสมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 4:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 29, 2024 11:25 pm

( 3 )


“คิดให้ซึ้งถึงแก่นธรรม”

จากประสบการณ์ที่เคยพบปะผู้คนมามากมาย คิดว่ามีผู้คนมากมายชอบอะไรๆ
ที่ผิวเผินอะไรๆที่ง่ายๆ แต่ชีวิตจริงมันไม่ง่ายดายอย่างที่คิดมีหลายสิ่งหลายอย่างบังซ่อนอยู่ในใจคน
สิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าล้านมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เมื่อไม่นานมานี้พระสันตะปาปาฟรังซิส
ประมุขของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ได้ให้ข้อคิดในการตัดสิน “คนดี” “คนเลว”ไว้อย่างน่าฟัง
(เขียนตามความเข้าใจ ไม่ใช่การอ้างอิงนะครับ) “อย่าดูที่จุดเริ่มต้น” “อย่าดูที่ผลลัพธ์” ต้องดูที่กระบวน
การทั้งหมดของเรื่องนั้นๆ หลายๆคนภายนอกดูดี๊ดีแต่เบื้องหลังชีวิตใครจะรู้ได้ บางคนตอนเริ่มต้นดูแล้ว
น่าจะไปได้สวยแต่ผลลัพธ์กลับไม่ใช่ อีกบางคนไปถึงฝังฝันแล้วด้วยแต่ต่อไปอีกระยะหนึ่งกลับไม่ประสบ
ความสำเร็จ เคยพบหลายๆคนเป็นคนมีบุคลิกภาพดีเป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่ภายในกลับไม่เหมือนที่เรา
เห็นเป็นอยู่นั้น บางคนมีความสามารถมาก อาทิ พูดภาษาอังกฤษดีมากๆ อ่านนิตยสารภาษาอังกฤษ ซึ่ง
น่าจะเป็นตัวช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในด้านการเรียน แต่กลับเรียนไม่ค่อยดีไม่ค่อยได้ คนบางคน
ถ้าอยู่ด้วยกันแบบฉาบฉวยนานๆเจอกันทีดูน่ารักน่าคบหามาก แต่อย่าได้ไปอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องราวที
เดียวนะเป็นได้รู้เช่นเห็นชาติกันทีเดียว เคยพบคนๆหนึ่งเขามีความปรารถนาจะเป็นนั่นเป็นนี่แล้ววันหนึ่ง
ก็พบว่าเขาสามารถไปถึงฝังฝัน แต่น่าแปลกใจมากเพราะเขาไปสามารถสานฝันนั้นไปได้ตลอด เหมือน
เด็กอยากได้ของเล่นก็รบเร้าเอาจนได้ แต่พอได้มาได้อย่างใจแล้วก็ทิ้งมันไปอย่างง่ายดาย ชีวิตคนเรานั้น
ซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งจริงๆ เคยอ่านบทวิเคราะห์ของท่านผู้รู้หลายๆท่าน พอจะ
สรุปได้โดยทั่วไปว่า (ไม่นับคนโรคจิตซึ่งมีหลายประเภท และมีอาการต่างๆกันไป) บุคคลเหล่านี้มักจะคบ
บาปต้น เจ็ดประการเป็นเพื่อน ในพระวรสารกล่าวถึงคนดีแบบฟารีสี แต่งตัวดี สอนดี ท่าทางดี แต่จองหอง
คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นๆ ทะนงตนคิดว่าตนเองรู้ทุกอย่างเก่งทุกเรื่อง ดื้อรั้นใจแคบเมื่อมีความผิดพลาด
เกิดขึ้นก็จะโทษผู้อื่น โยนความผิดให้เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ความจริงความผิดอยู่ที่ตัวเองเพราะเขาไม่เคยคิดว่า
ตนเองผิด “ความผิดจึงไม่ได้รับการแก้ไข” บางคนเป็นคนขี้อิจฉาเห็นคนอื่นได้ดีแทนที่ตนเองจะเอาอย่าง
พยายามมากขึ้น แต่กลับไปนั่งคิดวางแผนกลั่นแกล้งชาวบ้าน คนจีนบอกว่าคนพวกนี้ “เจียะป้าบ่อสื่อจ่อ
เตี่ยมๆฉ่วยเห่งฉ่วยหัว” กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำชอบหาเรื่องชาวบ้าน ชีวิตคนมันซับซ้อนเช่นนี้คิดอะไรเห็น
อะไรต้องพิจารณาให้ซึ้งถึงแก่นธรรม ต้องมองดูกันไปนานๆก่อนจะตัดสิ้นอะไรลงไป
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อสมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 4:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 3 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 29, 2024 11:29 pm

( 4 )

สายสัมพันธ์แห่งความเป็นหนึ่งในพระตรีเอกภาพ

เมื่อพ่อแม่และครูคำสอนเริ่มปลุกฝังความเชื่อให้กับเรา สิ่งแรกที่พวกท่านทำคงเป็นการสอนให้เราทำ
เครื่องหมายสำคัญแห่งไม้กางเขน “เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน” แสดงว่า
พระธรรมล้ำลึกแรกๆที่ถูกปลุกฝังลงในจิตใจของเราคือ “พระธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพ” พระศาสน
จักรประกาศยืนยันความเชื่ออย่างชัดเจนว่า “เราเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว แต่มีสามพระบุคคล คือ พระบิดา
และพระบุตร และพระจิต ทั้งสามต่างและเท่าเสมอกันทุกประการ” พระธรรมล้ำลึกนี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก
ตามประสามนุษย์ เพราะสติปัญญาของมนุษย์มีขอบเขตจำกัดจนไม่สามารถเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า
ได้ทั้งหมด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าได้เลย ถ้าเราพิจารณา
แง่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เราจะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่หลอมรวมบุคคลหลายๆบุคคลให้เป็นหนึ่ง
เดียวกันได้ อาทิ สามีกับภรรยา พ่อแม่และลูก สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกันด้วยสายสัมพันธ์แห่งความรัก
ความรักรวมเราให้เป็นหนึ่ง ความรักสร้างความกลมเกลียวสัมพันธ์
ความเป็นหนึ่งเดียวของพระตรีเอกภาพก็เช่นเดียวกัน เกิดขึ้นในสายสัมพันธ์แห่งความรัก พระบิดาทรงรัก
พระบุตรและพระจิตจนมอบพระองค์ให้พระบุตรและพระจิตจนหมดสิ้น พระบุตรและพระจิตก็กระทำเช่นเดียวกัน
ทั้งสามพระบุคคลจึงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจนแยะจากกันมิได้ ความสัมพันธ์ตามประสามนุษย์เป็นความ
สัมพันธ์ที่เปราะบาง ซึ่งอาจจะเสื่อมสลายถ้ามีปัจจัยบางอย่างมาทำให้มันเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ตาม
ประสามนุษย์จึงต้องทะนุถนอมและดูแลอยู่เสมอ แต่ความสัมพันธ์ของพระเจ้าเป็นนิรันดรไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ถ้าเราสังเกตุเราจะพบว่าแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ทางด้านของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็จะมีเฉพาะทางด้านของมนุษย์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ถ้าเราต้องการทำให้ความสัมพันธ์
ตามประสามนุษย์ยั่งยืน จะต้องดำเนินชีวิตเลียนแบบสายสัมพันธ์ของพระเจ้าและดำรงอยู่ในสายสัมพันธ์ของ
พระองค์
การเผยแสดงทางพระคัมภีร์ทำให้เราเห็นชัดเจนเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกเรื่องพระตรีเอกภาพ “จงยินดีเถิดท่าน
ผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน.....ท่านจะตั้งครรภ์และกำเนินบุตรชาย...เขาจะเป็น...พระเจ้าสูงสุด............พระจิตเจ้าจะ
เสด็จลงมาเหนือท่าน”(ลก.1:28-35) “พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง...พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ...พระจิตเจ้าเสด็จลง
มาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ....มีเสียงจากฟากฟ้า.....ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา”(มก.1:9-11) การเผยแสดงทาง
พระคัมภีร์ยังมีอีกหลายตอนที่เผยให้เราทราบว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวมีสามพระบุคคล “ทำพิธีล้างบาปให้เขา
เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต”(มธ.28:19) เนื่องจากการเผยแสดงชัดเจนเช่นนี้ เราจึงต้องตระหนัก
ว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าความพยายามเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างครบถ้วน คือการเนินชีวิตในความ
สัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนพี่น้อง และนี่เครื่องพิสูจน์สัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า การปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้เรามี
ประสบการณ์ความเชื่อในสายสัมพันธ์กับพระเจ้า และมีความเข้าใจในพระธรรมเกี่ยวกับพระองค์ซึ่งเกิน
สติปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกๆวัน
พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 4:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 29, 2024 11:39 pm

( 5 )

“อย่าขายจิตวิญญาณให้ปีศาจซาตาน”

วิธีพิสูจน์ความจริงมีการพัฒนาตามยุคตามสมัย ขึ้นอยู่กับผู้คน
ในยุคในสมัยนั้นต้องการอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ ก่อนพระเยซูคริสตเจ้าจะเสด็จสู่สวรรค์ ได้มอบพันธกิจ
สำคัญให้บรรดาอัครสาวกและบรรดาศิษย์ในการประกาศข่าวดี และพระองค์บอกกับบรรดาอัครสาวก
และบรรดาศิษย์ว่า “พระองค์จะรับรองการประกาศข่าวดีและคำสอนของพวกท่านด้วยเครื่องหมาย
อัศจรรย์ที่ตามมา” แสดงว่าในสมัยนั้นผู้คนต้องการอัศจรรย์เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง บางยุคบางสมัย
ต้องการพิสูจน์ด้วยประสาททั้งห้า ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรสได้ และสามารถสัมผัสได้จึงจะ
ยอมเชื่อ มาถึงยุคสมัยของเราถ้าใครเรียกร้องการพิสูจน์ด้วยประสาททั้งห้า คิดว่าคนนั้นน่าจะเป็นคนหลง
ยุดไปเสียแล้ว เพราะเรามีเครื่องมือที่สามารถรับเสียงรับภาพจากความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่อยู่รอบตัวเราได้
ครั้งหนึ่งมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งมาถามว่า “พ่อครับเราสามารถเชิญพระสงฆ์ไปเสกบ้านของคนที่ไม่ใช่คาทอลิก
และเอาไม้กางเขนที่เสกแล้วไปติดหน้าบ้านของเขาด้วยได้ไหมครับ” คำตอบคือ “ได้แต่เขาจะยอมหรือ
เปล่าหละ” และในที่สุดก็คุยกันถึงเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้นในครอบครัวนั้น คนในบ้านคนหนึ่งผ่านไป
บริเวณ 3 แยก หรือ 4 แยกเฮี้ยนมากๆ แล้วพูดท้าทายว่า “เฮ้อ ที่ว่าเฮี้ยนนะจริงหรือเปล่าวะ ถ้าแน่จริงขอ
ให้กูถูกหวยร่ำรวยหน่อยสิวะ แล้วจะเอาอะไรบอกกูๆจะเอามาให้” คืนวันนั้นนอนๆอยู่คนนั้นเขาได้ยินว่า
“ต้องการจริงหรือเปล่า” ถ้าต้องการ “มึงไปเอา..และเชิญมาไว้ที่บ้านและเอาของ..มาเส้นไหว้กู” หลังจากนั้น
ก็ถูกหวยค้าขายเงินทองไหลมาเทมา แต่ข้อเรียกร้องของมันค่อยๆหนักขึ้นแปลกขึ้นจนทำให้คนนั้นทำไม่ได้
รับไม่ได้ ประจวบเหมาะกับลูกหลานในบ้านมารู้จักกับเพื่อนรุ่นน้องคนนั้น และเริ่มสวดภาวนาบทง่ายๆได้
จึงไปชวนคนในบ้านสวดภาวนาถึงตอนนี้สถานการณ์ในบ้านเริ่มเลวร้ายและแย่ลง คนในบ้านเริ่มป่วยเริ่ม
เกิดเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น แต่หลังจากทำการเสกบ้านและเอาไม้กางเขนที่เสกแล้วไปติดไว้ที่บ้านหลังนั้น
ทุกอย่างดีขึ้นเข้าสู่สภาวะปกติอย่างที่เคยเป็น เพื่อนรุ่นพี่อีกท่านหนึ่งมีประสบการณ์เคยพบคนเล่นของไสย
ศาสตร์ คนๆนั้นสามารถอ่านอักขระโบราณที่เขียนไว้บนเครื่องรางของขลังทั้งหลายได้ เมื่อแปลออกมาจะมี
บางช่วงบางตอนเขียนเป็นเงื่อนไขว่า “ถ้าได้รับหรือทำได้อย่างนั้นอย่างนี้ได้แล้ว จะต้องยอมเป็นอย่างนั้นเป็น
อย่างนี้ ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ เอาโน้นเอานี่มาให้มัน ตามที่มันต้องการ” คือขายจิตวิญญาณยอมเป็นทาสของ
มันนั่นแหละ เราคงจำได้ซาตานมันเคยประจญพระเยซูคริสตเจ้าว่า “ อาณาจักรทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้
มันจะให้พระองค์ทั้งหมดเลย แต่ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พระองค์กราบไหว้มันเป็นพระเจ้า” ที่เขียนเรื่อง
นี้มาเล่าสู่กันฟัง เพราะคนบางคนแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ จนยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงขนาดขายจิต
วิญญาณให้ปีศาจซานตานยอมเป็นทาสของมัน แน่นอนที่สุดการทำเช่นนี้คือการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า
และพระศาสนจักรของพระองค์ เพราะพระเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์เป็นฝ่ายที่ปีศาจซาตานมันต้องการ
โค่นล้มมากที่สุด พวกเราจึงต้องระวังตัวเอาไว้มากๆอย่าไปข้องแวะกับมันนะครับ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 4:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 29, 2024 11:42 pm

( 6 )

การประทับอยู่ขององค์พระจิตเจ้า

พระจิตเจ้าพระบุคคลที่ 3 ในพระตรีเอกภาพ เป็นการยากที่เราจะอธิบายสิ่งที่เป็นจิต เพราะเราไม่สามารถ
รับรู้โดยระบบประสาททั้งห้าของเรา (sensation) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้ยิน
ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่สามารถสัมผัสได้ สิ่งนั้นจะไม่มีอยู่ ในปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารสังคมออนไลน์
มันลบคำตอบนี้ไปนานแล้ว เมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอากาศที่ว่างเปล่า แต่เชื่อไหมในความว่างเปล่ามัน
มีอะไรอยู่มากมายเกินกว่าที่เราจะคาดเดาได้ แต่ถึงกระนั้นการอธิบายเรื่องการประทับอยู่ของพระจิตเจ้า
ตามประสามนุษย์ก็ยังเป็นสิ่งที่ยากอยู่ดี ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงพยายามอธิบายการประทับอยู่ขององค์
พระจิตเจ้า โดยอาศัยผลงานของพระองค์ และโดยอาศัยสัญลักษณ์
“วันต้นสัปดาห์ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่เพราะกลัวชาวยิว”(ยน.20:19) หลังจากพระ
จิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือบรรดาอัครสาวกแล้ว พวกท่านประกาศข่าวดีอย่างกล้าหาญ “เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับ
บรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียงดังว่า......พระเยซูเจ้า........กลับคืนพระชนมชีพ
พ้นจากอำนาจแห่งความตาย”(กจ.2:14-24) พระจิตเจ้าประทานความกล้าหาญให้กับบรรดาอัครสาวก
“ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิว....มาจากทุกชาติทั่วโลก...ชาวมีเดีย...แคว้นเอเชีย....ประเทศอียิปต์..
เราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา”(กจ.2:5-11) ความสับสนทาง
ภาษาจนสื่อสารกันไม่รู้เรื่องในหนังสือปฐมกาลบทที่ 11 ได้รับการแก้ไขในพระธรรมใหม่โดยทางพระจิตเจ้า
พระองค์จึงเป็นพลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์ ในหนังสือกิจการอัครสาวกยังได้เล่าถึงกิจการ
ของอัครสาวกซึ่งเป็นผลงานของพระจิตเจ้าไว้อีกมากมาย ผลงานเหล่านี้ล้วนแสดงถึงการประทัปอยู่ของ
พระองค์ท่ามกลางเรา “ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า จงรับพระจิตเจ้าเถิด”
(ยน.:20:22) เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะประทานพระจิตเจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวก พระองค์ทรงเป่าลมเหนือ
พวกเขา ถามว่าทำไม คำตอบก็คือพระจิตเจ้าเป็นจิต ถ้าตรัสเฉยๆว่า “จงรับพระจิตเจ้า” บรรดาอัครสาวก
จะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ประทานพระจิตเจ้าให้ เพราะมนุษย์รับรู้ด้วยประสาททั้งห้า การเป่าลมหรือ
ลมปราณจึงเป็นเครื่องของพระจิตเจ้า ซึ่งเป็นลมปราณชนิดเดียวกันที่พระเป็นเจ้าระบายเข้าทางจมูกของ
มนุษย์ และทำให้มนุษย์มีชีวิตเหมือนกับที่ในหนังสือปฐมกาลเล่าไว้ ลมปราณจึงเป็นเครื่องหมายแห่งชีวิต
หลังจากที่มนุษย์ทำบาปมนุษย์ตายในบาป เป็นการตายฝ่ายจิตวิญญาณ หลังที่พระเยซูคริสตเจ้ากลับคืน
พระชนมชีพ พระองค์ได้ชัยชนะเหนือบาปและความตาย จึงประทานชีวิตใหม่ให้กับมนุษย์โดยระบายลม
ปราณใหม่ให้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์ประทานพระจิตเจ้าให้อัครสาวกแล้ว พระองค์จึงมอบอำนาจอภัยบาป
ให้ทันที “ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย”(ยน.20:23) เป็นเครื่องหมายว่า
พระเป็นเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ให้แก่มนุษย์โดยการอภัยบาป ศีลล้างบาปและศีลอภัยบาปได้ชื่อว่าเป็น
ศีลศักดิ์สิทธิ์ของผู้ตายฝ่ายวิญญาณ ใครเข้าไปรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยความเชื่อจะได้รับชีวิตใหม่กลับคืน
มาเพราะได้รับการอภัยบาป ขอให้เราคริสตชนเชื่อมั่นในการประทับอยู่ขององค์พระจิตเจ้า เปิดใจต้อนรับ
พระองค์ร่วมมือกับพระองค์ที่จะทรงเนรมิต ชีวิต มนุษย์ และแผ่นดินขึ้นใหม่ ทำให้โลกมีสันติสุขอย่างแท้จริง
พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 4:23 pm

( 7 )

สวรรค์ที่ประทับของพระเจ้า

“ในบ้านของพระบิดาของเรามีที่พำนักมากมาย ถ้าไม่มีเรามี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำลังไปเตรียมที่
ให้ท่าน…..เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย”(ยน14:2-3) ทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย
สวรรค์ และนรก ยังเป็นทัศนคติที่ยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่ลงตัว บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ และ
บางคนก็เชื่อตามทัศนคติของเขา วันนี้พระศาสนจักรสมโภชการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูคริสตเจ้า
เป็นการยืนยันว่าพระศาสนจักรมีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย สวรรค์ และนรก และเป็นการเน้นย้ำ
ว่าพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงตามทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเรา “สวรรค์มีที่อยู่มากมาย และเรากำลัง
กลับไปเตรียมไว้ให้พวกท่าน” การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูคริสตเจ้าจึงเป็นความหวัง เป็นกำลังใจ
สำหรับเราทุกๆคนที่จะดำเนินชีวิตติดตามพระองค์ บนหนทางแห่งไม้กางเขนด้วยความเพียรทนต่อ
ความทุกข์ยากลำบากต่างๆจนบรรลุเป้าหมายปลายทางแห่งชีวิต
คำสั่งของพระเยซูคริสตเจ้าก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ “ท่านทั้งหลายจงอกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้
มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น”(มก.16:15-16) จึงแสดงให้เห็นว่าเรื่องการไป
สวรรค์ ความรอดพ้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ต่างคนต่างไปต่างคนต่างทำ แต่เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยเหลือ
เกื้อกูลกัน นำพากันไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระเยซูคริสตเจ้าจึงสั่งไว้ว่านี่เป็นข่าวดีที่เราต้อง
ประกาศให้มนุษย์ทั้งปวงทราบ ทัศนคติของเราในเรื่องนี้จึงแตกต่างจากหลายๆศาสนาเป็นอย่างมาก
ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งเราจะพบว่าหลายๆศาสนา เรื่องความรอดพ้นการไปสวรรค์เป็นเรื่องที่ต่างคน
ต่างทำ ใครต้องการบรรลุถึงพระธรรมล้ำลึกสูงสุดนี้ก็ต้องหาวิธีการและบำเพ็ญตนกันเอง แต่สำหรับ
เราคาทอลิกนี่เป็นคำสั่งของพระเยซูคริสตเจ้าเอง ให้ประกาศออกไปทั่งโลกเพราะนี่เป็นข่าวดีของ
มนุษยชาติ และบอกด้วยว่าใครก็ตามที่ทำตามคำสั่งนี้พระองค์จะรับรองด้วยเครื่องหมายต่างๆที่ตามมา
“ทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ตามมา”(มก.16:20)
“ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ”(มก.16:16) ความเชื่อกับการปฏิบัติ
ตามคำสอนเป็นสิ่งแยกจากกันไม่ได้ เราเชื่ออย่างไรเราก็ปฏิบัติอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อในองค์พระเยซูคริสต
เจ้าเราก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ “ท่านทั้งหลายจงรักกันและกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน”
(ยน.15:12) ถ้าเรารักเพื่อนมนุษย์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา เราก็จะเป็นพยานถึงความรักของ
พระเจ้าต่อหน้ามนุษย์ทั้งมวล และนี้เป็นการประกาศข่าวดีด้วยชีวิตที่เป็นพยาน การประกาศข่าวดีเป็น
หน้าที่ของเราทุกคน เป็นข้อเรียกร้องตามบทบัญญัติแห่งความรัก ถ้าเรารักเพื่อนพี่น้องตามบทบัญญัติ
แห่งความรักจริง เราต้องให้แบ่งปันสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามีที่เราเป็นแก่เพื่อนพี่น้องของเรา และข่าวดีแห่ง
ความรอดพ้นก็คือสิ่งล้ำค่าที่สุดของเราที่เราจะต้องแบ่งปันให้กับมนุษย์ทั้งมวล ตามคำสั่งของพระเยซู
คริสตเจ้า เพื่อร่วมมือกับพระองค์ในการเสริมสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นนี้ ขอให้การเสด็จ
ขึ้นสวรรค์ของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นความหวัง เป็นกำลังใจให้เราในการเป็นเครื่องมือของพระองค์ ที่จะ
นำข่าวดีแห่งความรอดพ้นไปสู่มนุษยชาติจนสุดปลายแผ่นดิน ด้วยเพียรทนบนหนทางแห่งไม้กางเขน
จนถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิต คือสวรรค์นิรันดร
พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 5:03 pm

( 8 )

“การขอบคุณและขอโทษจากใจจริงเป็นสิ่งที่มีค่าล้ำ”

วลีสองวลีนี้เป็นวลีสั้นๆแต่มีความหมาย ใครก็ตามที่กล่าวออกมาจากใจจริงทั้งสมควรและไม่สมควร
ถือว่า “เป็นคนมีใจสูง” ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆที่เกิดในชีวิตของเรา สามารถหล่อหลอมเรา
ให้มีประสบการณ์เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ถ้าเราเปิดใจยอมรับและเรียนรู้ด้วยใจกว้างไม่จมอยู่กับความรู้สึก
และความคิดเดิมๆจนถอนตัวไม่ขึ้น บทความนี้จึงขอเล่าประสบการณ์ซึ่งอาจจะเป็นอุทาหรณ์ที่ช่วยให้
เราคิดเข้าใจชีวิตมากขึ้น เมื่อไม่นานนี้ได้ข่าวว่าพี่ชายจะลาออกจากงาน และย้ายไปอยู่บ้านของลูกสาว
กับภรรยาเป็นเอกเทศ เมื่อได้ข่าวเช่นนี้จึงสวดภาวนาให้กับพี่ชายและครอบครัว ขอให้การตัดสินใจครั้ง
นี้การตัดสินใจที่รอบคอบและขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์ วันหนึ่งพี่สาวส่งข่าว
มาว่า “พี่ชายหลังจากขี่รถมอเตอร์ไซกลับมาจากทำงาน ป่วยหนักขาอ่อนแรงลุกขึ้นเดินไม่ได้มีอาการเจ็บ
ปวดมาก” เมื่อได้ข่าวความรู้สึกแรกรู้สึกว่า “คำภาวนาของเราไม่เป็นผล” แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวโดย
ละเอียด รู้สึกทึ่งใจมากทีเดียว ประการแรก ทำไมพี่ชายขี่รถมอเตอร์ไซมาถึงบ้านโดยไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น
ระหว่างทาง อาการป่วยทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากมาถึงบ้านลงจากรถมอเตอร์ไซและเข้าบ้านแล้ว ประการ
ที่สอง ทำไมพี่ชายจึงไม่ย้ายไปอยู่บ้านลูกสาวซึ่งต้องอยู่คนเดียว เพราะภรรยากับลูกสาวต้องไปทำงานทั้งวัน
กลับบ้านตอนเย็นๆค่ำๆ ทั้งๆที่บอกว่าจะย้ายตอนสิ้นเดือนแต่วันที่เกิดเรื่องเป็นวันที่หนึ่งที่สองของเดือนใหม่
แล้ว ตอนแรกคิดว่า “พระเจ้าไม่ตอบสนองคำภาวนา” แต่ที่ไหนได้ “พระองค์ยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วย” จาก
ความเจ็บป่วยที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วเพราะสังขารอายุมากขึ้น ผ่อนหนักให้เป็นเบาไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและให้
อยู่ที่บ้านเดิมซึ่งมีพี่สาวสองคน และเพื่อนบ้านที่ดีมากมาช่วยเหลือทันท่วงที ลูกจึงต้องขอบคุณพระองค์อย่าง
ไม่รู้จบสิ้น เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ลูกไม่รู้ไม่เข้าใจ มัวแต่มุ่งความสนใจไปที่เรื่องแย่ๆจึงไม่เห็นเรื่องดีๆ
ที่พระองค์เตรียมไว้ให้ เคยมีคนขอความคิดเห็นทาง facebook “พระเจ้าให้โจทย์ยากมาก ให้ฉันไปขอโทษ
ทั้งๆที่ฉันไม่ผิดเลย” จึงให้ความเห็นไปว่า “การตัดสินว่า “ใครถูก” “ใครผิด” เป็นเรื่องยากมากๆ แม้เราอยู่
ในเหตุการณ์และมีความจริงอยู่ตรงหน้า เพราะมีความจริงอีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังชีวิตของแต่ละคนและ
เหตุการณ์นั้นซึ่งเราไม่รู้ เหมือนหน้าต่างชีวิต 4 บานของ “โจฮารี่” บานที่ 1 ฉันรู้ คนอื่นรู้ บานที่ 2 ฉันรู้ คนอื่น
ไม่รู้ (เป็นความลับ) บานที่ 3 ฉันไม่รู้ คนอื่นรู้ (คนอื่นเป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเรา) บานที่ 4 ฉันไม่รู้ คนอื่นไม่รู้
(พระเจ้ารู้) เราเป็นหรืออยู่หน้าต่างบานไหนหละ (อย่าเข้าข้างตนเองนะ มันตอบยาก) อย่าโทษพระเจ้าเลย
เพราะพระเยซูเจ้า ขอโทษ พระบิดา แทนเรา ขอพระบิดาให้อภัยพวกเรา ทั้งๆที่พระองค์ไม่มีความผิดอะไรเลย
(เราแน่ใจได้ 100 %) และที่สำคัญก็คือ “ใครก็ตามที่สามารถขอโทษผู้อื่นด้วยความจริงใจไม่พร่ำเพรื่อ ทั้งที่
ไม่ผิด (ในความรู้สึกของตนเอง) คนนั้นเป็นคนใจสูง” หวังว่าประสบการณ์เหล่านี้คงเป็นอุทาหรณ์ที่ช่วยเราให้
เข้าชีวิตมากขึ้น
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อสมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 5:08 pm

( 9 )

สัมพันธภาพกับพระเจ้า

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้กล่าวถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ โดยที่พระเยซูคริสตเจ้าได้เปรียบ
เทียบพระองค์เป็นเถาองุ่น และพวกเราแต่ละคนเป็นกิ่งก้าน “เราเป็นเถาองุ่นแท้......กิ่งองุ่นเกิดผลด้วย
ตนเองไม่ได้ ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็เกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น”(ยน.15:1,5)
พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาในความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งต้องพึ่งพิงอิงกันอยู่เสมอ ถ้าเราสังเกตุ
ธรรมชาติของสัตว์โดยทั่วไปมันมักจะอยู่กันเป็นฝูง ถ้าเราพบว่าตัวไหนแยกฝูงไปไหนมาไหนตัวเดียว
แสดงว่าสัตว์ตัวนั้นต้องมีอะไรพิเศษ อาจจะดุร้าย เข้มแข็ง หรือมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเราเจอสัตว์
ประเภทนี้เราต้องระวังตัวมากๆเข้าไว้ มนุษย์ก็เช่นเดียวกันใครก็ตามที่ชอบแยกตัวอยู่ต่างหากไม่สังคม
กับผู้อื่น เราสามารถอนุมานได้ทันทีว่า คนๆนั้นต้องมีปัญหาอะไร ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาเรื่องบุคลิกภาพ
หรือปัญหาเรื่องจิตใจ ปัญหาเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมแปรปรวนซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้
มนุษย์ไม่สามารถมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า ถ้ามนุษย์ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีกับมนุษย์ด้วยกันเอง
“ถ้าผู้ใดพูดว่า ฉันรักพระเจ้า แต่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ที่ไม่รักพี่น้องที่
เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้”(1ยน.4:20) สัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าจึงต้องเริ่มต้น
จากสัมพันธภาพกับมนุษย์ด้วยกันก่อน และสัมพันธภาพกับมนุษย์นี่แหละจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรามีสัม
พันธภาพที่ดีกับพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นต้องปฏิบัติตามวาจาของเรา”(ยน.14:22) วาจา
ของพระเยซูคริสตเจ้าก็คือบทบัญญัติแห่งความรัก ซึ่งสอนให้เรารักกันและกันเหมือนพระองค์ทรงรักเรา
เมื่อพระเยซุคริสตเจ้าทรงสอนเรื่องความสัมพันธ์ของเถาองุ่นและกิ่งก้าน ซึ่งพระองค์ทรงยกขึ้นมาเปรียบ
เทียบให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์ที่แยกจากกันไม่ได้ ถ้าขาดพระองค์แล้วเราจะเหี่ยว
แห้งและตายไปในที่สุด “ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา.....จะเหี่ยวแห้งไป กิ่งเหล่านั้นจะถูกเก็บทิ้งในไฟและ
ถูกเผา”(ยน.15:6) พระองค์ได้ทรงสอนเรื่องสัมพันธภาพที่ดีเกิดจากการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งความรัก
ทันที “ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา”(ยน.15:10) แสดงว่าทั้ง
สองเรื่องมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนแยกจากกันไม่ได้
สัมพันธภาพที่ดีระหว่างเรากับพระเจ้าจะทำให้ชีวิตของเราเกิดผล “ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ใน
เขาก็ย่อมเกิดผลมาก”(ยน.15:5) ผลที่เกิดจากสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าก็คือ ความรักความเป็นหนึ่งเดียว
ของพวกเรานั่นเอง เพราะสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าและมนุษย์เป็นสองสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล และเป็นบทพิสูจน์
ของกันและกันอยู่เสมอ เพราะนั้นความศรัทธาที่แท้จริงจึงแสดงออกด้วยคุณภาพแห่งความรัก ที่เรารักเพื่อน
พี่น้องของเรามากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ที่วัดกันที่ท่าทางที่เราแต่ละคนแสดงออกภายนอก หรือวัดกันที่ปริมาน
กิจศรัทธาที่เราปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวถึงนี้มันจะเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงถึงกันตลอด
เวลาอยู่แล้ว ถ้าเรารักพระเจ้าจริงเราต้องปฏิบัติกิจศรัทธาด้วยความกตัญญูรู้คุณพระองค์ และปฏิบัติตามคำ
สอนของพระองค์ ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ก็หมายความว่าเราต้องรักกันและกัน เพราะนี่คือ
พระบัญญัติเอกของพระเยซูคริสตเจ้า
พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2024 5:13 pm

( 10 )


“บ้านชายน้ำ”

ย้ายมาอยู่บ้านริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยาได้หลายเดือนแล้ว เรียกง่ายๆว่า “บ้านชายน้ำ” ตอนแรกๆดูเหมือนว่า
จะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าใด แต่เวลานี้เริ่มติดใจไม่อยากย้ายกลับไปอยู่บ้านที่กำลังจะสร้างเสียแล้ว
หน้าบ้านมีสนามหญ้าซึ่งกลายเป็นสวนเล็กๆ ที่สามารถพักผ่อนปล่อยอารมณ์ให้สดชื่นไปกับความงดงาม
ของธรรมชาติ ดอกไม้ต่างๆเริ่มผลิบานสีสันสวยสดงดงาม ดอกบานชื่นซึ่งคิดว่าคงจะไม่ได้มีโอกาสเชยชม
ดอกของมัน บัดนี้มันออกดอกใหญ่บ้างเล็กบ้างตามความสมบูรณ์ของต้น ดอกไม้สีเหลืองดอกคูณดอกทอง
อุไรดอกไม้ฤดูร้อนออกดอกเบ่งบานเต็มที่ เหลืองอร่ามสวยสดงดงามจนเริ่มมีคนมาถ่ายติ๊กต๊อก ยามเย็น
ออกไปเดินออกกำลังกายและศึกษาชีวิตของผู้คนบนเขื่อน ดูคนย้อนคิดถึงตนเองชีวิตไม่มีอะไรแตกต่างกัน
มากนักเราเป็นคนเท่ากัน ข้าฯอยู่ชายน้ำแต่หลายๆคนบนเขื่อนพวกเขาอยู่ชายขอบของสังคม ชีวิตจึงเหมือน
กับถูกต้อนไปต้อนมาอย่างไรบอกไม่ถูก จากบ้านอับราฮัมไปวัดซางตาครู้ส จากวัดซาตาครู้สมาวัดดวงหทัย
นิรมลของแม่พระ ปากลัด จากบ้านข้างบนลงมาอยู่ชายน้ำ จากบ้านชายน้ำนั่งยังไม่ทันก้นร้อนก็เกือบจะต้อง
ถูกต้อนไปที่ไหนอีกไม่รู้ บ้านนี้มาอยู่ถึงชายน้ำแล้วถ้าจะต้อนกันอีกคงต้องลงไปในแม่น้ำทะเลปากอ่าวไทย
สภาพเช่นนี้ในความคิดคำนึงรู้สึกแย่ๆเหมือนกัน แต่เมื่อมีโอกาสได้ไปทัศนาชีวิตของหลายๆคนบนเขื่อน
ชีวิตของเราที่คิดว่าแย่ๆยังดีกว่าชีวิตของพวกเขาตั้งเยอะต้องเรียกว่า “โครตดี ดีโครตๆ” พบชายคนหนึ่ง
บนเขื่อนเขาเดินเข้ามาทักทายว่า ”สวัสดีครับ Boss (เจ้านาย) Boss เดินดีขึ้นมากเลยนะครับ” ไม่รู้ว่า “
เขาไปถามใครมาหรือเฝ้าสังเกตเราตั้งแต่เมื่อไร” แต่ช่างเถอะที่สำคัญเขาบอกเราว่า “Boss ครับผมขอไป
นอนตรงที่นั่งหลังบ้านของ Boss หน่อยนะมันเย็นดี แล้ว Boss อย่าไล่ผมหละ” มีโอกาสเจอหญิงชราอีกคน
หนึ่งบ่นเสียงพึมพำว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน ร้อนจนไม่รู้จะหนีไปอยู่ที่ไหน จึงมาอยู่ใต้ต้นไม้เนี่ย พักลมไฟฟ้า
ก็พัง พักลมมือก็พักจนมือจะหงิกอยู่แล้ว ไม่หายร้อนสักที นี่คุณยังดีนะคุณมีห้องแอร์” (ไม่รู้เขารู้ได้อย่างไร)
มีหลายๆคนมาตกปลาหากับข้าวกินไปมื้อๆหนึ่ง เด็กผู้หญิงที่น่าจะอนาคตไกลบางคนเห็นแล้วนึกสงสาร
เพราะเห็นการแต่งตัวแล้วก็พอจะเดาออกว่ามีอาชีพอะไรเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ไวเหมือนนินจา ตอนเดินขาไป
แต่งอีกแบบหนึ่งตอนกลับมาแต่งอีกแบบหนึ่งห่างกันไม่ถึง 2 นาที บุคคลเหล่านี้ ความยากจน ความจำเป็น
หลายประการ คงต้อนพวกเขามาถึงชายขอบของสังคม แม้ข้าฯถูกต้อนมาด้วยความอยุติธรรม และอคติ
มากมายในใจของคน แต่ข้าฯยังรู้ว่าข้าฯจะไปไหนไปทำอะไร ส่วนคนเหล่านี้พวกเขาไม่รู้ว่าจะไปไหนสุด
แต่สายลมแสงแดดจักนำพา แดดส่องมาร้อนก็หลบ ต้องการแดดก็เดินเข้าหา เพราะตัวเปียกปอนในชุด
เก่าๆนั้นเปลี่ยนไม่ได้จนกว่าจะขาดจะใส่ไม่ได้ รู้สึกร้อนก็มานั่งตา-กลมตากลมกันบนเขื่อน ข้าแต่พระเจ้า
ลูกขอบคุณพระองค์ ผู้ทรงเลี้ยงนกกระจอกมากมายหลายฝูงและไม่ยอมปล่อยให้พวกมันอดตาย ขอทรง
เมตตาสรรพชีวิตที่ยากไร้เหล่านี้ด้วยเทอญ อาแมน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ตอบกลับโพส