เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ ( ชุดที่ 29 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 17, 2024 5:51 pm

………ปาฏิหาริย์เงือกน้อย มีทั้งหมด ( 4 ) ตอนจบ

ปาฏิหาริย์เงือกน้อย ตอนที่ ( 1 )
โดย แดน เลวิน เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2551 และจากกูเกิล 2566
เรื่อง “ Surgery on Peru’s ‘mermaid’ baby successful’ รวบรวมและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ณ หมู่บ้านที่ห่างไกลในเขตฮวน กาโย (Juan Cayo) บนเทือกเขาแอนดีส ประเทศเปรู
ซารา อะราวโก (Sara Arauco) หญิงสาววัย 19 ปีคลอดบุตรในคลินิกเล็กๆ การคลอดเป็นไป
อย่างทุกลักทุเลจนเวลาผ่านไป 11 ชั่วโมง ที่สุดซาราก็ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก แต่แทนที่จะ
ได้ยินเสียงโล่งใจของพยาบาล ทั้งห้องกลับเงียบกริบ “อะไรกันนี่” พยาบาลอุทาน ไม่มีใครกล้า
เอ่ยปากใดๆ ทารกน้อยถูกอุ้มออกไปนอกห้องทันทีให้พ้นสายตาซาราผู้เป็นมารดา
ในคืนเดียวกันที่กรุงลิมา (Lima) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 400 กิโลเมตร นายแพทย์บลูอิส รูบีโอ
(Dr Luis Rubio) ศัลยแพทย์ตกแต่งผู้บริหารโรงพยาบาลโซลิดาริตี (Hospital Solidarity)
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสำหรับคนยากจนในเขตเมืองลิมา เดินกลับบ้านหลังเลิกงาน โทรศัพท์มือถือ
ของเขาดังขึ้น นายกเทศมนตรีลูอิส กาสตาเนดา (Lima Mayor Luis Castaneda) โทรฯมาแจ้งว่า
“หมอเห็นข่าวในโทรทัศน์หรือยัง มีข่าวของรีการ์โด เซอร์รอน (Ricardo Cerron) บิดาวัย 24 ปี
จากฮวน กาโยขอความช่วยเหลือเพื่อรักษาทารกแรกเกิดของเขา เขาไม่มีเงินและในท้องที่นั้น
ก็ไม่มีแพทย์ที่สามารถช่วยชีวิตลูกของเขาได้ เราพอจะช่วยอะไรเขาได้บ้างครับ คุณหมอ”

หมอรูบีโอกับแพทย์อีก 2 คนเตรียมรถพยาบาลและบึ่งไปที่หมู่บ้านฮวน กาโยทันทีเพื่อรับตัว
ทารกน้อย กับผู้ปกครองมาที่กรุงลิมา

วันถัดมา เมื่อเห็นทารกนอนอยู่ในเปล เขาแทบไม่เชื่อสายตา ทารกหญิงมีขาทั้งสองข้างตั้งแต่ช่วง
เอวถึงข้อเท้าเชื่อมติดกันเป็นชิ้นเดียว มีเพียงปลายเท้าที่แยกออกจากกันคล้ายหางปลา นักข่าวจึง
เรียกทารกน้อยว่า “เงือกน้อย”

หมอรูบีโออุ้มทารกหนัก 2,000 กรัมไว้ในอ้อมแขน หนูน้อยเริ่มร้องไห้พร้อมกับยกขาทั้งสองตั้งขึ้น
“ฉันควรจะทำอย่างไรดี”

หมอรูบีโอถามตัวเอง เขาจ้องมองทารกผมดำขลับในอ้อมแขนพร้อมกับครุ่นคิดอย่างหนัก
“เด็กคนนี้จะอยู่รอดได้จริงหรือ”
หมอค่อยๆ ตรวจดูร่างกายส่วนล่างของทารกเพื่อศึกษาลักษณะของกระดูก กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ
โดยรอบ หนูน้อยเป็นโรคพันธุกรรมที่พบน้อยมากเรียกว่า “ไซเรโนมีเลีย” (Sirenomelia) ซึ่งเป็น
ภาวะที่ทารกขาดเลือดเลี้ยงร่างกายท่อนล่างตั้งแต่อยู่ในครรภ์

หมอรูบีโอเคยอ่านพบโรคนี้ แต่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสพบได้จริง โรคนี้ค่อนข้างร้ายแรงเนื่องจากทารก
ส่วนใหญ่มีไตและกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ หลายคนเสียชีวิตในครรภ์หรือหลังคลอดไม่กี่วัน
เขาทราบว่ามีเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้เพียงรายเดียวที่รอดชีวิตหลังผ่าตัดแยกขาทั้งสองข้าง

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 8:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 17, 2024 6:02 pm

ปาฏิหาริย์เงือกน้อย ตอนที่ ( 2 )
โดย แดน เลวิน เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2551 และจากกูเกิล 2566
เรื่อง “ Surgery on Peru’s ‘mermaid’ baby successful’ รวบรวมและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

เมื่อตรวจร่างกายทารกเสร็จแล้ว หมอรูบีโอวางแผนว่า ขั้นตอนแรกที่ต้องลงมือคือ
ตรวจโครงสร้างภายใน”ท่อนหาง”อย่างละเอียด ดูว่ากระดูกและเนื้อเยื่อต่างๆ มีครบหรือไม่
เส้นประสาทกับ กล้ามเนื้อเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือลักษณะของหลอดเลือด เมื่อทราบ
ข้อมูลทั้งหมดแล้ว เขาจึงวางแผนการรักษาเพื่อช่วยชีวิตทารกน้อยและผ่าตัดแยกขาทั้งสองข้าง
เผื่อว่าเธอจะเดินได้ เขาสั่งตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์อย่างละเอียด หากกระดูกขาหรือข้อเท้า
เชื่อมติดกันแม้เพียงชิ้นเดียว การผ่าตัดแยกขาอาจกลายเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

ผลตรวจพบข่าวดี กระดูกขาทั้งสองข้างสมบูรณ์ดีและแยกจากกันเด็ดขาด มีเพียงเนื้อเยื่อและ
เส้นเอ็นที่เชื่อมติดกัน ข่าวร้ายคือทารกมีไตข้างเดียวที่ทำงานได้แต่ก็ไม่สมบูรณ์นัก อวัยวะอีก
หลายส่วนยังมีปัญหาอยู่ หมอรูบีโอเริ่มวางแผนการรักษาอย่างละเอียด เขาขอความช่วยเหลือ
จากศัลยแพทย์ตกแต่งจากรัฐฟลอริดาซึ่งเคยผ่าตัดแยกขาผู้ป่วยโรคนี้สำเร็จขณะที่เด็กคนนั้น
อายุ 16 ปี

คณะแพทย์เห็นว่าควรรอให้ทารกแข็งแรงกว่านี้จึงลงมือผ่าตัด เมื่อหมอรูบีโอวางแผนการรักษา
เรียบร้อย เขาแจ้งพ่อแม่เด็กว่าจะผ่าตัดเมื่อทารกอายุ 4 เดือน แต่ไม่อยากให้ทั้งคู่คาดหวังสูง
เกินไป
จึงกล่าวว่า “หมอเกรงว่าโอกาสสำเร็จอาจมีไม่มากนัก”

เมื่อทารกอายุ 2 เดือน พ่อกับแม่ตั้งชื่อลูกว่า “มิลากรอส” (Milagros) ซึ่งแปลว่า “ปาฎิหาริย์” ซารา
กล่าวว่า “เราคิดเสมอว่าเป็นเรื่องปาฎิหาริย์ที่ทำให้ลูกมีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้”

เมื่อทารกอายุครบ 4 เดือน สุขภาพของมิลากรอสพร้อมสำหรับการผ่าตัด แต่โรคนี้ทำให้ภูมิ
ต้านทานของทารกอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย การผ่าตัดจึงต้องเลื่อนออกไปอีกหลายเดือนทำ
ให้ซารากับริการ์โด บิดาเริ่มกังวล

ทารกน้อยยังคงร่าเริงสดใสและเป็นที่รักของทุกคนที่พบเห็น แม้แต่หมอรูบีโอซึ่งเคยผ่าตัดผู้ป่วย
เห็นเด็กมาแล้วหลายร้อยคนก็ยังหลงใหลในความน่ารักของมิลากรอส เขาเคยกล่าวว่า รอยยิ้ม
ของหนูน้อย “เปรียบเหมือนของขวัญพิเศษ” ผู้สื่อข่าวยังคงสนใจเรื่องนี้และรายงานข่าวของ
“เงือกน้อย”จนเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศเปรู

ก่อนลงมือผ่าตัด แพทย์ต้องเตรียมผิวหนังให้พร้อมเพื่อใช้คลุมบาดแผลบนขาทั้งสองข้าง
เมื่อมิลากรอสอายุ 10 เดือน นายแพทย์ผู้ช่วยของหมอรูบีโอผ่าตัดถุงซิลิโคนไว้ใต้ผิวหนังที่เชื่อม
ขาทั้งสองข้างและฉีดน้ำเกลือเข้าในถุงทีละน้อยเพื่อขยายผิวหนัง แต่วิธีนี้ทำให้เกิดแผลบนผิวหนัง
ตามมา แพทย์จึงต้องรักษาด้วยวิธีอบแผลในห้องความกดอากาศสูงเพื่อกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น

อาการของทารกดีขึ้นภายใน 3 เดือนต่อมา หมอรูบีโอรู้ดีว่าหากไม่ผ่าตัดเวลานี้
เขาอาจไม่มีโอกาสอีก

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 17, 2024 6:08 pm

ปาฏิหาริย์เงือกน้อย ตอนที่ ( 3 )
โดย แดน เลวิน เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2551 และจากกูเกิล 2566
เรื่อง “ Surgery on Peru’s ‘mermaid’ baby successful’ รวบรวมและเรียบเรียง
ขอโดย กอบกิจ ครุวรรณ

คณะแพทย์ตรวจประเมินหลอดเลือดดำกับหลอดเลือดแดงอย่างละเอียดเป็นอันดับแรก
หากมีปัญหาขัดข้องซึ่งทำให้ขาใช้งานไม่ได้ การผ่าตัดคงไร้ความหมาย

ศัลยแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดสั่งตรวจหลอดเลือดด้วยวิธีแองจิโอแกรม (Angiogram)
ซึ่งเป็นการฉีดสีเข้าหลอดเลือดใหญ่บริเวณต้นขา พร้อมกับฉายเอ็กซเรย์เพื่อดูลักษณะการ
แตกแขนงของหลอดเลือดทั่วร่างกายบนจอภาพ

ผลตรวจยังไม่เป็นที่พอใจของศัลยแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากการไหลเวียนเลือด
ของขาขวามีน้อยมากต้องอาศัยหลอดเลือดขนาดเล็ก 3 เส้นที่เชื่อมจากขาซ้ายบริเวณใต้หัวเข่า
การผ่าตัดแยกอาจทำให้ขาขวาขาดเลือดหรืออาจจำเป็นต้องตัดขาขวาออก
ความหวังเดียวของศัลยแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดคือเข็มสำหรับฉีดสีที่ข้างขวาอาจใหญ่
เกินไปจนอุดกั้นการไหลเวียนเลือดทำให้ตรวจไม่พบแขนงหลอดเลือดของขาขวา

คณะแพทย์ตัดสินใจเดินหน้าต่อ วันที่ 31 พฤษภาคม 2548 หมอรูบีโออุ้มเด็กน้อยวัย 13 เดือน
ไปยังห้องผ่าตัด ระยะทางเพียง 50 เมตร แต่เขากลับรู้สึกเหมือนไกลแสนไกล

ซารากับริการ์โดอยู่ในห้องพักและเฝ้าดูการผ่าตัดผ่านโทรทัศน์วงจรปิด ซาราสวดอธิษฐาน
ขณะที่ริการ์โดนั่งคอตกร้องไห้

ในห้องผ่าตัด มีแพทย์ 11 คนและพยาบาลอีกจำนวนหนึ่งรายล้อมอยู่รอบตัวหนูน้อยมิลากรอส
ศัลยแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดเริ่มกรีดมีดยาว 15 เซนติเมตรบริเวณใต้หัวเข่าเพื่อค้นหา
หลอดเลือดขนาดเล็กทั้ง 3 เส้น หลังแหวกผิวหนังและเนื้อเยื่อ หลอดเลือดก็ปรากฏขึ้น นิ้วเท้าขวา
ของมิลากรอสมีเครื่องวัดระดับออกซิเจนในเนื้อเยื่อติดอยู่ หากขาขวาอาศัยเลือดจากหลอดเลือด
ทั้ง 3 เป็นหลัก การหนีบหลอดเลือดจะทำให้ระดับออกซิเจนของขาขวาลดต่ำลงทันที

พยาบาลยื่นคลิปขนาดเล็กสำหรับหนีบหลอดเลือดให้ศัลยแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด เขาเริ่ม
หนีบหลอดเลือดทีละเส้นจนครบ 3 เส้นและรออีก 5 นาทีเพื่ออ่านผลระดับออกซิเจน

ศัลยแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดถอยออกมาเพื่ออ่านค่าระดับออกซิเจนบนจอภาพ รอยยิ้มกว้าง
ที่แอบซ่อนอยู่หลังหน้ากากทำให้ดวงตาเขาหรี่ลง

“ทุกอย่างปกติ พวกเราลงมือต่อกันได้”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 17, 2024 6:29 pm

ปาฏิหาริย์เงือกน้อย ตอนที่ ( 4 )
โดย แดน เลวิน เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2551 และจากกูเกิล 2566
เรื่อง “ Surgery on Peru’s ‘mermaid’ baby successful’ รวบรวมและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หมอปินโต (Pinto) จับขาของหนูน้อยยกขึ้นเพื่อความสะดวกในการลงมีดผ่าตัดทั้งด้านหน้า
และด้านหลัง หมอรูบีโอใช้มีดผ่าตัดกรีดผิวหนังระหว่างส้นเท้าทั้ง 2 ข้าง พยาบาลช่วยดึงผิวหนัง
เพื่อเผยให้เห็นเนื้อเยื่อสีแดงด้านในซึ่งเชื่อมขาทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน
หมอรูบีโอและแพทย์ทุกคนในคณะต้องใช้ทักษะชั้นสูงด้านการผ่าตัดเพื่อแยกเส้นประสาท เส้นเอ็น
และหลอดเลือดออกจากกัน แพทย์ค่อยๆ เลาะเนื้อเยื่อทีละน้อยพร้อมกับห้ามเลือดด้วยเครื่องจี้ไฟฟ้า
ผิวหนังที่ปลูกเพิ่มด้วยวิธีฉีดถุงซิลิโคนถูกแยกออกเพื่อนำมาเย็บปิดแผลผ่าตัดบริเวณขาด้านใน
การผ่าตัดเสร็จสิ้นภายในเวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง หมอรูบีโอเดินออกจากห้องผ่าตัดไปยังห้องพักและ
สวมกอดซาราและริการ์โดด้วยความดีใจ “การผ่าตัดสำเร็จเรียบร้อยดีครับ” หมอกล่าว

วันต่อมา มิลากรอสฟื้นขึ้นและกินอาหารได้ตามปกติ เมื่อเห็นหมอรูบีโอมาเยี่ยม หนูน้อยยิ้มให้ทันที
พร้อมกับร้องเรียกด้วยเสียงแหลมเล็กเบาๆ ว่า “หมอคะ”

สามเดือนต่อมา มิลากรอสมีปัญหาแผลผ่าตัดติดเชื้อทำให้ขาทั้งสองเชื่อมต่อกันอีก
เดือนกันยายนต่อมา หมอรูบีโอจึงต้องผ่าตัดแยกขาอีกครั้งเป็นการถาวร

หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ห้องโถงของโรงพยาบาลโซลีดาริตีก็เนืองแน่นไปด้วยช่างภาพ นักข่าว
และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ซารานั่งบนพื้นพร้อมกับลูกสาวอยู่บนตัก หมอรูบีโอซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
ร้องเรียก “มิลากรอส มาทางนี้หน่อย” เด็กน้อยเดินตรงมาหาเขาพร้อมเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงโดย
มีพยาบาลคอยประคอง เธอส่งจูบให้ทุกคนที่เฝ้าดูโดยรอบและส่ายสะโพกเล็กน้อยเหมือนกับ
จะเต้นรำให้ดู หมอรูบีโอกลิ้งลูกบอลสีเขียวไปให้ หนูน้อยเตะลูกบอลโดยไม่ลังเล -- “เข้าประตู”
หมอรูบีโอตะโกนตอบ พร้อมกับอุ้มตัวเธอชูขึ้นเหนือศีรษะและหอมแก้มฟอดใหญ่

หมายเหตุ

มิลากรอสช่วยให้โรงพยาบาลโซลิดาริตีของหมอรูบีโอเป็นที่รู้จักกว้างขวาง และโรงพยาบาลฯ
ได้รับเงินบริจาคสำหรับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ขณะเขียนเรื่องนี้ จำนวนคลินิกในเขตยากจนของกรุงลิมา
ก็เพิ่มขึ้นเป็น 16 แห่ง และมีผู้รับบริการมากกว่าวันละ 25,000 ราย หมอรูบีโอเปิดคลินิกอีก 1 แห่ง
เพื่อรักษาเด็กพิการแต่กำเนิดชนิดร้ายแรง

**************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 18, 2024 9:12 pm

………… เป็นเบาหวาน ยังยิ้มหวานได้ มีทั้งหมด ( 2 )ตอนจบ


เป็นเบาหวาน ยังยิ้มหวานได้ ตอนที่ ( 1 )
จากหนังสือ “เล่าแล้วอิ่ม อ่านแล้วอุ่น” วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพฯ และวชิรพยาบาล
ฉบับเดือนมิถุนายน 2552, รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ป้าอิ่ม ผู้ป่วยหญิงวอร์ดอายุรกรรมหญิง 2 (เตียงที่ 20) ผู้ซึ่งดูภายนอกแล้วเหมือนคนสุขภาพดี
ทั่วไปไม่น่าจะมีความผิดปกติอะไร แต่ใครจะรู้ว่าป้าอิ่มเป็นโรคเบาหวานมานาน 4 ปีแล้ว ซ้ำร้าย
เบาหวานเจ้ากรรมยังได้ลามไปที่ตาและไตของคุณป้าแล้วด้วย ทำไมคุณป้าถึงยังดูแข็งแรง สบายดี
ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนคนปกติทั่วไป ทั้งๆ ที่ภายในร่างกายไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย มาดูกันว่าคุณป้า
มีวิธีจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

ป้าอิ่มเป็นชาวจังหวัดพิจิตรโดยกำเนิด แต่ได้ย้ายเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯตั้งแต่
ปี พ.ศ.2514 โดยยึดอาชีพขายขนมหวานช่วยสามีที่เป็นเทศกิจเลี้ยงลูก 3 คนมาตลอด จนกระทั่ง
เมื่อ 4 ปีก่อน คุณป้ามีแผลที่มือข้างซ้ายซึ่งเกิดจากแรงดีดของหนังยางที่คุณป้าใช้รัดถุงขนม เนื่องจาก
คุณป้าไม่ได้ไปพบคุณหมอตั้งแต่เริ่มเป็น กระทั่งแผลมีขนาดใหญ่ขึ้นจนทนเจ็บไม่ไหวจึงได้ไปหาหมอ
และพบว่าต้องตัดเนื้อตายทิ้ง และยังพบด้วยว่าคุณป้าเป็นโรคเบาหวานซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำ
ให้แผลไม่หายและอาจลุกลามจนต้องตัดมือทิ้งในที่สุด

ยังดีที่โชคเข้าข้างคุณป้า แผลหายเป็นปกติดีทำให้ไม่ต้องตัดมือ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้คุณป้าต้อง
เปลี่ยนอาชีพไปขายพวงมาลัยและต้องไปพบแพทย์เพื่อรักษาโรคเบาหวานที่ศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน
เป็นประจำเพื่อรับยาและตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด โดยคุณป้ามีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานจาก
คำแนะนำของแพทย์เพียงว่า “โรคนี้รักษาไม่หายขาด มันจะตายไปพร้อมกับตัวเรา เราเพียงแต่ต้องระวัง
ไม่ให้มีโรคแทรกซ้อนก็จะมีชีวิตอยู่ได้เหมือนคนทั่วไป” คุณป้าจึงไม่วิตกกังวลอะไรมากเนื่องจากเชื่อว่า
คนอื่นที่เป็นยังมีชีวิตอยู่ได้ ป้าเองก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน

ป้าอิ่มยังใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม ที่เพิ่มขึ้นมาคือการทานยาและไปตรวจตามนัด แต่เนื่องจาก
คุณป้าค่อนข้างขี้ลืมจึงมักจะลืมทานยาอยู่บ่อยครั้งทำให้ยาเหลือ พอถึงวันนัดคุณป้าจึงไม่ได้ไปเพราะว่า
ยายังไม่หมด และเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นกับคุณป้า

2 ปีก่อนคุณป้าเลิกขายพวงมาลัย หันมาเป็นแม่บ้านและเลี้ยงหลาน 2 คนอย่างเต็มตัว เนื่องจากลูกๆ
ต้องไปทำงาน หลานทั้ง 2 คนนี้คุณป้าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิดทำให้มีความรักและความผูกพันมาก เหตุการณ์
ยังดำเนินต่อไปอย่างปกติ แต่อาจเป็นเพราะคุณป้าเป็นคนทานข้าวเก่ง ถ้ากับข้าวอร่อยๆ ก็ยิ่งทานเยอะ
คุณป้าไม่ค่อยควบคุมการทานอาหารจนบางครั้งสามีของคุณป้าต้องคอยเตือนว่า “เป็นโรคเบาหวานอยู่นะ
ทานเข้าไปเยอะเดี๋ยวน้ำตาลก็ขึ้นหรอก” แต่คุณป้าก็ไม่ได้สนใจเนื่องจากคิดว่าทานยาอยู่ทุกวันคงไม่น่า
มีปัญหาอะไร

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 18, 2024 9:15 pm

เป็นเบาหวาน ยังยิ้มหวานได้ ตอนที่ ( 2 )
จากหนังสือ “เล่าแล้วอิ่ม อ่านแล้วอุ่น” วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพฯ และวชิรพยาบาล
ฉบับเดือนมิถุนายน 2552, รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

จนกระทั่งช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา คุณป้ามีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
จึงมาตรวจที่โรงพยาบาลพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทางคุณหมอเห็นว่าคุณป้าทานยาไม่ค่อย
สม่ำเสมอจึงส่งคุณป้าไปตรวจตาและไตเพื่อดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ ครั้งนี้โชคไม่เข้าข้างคุณป้า
เหมือนเคย ผลตรวจบ่งบอกว่าคุณป้ามีความผิดปกติของตาและไตอันเป็นผลจากโรคเบาหวาน คุณป้า
รู้สึกตกใจในแวบแรกที่รู้ผล รู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย แต่ก็ตั้งสติได้เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากคุณหมอว่า
ถ้าดูแลรักษาตัวเองอย่างเคร่งครัดก็จะช่วยพยุงอาการไม่ให้เป็นมากขึ้นได้

ดังนั้นคุณป้าจึงเปลี่ยนมุมมองและความคิดใหม่ว่าจะปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปแบบเดิมไม่ได้แล้ว ยังมี
หลาน 2 คนซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจที่คุณป้าต้องดูแล ยังมีสามีและลูกๆ ที่รักและห่วงใยคุณป้ามา
โดยตลอด บุคคลเหล่านี้เป็นแรงและพลังให้คุณป้าสามารถลุกขึ้นต่อสู้ ยืนหยัด ฟันฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปได้
ป้าอิ่มได้ฝากเตือนไปยังคนอื่นๆ ว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ให้ระวังเรื่องการกิน การอยู่
การปฏิบัติตัว อย่าไปกินมาก หมั่นออกกำลังกายรวมทั้งตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำ อย่าปล่อยปละ
ละเลยตัวเองหรือทุ่มเทให้กับสิ่งรอบตัวมากเกินไปจนลืมไปว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือร่างกายของเรา
เพราะถ้าพลาดไปแล้วมันจะไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไปได้อีก และจะมีโรคอื่นๆ ตามมาอีกหลายโรค
เช่นป้ากว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป ไม่ปกติ จะทำอะไรก็ลำบากไม่เหมือนคนปกติคนอื่น

แต่กระนั้นป้าอิ่มก็ไม่ได้ท้อแท้หรือโทษตัวเอง กลับพยายามปรับปรุงแก้ไขรวมทั้งรวบรวมกำลังใจจาก
คนรอบข้างมาต่อสู้และมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข ป้าอิ่มยังทิ้งท้ายคำพูดไว้คอย
เตือนใจทุกคนที่กำลังหมดกำลังใจว่า

“ในเมื่อคนอื่นที่เป็นแบบป้ายังอยู่กันได้ แล้วทำไมป้าจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ยังมีคนที่ป้ารักและคนที่รักป้าคอย
ให้กำลังใจอยู่ เพราะฉะนั้นคนอื่นอยู่ได้ป้าก็ต้องอยู่ได้”

สุดท้ายนี้ ป้าอิ่มยังได้ชื่นชมบุคลากรของวชิรพยาบาลทุกๆ คนที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้ป้า
เป็นอย่างดีโดยบอกว่า “โรงพยาบาลรักษาดี สะอาด การกินการอยู่ก็ดี พยาบาลดูแลเป็นอย่างดีคอย
มาถามตลอดเลยว่าเหนื่อยมั้ย กินข้าวได้มั้ย ช่วยเทน้ำและหยิบของให้ แม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังคอย
เดินดูแลตลอด ขอบคุณคุณหมอที่ดูแลรักษาป้าจนหายดี ป้าปลื้มใจที่ได้มาที่นี่ ถ้าป้ากลับไป
จะดูแลตัวเอง ฉีดยาตรงเวลาแน่นอน” ป้าอิ่มกล่าวทิ้งท้ายด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเช่นเดิม

******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 20, 2024 4:00 pm

………มะเร็งในช่องอก ต้องพก 3 คาถา ตอนที่ ( 1 )
จากหนังสือ “เล่าแล้วอิ่ม อ่านแล้วอุ่น” วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพฯ และวชิรพยาบาล
ฉบับเดือนมิถุนายน 2552, รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

“ทีแรกก็รับไม่ได้นะ ทำไมต้องเป็นเรา อายุก็ยังน้อยอยู่เลย”

จากวินาทีแรกที่รับทราบผลการวินิจฉัยโรคจากคุณหมอ ทศพลเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและ
ปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยวัยเพียง 19 ปี ชีวิตของทศพลต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเอง เขา
เกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพี่สาวหนึ่งคนและน้องชายหนึ่งคน ตัวเองเป็นลูกคนกลาง หลังจบ
ชั้นมัธยม 3 ทศพลก็ออกมาทำงานโรงงานหาเลี้ยงชีพ จากนั้นก็หันมายึดอาชีพเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ทำงานหาเช้ากินค่ำ ชีวิตที่ผ่านมาจากที่ราบรื่นดีตามประสาคนหนุ่ม กลับถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต

“ตอนนั้นเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายผิดปกติ ผมก็สงสัยจึงไปหาหมอเอ็กซเรย์ดู หมอบอกว่ามีก้อนเนื้อในช่องอก

แฟนสาวบอกว่า หลังนำชิ้นเนื้อไปตรวจ คุณหมอได้ขอพูดคุยกับญาติๆ ก่อน ซึ่งก็คือ แม่ของทศพล
และน้องชายเพื่อฟังผลตรวจชิ้นเนื้อ คุณหมอแจ้งว่า ก้อนใหญ่มากและคงผ่าตัดไม่ได้

“เราถามหมอว่า เขาจะตายไหม หมอบอกไม่ตายหรอก แต่ไม่แน่ว่าจะหายขาดได้ไหม แต่เปอร์เซ็นต์
หายก็ยังมีอยู่ ตอนนั้นจิตใจสับสนมาก มีคำถามมากมายเต็มไปหมด”

ทันทีที่ได้รับทราบ แม่ของทศพลทำใจยอมรับไม่ได้เลย ร้องไห้ตลอด ทุกคนนั่งน้ำตาไหล ทางครอบครัว
ขอให้คุณหมออย่าเพิ่งบอกทศพลในทันที แต่ในขณะเดียวกันนั้น สิ่งที่ทศพลรับรู้มาตั้งแต่แรก ทำให้เขา
เตรียมทำใจไว้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หลังทราบผลสภาพจิตใจของทศพลก็ยังเปลี่ยนไปมาก เขามี
อาการเซื่องซึม กินอาหารไม่ลง ไม่เหมือนปกติ เป็นแบบนี้อยู่เกือบหนึ่งเดือนขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล
ครั้งแรก จนเขาค้นพบ 3 คาถาสำหรับเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ได้แก่

1. “ท้อได้แต่อย่าถอย”
ทศพลบอกตัวเองว่าอย่างนั้น สำหรับเขา กำลังใจที่ได้รับอย่างล้นเหลือมาจากครอบครัวและเพื่อนๆ ซึ่ง
พอรู้ข่าวก็แห่กันมาเยี่ยม ให้กำลังใจ คำพูดของเพื่อนๆ ที่บอกว่า “เป็นแค่นี้ไม่ตายหรอก คนอื่นเป็น
มากกว่ายังอยู่ได้”นั้น สามารถชโลมจิตใจให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

หลังแอดมิด (admit) เพื่อให้ยาเคมีบำบัดครั้งแรก ทศพลก็ได้รับหนังสือเป็นของขวัญคริสต์มาสจาก
หอผู้ป่วยที่ รพ. วชิรพยาบาล เป็นหนังสือให้กำลังใจซึ่งเขียนโดยผู้ป่วยที่ประสบปัญหาคล้ายๆ กัน
เมื่ออ่านแล้วเขาก็รู้สึกดีขึ้น เริ่มทำใจได้

2. “รักตัวเองให้มากขึ้น”
จากชีวิตสนุกสนานตามประสาคนหนุ่ม กินเหล้า สูบบุหรี่ นอนดึก ใช้ชีวิตหักโหมสุดขั้ว การเจ็บป่วยครั้งนี้
ทำให้ทศพลต้องหันมาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นคนใหม่ที่รักตัวเองมากขึ้น เลิกสูบบุหรี่ กินเหล้า และนอนดึก
อย่างที่เคย แม้จะยังพอขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ได้ แต่บางวันถ้าทำงานหนักเกินไปก็ทำให้เหนื่อย ต้อง
หยุดพัก แม้จะสูญเสียรายได้ไปบ้าง แต่เขาก็จำเป็นต้องทำเพื่อสุขภาพของตนเอง เขาไม่อยากทำให้คน
รอบข้างทุกข์ใจเดือดร้อนไปกับเขาด้วย

“ผมเชื่อว่า การเจ็บป่วยครั้งนี้ คงเป็นผลจากกรรมเก่าที่ผ่านมา ผมจึงทำบุญมากขึ้น” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี

โปรดติดตามคาถาที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 20, 2024 4:03 pm

………มะเร็งในช่องอก ต้องพก 3 คาถา ตอนที่ ( 2 )
จากหนังสือ “เล่าแล้วอิ่ม อ่านแล้วอุ่น” วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพฯ และวชิรพยาบาล
ฉบับเดือนมิถุนายน 2552, รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

3. “ชีวิตที่เหลือเพื่อแม่”
กว่าครึ่งปีที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย ทศพลบอกว่ากำลังใจที่สำคัญที่สุดก็คือคุณแม่ ตอนแรกที่คุณหมอ
แนะนำว่า จะรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัดเพื่อให้ก้อนเนื้อยุบตัวเนื่องจากผ่าตัดไม่ได้ ทศพลเองก็
ลังเลในการตัดสินใจรักษาและกังวลต่อผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดเฉกเช่นเดียวกับผู้ป่วยรายอื่นๆ
แต่แม่และครอบครัวคือพลังใจสำคัญที่ผลักดันและสนับสนุนให้รักษาอย่างเต็มที่

เป้าหมายชีวิตหลังจากนี้ ทศพลยังคงยึดถือพระในใจของเขาเสมอ คือเพื่อแม่ เพราะเป็นห่วงแม่ เขาจึง
อยากจะหาย อยากจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปเพื่อทดแทนพระคุณพ่อและแม่ ตอนนี้สภาพจิตใจทุกคนรอบ
ไม่ข้างดีขึ้นมาก ทศพลเองก็ยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคได้ แม้บางวันจะทุกข์บ้าง สุขบ้าง แต่นั่นก็
เป็นธรรมชาติของชีวิต อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่เราต้องมีความหวัง แฟนสาวของเขาเสริมว่า
ความปรารถนาเดียวของครอบครัวในตอนนี้ คือให้ทศพลหายจากโรคเท่านั้น

สุดท้ายทศพลอยากจะฝากให้กำลังใจผู้ป่วยรายอื่นๆ ว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นโรคอะไรอยู่ ขอให้สู้ต่อไป
ให้เข้มแข็ง อย่ายอมแพ้ โรคพวกนี้ต้องมีทางรักษาหาย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน”

สำหรับผู้ที่เจ็บป่วยนั้น หากวันใดรู้สึกท้อแท้ การนึกถึงตนเอง ครอบครัวและบุคคลรอบข้างที่รัก
ให้มากๆ จะทำให้มีพลังที่จะสู้ต่อไปเพื่อที่บุคคลเหล่านั้นจะได้มีความสุขในความสำเร็จของเรา เพราะ
ครอบครัวและความรักเป็นแหล่งกำลังใจที่สำคัญที่สุดของทุกคน ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลย
ที่ผลการติดตามการรักษาล่าสุดพบว่า ก้อนเนื้อในช่องอกของทศพลตอบสนองต่อการรักษาเป็นอย่างดี
มีขนาดเล็กลง และนั่นก็เป็นเพราะมันกำลังยอมแพ้ต่อจิตใจที่เข้มแข็งของเขาและครอบครัวนั่นเอง

********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 03, 2024 10:14 pm

"อาหารที่คุณกินปลอดภัยเพียงไร" มีทั้งหมด ( 4 )ตอนจบ

อาหารที่คุณกินปลอดภัยเพียงไร ตอนที่ ( 1 )
โดย Alexis Jetter จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2546
รวบรวม และเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ปลากะพง ปลาทูนา ปลาตาเดียว ล้วนมีประโยชน์เมื่อบริโภค แต่อาจมีอันตรายซ่อนอยู่

อายุรแพทย์ชื่อดังรู้สึกงงขณะวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยหญิงเมื่อต้นปี 2543 ทั้งนี้เพราะผู้ป่วย
เป็นคนที่ดูแข็งแรงและใส่ใจสุขภาพมาตลอด แต่ตอนนี้กลับปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
ความจำเสื่อม และผมร่วงเป็นกำ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ เธอเป็นเจ้าของไร่องุ่น
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่น่าแปลกคือ ลูกสาวกับเลขาฯของเธอก็มีอาการผมร่วงเช่นกัน

แพทย์หญิงเจน ไฮทาวเวอร์ส่งผู้ป่วยไปห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจเชื้อต่างๆ เช่น ไวรัส ไทรอยด์
และตับอักเสบแต่ไม่พบความผิดปกติเนื่องจากหมอเจนไม่ใช่ผู้ชำนาญเรื่องผม เธอจึงต้องปรึกษา
แพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับอาการผมร่วงของผู้ป่วย

ตอนแรกแพทย์ผิวหนังสงสัยว่าอาจเกิดจากน้ำบ่อที่ไร่มีสารแปลกปลอม ต่อมาก็ฉุกคิดได้ว่าเคยฟัง
รายงานในวิทยุเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับพิษปรอททำให้ผมร่วงซึ่งเป็นกรณีที่ไม่ค่อยพบกัน
เธอจึงให้คนไข้ตรวจหาระดับปรอท

ผลลัพธ์เป็นดังคาด แพทย์ผิวหนังรายงานหมอเจนว่า ผู้ป่วยมีระดับปรอทสูงผิดปกติถึง 3 เท่า
ของระดับปลอดภัยซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมการควบคุมสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ หมอเจนส่งผู้ป่วย
พร้อมลูกสาวและเลขาฯไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการอีกครั้งและพบว่า ทุกคนมีค่าปรอทสูงอย่างน่าตกใจ

หมอเจนโทรฯไปหาผู้เชี่ยวชาญสารพิษที่กองควบคุมสารพิษแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งแนะนำให้ตรวจน้ำ
ในบ่อและดินที่ไร่ของครอบครัวผู้ป่วย “ผู้เชี่ยวชาญสารพิษนำฝุ่นจากขอบหน้าต่างทุกบาน กรอบรูปและ
ใต้อ่างน้ำไปวิเคราะห์” หมอเจนเล่า ปรากฏว่าตรวจไม่พบสารปรอทเลย

แต่ที่แน่ๆ คือพบสารปรอทในผู้ป่วยซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่าอาจมาจากปลา หมอเจนถามผู้ป่วยว่า
“คุณกินอะไรบ้าง” คำตอบคือปลาใหญ่อย่างเช่น ปลาทูนา ซึ่งหมอเจนตั้งข้อสังเกตว่าปลาขนาดใหญ่
ที่มีอายุยืนมักจะกินปลาด้วยกันเป็นอาหาร หมอเจนรู้ว่าปลาเหล่านี้มีสารปรอทสูง

หลายเดือนต่อมา หมอเจนเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจคือ มีคนจำนวนมากกินปลาที่มีปรอทสูงถึงระดับ
อันตราย ปลาซื้อมาจากร้านเหล่านี้มีเนื้อใสสดและอยู่ในสภาพดี การค้นพบของเธอทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง
ของสหรัฐฯตื่นตัวไปด้วย ในที่สุด รัฐแคลิฟอร์เนียยอมให้ติดป้ายเตือนไว้ที่แผงขายปลา ซึ่งก่อให้เกิด
กระแสความกลัวที่ว่า อาหารที่ประชาชนกินอาจมีพิษจากสารปรอท

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 03, 2024 10:19 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 03, 2024 10:18 pm

อาหารที่คุณกินปลอดภัยเพียงไร ตอนที่ ( 2 )
โดย Alexis Jetter จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2546,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ไม่นานหลังจากนั้น มีผู้ป่วยมาหาด้วยอาการประหลาดแบบเดียวกันและบอกว่า “ฉันแน่ใจว่า
ได้รับสารพิษ” คนไข้หญิงรายนี้อายุ 59 ปี รูปร่างเพรียว ท่าทางคล่องแคล่ว แต่มีอาการความจำเสื่อม
ผมร่วง ปวดท้อง และปวดศีรษะคล้ายคนเมาค้างมานานถึง 9 ปี หลังตรวจเลือด หมอพบว่าระดับปรอท
ในเลือดสูงกว่าผู้ป่วยรายแรก

ผู้ป่วยรายนี้กินปลาบ่อยเช่นเดียวกัน หมอเจนจึงแนะให้หยุดกินปลา หลังจากนั้น 6 เดือน ระดับ
ปรอทของเธอลดลง ผมหยุดร่วง ความรู้สึกอ่อนเพลีย ความจำเสื่อมและอาการปวดศีรษะหายไป

หมอเจนโทรฯไปหาผู้ป่วยอีก 20 รายที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยโรคและถามทุกคนด้วยคำถาม
เดียวกัน “คุณกินอะไรเป็นอาหารเย็น” คำตอบที่ได้รับเหมือนกันคือปลาและเป็นปลาใหญ่ชนิด
กินปลาด้วยกันเป็นอาหาร

เธอบอกคนไข้ในกลุ่มนี้ว่า “ดิฉันพอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คุณไม่สบาย ขอให้มาตรวจเลือด
วันนี้เลย” เมื่อข่าวแพร่สะพัดว่าหมอเจนตรวจเลือดผู้ป่วยที่มีอาการแปลกๆ รวมทั้งความจำเสื่อม
ปรากฏว่า มีคนมาขอตรวจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ช่วง 1 ปีหลังจากนั้น หมอเจนวิเคราะห์ผู้ป่วย 720 ราย โดยให้กรอกรายละเอียดในแบบ
สอบถามและพบว่าส่วนใหญ่กินปลาเป็นประจำแต่ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในจำนวนนี้เธอส่งตรวจ
หาระดับปรอท 123 ราย โดยคัดจากผู้มีประวัติกินปลาและมีอาการผิดปกติ

ผลการตรวจน่าตกใจ 9 ใน 10 รายมีระดับปรอทในเลือดสูงกว่าระดับที่ปลอดภัย
(ค่าปกติคือ 5 ไมโครแกรมต่อเลือดหนึ่งลิตร) จำนวนครึ่งหนึ่งมีระดับปรอทสูงกว่าค่าปกติ 2 เท่าและ
หลายรายมีค่าสูง 3-4 เท่า

ขณะตรวจเลือดผู้ป่วย หมอเจนเริ่มศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับปรอทและโทรฯถึงทุกคนที่พอจะให้ข้อมูลได้
ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คณะกรรมการควบคุมสิ่งแวดล้อม องค์การอาหารและยา เจ้าหน้าที่
สาธารณสุขของรัฐ รวมทั้งร้านอาหารในแถบนั้น

คนส่วนใหญ่บอกหมอเจนว่ามีปรอทอยู่ในปลาและมีอยู่ทั่วไปรวมทั้งในพื้นดิน บางส่วนเกิด
โดยธรรมชาติจากภูเขาไฟ ปรอทวัดไข้ กากของเสียจากเหมืองแร่ หลอดไฟเรืองแสง วัคซีนป้องกัน
ไข้หวัดใหญ่ วัสดุที่ใช้อุดฟัน สวิตซ์ไฟและรองเท้าผ้าใบเด็กแบบที่มีแสงไฟ ในที่สุดแล้ว ปรอทเหล่านี้
จะไปสะสมอยู่ตามพื้นดิน ระบบระบายน้ำเสีย และแหล่งน้ำที่คนนำมาใช้

แหล่งมลพิษใหญ่ที่สุดคือโรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงและเตาเผาขยะ ปรอทจะไหลลงสู่มหาสมุทร
ทะเลสาบและลำธาร จากนั้นแบคทีเรียจะเปลี่ยนปรอทเป็นเมทิลเมอคิวรี (methylmercury poisoning)
ซึ่งเป็นสารพิษที่ดูดซึมง่ายและจะไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อของสัตว์ปีกที่อยู่ในน้ำ สัตว์น้ำและปลา รวมทั้งปลา
ขนาดใหญ่ซึ่งมีอายุยืน โดยเฉพาะพวกที่กินปลาด้วยกันจะมีสารปรอทสูงในอันดับต้นๆ

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 04, 2024 10:34 pm

อาหารที่คุณกินปลอดภัยเพียงไร ตอนที่ ( 3 )
โดย Alexis Jetter จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2546,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่า การกินปลาที่ปนเปื้อนสารปรอททำให้เกิดการดูดซึมเมทิลเมอคิวรี
เข้าสู่ร่างกาย ถ้าได้รับในระดับสูงจะมีพิษต่อระบบประสาท ทำให้เด็กพิการแต่กำเนิด ทำลายสมองและไต
ตาบอด เดินผิดปกติ พูดไม่ชัด มีรสโลหะอยู่ในปาก เหน็บชาที่มือและเท้า ตัวอย่างพิษปรอทร้ายแรงที่สุด
เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อนที่เมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อโรงงานสารเคมีแอบปล่อยสารปรอทจำนวน
หลายตันลงในอ่าวทำให้ปลาที่ชาวบ้านกินทุกวันมีสารปรอทเจือปน ทารกที่เกิดมาตาบอด หูหนวกและ
ร่างกายพิกลพิการ มีผู้ป่วยหลายพันคนและเสียชีวิตจำนวนมาก

การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่า พิษปรอทอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อหัวใจพิบัติสูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญ
บางคนเริ่มเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของพิษปรอทกับโรคออทิสซีมในเด็กและอัลไซเมอร์ในผู้ใหญ่

แต่อันตรายที่ชัดเจนจากปรอทเกิดกับทารกในครรภ์และเด็ก ปรอทจะถูกดูดซึมเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกาย
และจับกับเซลล์สมองของทารกในครรภ์ซึ่งเพิ่งเริ่มพัฒนา ตลอดจนขัดขวางการเติบโตของเซลล์ทำให้สมอง
หยุดโตอย่างถาวร

กลุ่มที่หมอเจนห่วงที่สุดคือคนไข้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ซึ่งมีระดับปรอทสูงจนอาจ
เป็นอันตรายต่อทารก ถ้าแม่มีระดับปรอทในเลือดสูง ลูกก็มีโอกาสจะมีไอคิวต่ำเนื่องจากสารปรอทถูกขับ
ออกมากับน้ำนมมารดา (และสิ่งขับถ่าย)

หมอเจนจึงแนะนำแม่และลูกที่เธอรักษาอยู่ให้ลดการกินปลาใหญ่และตรวจหาระดับปรอท
เธอยังเตือนแม่ที่ให้นมบุตรว่าให้ปั๊มน้ำนมทิ้งจนกว่าระดับปรอทจะลดลง

คำเตือนนี้อาจสายเกินไปสำหรับบางคนอย่างเช่นเด็กชายวัย 2 ขวบคนหนึ่งซึ่งแพ้นมวัวและชอบกินปลา
แม่จึงให้กินปลาทูนาสด แซลมอน ทูนากระป๋อง ปลาทูตัวโตและยาเม็ดน้ำมันตับปลา “ฉันคิดว่าปลาน่าจะ
เป็นอาหารที่ดีต่อลูก” ผู้เป็นแม่เล่า “แต่จากเด็กที่อยากรู้อยากเห็นและชอบทำโน่นทำนี่ ลูกกลายเป็นเด็กไม่มี
สมาธิ ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ หรือสอนให้ทำอะไรได้ โรงเรียนรายงานว่าลูกไม่สุงสิงหรือพูดคุยกับใคร”

หมอเจนตรวจเด็กคนนี้เมื่ออายุ 7 ขวบพบว่า ระดับปรอทในเลือดสูงกว่าค่าปกติถึง 15 เท่าและ
ลดลงเมื่อเขาหยุดกินปลา วันนี้เด็กน้อยอายุ 10 ขวบไม่มีแววช่างพูดเหมือนก่อน แต่กลายเป็นเด็กที่แยกตัว
อยู่คนเดียวและมีปัญหาในการเรียนรู้อย่างเห็นได้ชัด “ลูกมีอาการดีขึ้นบ้าง” แม่ของเด็กกล่าว “แต่ฉันไม่คิดว่า
ลูกจะเป็นปกติ ฉันเป็นห่วงมาก ไม่รู้ว่าลูกจะมีชีวิตปกติได้ไหม เป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับคนที่คิดว่าตัวเอง
ทำในสิ่งที่ถูกต้องมาตลอด”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 05, 2024 8:29 pm

อาหารที่คุณกินปลอดภัยเพียงไร ตอนที่ ( 4 )
โดย Alexis Jetter จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2546,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หมอเจนตั้งข้อสงสัยว่า การระบาดของโลหะที่มีอันตรายสูงเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยที่สาธารณชน
ไม่ล่วงรู้ คำตอบคือข้อกำหนดของรัฐที่มีมานานเหมาเอาว่าประชาชนคงไม่กินปลาเกินปริมาณที่จะ
ได้รับอันตรายจากพิษปรอท และองค์การอาหารและยาสหรัฐฯโต้แย้งมานานหลายปีว่า ระดับปรอท
ในปลาส่วนใหญ่ไม่สูงถึงขนาดน่าเป็นห่วง (แม้ว่าในปี 2537 องค์การอาหารและยาสหรัฐฯจะเตือน
สตรีที่ตั้งครรภ์หรือสตรีในวัยเจริญพันธุ์ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคปลาใหญ่บางชนิดเช่นปลาฉลาม)

เมื่อศึกษารายงานของรัฐและข้อเรียกร้องจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน หมอเจนพบว่า องค์การ
อาหารและยาสหรัฐฯหยุดตรวจสอบปลาในปี 2541 และก่อนหน้านี้ทำเพียงสุ่มตรวจเป็นจุดๆ ซึ่งไม่มี
ประโยชน์ทั้งที่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าปลาฉลามและปลาทูนาชนิดตัวโตบางสายพันธุ์ที่นำมากินสดๆ ทำเป็น
ปลาดิบและปลาทูนากระป๋องอาจมีระดับปรอทเกินค่าที่กำหนด “ประชาชนไม่รู้ว่าปลาเหล่านี้มี
อันตรายจึงควรบอกความจริงให้ทราบ” หมอเจนกล่าว

แต่รัฐมีเหตุผลที่ไม่ดำเนินการ แกรี ไมเออส์ กุมารแพทย์ระบบประสาทแห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์
นิวยอร์กและหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษปรอท ไม่เชื่อว่าประชาชนป่วยจากการบริโภคปลา เขากล่าวว่า
“ก่อนจะจำกัดการกินปลามากเกินไป เราต้องแน่ใจว่ามีปัญหาเกิดขึ้นจริง ยังมีหลักฐานน้อยมากที่
แสดงว่าปลามีอันตราย”

ไมเออส์และอีกหลายคนตำหนิหมอเจนที่สรุปจากตัวอย่างจำนวนน้อยและไม่ได้ศึกษา
เปรียบเทียบ ยิ่งกว่านั้น ภายใน 20 ปีที่ผ่านมา ไมเออส์ศึกษากลุ่มสตรีและเด็กจำนวน 2,000 คน
ที่หมู่เกาะเซเชลส์ (Seychelles)ในมหาสมุทรอินเดีย พบว่าแต่ละครอบครัวบริโภคปลาที่มีระดับ
ปรอทเท่ากับปลาในสหรัฐฯ 12 มื้อต่อสัปดาห์ และคนบนหมู่เกาะนี้มีระดับปรอทในเลือดสูงกว่า
คนอเมริกัน 6-10 เท่า

แม้กระนั้นเขาก็ไม่พบความผิดปกติของระบบประสาทในเด็กที่แม่กินปลาหรือในผู้ใหญ่
“เราพยายามค้นหาอาการผิดปกติเป็นเวลา 20 ปี แต่ไม่เคยพบเลย”

การศึกษาของไมเออส์เป็นเรื่องน่าติดตาม แต่ก็ยังเป็นเพียงเรื่องเดียวและในคนกลุ่มเดียว
ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปรอทกล่าวว่า มีการศึกษาหลายฉบับเกี่ยวกับพิษภัยของสารปรอทพบว่า มีการ
ทำลายระบบประสาทในเด็กซึ่งมารดาบริโภคปลาที่มีปรอทขณะตั้งครรภ์ตั้งแต่เกาะฟาโร (Føroyar)
ในแอตแลนติกเหนือในเขตปกครองประเทศเดนมาร์กไปจนถึงฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และอเมซอน
การศึกษาของหมอเจนจึงสะท้อนให้เห็นว่า จำเป็นจะต้องเตือนให้คนที่ชอบกินปลาระวังมากขึ้น

“ถ้าเรากินปลาทุกวันโดยเฉพาะปลาที่กินเนื้อสัตว์จะเสี่ยงต่อการมีระดับปรอทในเลือดสูง
หากคิดจะบริโภคทุกวันก็ควรวัดระดับปรอทในเลือดด้วยเพื่อความปลอดภัย” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

ดูกรณีของทนายความวัย 51 ปีที่ชอบกินปลาทูนาย่างเป็นอาหารเย็นและแซนด์วิชปลาทูนา
เป็นอาหารกลางวัน เมื่อไปพบหมอ เขาบอกว่า “ผมชอบกินปลามากและไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนไป
กินอย่างอื่น” สองปีก่อนเขามีอาการหายใจหอบหลังออกกำลังเป็นประจำ นอนหลับได้เพียงคืน
ละ 2-3 ชั่วโมง ไม่มีสมาธิในการทำงาน และผมร่วงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดว่าเป็นเพราะอายุมากขึ้น
และเครียด จึงมองข้ามอาการเหล่านี้ไป

กระทั่งเขามีอาการมือสั่นจนบังคับไม่อยู่จึงไปพบหมอ ผลตรวจเลือดพบว่ามีระดับปรอทสูง
กว่าค่าที่กำหนดถึง 6 เท่า ต้องงดกินปลาทุกชนิด 2-3 สัปดาห์ต่อมา เขานอนหลับได้ตลอดคืน
ผมที่เคยร่วงกลับขึ้นมาใหม่ อาการมือสั่นก็หายไป

“อาการหายไปภายใน 2 สัปดาห์หลังหยุดกินปลานับว่าฟื้นตัวเร็วมาก” ทนายผู้นี้กล่าว

หมอเจนบอกว่าผู้ป่วยของเธอส่วนใหญ่มีประสบการณ์เดียวกัน “เมื่อหยุดกินปลาซึ่งเป็น
ส่วนสำคัญในการรักษา บางคนสามารถหยุดใช้ยาปลูกผม บางคนก็หยุดยาแก้อาการซึมเศร้าได้
ซึ่งความชัดเจนแบบนี้หาได้ยากในทางการแพทย์”

หมอเจนกล่าวว่าไม่ต้องการให้อุตสาหกรรมประมงกระทบกระเทือน และไม่ใช่ความผิด
ของปลาที่มีปรอทเจือปนอยู่ในน้ำ “แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่เราทุกคนต้องหาวิธีรับมือกับปัญหานี้”

****************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 06, 2024 8:17 pm

"กลยุทธ์ปราบพยศผู้ชาย" มีทั้งหมด ( 4 )ตอนจบ

กลยุทธ์ปราบพยศผู้ชาย ตอนที่ ( 1 )
โดย เอมี ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2550
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ขณะที่ฉันล้างจาน สามีตัวดีก็เดินเข้ามากวนประสาทอยู่ข้างหลัง “คุณเห็นกุญแจรถผมไหม”
เขาถามเสียงดังแล้วเดินลงส้นปึงปังออกจากห้องไป โดยมีสุนัขของเราเดินตามไปติดๆ อย่างหวาดๆ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงรีบตามสุนัขออกไปช่วยเขาหากุญแจแล้ว พร้อมกับปลอบใจสามีด้วยคำพูด
เช่น “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เจอเอง” ซึ่งมีแต่จะทำให้เขาโมโหมากขึ้น จากนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง
กุญแจหายก็อาจบานปลายจนพลอยหงุดหงิดกันหมดทั้งเราสองคนและเจ้าหมาที่สับสน

แต่คราวนี้ ฉันตั้งอกตั้งใจล้างจานต่อไปโดยไม่หันหน้าไปมองและไม่พูดอะไรสักคำ ฉันใช้วิธีที่เรียนรู้
มาจากผู้ฝึกสอนโลมา แน่นอนว่า ฉันรักสามี เขาเป็นคนมีความรู้และกล้าได้กล้าเสีย แต่ก็มีนิสัยชอบ
โอ้เอ้และปากไว เขาชอบป้วนเปี้ยนอยู่ในครัว คอยวอแวขณะที่ฉันจดจ่ออยู่กับกระทะที่มีน้ำมันเดือดพล่าน
พอแต่งงานกัน เขาก็ดูเหมือนจะเป็นโรคหูตึง แต่ยังอุตส่าห์ได้ยินฉันบ่นพึมพำกับตัวเองจากอีกฟาก
ของบ้าน เขาจะตะโกนถามว่า “คุณว่าอะไรนะ” เรื่องหยุมหยิมอย่างนี้ไม่ใช่เหตุที่ถึงกับจะต้องแยกกันอยู่
หรือหย่าร้าง แต่ก็ทำให้ความรักของฉันจืดจางลง ฉันอยากให้สก็อตทำตัวดีกว่านี้ อยากให้เขาเป็นคู่ครอง
ที่กวนใจฉันน้อยลงอีกสักหน่อย และเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ฉันเฝ้ารออยู่ที่ร้านอาหาร สรุป
คือ เป็นคนที่น่ารักมากกว่านี้

เช่นเดียวกับภรรยาอีกหลายคน ฉันเมินหนังสือที่ให้คำแนะนำต่างๆ และลงมือปรับปรุงนิสัยของเขาด้วย
ตัวเองโดยการจู้จี้ขี้บ่นซึ่งทำให้เขาทำตัวแย่ลงกว่าเดิมอีก เช่น แทนที่จะขับรถช้าลงก็ขับเร็วขึ้น และทิ้งชุด
ขี่จักรยานเหม็นๆ ไว้บนพื้นห้องนอนนานกว่าเคย

เราไปพบที่ปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ แต่เธอไม่เข้าใจปัญหาของเรานัก แถมยังพูดชมเชยว่าเราสื่อสารกันได้ดี
ชมแล้วชมเล่า ในที่สุดฉันก็เลิกไป แล้วเริ่มสะสมความไม่พอใจให้คุกรุ่นอยู่เรื่อยๆ บางครั้งก็บ่นกระปอด
กระแปด จากนั้นเหมือนมีอะไรมาดลใจฉัน

ตอนนั้น ฉันกำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับโรงเรียนสอนการฝึกสัตว์ป่า จึงต้องใช้เวลาหลายวันไปเฝ้าดู”นักเรียน”
ทำสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเป็นได้ เช่น การฝึกให้ไฮยีนา (hyena) ยืน 2 ขาแล้วกระโดดหมุนตัวตามคำสั่ง
หรือฝึกเสือภูเขาคูการ์ (cougar) ยื่นอุ้งตืนหน้ามาให้ตัดเล็บ และลิงบาบูนเล่นสเกตบอร์ด ฉันตั้งใจฟังครูฝึก
มืออาชีพอธิบายวิธีสอนโลมาให้หมุนตัวและสอนช้างให้วาดภาพ แล้วฉันก็ฉุกคิดได้ว่า วิธีเดียวกันนี้น่าจะ
ใช้กับบรรดาสามีตัวดีซึ่งเลี้ยงไม่เชื่องไม่แพ้สัตว์ป่าได้

บทเรียนสำคัญที่ฉันเรียนรู้จากผู้ฝึกสัตว์ป่าคือ ควรให้รางวัลพฤติกรรมที่ฉันชอบและเฉยเมยต่อพฤติกรรมที่
ฉันไม่ชอบ เพราะถึงจะบ่นจนปากเปียกปากแฉะอย่างไร คุณก็ไม่มีทางฝึกสิงโตทะเลให้เลี้ยงลูกบอลบนจมูกได้
การฝึกสามีของฉันก็ใช้หลักการเดียวกัน

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 07, 2024 2:03 pm

กลยุทธ์ปราบพยศผู้ชาย ตอนที่ ( 2 )
โดย เอมี ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2550
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เวลาอยู่บ้าน ฉันเริ่มขอบคุณสก็อตเมื่อเขาโยนเสื้อเชิ้ตที่ใส่แล้วตัวหนึ่งลงตะกร้าผ้า
หากโยน 2 ตัว ฉันก็จะหอมแก้มเขา หากเขากองเสื้อผ้าทิ้งไว้บนพื้น ฉันก็ทำเมินและไม่บ่นสักคำ
มีบ้างเหมือนกันที่ฉันเตะกองเสื้อนั้นเข้าไปใต้เตียง แต่ตราบใดที่เขาปลื้มในคำชม กองเสื้อบน
พื้นก็เล็กลง

ฉันใช้สิ่งที่ครูฝึกเรียกว่า “การฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป” โดยให้รางวัลไปทีละเล็กละน้อยจนกว่า
จะทำพฤติกรรมใหม่ได้ คุณไม่มีทางสั่งให้ลิงบาบูนกระโดดตีลังกาได้จากการฝึกเพียงครั้งเดียว
ในทำนองเดียวกัน คุณก็ไม่มีทางทำให้สามีเริ่มเก็บถุงเท้าสกปรกให้เป็นที่ด้วยการชมเชยเมื่อเขา
เก็บถุงเท้าหนึ่งข้าง สำหรับลิงบาบูน ตอนแรกคุณจะให้รางวัลเมื่อมันกระโดด และเมื่อมันกระโดด
สูงขึ้นก็ให้รางวัลมันอีก สำหรับสามี ฉันเริ่มชมเชยจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การขับรถช้าลง
การโยนกางเกงในลงตะกร้าผ้า หรือการตรงต่อเวลา
ฉันยังเริ่มเรียนรู้สามีแบบเดียวกับที่ผู้ฝึกเรียนรู้สัตว์ ครูฝึกเก่งๆ จะเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสัตว์
ตั้งแต่กายวิภาคไปถึงโครงสร้างทางสังคม เพื่อจะได้เข้าใจว่าสัตว์คิดอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร
นิสัยตามธรรมชาติเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น ช้างเป็นสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูง จึงมีการแบ่งระดับชนชั้นกัน
ในฝูง ช้างกระโดดไม่ได้และช้างเป็นสัตว์กินพืช เป็นต้น

สัตว์ป่าอย่างสก็อตชอบอยู่ตามลำพัง แต่ก็เป็นจ่าฝูงด้วย ดังนั้น ระบบชนชั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่เขา
ก็ไม่ได้ร่วมงานสังคมมากนัก เขาทำอะไรได้คล่องแคล่ว แต่ชอบทำอะไรชักช้าโดยเฉพาะเวลาแต่งตัว
เล่นสกีเก่งแต่การตรงต่อเวลาใช้ไม่ได้ เขากินทุกอย่างจนเป็นชนิดที่ครูฝึกเรียกว่า พวกกองทัพเดินด้วยท้อง

พอเริ่มคิดอย่างนี้ ฉันก็กู่ไม่กลับเสียแล้ว เมื่อไปที่โรงเรียนฝึกสัตว์ในแคลิฟอร์เนีย แม้มือจะจดวิธีจูงนกอีมู
เดินเล่น หรือวิธีทำให้สุนัขป่ายอมรับคุณเข้าเป็นสมาชิกของฝูง ฉันเฝ้าคิดแต่เพียงว่าอยากลองใช้กับ
สก็อตจนรอแทบไม่ไหวแล้ว

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 15, 2024 8:02 pm

กลยุทธ์ปราบพยศผู้ชาย ตอนที่ ( 3 )
โดย เอมี ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2550
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในการไปทัศนศึกษาครั้งหนึ่งกับเหล่า”นักเรียน” ฉันฟังครูฝึกมืออาชีพอธิบายวิธีสอนไม่ให้
นกกระเรียนหงอนแอฟริกันบินลงมาเกาะบนศีรษะและไหล่ของเขาโดยฝึกให้นกขายาวชนิดนี้ร่อน
ลงที่เสื่อบนพื้น ครูฝึกอธิบายว่า วิธีนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า “พฤติกรรมตรงข้าม” ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายแต่ได้ผล
คือแทนที่จะสอนไม่ให้นกกระเรียนร่อนลงเกาะบนตัวเขา เขาจะสอนให้นกมีพฤติกรรมอย่างอื่นที่ไม่
ใช่พฤติกรรมไม่พึงประสงค์นั้น เพราะนกไม่สามารถลงเกาะบนพื้นเสื่อและศีรษะเขาได้ในเวลาเดียวกัน
ที่บ้าน ฉันคิดวิธีฝึกพฤติกรรมตรงข้ามสำหรับสก็อตเพื่อไม่ให้เขาเข้ามายุ่มย่ามเวลาฉันทำครัว โดย
ฉันจะให้เขาช่วยหั่นผักชีฝรั่งหรือขูดเนยแข็งให้เป็นฝอยบนโต๊ะอีกฟาก มิฉะนั้น ฉันก็จะจัดข้าวเกรียบ
กับเครื่องจิ้มไว้ที่อีกห้องหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่มีสก็อตมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เวลาทำครัวอีกต่อไป

ฉันติดตามพวก”นักเรียน”ไปซีเวิลด์ที่เมืองซานดิเอโก ผู้ฝึกโลมาสอนเรื่อง “การส่งเสริมพฤติกรรม
ไม่พึงประสงค์ให้น้อยที่สุด”แก่ฉัน คือเมื่อโลมาทำอะไรผิด ครูฝึกจะไม่ตอบสนองใดๆ เขาจะยืนนิ่ง
สักพักโดยระวังไม่ให้เผลอมองไปที่ตัวโลมาแล้วจึงฝึกต่อไป แนวคิดก็คือ การตอบสนองใดๆ ไม่ว่า
จะแง่บวกหรือแง่ลบเป็นการสนับสนุนพฤติกรรมนั้นๆ แต่ถ้าพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง
สัตว์ก็จะหยุดทำไปเอง ตรงริมหน้ากระดาษสมุดบันทึก ฉันเขียนว่า “ลองใช้กับสก็อต”

สก็อตแทบจะรื้อบ้านเพื่อหากุญแจรถอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ฉันไม่พูดอะไรและก้มหน้าล้างจานต่อไป
โดยไม่ไยดี การสงบจิตอย่างนี้ต้องข่มใจอย่างมาก แต่ผลที่ได้รับก็เห็นได้ทันทีและน่าตื้นตัน อารมณ์
โมโหของเขาสงบลงเหมือนพายุที่พัดผ่านมาอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกอยากโยนปลาให้เขาสักตัวเพื่อเป็น
รางวัล คราวนี้ก็เช่นกัน เขาหากุญแจรถไม่เจออีกแล้ว ฉันได้ยินเขาปิดประตูดังปัง รื้อค้นกองหนังสือบน
ตู้หน้าห้องโถง แล้วเดินลงส้นขึ้นชั้นบน ฉันยังคงยืนอยู่ที่อ่างล้างจาน จากนั้นทุกอย่างก็สงบลง
อึดใจเดียว เขาก็เดินเข้ามาในครัวถือกุญแจอยู่ในมือและพูดเบาๆ ว่า “เจอแล้วล่ะ”

ฉันตอบโดยไม่หันไปมอง “ดีแล้ว เดี๋ยวเจอกันนะ”

แล้วเขาก็เดินออกไปพร้อมสุนัขที่สงบกว่าเดิม

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 15, 2024 8:20 pm

กลยุทธ์ปราบพยศผู้ชาย ตอนที่ ( 4 )
โดย เอมี ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2550
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังฝึกฝนอยู่ 2 ปี ชีวิตแต่งงานของฉันราบรื่นกว่าเดิมมาก สามีฉันก็ทำตัวน่ารักขึ้นมาก ฉันเคย
คิดว่าการที่เขาถอดเสื้อผ้าสกปรกกองไว้บนพื้นเป็นการท้าทายฉันและเป็นสิ่งที่แสดงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ
ไยดีฉัน แต่การคิดว่าสามีฉันเป็นสัตว์ป่าช่วยให้ฉันรู้จักเรียนรู้ความแตกต่างของเราอย่างที่เป็นอยู่จริงๆ
ฉันนำคติพจน์ของครูฝึกที่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของสัตว์”มาใช้ ฉันครุ่นคิดวิธีใหม่ๆ คิดหาพฤติกรรมตรง
ข้ามมากขึ้น และใช้การฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปน้อยลง ฉันวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเอง และคิดว่า
การกระทำของฉันอาจเติมเชื้อไฟให้เขาโดยไม่เจตนา ฉันยังยอมรับว่าพฤติกรรมบางอย่างก็ฝังลึกจน
ไม่อาจฝึกฝนให้หมดไปได้ หากคุณห้ามตัวแบตเจอร์ไม่ให้ขุดดินไม่ได้ คุณก็ห้ามสามีฉันไม่ให้ทำ
กระเป๋าสตางค์หรือกุญแจรถหายไม่ได้เช่นกัน

ครูฝึกชอบบอกว่า สัตว์ที่เข้าใจการฝึกอย่างดีมักใช้วิธีนั้นย้อนกลับไปใช้กับผู้ฝึกด้วย และสามีของฉัน
ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เมื่อเทคนิคการฝึกนี้ได้ผลดี ฉันอดบอกสามีไม่ได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่โมโหแต่กลับขบขัน
เขาตั้งใจฟังฉันอธิบายวิธีและคำศัพท์ต่างๆ ได้ดีเกินกว่าที่ฉันคาดไว้

ปลายปีที่ผ่านมา แม้จะล่วงเลยเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่ฉันจำเป็นต้องจัดฟัน การใส่เหล็กดัดฟันไม่เพียง
น่าขายหน้า แต่ยังสร้างความเจ็บปวดอย่างมากอีกด้วย ฉันเจ็บเหงือก ฟัน และโพรงจมูกเป็นเวลาหลาย
สัปดาห์ ฉันบ่นออกมาดังๆ บ่อยครั้ง สก็อตให้กำลังใจว่าฉันจะชินกับเหล็กดัดฟันไปเอง
แต่ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้น

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฉันบ่นเรื่องอาการเจ็บปากอีก สก็อตมองฉันอย่างเฉยเมย เขาไม่พูดอะไรสักคำหรือเห็น
ด้วยกับการบ่นของฉัน แม้แต่พยักหน้าก็ไม่ทำไม่นาน ฉันก็หมดแรงบ่นและสงบลง แล้วฉันก็รู้สึกตัวว่าสก็อต
กำลังใช้ “การส่งเสริมพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ให้น้อยที่สุด”กับฉัน ถึงทีสามีฝึกภรรยาบ้างล่ะ

****************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:06 pm

ราชินีแห่งบัตรอวยพร ตอนที่ ( 1 )
โดย Janet Chauncey จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543 และจากวิกิปีเดีย 2566 : https://en.wikipedia.org/wiki/Mary_Engelbreit
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เธอเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ และตัดสินใจเดินทางจากเมืองเซนต์หลุยส์บ้านเกิดไปยังนครนิวยอร์ก
เมื่ออายุ 20 ปีเศษ ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะทำงานวาดภาพประกอบหนังสือเด็กอันเป็นเป้าหมายที่
ตั้งใจมาตลอดชีวิต แต่ต้องผิดหวังเมื่อสำนักพิมพ์ทั้งหลายไม่ยอมรับผลงานของเธอ สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง
แนะนำว่า ภาพวาดของเธอน่าจะเหมาะสำหรับพิมพ์บนบัตรอวยพรมากกว่า

แมรี่ เองเกิลไบรต์ (Mary Engelbreit เกิด 5 มิถุนายน 2495) ยอมรับว่า “ฉันผิดหวังมาก” เธอคิดว่า
การวาดภาพบนบัตรอวยพรฟังดูตกต่ำจากความหวังเดิมอันสูงส่ง แต่คำแนะนำนั้นก็ค้างคาใจเธออยู่
เธอจึงคิดว่าน่าจะลองดู แล้วผลของตัดสินใจครั้งนั้นก็ได้เปลี่ยนชีวิตเธออย่างสิ้นเชิง
ขณะที่เขียนเรื่องนี้ แมรี่ขายบัตรอวยพรได้มากถึงปีละ 14 ล้านใบ งานออกแบบยอดนิยมของเธอปรากฏ
อยู่บนผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากกว่า 2,000 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ปฏิทิน เครื่องประดับและเครื่องครัว
เธอเป็นเจ้าของบริษัทขายปลีกและเปิดร้านตามเมืองใหญ่หลายแห่งให้สหรัฐฯ นอกจากนั้นร้านค้าปลีก
25,000 แห่งยังวางขายผลิตภัณฑ์ของเธอซึ่งมียอดจำหน่ายราว 100 ล้านเหรียญต่อปี ทั้งหมดนี้เป็นผล
จากพรหมลิขิตที่เดินทางไปนครนิวยอร์กและประสบกับความผิดหวัง

งานออกแบบของแม่รี่มีลักษณะเฉพาะจนกลายเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร บัตรอวยพรของเธอ
มักมีลวดลายเป็นกรอบและลายประดับที่ไม่เคยล้าสมัย เช่น ลูกเชอรี่ หัวใจ ดอกไม้ กาน้ำชา และลาย
หมากรุก รวมทั้งมีข้อความเตะตา ข้อความให้กำลังใจ หรือปรัชญาตลกร้ายประเภทเล่นคำ เช่น
“ชีวิตเป็นเพียงผลเชอร์รี่ในชาม” (Life is just a bowl of cherries)

แมรี่เป็นคนร่าเริงและชอบเล่นสำนวน “ฉันคิดว่าโลกนี้น่าจะมีอารมณ์ขันชนิดหยิกแกมหยอกมากกว่านี้”
เธอบอกและเสริมว่า “เมื่อโลกเราไฮเทกมากขึ้น ก็น่าจะมีอะไรที่โบราณมาคานกันบ้าง ถ้าเปรียบกับ
อาหารที่กินแล้วชื่นใจ นี่ก็เป็นงานศิลปะที่ดูแล้วสบายใจ”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 19, 2024 10:58 pm

ราชินีแห่งบัตรอวยพร ตอนที่ ( 2 )
โดย Janet Chauncey จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543 และจากวิกิปีเดีย 2566 : https://en.wikipedia.org/wiki/Mary_Engelbreit
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

แมรี่โตมากับศิลปะแบบโบราณและค่านิยมเก่าๆ เธอเริ่มวาดรูปตั้งแต่เด็ก จะเรียกว่าเกือบ
ทันทีที่จับดินสอเป็นก็คงได้

หนึ่งในความทรงจำในวัยเยาว์คือ ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เธอก็เริ่มวาดรูปพ่อแม่แต่งตัวสวยเพื่อ
ออกไปข้างนอกตอนเย็น เธอกล่าวว่า “ฉันประทับใจมากจนต้องบันทึกเอาไว้” แต่สิ่งที่ประทับใจมาก
ที่สุดคือรูปวาดในหนังสือเด็กที่แม่อ่านให้ฟัง
พ่อแม่คอยสนับสนุนสร้างแรงบันดาลใจด้านศิลปะให้แก่เธอเสมอมา เมื่อแมรี่ขอห้องทำงานส่วนตัว
ตอนอายุ 9 ขวบ แม่ก็จัดการเก็บกวาดห้องเก็บแหลือใช้ และนำโต๊ะเขียนหนังสือจัดวางไว้ในห้อง
เปลี่ยนสภาพเป็นห้องทำงานส่วนตัวทันที
ขณะเรียนมัธยมปลาย เธอขายบัตรอวยพรที่วาดเองให้กับร้านค้าแถวบ้านได้หลายโหลในราคา
แผ่นละ 25 เซ็นต์ นับเป็นประสบการณ์แรกในการเข้าสู่โลกศิลปะและการพาณิชย์ เธอไม่สนใจคำ
แนะนำของครูที่แนะให้เธอเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพราะ
“ฉันพร้อมแล้วที่จะเริ่มชีวิตศิลปิน”

ขณะทำงานในร้านค้าอุปกรณ์ทำงานศิลปะ “ฉันได้พบกับศิลปินหลายคน และรู้เลยว่า
“ฉันสามารถหากินกับอาชีพนี้ได้” งานถัดไปของเธอคือเป็นนักออกแบบให้บริษัทโฆษณา
“งานนี้สอนให้เธอเรียนรู้เกี่ยวกับงานธุรกิจศิลป์”

เมื่อไม่ประสบความสำเร็จที่นครนิวยอร์ก แมรี่จึงส่งรูปวาดของเธอไปยังบริษัททำบัตรอวยพร
2 แห่งและบริษัทหนึ่งซื้อไป 3 รูป ขณะเดียวกัน เธอก็ทำงานเป็นนักวาดรูปอิสระให้กับอีกบริษัท
เมื่อได้ลูกชายคนแรกกับสามีนักสังคมสงเคราะห์ในปี 2523 รูปวาดของเธอก็เริ่มมีมุมมองใหม่ๆ
เพิ่มเติม “จู่ๆ ชีวิตประจำวันก็น่าสนใจขึ้นเป็นกอง” เธอบอก รูปภาพเด็กๆ สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่
รูปแม่ผู้แสนดีแบบเก่าก็เริ่มปรากฏในบัตรอวยพรของเธอ แมรี่กล่าวว่างานของเธอเป็นเหมือน
ภาพบันทึกของชีวิต

ขณะท้องลูกชายคนที่ 2 ได้ 8 เดือนในปี 2526 แมรี่ตัดสินใจเปิดบริษัทของตนเอง และในเวลา
เพียง 2 ปี บริษัทก็ผลิตบัตรอวยพรเกือบ 100 แบบและมียอดขายนับล้านใบในแต่ละปี

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 20, 2024 9:16 pm

ราชินีแห่งบัตรอวยพร ตอนที่ ( 3 )
โดย Janet Chauncey จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543
และจากวิกิปีเดีย 2566 : https://en.wikipedia.org/wiki/Mary_Engelbreit
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ปี 2529 เธอขายลิขสิทธิ์บัตรอวยพรให้สำนักพิมพ์ซันไร้ซ์เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เพื่อที่
ตนเองจะได้หันไปให้ความสนใจกับโครงการอื่นต่อไป และหนึ่งในโครงการเหล่านั้นก็คือการทำ
นิตยสาร “Mary Engelbreit’s Home Companion” อันเป็นนิตยสารตกแต่งบ้านที่ออกทุก 2 เดือน
และมียอดจำหน่าย 550,000 ฉบับ

แม้จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ เธอก็ยังคงเป็นคนติดดิน คบเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนและย้ายจากบ้าน
หลังใหญ่ไปอยู่หลังเล็กกว่าเดิม โดยให้เหตุผลว่า ครอบครัวเธอไม่ได้ใช้พื้นที่ทั้งหมดของบ้านหลัง
ใหญ่ เธอทำงานวาดรูปในห้องทำงานภายในบ้านตอนกลางคืน ท้ายสุด ในเมื่องานเจริญรุ่งเรืองและ
ขยับขยายไปหลายทิศทางเช่นนี้ แมรี่ก็หวนกลับไปยังความฝันที่อยากวาดภาพประกอบหนังสือเด็กอีกครั้ง

ในปี 2536 เธอสร้างสรรค์ผลงานวาดภาพประกอบหนังสือเรื่อง “ราชินีหิมะ” (The Snow Queen)
ซึ่งประพันธ์โดยฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) และรับรู้ถึงความสำเร็จ
ที่หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือเด็กที่มียอดจำหน่ายสูงสุด ขณะเดียวกัน เธอต้องประหลาดใจที่พบว่า
“วาดภาพประกอบก็สนุกดีเหมือนกัน แต่แปลกนะ ฉันกลับชอบบัตรอวยพรมากที่สุด”

หมายเหตุ
- หนังสือของแม่รี่พร้อมภาพประกอบที่ติดอันดับต้นๆ หนังสือขายดีของ “New York Times”
ได้แก่ “Mother Goose”, “A Night of Great Joy” และ”The Night Before Christmas”
- แมรี่ เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน “Black Lives Matter” (ชีวิตคนผิวดำก็มีค่า)

***********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 21, 2024 9:10 pm

พระเอกแห่งเที่ยวบิน 1553 มีทั้งหมด ( 4 ) ตอนจบ


🧑พระเอกแห่งเที่ยวบิน 1553 ตอนที่ ( 1 )

โดย Christopher Matthews จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543
และจากวิกิปีเดีย 2566 https://en.wikipedia.org/wiki/Alitalia_Flight_1553
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 เด็กชายวัยรุ่น 7 คนรีบไปยังประตูท่าอากาศยาน”กาเกลียรี” (Cagliari)
ในเมืองซาร์ดิเนียทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี พวกเขาตื่นเต้นที่จะได้เดินทางไปแข่งขันกีฬาว่ายน้ำ
ชิงชนะเลิศประจำชาติระดับอายุต่ำกว่า 16 ปี ซึ่งจัดขึ้นใกล้เมืองเจนัว (Genoa) ทางเหนือของประเทศ
การเดินทางครั้งนี้เป็นการบินข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที มาร์โก ซูลิส
อายุ 15 ปี รูปร่างแข็งแกร่งกวาดตามองไปทั่วจนเห็นดานีเอเล เพื่อนรักวัยเดียวกันซึ่งเพิ่งมาถึงสนามบิน
เมื่อเข้าไปพูดคุยด้วย ดานีเอเลบอกเขาว่า “ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ที่นั่งหรือเปล่า ตอนนี้กำลังรอคำตอบจาก
เจ้าหน้าที่สายการบินอยู่”

“นายต้องได้ไปกับพวกเราอยู่แล้ว” มาร์โกบอก “เที่ยวนี้ไม่มีนายก็หมดสนุกสิ”

ดานีเอเลเดินไปที่เคาน์เตอร์สายการบิน “Minerva” ซึ่งเป็นสายการบินในเครือของอะลิตาเลีย
(Alitalia) ที่สุดก็บอกว่า “ได้เรียบร้อย เที่ยวบิน 1553”

เที่ยวบิน 1553 บินด้วยเครื่องบินรุ่น “Dormier 328” ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบใบพัด 2 เครื่องยนต์แฝด
(Turboprop) ที่นั่งในเครื่องมี 10 แถว (2 ที่ทางขวา และ 1 ที่ทางซ้าย) และอีก 2 ที่นั่งอยู่ด้านหน้าของผนัง
โครงลำตัวเครื่องบิน รวมที่นั่งผู้โดยสาร 32 ที่

ตอนสายวันนั้น เที่ยวบิน 1553 มีผู้โดยสารเพียง 27 คน มาร์โกได้ที่นั่งด้านหลังของห้องโดยสาร นั่งถัด
จากที่นั่งของผู้ฝึกสอนทีมกีฬาว่ายน้ำ ส่วนดานีเอเลได้ที่นั่งด้านหน้าติดกับมารีโอ ผู้ควบคุมทีมว่ายน้ำ
ขณะเครื่องเตรียมบิน พนักงานต้อนรับซึ่งมีอยู่คนเดียวเริ่มบรรยายเกี่ยวกับความปลอดภัยซึ่งผู้โดยสาร
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจฟัง แต่มาร์โกเป็นคนช่างสังเกตจึงจำคำพูดของเธอได้ดี
เครื่องบินขึ้นจากทางวิ่งเมื่อเวลา 11.19 น. บินไต่เข้าสู่เส้นทางสายเหนือ เมื่อถึงเพดานบินเดินทางที่
25,000 ฟุต มาร์โกก็หันไปคุยกับผู้ฝึกเพื่อปรับปรุงเทคนิคการว่ายน้ำฟรีสไตล์ให้ดีขึ้น เขาเคยรู้สึกว่าการ
ฝึกซ้อมเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่พอเริ่มได้เหรียญก็ติดพันกับกีฬานี้จนปัจจุบันเขาฝึกซ้อมวันละ 2 ชั่วโมง
สัปดาห์ ละ 5-6 วันโดยไม่รู้สึกเบื่อ แถมยังรู้สึกแข็งแรงและว่ายน้ำได้เร็วขึ้น

ขณะอยู่ในเครื่องบิน เขาหมายตาทางออกฉุกเฉินใกล้ตัวที่สุดและมองดูมือจับประตูสีแดงหุ้มพลาสติก
ที่บานประตูขณะคิดถึงคำพูดของพนักงานต้อนรับที่ว่า “เมื่อต้องการเปิดประตู ให้ดึงพลาสติกที่หุ้มมือ
จับประตูออกก่อน แล้วจึงดึงมือจับ”
หลังจากบินไปได้ 1 ชั่วโมง ก็มีเสียงประกาศว่า เครื่องบินจะเริ่มลดระดับเพดานบินลง
และจะร่อนลงจอดในอีก 20 นาที

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 22, 2024 1:12 pm

พระเอกแห่งเที่ยวบิน 1553 ตอนที่ ( 2 )
โดย Christopher Matthews จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543
และจากวิกิปีเดีย 2566 https://en.wikipedia.org/wiki/Alitalia_Flight_1553
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

มารีโอมองผ่านหน้าต่างเห็นชายฝั่งทะเลบนเส้นขอบฟ้า และไม่นานต่อมาก็เห็นทิวทัศน์คุ้นตา
ของท่าอากาศยานคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Genoa Cristoforo Colombo Airport) ซึ่งมีทางวิ่งหลัก
ของสนามบินขนาดกว้างขนานไปกับฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ท้องฟ้าใสกระจ่างและทัศนวิสัยดีมาก
เครื่องบินจึงน่าจะร่อนลงได้โดยไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากสนามบินมีเทือกเขาขนาบข้างทอดยาวไป
ทางทิศเหนือทำให้ท่าอากาศยานแห่งนี้ถูกลมแรงพัดกระหน่ำบ่อยๆ ในเสี้ยวนาทีก่อนที่เที่ยวบิน
1553 จะบินลง หอบังคับการบินเจนัวเตือนกัปตันว่าอาจเกิดลมผวนซึ่งเป็นกระแสลมที่มีอัตราเร็ว
ในทิศทางทั้งทางราบและทางดิ่งได้โดยไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้ หอบังคับการบินรายงานว่า ลมใน
ขณะนั้นมีอัตราเร็ว 20 น็อตขวางทางวิ่งลงทางด้านขวาของเครื่องบินและเครื่องบินอาจถูกพัดออกนอก
ทางวิ่งได้ หอบังคับการบินแนะนำให้กัปตันควรบังคับเครื่องบินให้หัวเครื่องบินสู้ลมก่อนจะอยู่ในแนว
ตรงและล้อแตะพื้น นอกจากนั้นให้ใช้ความเร็วมากกว่าปกติด้วย
ในช่วง 2 นาทีขณะบังคับเครื่องให้แตะพื้น เครื่องบินเกิดอาการโคลงและสั่นเมื่อปะทะกระแสลมหวน
มาร์โกยังคงอยู่ในความสงบ ผ่านไป 1 นาที กัปตันเร่งเครื่องยนต์เพื่อแก้กระแสลมที่พัดขวางทางวิ่ง
และกระแสลมผวนที่พัดผ่านทางวิ่งด้วยเสียงกึกก้องในอัตรามากกว่า 140 น็อต ทำให้ฐานล้อหลักที่ปกติ
จะทำให้เครื่องบินลงได้สมดุลกระแทกพื้นทางวิ่งเสียงดังโครมใหญ่ขณะที่เครื่องบินพุ่งลงด้วยอัตราเร็ว
ประมาณ 130 น็อต
เครื่องบินพุ่งไปทางขวาเล็กน้อยก่อนจะพุ่งตรงไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ล้อทั้งหมดแตะพื้นทางวิ่งกินขึ้น
ไปเกินครึ่งของทางวิ่ง ดานีเอเลซึ่งนั่งอยู่ใกล้ส่วนหน้าของห้องโดยสารชำเลืองมองพนักงานต้อนรับบน
เครื่องบิน เห็นเธอรัดเข็มขัดอยู่กับที่นั่ง
ภายในห้องนักบิน กัปตันพยายามบังคับปรับมุมปะทะของกลีบใบพัดเพื่อให้หมุนกลับทางซึ่งจะช่วยให้
เครื่องบินลดความเร็วลงได้ “ใบพัดบ้าไม่หมุนกลับเสียด้วยสิ” เขาสบถขณะเหยียบห้ามล้อฉุกเฉินอย่างแรง

แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะยางล้อระเบิดทำให้วงล้อโลหะบดขยี้ไปบนทางวิ่งเสียงดังลั่น เครื่องบินเซไถล
ไปด้านข้าง พังกำแพงกั้นผ่านออกไปและพุ่งลงทะเลด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนน้ำแตก
กระจาย และยังพุ่งเลยชายฝั่งออกไปราว 30 เมตร

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 8:30 pm

พระเอกแห่งเที่ยวบิน 1553 ตอนที่ ( 3 )
โดย Christopher Matthews จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543
และจากวิกิปีเดีย 2566 https://en.wikipedia.org/wiki/Alitalia_Flight_1553
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กระเป๋าเดินทางกระเด็นออกจากช่องเก็บของเหนือศีรษะ ดานีเอเลหลุดไปอยู่ที่ทางเดินเมื่อ
เก้าอี้นั่งของเขาฉีกออกไปจากพื้น แต่เขาไม่ได้รับอันตรายเพียงแต่เท้าทั้งสองข้างเปียกน้ำทะเล
เมื่อมองไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นแต่ความมืดและน้ำสีเขียว “เราอยู่ใต้น้ำแล้วสิ” เขารู้สึกกลัวสุดๆ

น้ำไหลพุ่งเข้ามาในห้องโดยสารจากรอยฉีกขาดที่ใต้ท้องของลำตัวเครื่องบิน น้ำพุ่งขึ้นผ่านข้อเท้า
ของดานีเอเล

“ช่วยด้วย ช่วยผมออกไปที” เสียงผู้โดยสารคนหนึ่งร้องตะโกนแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ไฟในเครื่องดับสนิท
ห้องผู้โดยสารตกอยู่ในสภาพมืดอย่างน่ากลัว

น้ำทะลักเข้าเครื่องอย่างรวดเร็วจนส่วนหัวของเครื่องบินจมดิ่งลึกลงใต้ผิวน้ำทำให้ห้องโดยสารอยู่
ในลักษณะหัวทิ่ม ดานีเอเลปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวได้ในที่สุด

ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านหลังเครื่องว่า “เร็วเข้า มาทางนี้”

ผู้โดยสารด้านหลังพยายามปีนออกจากที่นั่งไปยังช่องทางเดิน ต่างตะโกน เบียดเสียดและผลักกัน
เพื่อจะไปที่ประตูฉุกเฉิน แต่ดูเหมือนไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอะไรที่ถูกต้องในขณะนั้น

มาร์โกจ้องดูชายคนหนึ่งกระแทกประตูฉุกเฉิน เขาคิดขึ้นได้ว่า ชายคนนั้นคงจำคำแนะนำของ
พนักงานต้อนรับไม่ได้ มาร์โกจึงตะโกนขึ้นว่า “ผมเองครับ” เขาจำได้ดีว่า “ต้องดึงพลาสติกที่หุ้มอยู่ออกก่อน
แล้วจึงดึงมือจับประตู”

พร้อมกับเสียงตะโกน มาร์โกรีบเผ่นจากที่นั่งที่อยู่ในลักษณะเอียงขวาทำให้ประตูทางออกฉุกเฉิน
อยู่สูงขึ้นไปเหมือนอยู่บนเพดาน เมื่อไปถึงก็ยืนเขย่งปลายเท้าขณะใช้ฝ่ามือทุบพลาสติกใสอย่างแรงครั้งแรก
แต่พลาสติกไม่แตก เขาจึงทุบเต็มแรงอีกครั้งจนพลาสติกแตกออก

มาร์โกยืดตัวจนปวดกล้ามเนื้อก่อนจะคว้ามือจับประตูได้แล้วออกแรงดึงให้เปิด แต่ประตูฝืดมาก
และไม่ขยับ เขาจึงทุ่มแรงทั้งตัวอีกครั้ง ที่สุดประตูที่หนักอึ้งก็เปิดออก แสงสว่างและน้ำทะลักเข้ามาภายใน
ห้องโดยสาร

“ทางนี้” เขาร้องตะโกนขณะที่ผู้โดยสารตะเกียกตะกายข้ามตัวเขาและผลักประตูออกไปพบกับ
น้ำเย็นเฉียบข้างนอก

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 8:43 pm

พระเอกแห่งเที่ยวบิน 1553 ตอนที่ ( 4 )
โดย Christopher Matthews จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2543
และจากวิกิปีเดีย 2566 https://en.wikipedia.org/wiki/Alitalia_Flight_1553
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

มาร์โกได้ยินเสียงผู้โดยสารกระโจนลงน้ำ เมื่อเขาผลักประตูออกไป ปรากฎว่าประตูฉุกเฉินเกิด
หนีบขาเขาไว้กับที่นั่ง เขาดิ้นพลางร้องตะโกนเรียกคนช่วย แต่คนอื่นๆ ต่างก็วุ่นอยู่กับการเอาชีวิต
ตนเองให้รอด มาร์โกรู้สึกกลัวชั่วขณะ แต่ที่สุดก็ผลักประตูออกไปจนได้พร้อมกับลากขาที่เจ็บอยู่
ผ่านประตูสู้ท้องน้ำที่เย็นเยือก

ทุกสิ่งดูฝ้ามัวไปชั่วขณะ เขานึกไม่ออกว่าอยู่ที่ไหนหรือจะไปทางไหน ครั้นแล้วก็เห็นผู้ฝึกสอน
ว่ายน้ำและเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คนลอยเท้งเต้งอยู่ และมองเห็นเขื่อนคอนกรีตที่ขอบทางวิ่งห่างออกไป
ประมาณ 30 เมตร

เขาว่ายน้ำมุ่งตรงไปยังเขื่อนขณะที่คนอื่นๆ พากันว่ายตาม ผู้ฝึกหยุดชั่วครู่เพื่อเอี้ยวตัวมองไป
ข้างหลังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ทั้งที่สถานการณ์ยังน่าสยดสยอง เพราะเขาเห็นมิเชลลูกทีมนักว่ายน้ำ
กรรเชียง ฝีมือฉกาจกำลังว่ายหงายหลังตีกรรเชียงอยู่ ผู้โดยสาร 3 คนและพนักงานต้อนรับบน
เครื่องบินเสียชีวิต แต่คงจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้หากมาร์โกไม่ได้เปิดประตูฉุกเฉิน
ดานีเอเลกอดเพื่อนรักและกล่าวคำขอบคุณที่ “ช่วยชีวิตพวกเราไว้”

มาร์โกตอบอย่างเรียบๆ ว่า “ผมก็แค่เปิดประตูทางออกเท่านั้นเอง”

วันที่ 24 พฤษภาคม 2542 มาร์โกได้รับเหรียญเพิ่มเติมจากเหรียญชนะการแข่งขันว่ายน้ำ
นั่นคือเหรียญทองในฐานะพลเรือนผู้กล้าจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอิตาลี

*******************
ตอบกลับโพส