( 1 )
“ถอดบทเรียนจาการตัดต้นโพธิ์ใหญ่”
เคยไปพบบ้านหลังหนึ่งที่มีกำแพงแปลกมาก กำแพงโดยรอบมันเป็นเหมือนกำแพงทั่วไปนั่นเอง
แต่มีด้านหนึ่งแปลกมากเพราะตรงแนวกำแพงมีต้นโพธิ์ใหญ่ยืนต้นตระหน่างอยู่ เขาสร้างกำแพง
ไปจนเกือบถึงต้นโพธิ์จากนั้นหักมุมกำแพงเข้าในบ้านจนด้านนั้นพ้นต้นโพธิ์แล้ว จึงสร้างกำแพงต่อ
พอเลยต้นโพธิ์ต้นนั้นจึงหักออกไปอยู่ที่แนวกำแพงแนวเดิมและสร้างต่อไปจนเสร็จ กำแพงด้านนั้น
จึงมีกรอบสี่เหลี่ยมตรงต้นโพธิ์เปิดด้านนอกบ้านไว้ เหมือนจงใจเว้นที่ไว้ปลุกต้นโพธิ์อย่างนั้นแหละ
ตอนผู้เขียนไปพบเจ้าของบ้านกำลังหาวิธีการตัดต้นโพธิ์ต้นนั้นลงอยู่ เพราะรากของมันเริ่มเป็น
อันตราย ต่อกำแพงและตัวบ้านเสียแล้ว เชื่อไหมว่าไปจ้างคนมาตัดต้นโพธิ์ต้นนั้นมันยากเย็นแสนเข็น
เพราะเวลาผู้รับจ้างมาเห็นต่างส่ายหัวแล้วคืนเงินให้ไม่กล้าตัดต้นโพธิ์ต้นนั้น เพราะบริเวณใกล้ๆต้น
โพธิ์ต้นนั้นเริ่มมีศาลน้อยใหญ่มาเรียงรายอยู่เสียแล้ว ผู้เขียนสนใจจึงไปถามผู้รับผิดชอบบ้านตอนนั้นว่า
“ทำไมไม่ตัดตั้งแต่ก่อนสร้างบ้าน” ท่านตอบว่า “ท่านไม่ทราบเหมือนกัน” จนในที่สุดต้องไปพึ่งผู้มีบารมี
ในย่านนั้นให้ไปช่วยหาคนมาตัดให้ และกว่าจะตัดต้นโพธิ์นั้นสำเร็จต้องใช้เวลานาน เพราะต้องมีกรรม
วิธีมากมาย “ต้องไปเจรจากับชาวบ้าน” เพราะชาวบ้านเชื่อว่าต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีเทพสถิตอยู่
ระหว่างตัด “ตัดๆหยุดๆ” เพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเดี๋ยวคนงานโดนเลื่อยบาด ตกต้นไม้ ฯลฯ จน
ตัดสำเร็จหลังจากนั้นต้องทำให้มันตายสนิทด้วยวิธีการมากมาย ตอนนี้ตายหรือยังก็ไม่รู้เหมือนกัน นัก
คิดหลายๆท่านแนะนำว่าเมื่อรู้สึกว่ามีสิ่งไม่ดีนิสัยไม่ดีก่อตัวขึ้นในชีวิตในจิตใจ ต้องเริ่มกำจัดมันตั้งแต่
ตอนต้นๆอย่าปล่อยให้มันก่อตัวหยั่งรากลึกมันจะตัดยาก เหมือนต้นโพธิ์ต้นนั้นตอนแรกมันก็เหมือนต้นไม้
โพธิ์ทั่วไป ที่เราจะเห็นมันขึ้นอยู่บนหลังคาวัดเก่าๆตามซอกกำแพง เพราะนกมันกินลูกโพธิ์ลุกไทรแล้วมัน
มาขี้ทิ้งเมล็ดไว้ เราต้องรีบทำลายตั้งแต่มันยังอ่อนๆ ถ้าปล่อยไว้บ้านหรือวัดของเราอาจจะพัง และเมื่อมัน
ใหญ่มากๆคนจะกลัวเพราะมันกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไปเสียแล้ว มีหลายสิ่งอย่างที่มันงอกขึ้นในชีวิต
ในจิตใจเหมือนต้นไม้ จากต้นอ่อนมันจะค่อยๆเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ อาทิ ความวิตกกังวล ความกลัว นิสัย
ไม่ดีต่างๆ ฯลฯ ถ้าพบว่ามันเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่แล้วเราอย่าไปตัดโค่นมันโดยตัดที่โคนต้นนะครับ
เพราะความใหญ่ยักษ์กิ่งก้านสาขาของมันจะล้มฟากลงถูกต้นไม้ดีๆรอบข้างหักเสียหายตายไปด้วย เรา
ต้องค่อยๆตัดทอนกิ่งเล็กกิ่งน้อยออกไปเรื่อยๆตามลำดับเริ่มจากกิ่งเล็กๆก่อน จนเหลือแต่ต้นของมันแล้ว
ค่อยตัดโดนต้นลงเราจึงสามารถตัดมันได้สำเร็จ หลังจากนั้นจึงค่อยๆตัดรากถอนโคน ต้นโพธิ์ต้นนั้นเขาก็
ใช้วิธีการตัดอย่างที่เล่าให้ฟังนี่แหละ และถ้าตัดตั้งแต่ตอนปรับพื้นที่สร้างบ้านมันคงไม่มีปัญหาเรื่องราวยาว
เป็นมหากาพย์เช่นนี้ หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจจะช่วยบางคนที่กำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างในชีวิตอยู่
อาทิ ลดความกลัว ความวิตกกังวล ฯลฯ โดยเริ่มแก้ไขจัดการกับปัญหาเล็กๆก่อนเพราะเล็กๆนี่แหละที่บั่น
ทอนกำลังใจของเราในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ แล้วเมื่อมีพลังกลับมามากพอเราจึงค่อยจัดการกับปัญหา
ใหญ่ๆต่อไป ผู้เขียนเคยทำสำเร็จมาแล้วในเรื่องการกินยานอนหลับ โดยค่อยๆลดปริมาณลงจนเวลานี้
ได้ผล เป็นที่น่าพอใจแล้ว ขอเป็นกำลังให้ทุกๆท่านประสบความสำเร็จดังใจหมาย
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
บทความดีๆโดย คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( 1 )
( 2 )
ผู้เลี้ยงแกะที่ดี
ภาพพจน์ของผู้เลี้ยงแกะที่เดินนำหน้าฝูงแกะนำไปยังแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ พร้อมที่จะเผชิญภัย
ปกป้องฝูงแกะของตน ยังเป็นภาพที่ตราตรึงใจประชาชนชาวอิสราเอลอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์
จึงใช้ภาพพจน์ของผู้เลี้ยงแกะที่ดี ในการอธิบายความรัก ความห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อประชากรของ
พระองค์อยู่บ่อยๆ ในเพลงสดุดีที่ 23 ในหนังสือประกาศกเอเสเคียล ประกาศกอิสยาห์ ฯลฯ พระเยซู
คริสตเจ้าทรงทราบดีจึงใช้ภาพของผู้เลี้ยงแกะที่ดี เพื่ออธิบายพันธกิจของพระองค์ซึ่งได้รับมอบหมาย
จากบิดา ความรักและความห่วงใยที่พระองค์มีต่อมนุษยชาติเช่นเดียวกัน “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยง
แกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน”(ยน.10:11) เมื่อกล่าวถึงผู้เลี้ยงแกะตามภาพพจน์ที่พระคัมภีร์กล่าว
ถึง เรามักจะเพ่งความสนใจไปที่ผู้นำของพระศาสนจักรในลำดับชั้นต่างๆ พระสันตะปาปา พระสังฆราช
พระสงฆ์ และนักบวชชายหญิง แต่ความจริงแล้วแบบอย่างชีวิตที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงให้ไว้ในฐานะผู้
เลี้ยงแกะที่ดี ยังหมายถึงทุกๆคนที่ต้องปกครองดูแลผู้อื่น โดยนัยนี้เราแต่ละคนจึงเป็นทั้งผู้เลี้ยงแกะและ
แกะในฝูงตามสถานภาพและสถานการณ์ ดังนั้นคุณลักษณะของผู้เลี้ยงแกะที่ดีที่พระเยซูคริสตเจ้าทรง
ให้ไว้จึงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเราทุกคน
การยอมสละชีวิตเพื่อแกะของตน พระเยซูคริสตเจ้าผู้เลี้ยงแกะที่ดีของเรา ทรงยอมมอบทุกสิ่งสละชีวิต
เพื่อช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช พ่อแม่ ผู้ปกครอง ทั้งหลายจึงต้องเป็น
ผู้เสียสละเพื่อผู้ที่อยู่ในความปกครองดูแลของตน การเป็นผู้อภิบาลแห่งความรักที่พร้อมจะสละเวลาเพื่อ
อภิบาลสัตบุรุษ ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวเพื่อปกป้องคนดี และยืนยันความถูกต้อง จึงเป็นคุณลักษณะที่
สำคัญของพระสังฆราช พระสงฆ์ และผู้อภิบาลทั้งหลาย พ่อแม่ผู้ปกครองที่ดีต้องให้เวลา ยอมสละความ
สะดวกสบายส่วนตัว เพื่อลูกๆและผู้ที่อยู่ในการปกครองดูแล การยอมสละชีวิตจึงหมายถึงการยอม
ลำบาก ยอมสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อความดีของแกะในฝูงของตน
การรู้จักแกะและแกะก็รู้จักผู้เลี้ยง พระสังฆราช พระสงฆ์ ผู้อภิบาลทั้งหลาย ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข เข้าใจ
ปัญหา และความต้องการของสัตบุรุษที่ตนดูแล พ่อแม่ผู้ปกครองต้องรู้ความต้องที่แท้จริง เข้าใจปัญหา
และไวต่อความรู้สึกของลูกๆ และผู้ที่อยู่ในการปกครองดูแล ในทางตรงกันข้ามสัตบุรุษ ผู้น้อย ลูกๆ ต้อง
ฟังคำสอน คำตักเตือนของพระสังฆราช พระสงฆ์ ผู้อภิบาล พ่อแม่ และผู้ปกครองด้วยความเคารพเชื่อฟัง
ผู้เลี้ยงเดินนำหน้าฝูงแกะ หมายถึงการเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบ ผู้เลี้ยงแกะที่ดีจึงต้องนำฝูงแกะของ
ตนไปในที่ๆปลอดภัย มีน้ำหญ้าหรืออาหารที่อุดมสมบูรณ์ และคอยปกป้องดูแลฝูงแกะของตนให้ปลอดภัย
ดังนั้นถ้าเราแต่ละคนพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างตามบทบาทหน้าที่ของเราดั่งผู้เลียงแกะ และแกะที่ดีอย่าง
ที่พระเยซุคริสตเจ้าทรงสอน แน่นอนที่สุดเราจะสามารถก้าวหน้าไปบนหนทางที่ปลอดภัยจนบรรลุเป้าหมาย
ปลายทางแห่งชีวิต เพราะการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันของเรา จะเป็นการดำเนินชีวิตในความรักช่วยเกื้อกูล
กันตลอดเวลา การดำเนินชีวิตอย่างนี้จะนำมาซึ่งสันติสุข จนกระทั้งจะมีแกะเพียงฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงแกะ
เพียงคนเดียวคือองค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีแบบอย่างชีวิตของเรา
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ผู้เลี้ยงแกะที่ดี
ภาพพจน์ของผู้เลี้ยงแกะที่เดินนำหน้าฝูงแกะนำไปยังแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ พร้อมที่จะเผชิญภัย
ปกป้องฝูงแกะของตน ยังเป็นภาพที่ตราตรึงใจประชาชนชาวอิสราเอลอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์
จึงใช้ภาพพจน์ของผู้เลี้ยงแกะที่ดี ในการอธิบายความรัก ความห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อประชากรของ
พระองค์อยู่บ่อยๆ ในเพลงสดุดีที่ 23 ในหนังสือประกาศกเอเสเคียล ประกาศกอิสยาห์ ฯลฯ พระเยซู
คริสตเจ้าทรงทราบดีจึงใช้ภาพของผู้เลี้ยงแกะที่ดี เพื่ออธิบายพันธกิจของพระองค์ซึ่งได้รับมอบหมาย
จากบิดา ความรักและความห่วงใยที่พระองค์มีต่อมนุษยชาติเช่นเดียวกัน “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยง
แกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน”(ยน.10:11) เมื่อกล่าวถึงผู้เลี้ยงแกะตามภาพพจน์ที่พระคัมภีร์กล่าว
ถึง เรามักจะเพ่งความสนใจไปที่ผู้นำของพระศาสนจักรในลำดับชั้นต่างๆ พระสันตะปาปา พระสังฆราช
พระสงฆ์ และนักบวชชายหญิง แต่ความจริงแล้วแบบอย่างชีวิตที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงให้ไว้ในฐานะผู้
เลี้ยงแกะที่ดี ยังหมายถึงทุกๆคนที่ต้องปกครองดูแลผู้อื่น โดยนัยนี้เราแต่ละคนจึงเป็นทั้งผู้เลี้ยงแกะและ
แกะในฝูงตามสถานภาพและสถานการณ์ ดังนั้นคุณลักษณะของผู้เลี้ยงแกะที่ดีที่พระเยซูคริสตเจ้าทรง
ให้ไว้จึงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเราทุกคน
การยอมสละชีวิตเพื่อแกะของตน พระเยซูคริสตเจ้าผู้เลี้ยงแกะที่ดีของเรา ทรงยอมมอบทุกสิ่งสละชีวิต
เพื่อช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช พ่อแม่ ผู้ปกครอง ทั้งหลายจึงต้องเป็น
ผู้เสียสละเพื่อผู้ที่อยู่ในความปกครองดูแลของตน การเป็นผู้อภิบาลแห่งความรักที่พร้อมจะสละเวลาเพื่อ
อภิบาลสัตบุรุษ ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวเพื่อปกป้องคนดี และยืนยันความถูกต้อง จึงเป็นคุณลักษณะที่
สำคัญของพระสังฆราช พระสงฆ์ และผู้อภิบาลทั้งหลาย พ่อแม่ผู้ปกครองที่ดีต้องให้เวลา ยอมสละความ
สะดวกสบายส่วนตัว เพื่อลูกๆและผู้ที่อยู่ในการปกครองดูแล การยอมสละชีวิตจึงหมายถึงการยอม
ลำบาก ยอมสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อความดีของแกะในฝูงของตน
การรู้จักแกะและแกะก็รู้จักผู้เลี้ยง พระสังฆราช พระสงฆ์ ผู้อภิบาลทั้งหลาย ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข เข้าใจ
ปัญหา และความต้องการของสัตบุรุษที่ตนดูแล พ่อแม่ผู้ปกครองต้องรู้ความต้องที่แท้จริง เข้าใจปัญหา
และไวต่อความรู้สึกของลูกๆ และผู้ที่อยู่ในการปกครองดูแล ในทางตรงกันข้ามสัตบุรุษ ผู้น้อย ลูกๆ ต้อง
ฟังคำสอน คำตักเตือนของพระสังฆราช พระสงฆ์ ผู้อภิบาล พ่อแม่ และผู้ปกครองด้วยความเคารพเชื่อฟัง
ผู้เลี้ยงเดินนำหน้าฝูงแกะ หมายถึงการเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบ ผู้เลี้ยงแกะที่ดีจึงต้องนำฝูงแกะของ
ตนไปในที่ๆปลอดภัย มีน้ำหญ้าหรืออาหารที่อุดมสมบูรณ์ และคอยปกป้องดูแลฝูงแกะของตนให้ปลอดภัย
ดังนั้นถ้าเราแต่ละคนพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างตามบทบาทหน้าที่ของเราดั่งผู้เลียงแกะ และแกะที่ดีอย่าง
ที่พระเยซุคริสตเจ้าทรงสอน แน่นอนที่สุดเราจะสามารถก้าวหน้าไปบนหนทางที่ปลอดภัยจนบรรลุเป้าหมาย
ปลายทางแห่งชีวิต เพราะการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันของเรา จะเป็นการดำเนินชีวิตในความรักช่วยเกื้อกูล
กันตลอดเวลา การดำเนินชีวิตอย่างนี้จะนำมาซึ่งสันติสุข จนกระทั้งจะมีแกะเพียงฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงแกะ
เพียงคนเดียวคือองค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีแบบอย่างชีวิตของเรา
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 3 )
พระเมตตาอันขอบเขตมิได้ของพระเจ้า
ในหนังสือปฐมกาลได้ให้ภาพพจน์ความรักของพระเจ้าไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าตรัสว่า “เราจงสร้าง
มนษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา”(ปฐก.1:26) การสร้างมนษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์นั้นทำ
ให้เราทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่า พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่ประเสริฐที่สุดเหนือ
บรรดาสิ่งสร้างทั้งหลาย และให้เป็นเจ้านายเหนือสิ่งสร้างทั้งปวง “จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือ
ปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิดที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน”(ปฐก.1:28) ที่ทรงสร้างมนุษย์
เช่นนี้เพราะทรงรักเรามนุษย์ และปรารถนาให้มนุษย์มีความดล้ายคลึงกับพระองค์มากที่สุด อีกทั้งยัง
ทรงพอพระทัยที่จะทำให้มนุษย์สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับพระองค์ด้วย ในหนังสือปฐมกาล
บทที่ 3 ทำให้เราทราบว่าพระเจ้ากับมนุษย์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันจนกระทั่งพระองค์ทรงพระดำเนิน
ในสวนกับมนุษย์ ทรงสนทนากับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง “พระยาห์เวห์พระเจ้ากำลังทรงพระดำเนิน
ในสวน......ทรงเรียกมนุษย์ ตรัสถามว่า เธออยู่ที่ไหน”(ปฐก.3:8-9) แต่น่าเสียดายมนุษ์ไม่ค่อยให้ความ
สำคัญและสำนึกถึงพระกรุณาความรักยิ่งใหญ่นี้เท่าใดนัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรมาล่อตาล่อใจมนุษย์
จึงตัดความสัมพันธ์แห่งความรักกับพระเจ้าโดยง่ายดาย “หญิงเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากิน งดงามชวนมอง
ทั้งยังปรารถนาเพราะให้ปัญญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังส่งให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย”(ปฐก.3:6)
เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดในการสร้างแรกเริ่มเพียงครั้งเดียว แต่มันเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อมีใครหรืออะไรหยิยยื่นความสะดวกสบาย เงินทอง สิ่งเย้ายวนฝ่ายโลกให้ มนุษย์ก็มักจะละทิ้งหรือตัด
ความสัมพันธ์แห่งความรักกับพระเจ้า แม้มนุษย์จะละทิ้งพระเจ้าแต่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งมนุษย์ ยังคงมี
ความรักมั่นคงต่อมนุษย์เสมอ อีกทั้งยังทรงกระทำทุกวิธีการที่จะช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอดพ้น กลับมา
มีความสัมพันธ์ใหม่กับพระองค์ “เราจะทำให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกัน ให้ลูกหลายของเจ้าและลูกหลาน
ของนางเป็นศัตรูกันด้วย เขาจะเหยียบหัวของเจ้า และเจ้าจะกัดส้นเท้าของเขา”(ปฐก.3:15) สิ่งที่พระเจ้า
ตรัสนี้เป็นพันธสัญญาแรกหลังจากที่มนุษย์ตกในบาปแล้ว และพันธสัญญานี้ดำเนินเรื่อยมาในประวัติศาสตร์
ไม่แห่งความรอดพ้น และมาถึงความสมบูรณ์ชัดเจนในองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสละพระเทวภาพ
พระเจ้า มาบังเกิดเป็นมนุษย์ดุจเราทั้งหลายผู้ต่ำต้อย ท่านนักบุญมาระโกได้บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงเทศน์
สอนช่วยประชาชนจนไม่มีเวลาเสวยอาหาร “พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกัน
อีกจนพระองค์ไม่อาจเสวย”(มก.3:20) ขณะทรงเทศน์สอนทรงทำงานหนัก จนในที่สุดพระองค์ยอมรับ
ทนทรมาน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยมนุษยชาติให้ได้รับความรอดพ้น นั่นแสดงว่าพระเจ้าทรงรัก
และเมตตามนุษยชาติสุดพรรณา จนกระทั่งไม่มีอะไรที่พระองค์จะทำเพื่อมนุษยชาติไม่ได้อีกแล้ว แต่ทำไม
นักบุญมาระโกจึงบันทึกว่า “มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้พูดออกไป
แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร”(มก.3:28-29) ที่เป็น
เช่นนี้ ก็เพราะว่าพระจิตเจ้าเป็นองค์ความจริง ใครก็ตามที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับความจริง ความผิดพลาด
ของตนสำนึกผิดขอโทษพระเจ้า เขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งๆที่พระเจ้าปรารถนาที่จะให้อภัยเขาตลอดเวลา
ขอพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้เตือนใจเรา ให้สำนึกถึงความรักความเมตตาของพระเจ้าเสมอ ทุกครั้งที่
เราทำผิดพลาดไปให้เราเข้ามาพึ่งพระเมตตาความรักของพระองค์ ขอโทษพระองค์เป็นต้นทางศีลอภัยบาป
รีบมากลับมาคืนดีกับพระองค์ ผู้ที่มีความสุภาพถ่อมตนสำนึกผิดขอโทษ เขาสมควรไดรับการอภัย
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
พระเมตตาอันขอบเขตมิได้ของพระเจ้า
ในหนังสือปฐมกาลได้ให้ภาพพจน์ความรักของพระเจ้าไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าตรัสว่า “เราจงสร้าง
มนษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา”(ปฐก.1:26) การสร้างมนษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์นั้นทำ
ให้เราทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่า พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่ประเสริฐที่สุดเหนือ
บรรดาสิ่งสร้างทั้งหลาย และให้เป็นเจ้านายเหนือสิ่งสร้างทั้งปวง “จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือ
ปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิดที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน”(ปฐก.1:28) ที่ทรงสร้างมนุษย์
เช่นนี้เพราะทรงรักเรามนุษย์ และปรารถนาให้มนุษย์มีความดล้ายคลึงกับพระองค์มากที่สุด อีกทั้งยัง
ทรงพอพระทัยที่จะทำให้มนุษย์สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับพระองค์ด้วย ในหนังสือปฐมกาล
บทที่ 3 ทำให้เราทราบว่าพระเจ้ากับมนุษย์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันจนกระทั่งพระองค์ทรงพระดำเนิน
ในสวนกับมนุษย์ ทรงสนทนากับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง “พระยาห์เวห์พระเจ้ากำลังทรงพระดำเนิน
ในสวน......ทรงเรียกมนุษย์ ตรัสถามว่า เธออยู่ที่ไหน”(ปฐก.3:8-9) แต่น่าเสียดายมนุษ์ไม่ค่อยให้ความ
สำคัญและสำนึกถึงพระกรุณาความรักยิ่งใหญ่นี้เท่าใดนัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรมาล่อตาล่อใจมนุษย์
จึงตัดความสัมพันธ์แห่งความรักกับพระเจ้าโดยง่ายดาย “หญิงเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากิน งดงามชวนมอง
ทั้งยังปรารถนาเพราะให้ปัญญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังส่งให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย”(ปฐก.3:6)
เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดในการสร้างแรกเริ่มเพียงครั้งเดียว แต่มันเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อมีใครหรืออะไรหยิยยื่นความสะดวกสบาย เงินทอง สิ่งเย้ายวนฝ่ายโลกให้ มนุษย์ก็มักจะละทิ้งหรือตัด
ความสัมพันธ์แห่งความรักกับพระเจ้า แม้มนุษย์จะละทิ้งพระเจ้าแต่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งมนุษย์ ยังคงมี
ความรักมั่นคงต่อมนุษย์เสมอ อีกทั้งยังทรงกระทำทุกวิธีการที่จะช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอดพ้น กลับมา
มีความสัมพันธ์ใหม่กับพระองค์ “เราจะทำให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกัน ให้ลูกหลายของเจ้าและลูกหลาน
ของนางเป็นศัตรูกันด้วย เขาจะเหยียบหัวของเจ้า และเจ้าจะกัดส้นเท้าของเขา”(ปฐก.3:15) สิ่งที่พระเจ้า
ตรัสนี้เป็นพันธสัญญาแรกหลังจากที่มนุษย์ตกในบาปแล้ว และพันธสัญญานี้ดำเนินเรื่อยมาในประวัติศาสตร์
ไม่แห่งความรอดพ้น และมาถึงความสมบูรณ์ชัดเจนในองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสละพระเทวภาพ
พระเจ้า มาบังเกิดเป็นมนุษย์ดุจเราทั้งหลายผู้ต่ำต้อย ท่านนักบุญมาระโกได้บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงเทศน์
สอนช่วยประชาชนจนไม่มีเวลาเสวยอาหาร “พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกัน
อีกจนพระองค์ไม่อาจเสวย”(มก.3:20) ขณะทรงเทศน์สอนทรงทำงานหนัก จนในที่สุดพระองค์ยอมรับ
ทนทรมาน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยมนุษยชาติให้ได้รับความรอดพ้น นั่นแสดงว่าพระเจ้าทรงรัก
และเมตตามนุษยชาติสุดพรรณา จนกระทั่งไม่มีอะไรที่พระองค์จะทำเพื่อมนุษยชาติไม่ได้อีกแล้ว แต่ทำไม
นักบุญมาระโกจึงบันทึกว่า “มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้พูดออกไป
แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร”(มก.3:28-29) ที่เป็น
เช่นนี้ ก็เพราะว่าพระจิตเจ้าเป็นองค์ความจริง ใครก็ตามที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับความจริง ความผิดพลาด
ของตนสำนึกผิดขอโทษพระเจ้า เขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งๆที่พระเจ้าปรารถนาที่จะให้อภัยเขาตลอดเวลา
ขอพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้เตือนใจเรา ให้สำนึกถึงความรักความเมตตาของพระเจ้าเสมอ ทุกครั้งที่
เราทำผิดพลาดไปให้เราเข้ามาพึ่งพระเมตตาความรักของพระองค์ ขอโทษพระองค์เป็นต้นทางศีลอภัยบาป
รีบมากลับมาคืนดีกับพระองค์ ผู้ที่มีความสุภาพถ่อมตนสำนึกผิดขอโทษ เขาสมควรไดรับการอภัย
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 4 )
“การคิดร้ายความรุนแรงแก้ไข้ปัญหาไม่ได้”
ถ้าเราลองคิดย้อนหลังไปพิจารณาเหตุการณ์ในโลกและพระศาสนจักร อาทิ สงครามโลกครั้งที่ 1
ครั้งที่ 2 สงครามคูเสด เราจะพบว่าการคิดร้ายความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว
คิดถึงชีวิตที่ ผ่านๆมาของผู้เขียนเองที่เคยได้รับความอยุติธรรม ถูกกล่าวร้ายอย่างรุนแรง การลงโทษ
แบบแปลกๆชนิดที่ว่า “แทบเอาตัวไม่รอดเลยทีเดียว” ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นสดๆใหม่ๆแน่นอน
ที่สุดใจเราจะพลุ่งพล่าน ไปด้วยความโมโหโกรธแค้นและอยากจะเอาคืน จะต้องเอาคืนให้สะใจแล้วเรา
จะค่อยๆไปหาพันธมิตรถ้าพบว่าคนที่เราไปหานั้น เขาไม่เออออห่อหมกกับเราๆจะรู้สึกเคืองคนๆนั้นด้วย
ถ้าเราพบคนที่เออออห่อหมกกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นด้วยวาทะกรรม เท่าที่เคย
พิจารณาย้อนหลังถึงเหตุการณ์เหล่านี้ผู้เขียนพบว่า การคิดร้ายความรุนแรงไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
ตรงกันข้าม เมื่อไรที่ใจเราสงบลงและเลิกคิดร้ายเราจะพบกับทางออกแล้วปัญหาจะได้รับการแก้ไขผ่อน
คลายความรุนแรงลง เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์อย่างที่เขียนให้อ่านนี้เหมือนกัน ลองพิจารณา
ปัญหาที่เกิดขึ้นใน ครอบครัวของเราดูก็ได้ ถ้ามีการทะเลาะวิวาทใช้ถ้อยคำที่รุนแรงใส่กันหรือมีปฏิกิริยาที่
รุนแรงเข้าหากัน ปัญหาจะไม่มีวันจบมีแต่จะบานปลายรุนแรงใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเมื่อไรสามารถนั่งลงด้วย
ความสงบใจพูดคุยรับฟังกันและกันด้วยเหตุด้วยผลไม่กล่าวโทษกันไปกล่าวโทษกันมา ปัญหาจะผ่อนคลาย
สงบลงและหลายๆครั้งเราจะพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการเข้าใจผิดการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน หรืออาจจะ
เกิดจากการที่เราไม่ได้พูดคุยรับฟังกันและกันด้วยใจสงบนั่นเอง ผู้เขียนเคยทำงานในโรงพยาบาลมาหลายปี
เคยไปพบจิตแพทย์หลายครั้งหลายหนและจิตแพทย์ก็เคยมาขอให้ผู้เขียนไปช่วยผู้ป่วยหลายครั้งหลายหน
เช่นเดียวกัน จากประสบการณ์ที่เคยพบบ่อยๆจนแทบจะอ้างอิงเป็นทฤษฎีได้เลยก็ว่าได้ คนที่คิดร้ายมักจะต้อง
ใช้ยาใช้คลายเครียดยากล่อมประสาทและจะใช้ทวีปริมานมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังคิดร้ายๆโกรธโมโหเก็บความ
อาฆาตแค้นไว้ในใจอย่างไม่ยอมปล่อยวาง ที่ผู้เขียนเขียนเล่าไว้เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะพูดจะระบาย
ความอยุติธรรมสิ่งไม่ดีที่เราได้รับไม่ได้ การได้ระบายออกมาบ้างเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไม่เก็บสะสมเรื่องเหล่านี้
ไว้ในใจในความคิดคำนึง ต้องพยายามขจัดมันไม่ออกไปให้เร็วที่สุด เพราะใจของเราเป็นที่เก็บสะสมรวบรวม
ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวร้ายไว้ สิ่งที่ดีๆต้องเก็บเอาไว้สิ่งที่เลวๆต้องขจัดมันออกไปให้เร็วที่สุด เพราะมันมีผลต่อ
สุขภาพกายและจิตใจอีกทั้งยังส่งผลถึงพฤติกรรมของเราอีกด้วย และในที่สุดโรคปะสารทจะถามหา
ด้วยความปรารถนาดีครับ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“การคิดร้ายความรุนแรงแก้ไข้ปัญหาไม่ได้”
ถ้าเราลองคิดย้อนหลังไปพิจารณาเหตุการณ์ในโลกและพระศาสนจักร อาทิ สงครามโลกครั้งที่ 1
ครั้งที่ 2 สงครามคูเสด เราจะพบว่าการคิดร้ายความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว
คิดถึงชีวิตที่ ผ่านๆมาของผู้เขียนเองที่เคยได้รับความอยุติธรรม ถูกกล่าวร้ายอย่างรุนแรง การลงโทษ
แบบแปลกๆชนิดที่ว่า “แทบเอาตัวไม่รอดเลยทีเดียว” ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นสดๆใหม่ๆแน่นอน
ที่สุดใจเราจะพลุ่งพล่าน ไปด้วยความโมโหโกรธแค้นและอยากจะเอาคืน จะต้องเอาคืนให้สะใจแล้วเรา
จะค่อยๆไปหาพันธมิตรถ้าพบว่าคนที่เราไปหานั้น เขาไม่เออออห่อหมกกับเราๆจะรู้สึกเคืองคนๆนั้นด้วย
ถ้าเราพบคนที่เออออห่อหมกกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นด้วยวาทะกรรม เท่าที่เคย
พิจารณาย้อนหลังถึงเหตุการณ์เหล่านี้ผู้เขียนพบว่า การคิดร้ายความรุนแรงไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
ตรงกันข้าม เมื่อไรที่ใจเราสงบลงและเลิกคิดร้ายเราจะพบกับทางออกแล้วปัญหาจะได้รับการแก้ไขผ่อน
คลายความรุนแรงลง เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์อย่างที่เขียนให้อ่านนี้เหมือนกัน ลองพิจารณา
ปัญหาที่เกิดขึ้นใน ครอบครัวของเราดูก็ได้ ถ้ามีการทะเลาะวิวาทใช้ถ้อยคำที่รุนแรงใส่กันหรือมีปฏิกิริยาที่
รุนแรงเข้าหากัน ปัญหาจะไม่มีวันจบมีแต่จะบานปลายรุนแรงใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเมื่อไรสามารถนั่งลงด้วย
ความสงบใจพูดคุยรับฟังกันและกันด้วยเหตุด้วยผลไม่กล่าวโทษกันไปกล่าวโทษกันมา ปัญหาจะผ่อนคลาย
สงบลงและหลายๆครั้งเราจะพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการเข้าใจผิดการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน หรืออาจจะ
เกิดจากการที่เราไม่ได้พูดคุยรับฟังกันและกันด้วยใจสงบนั่นเอง ผู้เขียนเคยทำงานในโรงพยาบาลมาหลายปี
เคยไปพบจิตแพทย์หลายครั้งหลายหนและจิตแพทย์ก็เคยมาขอให้ผู้เขียนไปช่วยผู้ป่วยหลายครั้งหลายหน
เช่นเดียวกัน จากประสบการณ์ที่เคยพบบ่อยๆจนแทบจะอ้างอิงเป็นทฤษฎีได้เลยก็ว่าได้ คนที่คิดร้ายมักจะต้อง
ใช้ยาใช้คลายเครียดยากล่อมประสาทและจะใช้ทวีปริมานมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังคิดร้ายๆโกรธโมโหเก็บความ
อาฆาตแค้นไว้ในใจอย่างไม่ยอมปล่อยวาง ที่ผู้เขียนเขียนเล่าไว้เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะพูดจะระบาย
ความอยุติธรรมสิ่งไม่ดีที่เราได้รับไม่ได้ การได้ระบายออกมาบ้างเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไม่เก็บสะสมเรื่องเหล่านี้
ไว้ในใจในความคิดคำนึง ต้องพยายามขจัดมันไม่ออกไปให้เร็วที่สุด เพราะใจของเราเป็นที่เก็บสะสมรวบรวม
ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวร้ายไว้ สิ่งที่ดีๆต้องเก็บเอาไว้สิ่งที่เลวๆต้องขจัดมันออกไปให้เร็วที่สุด เพราะมันมีผลต่อ
สุขภาพกายและจิตใจอีกทั้งยังส่งผลถึงพฤติกรรมของเราอีกด้วย และในที่สุดโรคปะสารทจะถามหา
ด้วยความปรารถนาดีครับ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 5 )
“ความประทับใจ”
เริ่มหัวข้อขึ้นมาคนส่วนใหญ่น่าจะรู้สึกกับวลีนี้ดีๆในแง่บวก (positive) นี่เป็นเรื่องปกติที่สามัญชน
คนทั่วไปเขาคิดกัน ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ความประทับใจในการสอนคำสอนผู้ใหญ่หลายต่อ
หลายครั้ง ครั้งหนึ่งมีผู้ใหญ่ประมาณ 12-14 คนมาขอเรียนคำสอนวันเสาร์ตอนบ่ายๆ การสอนคำสอน
จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการทำความรู้จักกันทั้งผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนได้ถามถึงแรงจูงใจในการมาเรียน
คำสอน “ทำไมพวกคุณจึงปรารถนามาเรียนคำสอนเป็นคาทอลิก” คำตอบคือ “พวกเราเคยไปร่วม
พิธีกรรมของคาทอลิกมาหลายวัดแล้ว รู้ลึกประทับในความสง่างามความสงบของพิธีกรรม และการ
ต้อนรับของสัตบุรุษหลายๆวัด มีการแนะนำถามไถ่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีมิตรไมตรีมากๆ” นี่เป็นความ
ประทับใจของผู้สอนและผู้เรียน หลังจากนั้นผู้เรียนก็ไปชวนเพื่อนๆมาอีกจึงมีผู้เรียนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 คน
บวกลบ พอเรียนไปได้พอสมควรผู้สนใจเหล่านั้นก็ค่อยๆหายไปจนหมด (ผู้สอนผิดหวัง) ต่อมาผู้สอนมี
โอกาสกลับไปที่นั้นอีก ก่อนมิสซาบูชาขอบพระคุณผู้สอนออกไปตรวจความเรียบร้อยก่อนเริ่มพิธี มองไป
ข้างหน้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อผ้าเหมือนๆกันเป็นทีม ตอนที่พวกเขาออกมารับศีลมหาสนิทปรากฏว่า
“เป็นคนกลุ่มนั้นที่เคยมาเรียนคำสอน” จึงสอบถามได้ความว่า “พวกเขาย้ายไปทำมาหากินทางภาคเหนือ
และเอาหนังสือคำสอนเล่มครบที่ผู้สอนให้ไว้ไปด้วย พวกเขาพยายามไปหาที่เรียนคำสอนจนพบแล้วเอา
หนังสือคำสอนไปให้คุณพ่อดูและอ้างชื่อผู้สอน (ได้เรียนกับคุณพ่อท่านนี้...มาถึงไหนแล้วตามหนังสือ)
คุณพ่อท่านนั้นบอกว่าคุณพ่อท่านนี้เชื่อถือได้ คุณพ่อท่านนั้นสอนคำสอนต่อจากที่พวกเขาอ้างอิงถึงจนจบ
พวกเขาได้รับศีลล้างบาปในเวลาต่อมาประมาณ 20 คนบวกลบ (ไม่แน่ใจจำนวน) ผู้สนใจมาเรียนคำสอน
อีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คนผู้สอนสอบถามแรงจูงใจในการมาเรียนคำสอน ผู้สนใจ 6-7 คนมีแรงจูงใจมา
จากการแต่งงานแบบคาทอลิก บางคนเคยมาร่วมพิธีแต่งงาน บางคนเคยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว บางคน
เคยมาเป็นพยานในการแต่งงาน บางคนรู้สึกประทับใจในสามีที่เป็นคาทอลิกเพราะเขาเป็นคนดีมาก เรื่อง
เหล่านี้เป็นความประทับใจในเรื่องดีๆที่เราต้องเก็บสะสมไว้ แต่สิ่งที่สามารถประทับอยู่ในใจไม่ใช่มีเพียง
เรื่องดีๆเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องเลวๆที่สามารถประทับใจเราด้วย หลายๆคนคงเคยพบเหตุการณ์หรือพฤติกรรม
ของคนบางคนจนลืมไม่ลง มันได้สร้างความเจ็บซ้ำซึ่งเป็นเหมือนรอยแผลกดทับภายในที่จางหายจากใจได้
ยาก อีกหลายๆคนชอบตราหน้าคนอื่น “สงสารคนบางคนทำผิดเพียงครั้งเดียวแต่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนแบบ
นั้นตลอดมา” เดี๋ยวนี้มีคนชอบปล่อยข่าวลวงให้คนอื่นเสียหายถูกตราหน้าทำแล้วมันสะใจดี ความประทับใจ
เลวร้ายเช่นนี้ถ้าเกิดขึ้นในใจต้องรีบขจัดออกไปจากใจให้เร็วที่สุด เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและ
สุขภาพจิตเลยมีแต่จะเกิดผลร้าย เพราะนี่แหละคือตัวบั่นทอนพลังกายและใจให้ลดน้อยถอยลง จนทำให้เกิด
ความป่วยไข้ที่เยียวยารักษาฟื้นฟูลำบาก เราจึงต้องเก็บสะสมความประทับใจดีๆไว้ให้มากๆเพื่อเป็นพลังใน
การก้าวเดินต่อไป
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“ความประทับใจ”
เริ่มหัวข้อขึ้นมาคนส่วนใหญ่น่าจะรู้สึกกับวลีนี้ดีๆในแง่บวก (positive) นี่เป็นเรื่องปกติที่สามัญชน
คนทั่วไปเขาคิดกัน ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ความประทับใจในการสอนคำสอนผู้ใหญ่หลายต่อ
หลายครั้ง ครั้งหนึ่งมีผู้ใหญ่ประมาณ 12-14 คนมาขอเรียนคำสอนวันเสาร์ตอนบ่ายๆ การสอนคำสอน
จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการทำความรู้จักกันทั้งผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนได้ถามถึงแรงจูงใจในการมาเรียน
คำสอน “ทำไมพวกคุณจึงปรารถนามาเรียนคำสอนเป็นคาทอลิก” คำตอบคือ “พวกเราเคยไปร่วม
พิธีกรรมของคาทอลิกมาหลายวัดแล้ว รู้ลึกประทับในความสง่างามความสงบของพิธีกรรม และการ
ต้อนรับของสัตบุรุษหลายๆวัด มีการแนะนำถามไถ่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีมิตรไมตรีมากๆ” นี่เป็นความ
ประทับใจของผู้สอนและผู้เรียน หลังจากนั้นผู้เรียนก็ไปชวนเพื่อนๆมาอีกจึงมีผู้เรียนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 คน
บวกลบ พอเรียนไปได้พอสมควรผู้สนใจเหล่านั้นก็ค่อยๆหายไปจนหมด (ผู้สอนผิดหวัง) ต่อมาผู้สอนมี
โอกาสกลับไปที่นั้นอีก ก่อนมิสซาบูชาขอบพระคุณผู้สอนออกไปตรวจความเรียบร้อยก่อนเริ่มพิธี มองไป
ข้างหน้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อผ้าเหมือนๆกันเป็นทีม ตอนที่พวกเขาออกมารับศีลมหาสนิทปรากฏว่า
“เป็นคนกลุ่มนั้นที่เคยมาเรียนคำสอน” จึงสอบถามได้ความว่า “พวกเขาย้ายไปทำมาหากินทางภาคเหนือ
และเอาหนังสือคำสอนเล่มครบที่ผู้สอนให้ไว้ไปด้วย พวกเขาพยายามไปหาที่เรียนคำสอนจนพบแล้วเอา
หนังสือคำสอนไปให้คุณพ่อดูและอ้างชื่อผู้สอน (ได้เรียนกับคุณพ่อท่านนี้...มาถึงไหนแล้วตามหนังสือ)
คุณพ่อท่านนั้นบอกว่าคุณพ่อท่านนี้เชื่อถือได้ คุณพ่อท่านนั้นสอนคำสอนต่อจากที่พวกเขาอ้างอิงถึงจนจบ
พวกเขาได้รับศีลล้างบาปในเวลาต่อมาประมาณ 20 คนบวกลบ (ไม่แน่ใจจำนวน) ผู้สนใจมาเรียนคำสอน
อีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คนผู้สอนสอบถามแรงจูงใจในการมาเรียนคำสอน ผู้สนใจ 6-7 คนมีแรงจูงใจมา
จากการแต่งงานแบบคาทอลิก บางคนเคยมาร่วมพิธีแต่งงาน บางคนเคยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว บางคน
เคยมาเป็นพยานในการแต่งงาน บางคนรู้สึกประทับใจในสามีที่เป็นคาทอลิกเพราะเขาเป็นคนดีมาก เรื่อง
เหล่านี้เป็นความประทับใจในเรื่องดีๆที่เราต้องเก็บสะสมไว้ แต่สิ่งที่สามารถประทับอยู่ในใจไม่ใช่มีเพียง
เรื่องดีๆเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องเลวๆที่สามารถประทับใจเราด้วย หลายๆคนคงเคยพบเหตุการณ์หรือพฤติกรรม
ของคนบางคนจนลืมไม่ลง มันได้สร้างความเจ็บซ้ำซึ่งเป็นเหมือนรอยแผลกดทับภายในที่จางหายจากใจได้
ยาก อีกหลายๆคนชอบตราหน้าคนอื่น “สงสารคนบางคนทำผิดเพียงครั้งเดียวแต่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนแบบ
นั้นตลอดมา” เดี๋ยวนี้มีคนชอบปล่อยข่าวลวงให้คนอื่นเสียหายถูกตราหน้าทำแล้วมันสะใจดี ความประทับใจ
เลวร้ายเช่นนี้ถ้าเกิดขึ้นในใจต้องรีบขจัดออกไปจากใจให้เร็วที่สุด เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและ
สุขภาพจิตเลยมีแต่จะเกิดผลร้าย เพราะนี่แหละคือตัวบั่นทอนพลังกายและใจให้ลดน้อยถอยลง จนทำให้เกิด
ความป่วยไข้ที่เยียวยารักษาฟื้นฟูลำบาก เราจึงต้องเก็บสะสมความประทับใจดีๆไว้ให้มากๆเพื่อเป็นพลังใน
การก้าวเดินต่อไป
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 6 )
ประสบการณ์ความเชื่อ
เราเรียนรู้จากบรรดาอัครสาวกและสาวกของพระเยซูคริสตเจ้าว่า “ความเชื่อเริ่มต้นจากความรู้”
เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าเริ่มเทศน์สอนพระองค์ทรงเรียกอัครสาวก เพื่อมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์
ในเวลานั้นประชาชนมากมายติดตามและสนใจคำสอนของพระองค์ แต่ละคนต่างคาดหวังในตัว
พระองค์ต่างๆนาๆ พระเยซูคริสตเจ้าพยายามอธิบายพยายามสอนให้เขาเข้าใจและมีความเชื่อ
ในพระองค์อย่างถูกต้อง โดยอาศัยพระคัมภีร์จากพันธสัญญาเดิมที่มีทำนายถึงพระองค์ “พระองค์
ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก”
(ลก.24:27) และโดยอาศัยกิจการต่างๆที่พระองค์ทรงกระทำท่ามกลางพวกเขา ทั้งนี้เพราะพระองค์
ตระหนักว่าความเชื่อต้องเริ่มจากความรู้ และค่อยๆสะสมจนกลายเป็นประสบการณ์
ความเชื่อจะต้องค่อยๆพัฒนาไปจนถึงขั้นมีประสบการณ์ ซึ่งคนๆหนึ่งจะต้องเข้าไปสัมผัสลิ้มรสความดี
งามของพระเจ้าด้วยตนเอง และน้อมรับเชื่อในพระองค์ด้วยใจ เพราะฉะนั้นคนที่มีความเชื่อในองค์
พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องคำสอน สามารถท่องบทสวดได้ ปฏิบัติหลายสิ่งหลายอย่างได้
เหมือนกับคริสตชนเท่านั้น เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆได้ถ้าคนนั้นสนใจ
ความเชื่อในระดับความรู้จึงน้อมรับด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ต้องการเป็นคริสตชนจึงต้องเรียนคำสอน
และในระหว่างที่เรียนคำสอนผู้สอนจะต้องพยายามทำให้เขามีประสบการณ์ความเชื่อให้มากที่สุด โดยทาง
พระวาจาของพระเจ้า การมาร่วมพิธีกรรม และประสบการณ์ความเชื่อของผู้สอนเอง
พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญลูกาเน้นว่า แหล่งที่มาของประสบการณ์ทางความเชื่อที่สำคัญคือ
พระวาจาของพระเจ้า และศีลมหาสนิทหรือมิสซาบูชาขอบพระคุณ พระเยซูคริสตเจ้าทรงปลุกเร้าจิตวิญญาณ
ศิษย์สองที่กำลังสิ้นหวังด้วยพระวาจาของพระเจ้า และพวกเขามาจำพระองค์ได้ตอนที่พระองค์บิขนมปัง
“ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟภายในหรือ เมื่อพระองค์.....อธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง”(ลก.24:32) “
ศิษย์ทั้งสอง.....เล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง”(ลก.24:35) ศิษย์ทั้งสองมาถึงขณะที่พวกสาวก
กำลังชุมนุมกัน “พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์อื่นๆ”(ลก.24:33) จากสิ่งที่
พระคัมภีร์กล่าวถึงทำให้เราทราบว่า เราจะสามารถมีประสบการณ์ทางความเชื่อในพระเจ้าได้ โดยอาศัย
พระวาจาของพระเจ้า ศีลมหาสนิท และการสวดภาวนาร่วมกัน
ประสบการณ์ความเชื่อมีความสำคัญและเป็นพลังที่สำคัญที่ทำให้เราดำเนินชีวิตบรรลุเป้าหมายปลายทาง
บทเรียนจากอัครสาวกและบรรดาสาวก ขนาดพวกท่านมีประสบการณ์ความเชื่อ เคยอยู่กับพระเยซูคริสตเจ้า
และพบกับพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว เวลาอยู่ในสถานการณ์ของความกลัว ความสิ้นหวังยังลังเล
ใจได้ “เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี....ท่านวุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ”
(ลก.24:37-38) แล้วพวกเราเป็นใครมีประสบการณ์ความเชื่อแค่ไหน สิ่งที่บรรดาสาวกประสบจึงเตือนใจเรา
ให้สะสมประการณ์ความเชื่อโดยอาศัยพระวาจาของเจ้า มิสซาบูชาขอบพระองค์ และการสวดภาวนามากๆ
และวอนขอพระเจ้าได้โปรดทวีความเชื่อในใจให้พวกเราเสมอ
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ประสบการณ์ความเชื่อ
เราเรียนรู้จากบรรดาอัครสาวกและสาวกของพระเยซูคริสตเจ้าว่า “ความเชื่อเริ่มต้นจากความรู้”
เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าเริ่มเทศน์สอนพระองค์ทรงเรียกอัครสาวก เพื่อมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์
ในเวลานั้นประชาชนมากมายติดตามและสนใจคำสอนของพระองค์ แต่ละคนต่างคาดหวังในตัว
พระองค์ต่างๆนาๆ พระเยซูคริสตเจ้าพยายามอธิบายพยายามสอนให้เขาเข้าใจและมีความเชื่อ
ในพระองค์อย่างถูกต้อง โดยอาศัยพระคัมภีร์จากพันธสัญญาเดิมที่มีทำนายถึงพระองค์ “พระองค์
ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก”
(ลก.24:27) และโดยอาศัยกิจการต่างๆที่พระองค์ทรงกระทำท่ามกลางพวกเขา ทั้งนี้เพราะพระองค์
ตระหนักว่าความเชื่อต้องเริ่มจากความรู้ และค่อยๆสะสมจนกลายเป็นประสบการณ์
ความเชื่อจะต้องค่อยๆพัฒนาไปจนถึงขั้นมีประสบการณ์ ซึ่งคนๆหนึ่งจะต้องเข้าไปสัมผัสลิ้มรสความดี
งามของพระเจ้าด้วยตนเอง และน้อมรับเชื่อในพระองค์ด้วยใจ เพราะฉะนั้นคนที่มีความเชื่อในองค์
พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องคำสอน สามารถท่องบทสวดได้ ปฏิบัติหลายสิ่งหลายอย่างได้
เหมือนกับคริสตชนเท่านั้น เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆได้ถ้าคนนั้นสนใจ
ความเชื่อในระดับความรู้จึงน้อมรับด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ต้องการเป็นคริสตชนจึงต้องเรียนคำสอน
และในระหว่างที่เรียนคำสอนผู้สอนจะต้องพยายามทำให้เขามีประสบการณ์ความเชื่อให้มากที่สุด โดยทาง
พระวาจาของพระเจ้า การมาร่วมพิธีกรรม และประสบการณ์ความเชื่อของผู้สอนเอง
พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญลูกาเน้นว่า แหล่งที่มาของประสบการณ์ทางความเชื่อที่สำคัญคือ
พระวาจาของพระเจ้า และศีลมหาสนิทหรือมิสซาบูชาขอบพระคุณ พระเยซูคริสตเจ้าทรงปลุกเร้าจิตวิญญาณ
ศิษย์สองที่กำลังสิ้นหวังด้วยพระวาจาของพระเจ้า และพวกเขามาจำพระองค์ได้ตอนที่พระองค์บิขนมปัง
“ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟภายในหรือ เมื่อพระองค์.....อธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง”(ลก.24:32) “
ศิษย์ทั้งสอง.....เล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง”(ลก.24:35) ศิษย์ทั้งสองมาถึงขณะที่พวกสาวก
กำลังชุมนุมกัน “พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์อื่นๆ”(ลก.24:33) จากสิ่งที่
พระคัมภีร์กล่าวถึงทำให้เราทราบว่า เราจะสามารถมีประสบการณ์ทางความเชื่อในพระเจ้าได้ โดยอาศัย
พระวาจาของพระเจ้า ศีลมหาสนิท และการสวดภาวนาร่วมกัน
ประสบการณ์ความเชื่อมีความสำคัญและเป็นพลังที่สำคัญที่ทำให้เราดำเนินชีวิตบรรลุเป้าหมายปลายทาง
บทเรียนจากอัครสาวกและบรรดาสาวก ขนาดพวกท่านมีประสบการณ์ความเชื่อ เคยอยู่กับพระเยซูคริสตเจ้า
และพบกับพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว เวลาอยู่ในสถานการณ์ของความกลัว ความสิ้นหวังยังลังเล
ใจได้ “เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี....ท่านวุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ”
(ลก.24:37-38) แล้วพวกเราเป็นใครมีประสบการณ์ความเชื่อแค่ไหน สิ่งที่บรรดาสาวกประสบจึงเตือนใจเรา
ให้สะสมประการณ์ความเชื่อโดยอาศัยพระวาจาของเจ้า มิสซาบูชาขอบพระองค์ และการสวดภาวนามากๆ
และวอนขอพระเจ้าได้โปรดทวีความเชื่อในใจให้พวกเราเสมอ
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 7 )
พระหรรษทานแห่งการให้อภัย
หลังจากที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ได้ประทานอำนาจอภัยบาปให้
บรรดาอัครสาวก อำนาจนี้ได้ตกทอดมายังพระสังฆราชและพระสงฆ์จนถึงปัจจุบัน “ท่านทั้งหลาย
อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้น
ก็จะไม่ได้รับการอภัยด้วย”(ยน.20:23) การให้อภัยถือเป็นการแสดงความรัก การให้ และเป็นกุศล
ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน การมอบอำนาจอภัยบาปให้บรรดาอัครสาวกซึ่งเป็นบุคคล
ธรรมดาสามัญ เป็นคนบาป อ่อนแอ ทำให้เราเข้าถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า
ในหลายๆเรื่อง
การมอบอำนาจอภัยบาปให้มนุษย์ ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเข้าใจความอ่อนแอของมนุษย์
พระธรรมล้ำลึกปัสกา พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า
ไถ่บาปของมนุษยชาติทำให้ มนุษยชาติพ้นจากการเป็นทาสของบาปและความตายแล้ว ถึงกระนั้นมนุษย์
ก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม มีอิสรภาพในการตัดสินใจ และสามารถตกได้บาปได้อีก พระเยซูคริสตเจ้ามอบ
อำนาจอภัยบาปแก่มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้เสมอ ถ้าเราพิจารณาในด้าน
ศีลศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งศีลล้างบาป โดยอาศัยพระหรรษทานของศีลล้างบาป ผู้รับจะได้รับ
การลบล้างจากบาปโทษทั้งมวล แต่พระองค์ทรงทราบดีหลังจากรับศีลล้างบาปแล้วมนุษย์จะทำบาปตก
ในบาป เพราะความอ่อนแอตามประสามนุษย์อีก พระองค์จึงทรงตั้งศีลอภัยบาปขึ้น เพื่ออภัยบาปที่เราทำ
หลังจากที่เราได้รับศีลล้างบาปแล้ว เรื่องที่กล่าวมานี้อันที่จริงเป็นเรื่องเดียวกันแต่อธิบายคนละด้าน แต่จุด
ประประสงค์ก็คือต้องการทำให้มนุษย์สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้เสมอถ้ามนุษย์มีความปรารถนา
การมอบอำนาจอภัยบาปให้มนุษย์ธรรมดาสามัญ ทำให้การอภัยบาปและหนทางแห่งการกลับคืนดีเป็นเรื่อง
ที่ง่าย เพราะบุคคลที่พระเยซูคริสตเจ้ามอบอำนาจให้ล้านเป็นบุคคลที่เคยทำผิดพลาดมาแล้วทั้งสิ้น บุคคล
เหล่านี้จึงเข้าใจความอ่อนแอ ความต้องการของผู้ที่มาขอรับการอภัยได้ดี และพร้อมที่จะให้ช่วยเหลืออยู่แล้ว
หนทางแห่งการกลับคืนดีและการให้อภัยในศีลอภัยจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยความเข้าใจของศาสนบริกรที่มีต่อ
ผู้มาขอรับการอภัย เพราะศาสนบริกรแห่งศีลอภัยบาปทุกคนเคยมีประสบการณ์ได้รับความเจ็บซ้ำเพราะบาป
ที่ตนทำมาแล้วทั้งสิ้น
การมอบอำนาจอภัยบาปให้มนุษย์ แสดงถึงพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า ไม่ว่ามนุษย์จะทำบาป
กี่ครั้งกี่หนพระองค์พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ ขอเพียงมนุษย์มีความปรารถนาจะกลับคืนดีกับพระองค์เท่านั้น
“ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นทุกข์ถึงบาปที่ตนทำอย่างสมบูรณ์จริงใจ แม้เขายังไม่มีโอกาสไปรับศีลอภัยบาป บาป
ของเขาได้รับการอภัยแล้ว” ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงพระเมตตาหาขอบเขตมิได้ คำตรัสที่พระเยซูคริสตเจ้า
ตรัสกับบรรดาอัครสาวก “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”(ยน.20:21) ได้แสดงถึงนัยสำคัญนี้เพราะ
มนุษย์จะมีสันติสุขอย่างแท้จริง ต่อเมื่อมนุษย์ได้รับการอภัยบาป และพระองค์ปรารถนาให้สันติสุขนี้อยู่กับ
มนุษย์ตลอดไป จึงมอบอำนาจอภัยบาปให้แก่มนุษย์ ขอให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เข้าใจความปรารถนาดี
ของพระองค์ และเข้าไปขอพึ่งพระเมตตาของพระองค์บ่อยๆ เป็นต้นโดยทางศีลอภัยบาป
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
พระหรรษทานแห่งการให้อภัย
หลังจากที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ได้ประทานอำนาจอภัยบาปให้
บรรดาอัครสาวก อำนาจนี้ได้ตกทอดมายังพระสังฆราชและพระสงฆ์จนถึงปัจจุบัน “ท่านทั้งหลาย
อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้น
ก็จะไม่ได้รับการอภัยด้วย”(ยน.20:23) การให้อภัยถือเป็นการแสดงความรัก การให้ และเป็นกุศล
ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน การมอบอำนาจอภัยบาปให้บรรดาอัครสาวกซึ่งเป็นบุคคล
ธรรมดาสามัญ เป็นคนบาป อ่อนแอ ทำให้เราเข้าถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า
ในหลายๆเรื่อง
การมอบอำนาจอภัยบาปให้มนุษย์ ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเข้าใจความอ่อนแอของมนุษย์
พระธรรมล้ำลึกปัสกา พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า
ไถ่บาปของมนุษยชาติทำให้ มนุษยชาติพ้นจากการเป็นทาสของบาปและความตายแล้ว ถึงกระนั้นมนุษย์
ก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม มีอิสรภาพในการตัดสินใจ และสามารถตกได้บาปได้อีก พระเยซูคริสตเจ้ามอบ
อำนาจอภัยบาปแก่มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้เสมอ ถ้าเราพิจารณาในด้าน
ศีลศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งศีลล้างบาป โดยอาศัยพระหรรษทานของศีลล้างบาป ผู้รับจะได้รับ
การลบล้างจากบาปโทษทั้งมวล แต่พระองค์ทรงทราบดีหลังจากรับศีลล้างบาปแล้วมนุษย์จะทำบาปตก
ในบาป เพราะความอ่อนแอตามประสามนุษย์อีก พระองค์จึงทรงตั้งศีลอภัยบาปขึ้น เพื่ออภัยบาปที่เราทำ
หลังจากที่เราได้รับศีลล้างบาปแล้ว เรื่องที่กล่าวมานี้อันที่จริงเป็นเรื่องเดียวกันแต่อธิบายคนละด้าน แต่จุด
ประประสงค์ก็คือต้องการทำให้มนุษย์สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้เสมอถ้ามนุษย์มีความปรารถนา
การมอบอำนาจอภัยบาปให้มนุษย์ธรรมดาสามัญ ทำให้การอภัยบาปและหนทางแห่งการกลับคืนดีเป็นเรื่อง
ที่ง่าย เพราะบุคคลที่พระเยซูคริสตเจ้ามอบอำนาจให้ล้านเป็นบุคคลที่เคยทำผิดพลาดมาแล้วทั้งสิ้น บุคคล
เหล่านี้จึงเข้าใจความอ่อนแอ ความต้องการของผู้ที่มาขอรับการอภัยได้ดี และพร้อมที่จะให้ช่วยเหลืออยู่แล้ว
หนทางแห่งการกลับคืนดีและการให้อภัยในศีลอภัยจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยความเข้าใจของศาสนบริกรที่มีต่อ
ผู้มาขอรับการอภัย เพราะศาสนบริกรแห่งศีลอภัยบาปทุกคนเคยมีประสบการณ์ได้รับความเจ็บซ้ำเพราะบาป
ที่ตนทำมาแล้วทั้งสิ้น
การมอบอำนาจอภัยบาปให้มนุษย์ แสดงถึงพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า ไม่ว่ามนุษย์จะทำบาป
กี่ครั้งกี่หนพระองค์พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ ขอเพียงมนุษย์มีความปรารถนาจะกลับคืนดีกับพระองค์เท่านั้น
“ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นทุกข์ถึงบาปที่ตนทำอย่างสมบูรณ์จริงใจ แม้เขายังไม่มีโอกาสไปรับศีลอภัยบาป บาป
ของเขาได้รับการอภัยแล้ว” ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงพระเมตตาหาขอบเขตมิได้ คำตรัสที่พระเยซูคริสตเจ้า
ตรัสกับบรรดาอัครสาวก “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”(ยน.20:21) ได้แสดงถึงนัยสำคัญนี้เพราะ
มนุษย์จะมีสันติสุขอย่างแท้จริง ต่อเมื่อมนุษย์ได้รับการอภัยบาป และพระองค์ปรารถนาให้สันติสุขนี้อยู่กับ
มนุษย์ตลอดไป จึงมอบอำนาจอภัยบาปให้แก่มนุษย์ ขอให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เข้าใจความปรารถนาดี
ของพระองค์ และเข้าไปขอพึ่งพระเมตตาของพระองค์บ่อยๆ เป็นต้นโดยทางศีลอภัยบาป
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 8 )
“ชมหิ่งห้อยในคืนเดือนดับ”
คิดถึงหิ่งห้อยซึ่งเป็นแมลงปีกแข็งตัวเล็กๆชนิดหนึ่ง ที่มีแสงกระพริบจากตัวมันในเวลากลางคืน
มันเป็นแมลงที่สามารถทำให้คืนเดือนมืดหรือคืนเดือนดับสวยงาม ที่ต้องเน้นคืนเดือนมืดหรือคืน
เดือนดับเพราะแสงกระพริบจากตัวมันไม่สามารถสู้กับแสงจันทร์เพ็ญได้ ในคืนเดือนเพ็ญความสนใจ
ของผู้คนคงมุ่งไปที่เดือนเพ็ญซึ่งโรแมนติกมากกว่าแสงริบหรี่ของมัน ศิลปินหลายท่านเปรียบเทียบ
เชิงน้อยเนื้อต่ำใจว่า ชีวิตของท่านเหมือนกับหิงห้อยกับแสงตะวัน ไม่ต้องถึงแสงตะวันหรอกแค่แสง
จันทร์เพ็ญแสงหิ่งห้อยก็ด้อยค่าไปแล้ว เมื่อกล่าวถึงหิ่งห้อยก็อดกล่าวถึงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ชายน้ำริมหนอง
คลองบึงไม่ได้ เพราะหิ่งห้อยมันชอบอยู่แถวๆนั้นเป็นต้นที่ต้นลำพู สมัยวัยเด็กบ้านของผู้เขียนอยู่ริม
คลองพอตกค่ำก็ต้องนั่งชมเดือนชมดาว ชมหิ่งห้อยในคืนเดือนดับเพราะสมัยนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ไม่มี
โทรศัพท์มือถือ อาจเป็นเพราะว่าข้างบ้านมีต้นลำพูอยู่ต้นหนึ่งใหญ่พอสมควรจึงมีหิ่งห้อยมาบินให้ได้
เชยชม คิดถึงชีวิตในวันเวลาที่ผ่านมาบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า "ทำไมชีวิตกูต้องเป็นอย่างนี้หนอ" มรสุม
ชีวิตมันพัดโถมเข้าใส่ลูกแล้วลูกเล่า ชีวิตบางช่วงบางตอนมันเหมือนคืนเดือนดับจริงๆ หันซ้ายแลขาว
มันมืดแปดด้านไปหมด อย่าว่าแต่แสงตะวันจันทร์เพ็ญเลยแม้แต่แสงริบหรี่ดั่งหิ่งห้อย ก็ไม่ปรากฏต่อ
สายตาในเวลานั้น ขอบคุณพระเจ้าที่ผู้เขียนชอบเขียนเล่าเรื่องโน้นเล่าเรื่องนี้ให้ผู้คนอ่าน มันคงเป็น
ทางผ่านของความรู้สึกและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน คงทำให้ผู้อ่านรำคาญใจไม่ใช่น้อยต้อง
ขออภัยมานะที่นี้ด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งเพราะอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่มีพลัง เราต้องปล่อย
ให้มันเป็นอิสระมีทางให้มันไหลผ่าน “แต่อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” ถ้าเก็บกักมันไว้มากๆนานๆเวลามัน
ระเบิดออกมามันอาจจะนำความเดือดร้อนความเสียมาให้ มองย้อนกลับไปในอดีตแม้เราจะได้รับความ
อยุติธรรมการเอารัดเอาเปรียบ แต่ท่ามกลางความเลวร้ายความมืดมนแห่งชีวิต เรายังสามารถเห็นพระพร
ความงดงามแห่งชีวิตมากมายบังซ่อนอยู่ ในลักษณะเพื่อนแท้พิสูจน์ได้ในยามยาก ความเชื่อแท้พิสูจน์ได้
ในยามที่ความทุกข์ยากลำบากมาเยือนชีวิต ในยามนั้นข้าฯคงไม่หวังแสงตะวันแสงจันทร์เพ็ญหรอก
ขอเพียงแสงหิ่งห้อยริบหรี่ในคืนเดือนดับก็พอแล้ว มันประดับความมืดมนแห่งชีวิตให้สวยงามเป็นขวัญ
กำลังใจให้ก้าวต่อ คำพูด ความคิดเห็น กำลังใจที่ส่งเข้ามาตามช่องทางต่างๆ เป็นดั่งแสงหิ่งห้อยที่ผลักดัน
หนุนนำข้าฯให้ก้าวต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ขอพระเจ้าตอบแทนน้ำใจดีของทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“ชมหิ่งห้อยในคืนเดือนดับ”
คิดถึงหิ่งห้อยซึ่งเป็นแมลงปีกแข็งตัวเล็กๆชนิดหนึ่ง ที่มีแสงกระพริบจากตัวมันในเวลากลางคืน
มันเป็นแมลงที่สามารถทำให้คืนเดือนมืดหรือคืนเดือนดับสวยงาม ที่ต้องเน้นคืนเดือนมืดหรือคืน
เดือนดับเพราะแสงกระพริบจากตัวมันไม่สามารถสู้กับแสงจันทร์เพ็ญได้ ในคืนเดือนเพ็ญความสนใจ
ของผู้คนคงมุ่งไปที่เดือนเพ็ญซึ่งโรแมนติกมากกว่าแสงริบหรี่ของมัน ศิลปินหลายท่านเปรียบเทียบ
เชิงน้อยเนื้อต่ำใจว่า ชีวิตของท่านเหมือนกับหิงห้อยกับแสงตะวัน ไม่ต้องถึงแสงตะวันหรอกแค่แสง
จันทร์เพ็ญแสงหิ่งห้อยก็ด้อยค่าไปแล้ว เมื่อกล่าวถึงหิ่งห้อยก็อดกล่าวถึงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ชายน้ำริมหนอง
คลองบึงไม่ได้ เพราะหิ่งห้อยมันชอบอยู่แถวๆนั้นเป็นต้นที่ต้นลำพู สมัยวัยเด็กบ้านของผู้เขียนอยู่ริม
คลองพอตกค่ำก็ต้องนั่งชมเดือนชมดาว ชมหิ่งห้อยในคืนเดือนดับเพราะสมัยนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ไม่มี
โทรศัพท์มือถือ อาจเป็นเพราะว่าข้างบ้านมีต้นลำพูอยู่ต้นหนึ่งใหญ่พอสมควรจึงมีหิ่งห้อยมาบินให้ได้
เชยชม คิดถึงชีวิตในวันเวลาที่ผ่านมาบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า "ทำไมชีวิตกูต้องเป็นอย่างนี้หนอ" มรสุม
ชีวิตมันพัดโถมเข้าใส่ลูกแล้วลูกเล่า ชีวิตบางช่วงบางตอนมันเหมือนคืนเดือนดับจริงๆ หันซ้ายแลขาว
มันมืดแปดด้านไปหมด อย่าว่าแต่แสงตะวันจันทร์เพ็ญเลยแม้แต่แสงริบหรี่ดั่งหิ่งห้อย ก็ไม่ปรากฏต่อ
สายตาในเวลานั้น ขอบคุณพระเจ้าที่ผู้เขียนชอบเขียนเล่าเรื่องโน้นเล่าเรื่องนี้ให้ผู้คนอ่าน มันคงเป็น
ทางผ่านของความรู้สึกและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน คงทำให้ผู้อ่านรำคาญใจไม่ใช่น้อยต้อง
ขออภัยมานะที่นี้ด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งเพราะอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่มีพลัง เราต้องปล่อย
ให้มันเป็นอิสระมีทางให้มันไหลผ่าน “แต่อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” ถ้าเก็บกักมันไว้มากๆนานๆเวลามัน
ระเบิดออกมามันอาจจะนำความเดือดร้อนความเสียมาให้ มองย้อนกลับไปในอดีตแม้เราจะได้รับความ
อยุติธรรมการเอารัดเอาเปรียบ แต่ท่ามกลางความเลวร้ายความมืดมนแห่งชีวิต เรายังสามารถเห็นพระพร
ความงดงามแห่งชีวิตมากมายบังซ่อนอยู่ ในลักษณะเพื่อนแท้พิสูจน์ได้ในยามยาก ความเชื่อแท้พิสูจน์ได้
ในยามที่ความทุกข์ยากลำบากมาเยือนชีวิต ในยามนั้นข้าฯคงไม่หวังแสงตะวันแสงจันทร์เพ็ญหรอก
ขอเพียงแสงหิ่งห้อยริบหรี่ในคืนเดือนดับก็พอแล้ว มันประดับความมืดมนแห่งชีวิตให้สวยงามเป็นขวัญ
กำลังใจให้ก้าวต่อ คำพูด ความคิดเห็น กำลังใจที่ส่งเข้ามาตามช่องทางต่างๆ เป็นดั่งแสงหิ่งห้อยที่ผลักดัน
หนุนนำข้าฯให้ก้าวต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ขอพระเจ้าตอบแทนน้ำใจดีของทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 9 )
พระธรรมล้ำลึกปัสกา
พระธรรมล้ำลึกปัสกาหมายถึง พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ
ของพระเยซูคริสตเจ้า ทั้งสามส่วนนี้เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ นักเปาโลสอนชาวโครินธ์ว่า ถ้า
พระเยซูคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์และไม่กลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อที่ท่านประกาศจะเป็นเรื่อง
โกหกไร้ความหมาย “ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้กลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมาย
และท่านก็ยังคงอยู่ในบาป”(1คร.15:17) การมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกปัสกาจึงต้องมีส่วนร่วม
ทั้งครบ ในพระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ เราเลือกจะเลือกเป็นส่วนๆ
ไม่ได้ ดังนั้นการมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกปัสกาจึงทำให้เราทราบว่า หนทางแห่งความรอดพ้นมี
หนทางเดียว นั่นก็คือต้องผ่านความทุกข์ทรมาน ความตาย แล้วจึงจะสามารถมีส่วนในชัยชนะแห่ง
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าได้
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซุคริสตเจ้าเป็นความหวังของเรา พระองค์ประกาศให้เราแน่ใจและ
เข้าใจความหมายของชีวิต โดยทฤษฎีเมล็ดข้าวตกลงในดิน “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตาย
ไปมันจะเป็นเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันจะบังเกิดผลมากมาย”(ยน.12:24) ทฤษฎีเมล็ดข้าวที่
พระเยซูคริสตเจ้าสอนทำให้เราพบความเป็นจริงในชีวิตของมนุษย์ ซึ่งจะต้องดำเนินไปเช่นเดียวกับเมล็ด
ข้าวเมล็ดนั้นที่ยอมเปื่อยเน่าตายไปแล้วต้นใหม่จึงจะงอกขึ้น ออกรวงเกิดผลมากมาย มนุษย์จะมีชีวิต
ใหม่ที่ดีกว่าต่อเมื่อมนุษย์ยอมตายจากความเป็นมนุษย์เก่า ยอมสละการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ น้อมรับ
การดำเนินชีวิตแบบใหม่ตามคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า ต้องยอมสละน้ำใจของตนเองน้อมรับพระ
ประสงค์ของพระเป็นเจ้า แน่นอนที่สุดใครที่ปรารถนาที่จะมีชีวิตใหม่จะต้องประสบความทุกข์ยากลำบาก
ต้องยอมตายจากตนเอง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจึงเป็นความหวังของเรา ถ้าเรา
เดินบนหนทางดียวกับพระองค์เราจะมีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
ด้วย การสมโภชปัสกาเป็นดั่งรุ่งอรุณใหม่แห่งชีวิตของมนุษย์ หลังจากมนุษย์ทำบาปทรยศต่อพระเป็นเจ้า
มนุษย์ ก็ตกอยู่ในความมืดมนของชีวิต อยู่ภายใต้เงาของบาปและความตาย พระวรสารนักบุญยอห์นแสดง
ให้เห็นว่าความมืดมนของชีวิต เงาของบาปและความตายกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว เพราะแสงสว่างใหม่กำลัง
จะมา “เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด
มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา”(ยน.20:1) ช่วงวันและเวลาที่พระคัมภีร์กล่าวถึงแสดงถึงการเริ่มต้น
ใหม่ของชีวิตมนุษย์ เวลาเช้าตรู่ขณะที่ยังมืดอยู่เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะทอแสงแห่งวันใหม่ ในช่วง
เวลานี้ผู้คนตื่นขึ้นกำลังจะออกไปทำงาน นกกาเริ่มส่งเสียงร้องและออกหาอาหาร นี้คือเครื่องหมายของชีวิต
และการเริ่มต้นวันใหม่หรือชีวิตใหม่ ทุกครั้งที่เราตื่นขึ้นในตอนเช้าเราทราบทันทีว่า “พระเป็นเจ้าประทาน
ชีวิตใหม่ให้กับเราอีกวันหนึ่ง” ดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกจึงเป็นเครื่องของชีวิตและความตาย ขอให้
วันสมโภชปัสกาเติมความหวังให้ชีวิตของเราเป็นต้นในยามที่เราประสบความทุกข์ยากลำบากในชีวิต เพื่อ
เราจะได้มีความกล้าหาญที่จะเดินบนหนทางเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า มีส่วนร่วมในพระมหาทรมาน การสิ้น
พระชนม์ของพระองค์ และในที่สุดเราจะได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในการกลับคืนชีพเช่นเดียวกับพระองค์
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
พระธรรมล้ำลึกปัสกา
พระธรรมล้ำลึกปัสกาหมายถึง พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ
ของพระเยซูคริสตเจ้า ทั้งสามส่วนนี้เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ นักเปาโลสอนชาวโครินธ์ว่า ถ้า
พระเยซูคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์และไม่กลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อที่ท่านประกาศจะเป็นเรื่อง
โกหกไร้ความหมาย “ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้กลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมาย
และท่านก็ยังคงอยู่ในบาป”(1คร.15:17) การมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกปัสกาจึงต้องมีส่วนร่วม
ทั้งครบ ในพระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ เราเลือกจะเลือกเป็นส่วนๆ
ไม่ได้ ดังนั้นการมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกปัสกาจึงทำให้เราทราบว่า หนทางแห่งความรอดพ้นมี
หนทางเดียว นั่นก็คือต้องผ่านความทุกข์ทรมาน ความตาย แล้วจึงจะสามารถมีส่วนในชัยชนะแห่ง
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าได้
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซุคริสตเจ้าเป็นความหวังของเรา พระองค์ประกาศให้เราแน่ใจและ
เข้าใจความหมายของชีวิต โดยทฤษฎีเมล็ดข้าวตกลงในดิน “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตาย
ไปมันจะเป็นเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันจะบังเกิดผลมากมาย”(ยน.12:24) ทฤษฎีเมล็ดข้าวที่
พระเยซูคริสตเจ้าสอนทำให้เราพบความเป็นจริงในชีวิตของมนุษย์ ซึ่งจะต้องดำเนินไปเช่นเดียวกับเมล็ด
ข้าวเมล็ดนั้นที่ยอมเปื่อยเน่าตายไปแล้วต้นใหม่จึงจะงอกขึ้น ออกรวงเกิดผลมากมาย มนุษย์จะมีชีวิต
ใหม่ที่ดีกว่าต่อเมื่อมนุษย์ยอมตายจากความเป็นมนุษย์เก่า ยอมสละการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ น้อมรับ
การดำเนินชีวิตแบบใหม่ตามคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า ต้องยอมสละน้ำใจของตนเองน้อมรับพระ
ประสงค์ของพระเป็นเจ้า แน่นอนที่สุดใครที่ปรารถนาที่จะมีชีวิตใหม่จะต้องประสบความทุกข์ยากลำบาก
ต้องยอมตายจากตนเอง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจึงเป็นความหวังของเรา ถ้าเรา
เดินบนหนทางดียวกับพระองค์เราจะมีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
ด้วย การสมโภชปัสกาเป็นดั่งรุ่งอรุณใหม่แห่งชีวิตของมนุษย์ หลังจากมนุษย์ทำบาปทรยศต่อพระเป็นเจ้า
มนุษย์ ก็ตกอยู่ในความมืดมนของชีวิต อยู่ภายใต้เงาของบาปและความตาย พระวรสารนักบุญยอห์นแสดง
ให้เห็นว่าความมืดมนของชีวิต เงาของบาปและความตายกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว เพราะแสงสว่างใหม่กำลัง
จะมา “เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด
มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา”(ยน.20:1) ช่วงวันและเวลาที่พระคัมภีร์กล่าวถึงแสดงถึงการเริ่มต้น
ใหม่ของชีวิตมนุษย์ เวลาเช้าตรู่ขณะที่ยังมืดอยู่เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะทอแสงแห่งวันใหม่ ในช่วง
เวลานี้ผู้คนตื่นขึ้นกำลังจะออกไปทำงาน นกกาเริ่มส่งเสียงร้องและออกหาอาหาร นี้คือเครื่องหมายของชีวิต
และการเริ่มต้นวันใหม่หรือชีวิตใหม่ ทุกครั้งที่เราตื่นขึ้นในตอนเช้าเราทราบทันทีว่า “พระเป็นเจ้าประทาน
ชีวิตใหม่ให้กับเราอีกวันหนึ่ง” ดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกจึงเป็นเครื่องของชีวิตและความตาย ขอให้
วันสมโภชปัสกาเติมความหวังให้ชีวิตของเราเป็นต้นในยามที่เราประสบความทุกข์ยากลำบากในชีวิต เพื่อ
เราจะได้มีความกล้าหาญที่จะเดินบนหนทางเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า มีส่วนร่วมในพระมหาทรมาน การสิ้น
พระชนม์ของพระองค์ และในที่สุดเราจะได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในการกลับคืนชีพเช่นเดียวกับพระองค์
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 10 )
“ต้นต้อยติ่ง”
เดี๋ยวนี้ตอนเช้าๆเดินออกไปหน้าบ้านผู้เขียนจะมีความสุขมากๆเลย เพราะได้ออกไปชื่นชมกับผลงาน
ของตนเอง ดอกบานชื่นที่หว่านไว้เริ่มเจริญเติบโตขึ้นเป็นลำดับ สักวันหนึ่งคงจะได้ชื่นชมกับดอกหลาย
หลากสีสันของมัน ต้นทองอุไรที่เขาย้ายมาปลุกไว้ที่สนามหญ้าเริ่มฟื้นตัวมีดอกบ้างแล้ว ต้นเดิมที่มีอยู่
ก่อนออกดอกเติมต้นแถมยังดอกใหญ่ดีเสียด้วย ต้นดอกไม้กระถางเล็กกระถางน้อยถูกรวมไว้ด้วยกัน
ในกระถางใหญ่ วันหนึ่งขณะกำลังรดน้ำตั้งแต่ยอดใบถึงโคนต้นเห็นวัชพืชต้นหนึ่งมันงอกขึ้นอยู่ในกระถาง
ตอนแรกคิดว่าจะถอนมันทิ้งแต่ก็พลางคิดว่า “นี้มันเป็นต้นต้อยติ่งไทยหรือเปล่านะ” เพราะเดี๋ยวนี้มอง
ไปตามข้างทางตามบ้านบางบ้านเห็นสิ่งที่มีดอกเหมือนดอกต้อยติ่ง แต่มีสีม่วงเข้มกว่าและมีหลายสีมาก
กว่าของไทย เขาเรียกมันว่า “ต้อยติ่งฝรั่ง” มีคนบอกว่ามันมาจากอินโดนีเซีย ทำให้คิดถึงดอกต้อยติ่ง
Make in Thailand จึงเก็บวัชพืชต้นนั้นไว้ให้มันเจริญเติมโตอยู่ในกระถางต่อไป หลายคนเดินผ่านไป
ผ่านมามีความปรารถนาดีทำท่าจะถอนมันทิ้ง “แต่ผู้เขียนห้ามไว้” เพราะอยากเห็นดอกของมันเพราะไม่ได้
เห็นมานานพอสมควรแล้ว เช้าวันหนึ่งออกไปเห็นดอกมันบานเต็มต้น “ดีใจมาก” เวลานี้มันไม่ใช่วัชพืชอีก
ต่อไปแล้วเพราะเจ้าของต้องการให้มันอยู่ในกระถาง และพยายามจะขยายพันธุ์ไปปลุกไว้ให้เป็นที่เป็นทาง
รำพึงถึงต้นต้อยติ่งต้นนี้มันคงไม่มีค่าอะไรสำหรับหลายๆคนเพราะมันเป็นเพียงวัชพืช ที่ขึ้นอยู่ตามสนาม
หญ้าหน้าบ้านและคนพยายามกำจัดหรือถอนทิ้ง วันนี้มันกลับมีค่าในสายตาของผู้รดน้ำจนมันออกดอก
ให้ได้เชยชม พิจารณาตามความเป็นจริงดอกไม้ทุกชนิดดอกต้อยติ่งฝรั่งดอกต้อยติ่งไทย มันเคยเป็นวัชพืช
มากก่อนทั้งสิ้นเมื่อมีคนเห็นว่าดอกมันสวยจึงให้ค่ากับมันนำมันมาปลุกไว้ในกระถาง “ตั้งประดับไว้ตามที่ต่างๆ”
มนุษย์เรามีค่าอะไรในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไรใหญ่โตแค่ไหน เราไม่มีค่า
อะไรเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ที่เรามนุษย์มีค่าในสายพระเนตรของพระองค์จนไม่อาจพรรณนาได้
เพราะพระองค์ทรงสร้างเรามาด้วยความรักตามภาพลักษณ์ของพระองค์ และยืนยันว่ามนุษย์ทุกคน
“เป็นลูกของพระองค์” ไม่ใช่เป็นเพียงของพระองค์เท่านั้น “เราเป็นลูกของพระองค์” เราจึงต้องพยายามดำเนิน
ชีวิตตามพระประสงค์ทำความดีให้พระองค์ได้ชื่นใจ บ้างเหมือนต้อนต้อยติ่งไทยต้นนั้นที่มันออกดอกให้ผู้ที่
มันรดน้ำได้ชื่นชมชื่นใจ และคิดว่าเหมาะสมแล้วที่มันต้องอยู่ในกระถางต่อไปไม่ใช่วัชพืชที่ไร้ค่า ข้าแต่พระเจ้า
ลูกจะพยายามทำสุดความสามารถ ขอพระองค์อย่าทรงผินพระพักตร์ไปจากลูกเลย อาแมน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ อัญชลี พรสันต์
“ต้นต้อยติ่ง”
เดี๋ยวนี้ตอนเช้าๆเดินออกไปหน้าบ้านผู้เขียนจะมีความสุขมากๆเลย เพราะได้ออกไปชื่นชมกับผลงาน
ของตนเอง ดอกบานชื่นที่หว่านไว้เริ่มเจริญเติบโตขึ้นเป็นลำดับ สักวันหนึ่งคงจะได้ชื่นชมกับดอกหลาย
หลากสีสันของมัน ต้นทองอุไรที่เขาย้ายมาปลุกไว้ที่สนามหญ้าเริ่มฟื้นตัวมีดอกบ้างแล้ว ต้นเดิมที่มีอยู่
ก่อนออกดอกเติมต้นแถมยังดอกใหญ่ดีเสียด้วย ต้นดอกไม้กระถางเล็กกระถางน้อยถูกรวมไว้ด้วยกัน
ในกระถางใหญ่ วันหนึ่งขณะกำลังรดน้ำตั้งแต่ยอดใบถึงโคนต้นเห็นวัชพืชต้นหนึ่งมันงอกขึ้นอยู่ในกระถาง
ตอนแรกคิดว่าจะถอนมันทิ้งแต่ก็พลางคิดว่า “นี้มันเป็นต้นต้อยติ่งไทยหรือเปล่านะ” เพราะเดี๋ยวนี้มอง
ไปตามข้างทางตามบ้านบางบ้านเห็นสิ่งที่มีดอกเหมือนดอกต้อยติ่ง แต่มีสีม่วงเข้มกว่าและมีหลายสีมาก
กว่าของไทย เขาเรียกมันว่า “ต้อยติ่งฝรั่ง” มีคนบอกว่ามันมาจากอินโดนีเซีย ทำให้คิดถึงดอกต้อยติ่ง
Make in Thailand จึงเก็บวัชพืชต้นนั้นไว้ให้มันเจริญเติมโตอยู่ในกระถางต่อไป หลายคนเดินผ่านไป
ผ่านมามีความปรารถนาดีทำท่าจะถอนมันทิ้ง “แต่ผู้เขียนห้ามไว้” เพราะอยากเห็นดอกของมันเพราะไม่ได้
เห็นมานานพอสมควรแล้ว เช้าวันหนึ่งออกไปเห็นดอกมันบานเต็มต้น “ดีใจมาก” เวลานี้มันไม่ใช่วัชพืชอีก
ต่อไปแล้วเพราะเจ้าของต้องการให้มันอยู่ในกระถาง และพยายามจะขยายพันธุ์ไปปลุกไว้ให้เป็นที่เป็นทาง
รำพึงถึงต้นต้อยติ่งต้นนี้มันคงไม่มีค่าอะไรสำหรับหลายๆคนเพราะมันเป็นเพียงวัชพืช ที่ขึ้นอยู่ตามสนาม
หญ้าหน้าบ้านและคนพยายามกำจัดหรือถอนทิ้ง วันนี้มันกลับมีค่าในสายตาของผู้รดน้ำจนมันออกดอก
ให้ได้เชยชม พิจารณาตามความเป็นจริงดอกไม้ทุกชนิดดอกต้อยติ่งฝรั่งดอกต้อยติ่งไทย มันเคยเป็นวัชพืช
มากก่อนทั้งสิ้นเมื่อมีคนเห็นว่าดอกมันสวยจึงให้ค่ากับมันนำมันมาปลุกไว้ในกระถาง “ตั้งประดับไว้ตามที่ต่างๆ”
มนุษย์เรามีค่าอะไรในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไรใหญ่โตแค่ไหน เราไม่มีค่า
อะไรเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ที่เรามนุษย์มีค่าในสายพระเนตรของพระองค์จนไม่อาจพรรณนาได้
เพราะพระองค์ทรงสร้างเรามาด้วยความรักตามภาพลักษณ์ของพระองค์ และยืนยันว่ามนุษย์ทุกคน
“เป็นลูกของพระองค์” ไม่ใช่เป็นเพียงของพระองค์เท่านั้น “เราเป็นลูกของพระองค์” เราจึงต้องพยายามดำเนิน
ชีวิตตามพระประสงค์ทำความดีให้พระองค์ได้ชื่นใจ บ้างเหมือนต้อนต้อยติ่งไทยต้นนั้นที่มันออกดอกให้ผู้ที่
มันรดน้ำได้ชื่นชมชื่นใจ และคิดว่าเหมาะสมแล้วที่มันต้องอยู่ในกระถางต่อไปไม่ใช่วัชพืชที่ไร้ค่า ข้าแต่พระเจ้า
ลูกจะพยายามทำสุดความสามารถ ขอพระองค์อย่าทรงผินพระพักตร์ไปจากลูกเลย อาแมน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ อัญชลี พรสันต์