บทความดีๆ โดย คุณพ่อ สมชาย อัญชรีพรสันต์ ( 3 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:38 pm

( 1 )

ถือใบปาล์ม ใบลาน เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะ

ในหนังสือวิวรณ์ได้บันทึกเรื่องราวของผู้ที่ได้ชัยชนะได้รับความรอดพ้นแล้วว่า “ทุกคนสวมเสื้อ
ขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้าของเรา”(วว.7:9-10)
ในวันอาทิตย์ ใบลานพระศาสนจักรให้เราทำการสมโภชการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า
ในฐานะกษัตริย์ผู้มี ชัยชนะเป็นการเสด็จเข้าไปเพื่อทำตามประสงค์ของพระบิดา นั่นก็คือเข้าไป
เพื่อรับทนทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนมชีพ การที่พระศาสนจักรให้เราทำการสมโภช
เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ เมื่อจะเริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์หรือสัปดาห์แห่งพระมหาทรมาน เพื่อต้อง
การเน้นว่า “พระธรรมล้ำลึกปัสกาต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์
และการกลับคืนพระชนมชีพ ความจริง 3 ประการ นี้เป็นความจริงหนึ่งเดียวแยกจากกันไม่ได้
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสตเจ้า จึงไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะที่พระองค์
สามารถทำให้พระประสงค์ของพระบิดาในการไถ่กู้มนุษยชาติสำเร็จ โดยการยอมรับทนทรมาน สิ้น
พระชนม์ และในที่สุดพระองค์มีชัยชนะเหนือบาปและความตาย ในการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
หนทางที่พระองค์ทรงพระดำเนินผ่านจากการรับทนทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนมชีพ ทำให้
เรามีความหวังและเข้าใจความจริงของชีวิตมนุษย์มากขึ้น เป็นต้นเมื่อความทุกข์ยากลำบากมากล้ำกราย
ชีวิตของเรา เพราะเป็นหนทางที่พระเยซูคริสตเจ้าพระอาจารย์ของเราทรงพระดำเนินนำหน้าเราไปก่อนแล้ว
การน้อมรับพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ โดยเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มยอมรับทนทรมาน สิ้นพระชนม์
บนไม้กางเขน ยังเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า การน้อมรับพระประสงค์ของพระบิดาเช่นนี้เท่านั้นที่จะนำความรอดพ้นมา
สู่มนุษยชาติ หนทางแห่งไม้กางเขนจึงเป็นหนทางแห่งความรอดพ้น และพระเยซูคริสตเจ้าทรงบอกกับเรา
ชัดเจนว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะนำเราไปสวรรค์ “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้
กางเขนของตนและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้นก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใด
เสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร”(มธ.16:24-25) การติดตามพระเยซูคริสตเจ้าคือการดำเนิน
ชีวิตตามคำสอนของพระองค์ สละน้ำใจของตนเองแสวงหาและติดตามพระประสงค์ของพระเจ้า เดินบน
หนทางเดียวกับพระองค์ซึ่งเป็นหนทางแห่งไม้กางเขนด้วยความเพียรอดทน ไม้กางเขนสำหรับชาวยิว
เป็นความอัปยศ เป็นเครื่องประหารนักโทษ สำหรับชาวกรีกเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา แต่สำหรับคริสตชน
เป็นเครื่องหมายแห่งความรักสุดพรรณนาของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เองในเทศกาลมหาพรตเป็นต้นในสัปดาห์
ศักดิ์สิทธิ์พระศาสนจักรจึงเชิญชวน ให้เรารำพึงพระธรรมล้ำลึกแห่งพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า
บนไม้กางเขน โดยการเดินมรรคาศักดิ์สิทธิ์ เล่าเรื่องพระมหาทรมานในวันอาทิตย์ใบลานและวันศุกร์
ศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระศาสนจักรแน่ใจว่าใครก็ตามที่พิศเพ่งพระธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขน เข้าใจ
และพยายามดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูคริสตเจ้าบนทางสายนี้จะได้รับชีวิตนิรันดร

พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 20, 2024 11:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:44 pm

( 2 )


“ตั๊กแตนต่อยมวย”

บางที่เรียกตั๊กแตนชนิดนี้ว่า “ตั๊กแตนมวย” หรือ “ตั๊กแตนต่ำข้าว” ที่เขาเรียกกันว่า “ตั๊กแตนต่อยมวย”
เพราะว่าตั๊กแตนชนิดนี้หัวและสองขาหน้าของมันยาว สองขาหน้าของมันมีไว้ล่าเหยื่อ ตอนที่มันยังไม่
เจอเหยื่อสองขาหน้าของมันจะพับเข้าหากัน เวลามันเงยหัวขึ้นคล้ายๆกับนักมวยกำลังตั้งการ์ดตอน
ชกมวย ลองคนเราเวลาจะทำอะไรสักทีต้องมองซ้ายมองขวาเหลียวหน้าเหลียวหลัง หูต้องคอยสดับ
ฟังด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลาชีวิตคงไม่มีความสุข นานๆไปคนๆนั้นคงไม่อยากจะทำอะไร
เพราะทำไปแล้วเหมือนหาเรื่องใส่ตัว “แกว่งตีนไปหาเสี้ยน” ชีวิตต้องมีเสถียรภาพพอสมควรเราจึง
สามารถทำงานมีความคิดอ่านที่จะพัฒนากล้าคิดกล้าทำอะไรใหม่ๆบ้าง ถ้าในชีวิตของคนๆหนึ่งมี
การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา “เดี๋ยวสั่งให้ทำอย่างนี้ อีกสักพักก็สั่งให้ทำอย่างนั้น” “ทุกๆวันเราจะต้อง
เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง สถานที่และความคิด” ไปอยู่ที่ไหนนั่งยังไม่ทันก้นร้อนก็ต้องเตรียม
ย้ายที่อีกแล้ว ในเรื่องความคิดอ่านจะทำอะไรก็ไม่คิดให้มันตกผลึกเสียก่อนแล้วค่อยแชร์ความคิด
หรือสั่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้คนอื่นคิดว่า “ไอ้นี่มันรู้จริงหรือเปล่าวะ” สภาพชีวิตที่ขาดเสถียรภาพ
อย่างนี้สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ “คนจะเริ่มใส่เกียร์ว่างมากขึ้นเรื่อยๆ” การงานจะไม่มีทางก้าวหน้าพัฒนา
เพราะไม่มีใครกล้าคิดริเริ่มทำอะไร ความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในครอบ
ครัวสามีต้องคอยระแวงภรรยาๆต้องคอยระแวงสามี ในบ้านในครอบครัวกลายเป็นที่ๆลูกๆไม่รู้สึกว่า
ตนเองปลอดภัย พ่อแม่ที่น่าจะเป็นคนที่ไว้วางใจได้มากที่สุดเวลานี้ไว้วางใจไม่ได้เสียแล้ว คนที่เราเคารพ
นับถือกลายเป็นคน “หูเบา” ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด จึงชอบวางคนไว้คอยหาข่าวอยู่ตลอดเวลา จริงเท็จ
ไม่สนใจขอให้ได้ข้อมูลมาไว้เล่นงานผู้คนได้ก็พอ ชีวิตที่อยู่กับความหวาดระแวงภาษานักเลงเขาเรียกว่า
“ต้องตั้งการ์ดอยู่ตลอดเวลา ห้ามการ์ดตกถ้าการ์ดตกเมื่อไรเป็นได้เรื่อง” ชีวิตแบบนี้คนจะทำงานมีความสุข
ได้อย่างไร ตั๊กแตนต่อยมวยที่มันทำท่าเหมือนนักมวยตั้งการ์ดตอนต่อยมวยมันไม่คงเหนื่อยเมื่อยหรอก
เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น แต่คนเราถ้าต้องตั้งการ์ดอยู่ตลอดการ์ดตกไม่ได้ ชีวิตมันเหนื่อย
เมื่อยล้าหาความสุขไม่ได้ ชีวิตแบบนี้ก็เช่นกัน “ไม่มีใครอยากทำอะไร” ขอบใจนะตั๊กแตนต่อยมวยที่ทำ
ให้คนโง่อย่างข้าฯได้คิดอะไรบ้าง เวลาตอนเด็กๆข้าฯไว้ผมยาวและชอบไปหาเหามาใส่หัว คนบ้านนอก
เขาจะไปหาตั๊กแตนต่อยมวยมาเกาะไว้บนหัว เพื่อให้มันหาเหาและไข่เหาให้เพราะเขาเชื่อว่า
“มันกินเหาและไข่เหา” ไม่รู้จริงหรือเปล่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระขออภัยนะครับ

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:48 pm

( 3 )

จากความตายเข้าสู่ชีวิตใหม่

“ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตายมัน
ก็จะบังเกิดผลมากมาย”(ยน.12:24) ถ้าเราพิจารณาคำสอนทฤษฎีเรื่องเมล็ดข้าวต้องตกไปในดิน
เน่าเปื่อย และตายไปจึงจะมีต้นใหม่เกิดขึ้น อย่างลึกซึ้งเราจะพบว่าที่จริงแล้วพระเยซูคริสตเจ้า
ได้นำเอาธรรมชาติความเป็นไปของชีวิตและสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์วัฏจักรที่พระเจ้า
ทรงวางไว้แต่ต้นเมื่อสร้างสรรพสิ่ง มาอธิบายความเป็นไปของชีวิตมนุษย์อย่างเฉพาะเจาะจง ความ
ตายและชีวิตใหม่เป็นสองสิ่งที่อยู่ในกระบวนการเดียวกัน มนุษย์เกิดแล้วตายตายแล้วเกิดใหม่มา
หลายรอบแล้วกว่าจะมาเป็นอย่างเราๆท่านๆในวันนี้ เด็กน้อยเมื่อวันวารตายไปตั้งนานแล้ว ทุกอย่าง
กลายเป็นอดีตในความทรงจำเท่านั้น ปัจจุบันมีเพียงเราที่เป็นผู้ใหญ่และมีอายุมากขึ้นทุกวัน จนถึง
วันนั้นที่ความตายมาเยือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เราจะผ่านประตูแห่งความตายไป
สู่นิรันดรภาพ จากสภาพความเป็นอนิจจังไปสู่ความเป็นอมตะ
การเปลี่ยนแปลงใหม่นำมาซึ่งความยุ่งยากความลำบากความทุกข์ทรมานเสมอ ไม่ว่าเราจะยอมรับ
หรือไม่ยอมรับ การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งและชีวิตก็ต้องเกิดขึ้นตามจังหวะเวลาของมันอยู่แล้ว
ใครก็ตามสามารถยอมรับสัจธรรมความจริงนี้ เปิดใจยอมรับ และเตรียมตัวอย่างดีที่จะเผชิญกับมัน
ด้วยความกล้าหาญ เขาจะได้รับสิ่งใหม่ๆชีวิตใหม่ที่ดีกว่าทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ส่วนใครไม่
สามารถยอมรับสัจธรรมความจริงนี้ ติดใจอยู่กับสิ่งอนิจจัง การดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ชีวิตจะย่ำอยู่
กับที่ ไม่มีการกลับใจและพัฒนา ชีวิตใหม่ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เขาจะตายอยู่กับเรื่องเดิมๆ ตาย
ในความมืดมนของชีวิต เพราะจะยอมรับหรือไม่ยอมรับความตายซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็
จะต้องมาถึงอยู่ดี พระเยซุคริสตเจ้าจึงบอกกับเราว่า “ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อม
จะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร”(ยน.12:25)
“ผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”(ยน.12:26) นักบุญยอห์น
ได้อธิบายพระธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมดในองค์พระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะเข้า
พระอาณาจักรสวรรค์จะต้องมีการเกิดใหม่ เพื่อจะเกิดใหม่เราจะต้องยอมเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ใหม่ เหมือนเมล็ดข้าวที่ตกลงในดินยอมเปื่อยเน่าและตายแล้วจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น คนที่จะเกิดใหม่จึง
ต้องยอม ตายจากสภาพมนุษย์เก่า สละตนเอง จึงจะได้รับชีวิตใหม่ที่ดีกว่า พระเยซุคริสตเจ้าแม้พระองค์
เป็นพระเจ้า แต่ก็ย่อมให้สู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่นี้ โดยน้อมรับพระประสงค์พระบิดา ยอมรับ
ทนทรมาน สิ้นพระชนม์ และในที่สุดพระองค์ได้ชัยชนะได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในการกลับคืนพระชนมชีพ
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเชิญชวนเราให้เดินบนหนทางเดียวกับพระองค์ ซึ่งพระองค์นำหน้าเราไปก่อนแล้ว
ใครปรารถนาได้รับอย่างพระองค์ เป็นอย่างพระองค์ ต้องสละน้ำใจของตนเอง สละชีวิตเก่า อดทนเดิน
บนหนทางแห่งไม้กางเขน แบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ไป เมื่อติดตามพระองค์เช่นนี้พระองค์
อยู่ที่ใดผู้รับใช้ของพระองค์ก็จะอยู่ที่นั่น นี่คือการผ่านจากความตายไปสู่ชีวิต
ผ่านจากไม้กางเขนไปสู่มงกุฏอันรุ่งโรจน์แห่งชัยชนะในพระอาณาจักรสวรรค์

พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 5:54 pm

(4 )

“กว่าจะเป็นผีเสื้อที่สวยงามในวันนี้”

นั่งทำงานมองออกไปนอกหน้าต่างสนามหญ้าหน้าบ้านเริ่มเขียวขึ้นเรื่อยๆ ดอกไม้เริ่มเบ่งบาน
ดอกบานชื่นที่หว่านไว้เติบโตขึ้นเป็นลำดับ บางต้นที่มีคนเอามาตั้งไว้ออกดอกมีหลากหลายสีสัน
ต้นตีนเป็ดน้ำข้างรั้วออกดอกสีขาว ชวนให้หมู่ภุมรินภมรผีเสื้อบินมาชื่นชม เห็นผีเสื้อสีสวยๆคิดถึง
อยากชีวิตวัยเด็กตอนอยู่บ้านนอก สมัยนั้นไม่มีของเล่นหรูหราราคาแพงๆเหมือนสมัยนี้ ชีวิตจึงต้อง
คลุกคลีเล่นอยู่กับของที่มีอยู่ตามธรรมชาติต้นไม้ใบหญ้า ยิงนกตกปลกหาจิ้งหรีดขุดไส้เดือนหา
หนอนดินหนอนน้ำมาเหยื่อตกปลา จึงทำให้รู้จักวัฎจักรของแมลงและสัตว์หลายประเภทอยู่เหมือนกัน
หนอนมีขนตามใบไม้ใบหญ้าที่ชาวบ้านเรียกว่า “บุ้ง” ขนของมันมีพิษถ้าไปโดนมันเข้าจะคันคะเยิน
เลยที่เดียว ยิ่งมีพิษมากเท่าไรและน่าเกลียดน่ากลัวมากแค่ไหน เวลามันโตขึ้นจะกลายเป็นผีเสื้อที่
สวยมากเท่านั้น คิดถึงชีวิตของตนบางช่วงเวลามันทุเรศทุรังมากๆเลยทีเดียว ในเวลานั้นเคยถาม
ตนเองว่า “ทำไมชีวิตของกูต้องเป็นแบบนี้” “ทำไมกูต้องเจอเรื่องแบบนี้วะ” สภาพตอนนั้นไม่ต่างจาก
คนทุพลภาพคนพิการ ที่มีคำถามเกิดขึ้นในใจเช่นนี้เพราะมนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้ จนกระทั่ง
เหตุการณ์ต่างๆผ่านไปทุกอย่างกลับกลายเป็นอดีตสำหรับเรา เราจึงสามารถคิดมองย้อนหลังไปใน
จิตนาการณ์พบเห็นสิ่งงดงามมากมาย ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้แต่เราไม่เข้าใจพระองค์ในเวลานั้น
ผู้เขียนเคยถูกส่งให้ไปทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา หลังจากนั้นอาการบ้านหมุนมันกลับมาจนแทบจะ
ขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯไม่ได้ มีหลายๆคนคิดว่า “นี่เป็นการแสดงแกล้งเป็น” เพราะผู้เขียนไม่อยาก
ไปประเทศฟิลิปปินส์ แท้ที่จริงแล้วผู้เขียนเป็นจริงๆจนต้องเข้าโรงพยาบาลในคืนวันนั้น นอนอยู่นานพอ
สมควรทีเดียวพอกลับมาถึงบ้านพักฟื้นเดินเซไปเซมา ต้องใช้ walker มีล้อ 4 ล้อช่วยประคับประคอง
กันล้ม ทุกวันนี้พยายามไปหาซื้อ Walker แบบนี้ยังไม่เคยพบเลย จึงต้องขอบคุณคุณพ่อรุ่นพี่ที่อยู่ด้วย
กันเวลานั้นท่านให้ยืมมาใช้ ตอนนั้นพี่น้องที่บ้านซื้อกระเป๋าเดินใบใหม่เตรียมไว้ให้แล้ว แต่แปลกมาก
เวลาอาการบ้านหมุนทุเลาลงพอจะเดินทางได้ อยู่ดีๆภูเขาไฟตาอัลที่เมืองตาไกไตประเทศฟิลิปปินส์ก็
ระเบิดพ่นเถ้าถ่านออกมามากมาย จนคนที่นั่นต้องอพยพหนีตายไปอยู่ที่อื่น พอเรื่องภูเขาไฟจบลงเจ้า
โควิค 19 มันแผงฤทธิ์แรงขึ้นจนเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ เป็นต้นฟิลิปปินส์ไปไม่ได้เด็ดขาด หลัง
จากนั้นย้ายไปอยู่วัดซางตาครู้ส และที่นั่นตอนที่โควิค 19 ในประเทศไทยถึงขั้นวิกฤติผู้เขียนเป็น
โควิค 19 เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนั่งรำพึงถึงเรื่องราวเหล่านี้แล้วต้องขอบคุณพระเจ้าที่ปกป้องลูกไว้
ถ้าลูกไปประเทศฟิลิปปินส์ตอนนั้นคงต้องตายที่นั่นเป็นแน่แท้ เจ้าผีเสื้อสวยงามเหล่านี้มันคงไม่รู้หรอกว่า
ก่อนจะมาเป็นผีเสื้อสวยงามวันนี้มันอย่างไรมาก่อน แต่เราเป็นมนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดรู้คุณพระเจ้ารู้
คุณคนได้ เราจึงต้องขอบคุณพระจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามแผนการของพระองค์อย่างไม่รู้
จบสิ้น ขอบคุณพระเจ้าขอบคุณผู้คนที่มีส่วนช่วยให้ลูกรอดตายมาได้จนถึงวันนี้

ขอพระเจ้าอวยพรและเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 6:01 pm

( 5 )


การพิจารณามโนธรรมและการยอมรับความจริง

“โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้ที่เสา ถ้าใครถูกงูกัด แล้วมองไปที่งูทองสัมฤทธิ์นั้น
เขาก็จะมีชีวิตอยู่ได้”(กดว.21:9) นักบุญยอห์นได้ใช้เรื่องราวในพันธสัญญาเดิมจากหนังสือกันดารวิถี
เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของการ พิศเพ่ง การมองดู การเพ่ง และยกตาขึ้นยังพระเจ้าและตนเอง
“โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น”(ยน.3:14) การมอง
ดู การพิศเพ่ง อาจพิจารณาได้ 2 ด้าน ด้านพระเจ้าและมนุษย์ ในด้านของพระเจ้าพระคัมภีร์ได้ย้ำเตือน
เราหลายๆครั้งว่า พระองค์ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งไม่มีอะไรสามารถซ่อนเร้นจากสายพระเนตรของพระองค์ได้
“พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดเป็นพยานในเรื่องมนุษย์เพราะทรงทราบดีว่ามีสิ่งใดอยู่ในใจมนุษย์”
(ยน.2:25) นักบุญหลายๆท่านได้สอนให้เราตระหนักถึงเรื่องนี้ เพื่อเราจะได้เกิดความเคารพยำเกรง
พระเจ้า เวลาที่เราจะทำอะไรจะได้ยับยั้งชั่งใจก่อนที่เราจะกระทำ จงตั้งตนต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอ
ด้านของมนุษย์ในเทศกาลมหาพรตเป็นเวลาพิเศษ ซึ่งพระศาสนจักรกำหนดไว้ให้เราสำรวจตนเองหรือ
พิจารณามโนธรรม เพื่อการพัฒนาชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณและการกลับใจ ถ้าเราพิจารณาแล้วพบว่ามีอะไร
ที่ดีเป็นประโยชน์เราต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อะไรที่เป็นความบกพร่องเราต้องพยายามแก้ไข เป็นทุกข์ถึง
บาปกลับใจเปลี่ยนวิถีทางดำเนินชีวิต การกลับใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนหนึ่งพิจารณาตนเองอย่างจริงจัง
รู้จักตนเอง ยอมรับความเป็นจริงแห่งตน เป็นทุกข์เสียใจถึงความผิดบกพร่องที่ตนได้กระทำ และเปลี่ยน
วิถีทางดำเนินชีวิต ภาษาทางธรรมเขาเรียกว่า “การตายจากตนเอง ตายจากความเป็นมนุษย์เก่าที่ดำเนิน
ชีวิตในความมืดมนแห่งชีวิต” นักบุญยอห์นได้อธิบายทำให้เราเห็นภาพพจน์ชัดเจนว่า “ความสว่างเข้ามา
ในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำ
ความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง และไม่เข้าใกล้ความสว่าง เพราะเกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง”
(ยน.3:19-20) ถ้าเราปรารถนาจะกลับใจจริงๆคงจะต้องยอมเจ็บสักครั้ง เหมือนคนที่อยู่ในความมืดนานๆ
ต้องกล้าค่อยๆลืมตายอมแสบตาบ้างแล้วเขาจะสามารถเห็นแจ้ง บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้น การยก
ขึ้นสูงเป็นการทำให้เห็นมากขึ้น นักบุญยอห์นต้องการอธิบายเรื่องการถูกตรึงบนไม้กางเขนและถูกยกขึ้น
จากแผ่นดินของพระเยซูคริสตเจ้าว่า เป็นการช่วยให้มนุษยชาติให้ได้รับความรอดพ้น ต้องผ่านหนทางแห่ง
ไม้กางเขนจึงสามารถไปถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ท่านได้ใช้ความคิดจากพันธสัญญาเดิมมาอธิบาย
ความรอดพ้นซึ่งเกิดจากไม้กางเขนของพระเยซูคริสตเจ้า “ผู้ที่ถูกงูกัดเมื่อมองไปที่งูทองสัมฤทธิ์ที่ถูกแขวนไว้
จะมีชีวิตต่อไป”(กดว.21:9) “เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”(ยน.3:15) ในเทศกาลมหาพรต
พระศาสนจักรจึงเชิญชวนเราให้รำพึงถึงมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสตเจ้า
บ่อยๆ อาทิ การเดินมรรคาศักดิ์สิทธิ์ การเล่าเรื่องมหาทรมาน ฯลฯ เพื่อให้เราพิศเพ่งไปยังไม้กางเขนของ
พระองค์ ไม่ใช่เพื่อจะได้เห็นการสิ้นพระชนม์ของพระองค์อย่างน่าอนาถบนไม้กางเขนเท่านั้น แต่เพื่อเราจะได้
เข้าใจใน ความรักของพระเจ้า เชื่อมั่นในพระเมตตา และเข้ามาขอพึ่งพระเมตตาของพระองค์เสมอ
ผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้ทุกคนจะได้รับชีวิตนิรันดร

พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 6:06 pm

( 6 )

“คนหลงบุญ”

เมื่อคิดถึงความสงบสุขความอิ่มเอิบใจที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราทำความดี ทำกิจเมตตา
ทำจิตภาวนาสมาธิสิ่งที่เกิดขึ้นนี้พิจารณาเผินๆดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหา หรือส่งผลในทางลบ
ในร้ายอะไรทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่กล่าวถึงนี้กลับส่งผลทำให้หลายๆคนหลงไป ทำให้เกิด
ความเสียหายกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับเพื่อพี่น้องผู้คนรอบข้าง และทำให้
คนๆหนึ่งไม่สามารถใช้พระพรที่พระเจ้าประทานให้อย่างคุ้มค่า ตามพระประสงค์ของพระองค์ใน
การ “รักและรับใช้กันและกัน” ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์พบกับคนที่มีลักษณะ “หลงบุญ หลงความดี”
หลายรูปแบบ จึงนำมาเขียนเล่าให้อ่านและลองพิจารณากันดูว่าจริงเท็จอย่างไร เผื่อว่าจะสามารถ
ช่วยเหลือกันและกันให้พบหนทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ในอดีตในพระ
ศาสนจักรของเรามีผู้คนที่แสวงหาความครบครัน โดยปลีกตัวออกจากสังคมไปอยู่สันโดษนั่งอยู่บน
ยอดเสาไม่ไปยุ่งกับใคร ในปัจจุบันมีบางคนทำสมาธิจนถึงขั้นพบกับความปีติสุข และคนเหล่านี้ปลีก
ตัวออกไปจากสังคมพร้อมกับพระพรความสามารถมากมาย เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาหลุดพ้น
บรรลุแล้วอยากมีความสุขอย่างนั้นตลอดไป จึงทิ้งพ่อแม่เพื่อนพี่น้องไปหาความสุขใส่ตัวอยู่คนเดียว
ไม่ได้ใช้พระพรที่พระเจ้าประทานให้ในการรักและรับใช้เพื่อนพี่น้องแต่อย่างใด คนประเภทนี้ถ้า
พิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว ถือได้ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวประเภทหนึ่ง “คิดถึงแต่ตนเอง” “ทำเพื่อตนเอง”
เพราะการดำเนินชีวิตแบบนี้ง่ายกว่าการดำเนินชีวิตท่ามกลางปุถุชนที่มี “ความคิดต่าง” “ความเห็นแก่ตัว”
“รัก โลภ โกรธ หลง” ทั่วไป พระสันตะปาปาฟรังซิสเรียกคนเหล่านี้ว่า “คนที่ชอบแอบอยู่ในที่ปลอดภัย
สะดวกสบายของตน (comfort zone save zone)” เป็นคนดีไม่จริงถ้าเป็นคนดีจริงต้องกล้าที่จะออกมา
เผชิญกับปัญหาสถานการณ์ต่างๆร่วมกับชาวโลก และใช้พระพรที่พระเจ้าประทานให้ในการรักและรับ
ใช้ผู้อื่น อีกบางคนหลงตนเองว่า ”เข้าถึงฌานสมาธิ” สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆด้วยฌาน เคยมีคน
มาเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นพฤติกรรมของคนโน้นเป็นอย่างนี้คนนี้เป็นอย่างนั้น เมื่อเล่าจบจึงบอกเขาว่า
“ถ้าคุณจะเล่าให้ใครฟังนั่นเป็นสิทธิของคุณแต่อย่าทำให้คนอื่นเสียหาย และคุณต้องบอกด้วยว่าคุณ
เห็นด้วยฌาน “ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ” ตอนนั้นสรุปจบลงว่า “คุณอย่ามาเกลือกกลั้วกับคนอย่างผมเลยนะ
เพราะผมเป็นคนบาปเดี๋ยวจะทำให้ฌานของคุณเปื้อนหมองเปล่าๆ” ถ้าจะเข้าใจเรื่องที่เล่ามานี้ดีขึ้นต้อง
พระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 25:35 เรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้าย พระเยซูเจ้าจะไม่ได้ถามเราว่าได้ฌาน
สมาธิขั้นไหน ไปทำบุญมา 9 วัดมาหรือเปล่า แต่ถามว่า เมื่อเราหิวท่านให้เรากินหรือเปล่า......เราได้แสดง
ความรักต่อเพื่อนพี่น้องอย่างไร ความเชื่อที่ไม่มีกิจการเป็นความเชื่อที่ตายไปแล้ว อย่ารักกันแต่ลมปาก
แต่ต้องรักกันด้วยกิจการ เขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้ลองอ่านพิจารณากันดูเพื่อจะได้พบวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูก
ต้องและนำมาแบ่งปันกัน

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 6:09 pm

( 7 )


ความซื่อตรงในความคิดและความจริงใจ

การทำความดี การปฏิบัติศาสนกิจ การถือพระบัญญัติ ซึ่งเป็นคารวกิจนมัสการถวายเกียรติแด่
พระเจ้า ต้องเป็นกิจการที่มาจากความซื่อตรงในความคิดและความจริงใจ กิจการนั้นๆจึงมีค่า
ในสายพระเนตรของพระเจ้า “ผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตและตามความจริง”
(ยน.4:23) ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงสอนว่า “นมัสการตามความจริง” เพราะหลายๆครั้งสิ่งที่เรา
แสดงออกภายนอก กับสิ่งที่มันแฝงเร้นอยู่ในใจของเรามันไม่ตรงกัน หรือถ้าจะพูดแบบไทยๆก็คือ
“หน้าอย่างหลังอย่าง” “หน้าไหว้หลังหลอก” นั่นเอง
“ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบ พ่อค้าขายโค พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลก
เงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ”(ยน.2:14) สิ่งที่เราต้องคิดในการปฏิบัติสิ่งต่างๆก็คือ เราทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นเพื่ออะไร
เป็นการกระทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่ ถ้าเราพิจารณาด้วยความจริงใจเราจะพบว่าในการ
ปฏิบัติของเรา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องสะสาง เพื่อทำให้กิจการที่เราทำนั้นบริสุทธิ์เหมาะสม
ที่จะเป็นเครื่องบูชาคารวกิจถวายเกียรติแด่พระเจ้า โค แกะ นกพิราบ และการแลกเงิน ที่พระเยซูคริสตเจ้า
ไปพบว่ามีคนนำมาขายในบริเวณพระวิหารนั้น ก็คือเครื่องบูชา และเงินที่ใช้ทำบุญบำรุงพระวิหาร ความ
จริงการมานมัสการพระเจ้าที่พระวิหาร การถวายบูชาแด่พระเจ้า และการทำบุญบำรุงพระวิหารเป็นสิ่งที่ดี
แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ทุราจารพระวิหาร “จงนำของเหล่านี้ออกไป อย่าทำบ้านของพระบิดาของเรา
ให้เป็นตลาด”(ยน.2:16) เพราะหลายๆคนนำเอาเรื่องดีๆเหล่านี้มาเป็นหนทางแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน
และเบียดเบียนผู้อื่น ด้วยเหตุว่าที่ๆพวกเขาค้าขายนั้นมันเป็นที่ของคนชั้นต่ำที่ถูกกีดกันทางสังคมอยู่แล้ว
“พระองค์ทรงใช้เชือกทำเป็นแส้ ทรงขับไล่ ทุกคนรวมทั้งแกะและโคออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจาย
เกลื่อนกลาด และคว่ำโต๊ะของผู้แลกเงิน”(ยน.2:15) สิ่งที่พระเยซูคริสตเจ้าปฏิบัติแสดงให้เห็นว่า การนับถือ
ศาสนา การปฏิบัติกิจศรัทธา และการทำความดีใดๆที่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่ไม่คุณค่า
ในสายพระเนตรของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่พอพระทัยอีกด้วย ผลประโยชน์ที่แอบแฝง
ของการทำความดี การปฏิบัติกิจศรัทธา การนับถือศาสนา มีหลายรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ
ทำเพื่อหน้าตา เพื่อให้ตนเองดูดี ทำเพราะกลัวโทษผิดกลัวบาปเลยทำพอผ่านไปเพื่อทำให้มโนธรรมสงบ
เพราะเคยถูกปลูกฝังมาอย่างนั้นไม่ทำก็กระไรอยู่ บางคนมาขอรับศีลล้างบาปเพราะอยากแต่งงานแบบ
คาทอลิก อยากเรียนในโรงเรียนคาทอลิก ฯลฯ ประกาศกโยเอลเตือนเราตั้งแต่เริ่มเทศกาลมหาพรตว่า
“จงฉีกใจของท่าน มิใช่ฉีกเฉพาะเสื้อผ้า”(ยอล.2:12-13) แสดงว่ากิจการต่างๆที่เราทำจะมีคุณค่าในสาย
พระเนตรของพระเจ้า ต้องเป็นกิจการที่มาจากใจที่รักและภักดีในพระเจ้า เพราะฉะนั้นความซื่อตรงในความ
คิดและความจริงใจในการกระทำจึงสำคัญ เพราะพระเจ้าทรงสามารถหยั่งรู้ทุกสิ่งจนถึงก้นบึ่งแห่งใจมนุษย์
การกระทำที่หน้าไหว้หลังหลอก การกระทำที่ดีเพียงเปลือกนอก จึงสามารถตบตามนุษย์ได้ชั่วคราวเพราะ
วันหนึ่งธาตุแท้จะต้องปรากฏ แต่ไม่สามารถตบตาพระองค์ ขอให้พระวาจาของพระเจ้าชำระใจเราให้บริสุทธิ์
เพื่อเราจะได้สามารถนมัสการพระเจ้าด้วยใจและตามความเป็นจริง

พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 6:14 pm

( 8 )

“อย่ายอมตกเป็นเหยื่อ”

มีผู้คนมากมายที่ยอมตกเป็นเหยื่อของหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนนั่งลงรำพึงภาวนา
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสถานการณ์เฉียดตายมาหลายครั้งหลายครา อาการที่อยู่ๆก็วุบล้มไปซึ่ง
หมอบางท่านตั้งชื่อให้เข้าใจง่ายว่า “ตายชั่วคราว” ถ้าครั้งไหนหัวใจมันอยากเต้นขึ้นมาใหม่ก็รอด
ถ้ามันไม่อยากเต้นคงต้อง Rest in peace จนเป็นที่มาของการล้มหัวฟาดพื้นอย่างแรงครั้งนั้นยอม
รับจากใจจริงว่า “ท้อแท้สิ้นหวังมีคำถามมามายเกิดขึ้นในใจ” หลังจากนั้นยังมีปัญหาตามมาอีก
หลายอย่างที่ไม่สามารถนำมาเล่าในที่นี้ได้ คิดอย่างไรมองไปทางไหนมันมืดแปดด้านไปหมด
พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงไปบ้างก็ย้ายไปวัดซางตาครู้สแบบงงๆ และที่นั่นบอกได้ว่ามีความสุข
ดีตามสมควร หลังจากพยายามทำหน้าที่อะไรที่พอทำได้สุดความสามารถ ในช่วงเวลานั้นโควิค 19
ที่ก่อตัวขึ้นแรกๆคิดว่ามันคงไม่เท่าไรแต่ที่ไหนได้ มันพรากชีวิตประชากรโลกไม่มากพอสมควรทีเดียว
จนมาถึงช่วงเวลาที่น่ากลัวสุดๆของประเทศไทยคนเป็นโควิค 19 มากมายไม่มีโรงพยาบาลเพียงพอที่
จะรองรับ คนจำนวนมากต้องตายเหมือนคนไร้ญาติขาดมิตรเดินๆอยู่ก็ล้มลงตายกันบนถนนข้างถนน
ตอนนั้นที่โรงพยาบาลโทรศัพท์มาให้ไปฉีดวัคซีนดีใจรีบไปฉีด พอฉีดมาแล้วเริ่มเป็นไข้เวียนหัวและ
หัวเริ่มจะหมุน จึงกลับไปหาหมอที่โรงพยาบาลปรากฏว่าเป็น “โควิค 19” สายพันธ์ที่แรงสุดในตอนนั้น
แรกๆไม่เชื่อเพราะคิดว่า “แพ้วัคซีน” ในที่สุดต้องยอมจำนนต่อเหตุผล “เริ่มหายใจไม่ค่อยได้” “ค่าอ๊อกซิเจน
ลดลงอย่างน่าใจหาย” ต้องนอนคว่ำอยู่ประมาณเดือนกว่าเกือบสองเดือน เนื่องจากสถานการณ์มันกระหน่ำ
ซัมเมอร์เซลจึงตัดสิ้นใจที่จะไปนอนเตรียมตัวดีๆ “ที่หวอดพระเมตตา (End of life care)” พยาบาลเพื่อนๆ
และหมอที่รู้จักกันเขาไม่ยอมจะสู้ให้ถึงที่สุด “ในที่สุดก็รอดมาได้” หลังจากนั้นไม่นานเริ่มมีอาการเจ็บสะโพก
ค่อยๆเป็นทีละข้างจนครบสองข้าง พอรับการผ่าตัดครบสองข้างก็ถึงเวลาย้ายมาที่ใหม่ “วัดดวงหทัยนิรมล
ของแม่พระ (ปากลัด) พร้อมกับไม้คู่ชีพ 2 อัน สิ่งต่างๆที่เล่ามาทั้งหมดทำให้ผู้เขียนตกเป็นเหยื่อของ
“ความกลัว” “ความวิตกกังวล” “ความไม่มั่นใจ” และต้องยอมรับว่ามันลุกลามไปถึง “การขาดความเชื่อและ
ความไว้วางใจในพระเจ้า” ถ้าเราลองพิจารณาสิ่งต่างเหล่านนี้ดูจะพบว่า “มันเป็นที่มาของความเจ็บไข้ได้ป่วย”
ทางกายและจิตใจ อาทิ โรคเครียด โรคกระเพาะ โรคทางเดินอาหาร โรคซึมเศร้า ฯลฯ หลังจากค่อยๆผ่าน
ประสบการณ์และมีโอกาสนั่งคิดรำพึงจึงคิดว่า “แล้วมันก็จะผ่านไป” เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ตามธรรมชาติของสิ่งอนิจจังของโลก คนที่มีความแตกต่างกันมาอยู่ด้วยกันอาจมีปัญหาปีนเกลียวกันบ้าง
เป็นธรรมดา การใช้ร่างกายมานานวันมันจะเสื่อมสภาพไปบ้างต้องมีการซ่อมแซมเมื่อถึงเวลา เหมือนฝน
ตกหนักในชีวิตหลายๆครั้งพระเจ้าจะไม่บันดาลให้ฝนหยุดตกหรอกนะ เพราะมันต้องตกอยู่แล้วตามวันเวลา
ของมัน แต่พระองค์ใจดีมอบร่มให้เราคันหนึ่งเพื่อจะได้ไม่เปียกฝนมากเกินไป ความกลัว ความวิตกกังวล
ความไม่มั่นใจ ฯลฯ เป็นภาวะทางจิตใจที่เราเพาะเลี้ยงสร้างขึ้นมาเอง ดังนั้นเราจึงสามารถขจัดมันออกไป
ด้วยการสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง โดยเพิ่มพูนความเชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้ามากขึ้นพระองค์เป็นโล่
กำบังอันเข้มแข็งของเรา และไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อมั่นและวางใจในพระองค์ย่อมเป็นสุข

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 6:18 pm

( 9 )


พระเจ้าคือองค์แห่งความหวัง

เทศกาลมหาพรตเป็นเทศกาลแห่งความหวัง เพราะเรากำลังเตรียมการสมโภชความหวังอันยิ่งใหญ่
ซึ่งเป็นจริง โดยอาศัยการทนทรมาน สิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า
หลังจากมนุษย์ตกในบาปพระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งมนุษย์ แต่พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับมนุษยชาติว่า
วันหนึ่งพระองค์จะทรงกอบกู้มนุษยชาติให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของบาปและความตาย พันธสัญญา
ไม่นั้นเริ่มต้นและค่อยๆชัดเจนมากขึ้นจนมาถึงความสมบูรณ์ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า เราคริสตชนมี
ความเชื่อมั่นในสิ่งกล่าวถึงนี้หรือไม่ หรืออาจจะตั้งคำถามอีกนัยหนึ่งว่า “พระเจ้ายังเป็นองค์แห่งความ
หวังของเราหรือไม่” บาปที่มนุษย์กระทำลงไปเป็นมูลเหตุที่สำคัญ ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับความมืดมน
ของชีวิต ความยากลำบาก ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความผิดหวัง ความไม่สำเร็จนาๆชนิด และความตาย
สิ่งต่างๆที่กล่าวถึงนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์เราจนดูเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
หลายๆครั้งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราลังเลใจสงสัยในความเชื่อ ขาดความหวังในพระเจ้า เป็นเรื่องที่ง่ายที่คนๆ
หนึ่งจะมีความเชื่อ ความหวังในพระเจ้า ในยามที่เขาสุขสบาย สุขภาพดี เวลาขอแล้วก็ได้สมความปรารถนา
แต่เป็นการยากที่เราจะเชื่อมั่นในพระเจ้า ในยามที่เราผิดหวัง ขอแล้วก็ไม่ได้ตามที่ขอ วันที่เราไปโรงพยาบาล
แล้วแพทย์วินิจฉัยว่าเราเป็นมะเร็ง จะมีสักกี่คนที่จะมีความเชื่อ ความหวังในพระเจ้า เช่นเดียวกับอับราฮัมที่
ยอมนำอิสอัคลูกแห่งพระสัญญาคนเดียวไปถวายเป็นเครื่องบูชาตามคำสั่งของพระเจ้า “จงพาลูกของเจ้า
คืออิสอัค ลูกคนเดียวของเจ้าที่เจ้ารัก ไปถวายเป็นเครื่องบูชาบนภูเข้าที่เราจะชี้บอกเจ้า”(ปฐก.22:2)
พระเยซูคริสตเจ้าทรงทราบถึงความอ่อนแอตามประสามนุษย์เป็นอย่างดี ทรงทราบว่าหลังจากที่พระองค์
สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับบรรดาศิษย์ สภาพความเชื่อความหวังของอัครสาวกและ
สาวกของพระองค์จะเป็นอย่างไร พระองค์จึงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นซึ่งเป็นแกนนำของบรรดาศิษย์
ขึ้นไปบนภูเขา และทรงแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ต่อหน้าพวกเขา “พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ
และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระวรกายขงพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา......”(มก.9:2)
หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วพระองค์ได้กล่าวถึงพระทรมาน สิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของ
พระองค์อีก “พระองค์ตรัสสั่งพวกเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับ
คืนชีพจากบรรดาผู้ตาย”(มก.9:9) ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกำชับว่า “จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ
จากบรรดาผู้ตาย” เพราะว่าประสบการณ์การได้สัมผัสความรุ่งโรจน์หรือความสุขในสวรรค์ของอัครสาวก
3 ท่านจะสามารถช่วยให้ความเชื่อความหวังของบรรดาศิษย์พลิกฟื้นกลับคืนมา ด้วยเหตุนี้เราคริสตชน
จึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์ความเชื่อ โดยอาศัยการสวดภาวนา พระวาจาของพระเจ้า และศีลศักดิ์สิทธิ์
เพื่อเราจะได้สามารถแสดงความเชื่อในยามทุกข์ยากลำบากเช่นเดียวกับนักบุญเปาโลว่า “การทดลอง
ทั้งหมดนี้ เราชนะได้ง่ายอาศัยพระผู้ทรงรักเรา....ไม่มีสรรพสิ่งใดๆจะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า
ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”(รม.8:37,39)

พระเจ้าสถิตกับท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 07, 2024 6:23 pm

( 10 )

“บ้านคือวิมานของเรา”

เวลานี้อากาศเย็นสบายพัดมากระทบผิว หน้าบ้านหลังขาวมีสนามหญ้าหน้าเต็มไปด้วยดอกไม้
เพราะตรงบ้านหลังเดิมกำลังจะถมดินจึงย้ายเอาต้นทองอุไรมาปลุกไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
หน้าบ้านจึงเหลืองอร่ามไปด้วยดอกทองอุไร แถมยังมีคนเอาดอกดาวกระจายมาใส่กระถาง
ตั้งไว้อีกด้วย ส่วนดอกบานชื่นที่ผู้เขียนชอบเป็นการสวนตัวก็เริ่มงอกเป็นต้นอ่อน ถ้ามันรอด
จากการเป็นอาหารของหอยทากคงได้ชื่นชมกับดอกที่มีสีสันหลากสี บรรดาหมู่ภมรภูมารินผีเสื้อ
ทั้งหลายเริ่มบินมาโฉบเฉี่ยวให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ แมลงภู่ซึ่งไม่ได้เห็นมานานหลังจากย้ายถิ่นฐาน
มาอยู่เมืองกรุงก็ปรากฏตัวมา หลังจากปิดมู่ลี่นั่งทำงานอยู่ในห้องมาสองสามเดือน เวลานี้เลย
เปิดมู่ลี่รับแสงแดดยามสายชมวิวทิวทัศน์หน้าบ้าน ทำให้ใจสุขสงบนักเรียนอนาคตของชาติที่
เห็นแต่ไกลในโรงเรียนสวมเสื้อสีสันแปลกตาดี เพราะเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วบางวันให้ใส่
สีโน้นบางวันให้ใส่สีนี้บางวันสามารถแต่งชุดไปรเวทมาโรงเรียนได้ สุขภาพของผู้เขียนเริ่มเข้าที่
เข้าทางข้อสะโพกข้างซ้ายย่างเข้าขวบปี การเดินโคลงเคลงของผู้เขียนเริ่มเสถียรมากขึ้น มันจะ
เอาเรื่องทวงถามการพักผ่อนก็ต่อเมื่อวันนั้นพักผ่อนไม่ค่อยดี ทำให้ผู้เขียนคิดถึงหนังสือเล่มเล็กๆ
ที่เคยซื้อมาอ่าน หนังสือเหล่านั้นบรรยายถึงเรื่องการบำบัดต่างๆ วารีบำบัด อากาศบำบัด กลิ่นบำบัด
ดนตรีบำบัด ธรรมชาติบำบัด ความงดงามบำบัด ฯลฯ ดูเหมือนว่าสิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้ให้กับเรา
มันจะให้คุณกับเราในการบำบัดรักษาไปเสียทุกสิ่งอย่าง ผู้เขียนคิดว่าบ้านที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ธรรมชาติที่สวยสดงดงามมันมีอิทธิพลต่อจิตใจต่อชีวิตของเราอย่างอเนกอนันต์ อย่างน้อยที่สุดมันทำ
ให้จิตใจของเราชื่นบานมีความสุข มันช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของเรากลับคืนมาพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ
และสู้กับมันต่อไป (Our life will go on) เราจึงต้องไม่มองข้ามสิ่งที่ดีๆธรรมชาติอันสวยสดงดงามที่
พระเจ้าทรงมอบไว้ให้กับเรา เพราะทุกสิ่งจะช่วยเราให้พบกับสุขสงบที่สามารถบำบัดรักษาสภาพจิตใจ
และร่างกายของเราให้ดีขึ้นได้ และที่สำคัญที่สุดคือพวกเราทุกคนสามารถสร้างบรรยากาศดีๆความสวย
สดงดงามขึ้นเอง อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือกันโดยการสวดภาวนาและให้กำลังใจกันและกัน ซึ่งเป็น
การวอนขอพลังจากพระเจ้าและส่งพลังบวกเพื่อเสริมพลังชีวิตให้แก่กันและกันได้ตลอดเวลา ขอเป็นหนึ่ง
พลังบวกที่ส่งให้ทุกๆคนนะครับ ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ตอบกลับโพส