เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ ( ชุดที่31 )
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ มีทั้งหมด ( 6 )ตอนจบ
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 1 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
“วิกฤตการณ์เศรษฐกิจอาจส่งผลให้เอเชียชะงักงันหลายสิบปี” หนังสือพิมพ์
“เอเชียน วอลสตรีท เจอร์นัล” พาดหัวข่าวเมื่อเดือนกันยายน 2541 ขณะที่หนังสือพิมพ์
“มะนิลา สแตนดาร์ด” ใช้ข้อความดุเดือดยิ่งกว่าคือ “เอเชียถึงจุดระเบิดแล้ว” ขณะนั้นเศรษฐกิจ
ของเอเชียเริ่มดิ่งลงเหวหลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วมาตลอด 2 ทศวรรษ ตลาดหุ้นตกติดต่อกัน
ค่าเงินร่วงกราวรูดและธุรกิจมากมายปิดตัวลง นักวิเคราะห์ทำนายว่า เศรษฐกิจอาจใช้เวลาอีก
หลายปีกว่าจะฟื้นตัว แต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงความกระตือรือร้นของนักธุรกิจของชาวเอเชียซึ่งรู้จัก
ปรับตัวรับสภาวะวิกฤต ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของนักธุรกิจ 3 คนที่จะทำให้เสือเศรษฐกิจของเอเชีย
กลับมาผงาดอีกครั้ง
1. พ่อค้าแซนด์วิช
เดือนกุมภาพัน์ 2540 ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ เฝ้าครุ่นคิดหลายคืนว่าจะแจ้งข่าวร้ายให้ลูกน้อง
ทราบอย่างไรดี พอถึงเวลาเรียกประชุม พนักงานทั้ง 40 คนในห้องประชุมใหญ่ของบริษัททองกวี
น ศิริวัฒน์ตัดสินใจพูดโดยไม่อ้อมค้อม “ธนาคารไม่ยอมให้โครงการเรากู้เงินอีก” เขากล่าว
“นับแต่เดือนเมษายน ผมคงไม่มีเงินเดือนจ่ายให้พวกคุณแล้ว”
นักค้าหุ้นวัย 48 ปีซึ่งเคยซื้อหุ้นมูลค่าหลายสิบล้านบาทในวันเดียว ขณะนี้ไม่มีแม้แต่เงินมาจ่ายชดเชย
พนักงานที่จะเลิกจ้าง
เส้นทางธุรกิจของศิริวัฒน์เติบโตมาพร้อมกับความร้อนแรงของเศรษฐกิจไทย เมื่อเป็นเด็กศริวัฒน์
เรียนมัธยมอัสสัมชัญ ศรีราชา มาต่อโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ในกรุงเทพและได้รับ
AFS (American Field Service) และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจการเงินจาก
มหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐฯในปี 2516
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ศิริวัฒน์ก็ทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย จำกัดในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
ซึ่งเป็นบริษัทค้าหุ้นใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ทำงาน เขาทำกำไรให้บริษัทหลาย
ร้อยล้านบาทและทำกำไรให้ลูกค้าอีกหลายล้านบาท
ต่อมา ศิริวัฒน์ตัดสินใจหันมายึดอาชีพผู้จัดการกองทุนรายย่อย และจัดตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริม
ทรัพย์ของตนเองในปี 2536
ศิริวัฒน์กับวิไลลักษณ์ภรรยาและลูก 3 คนมีความเป็นอยู่ในระดับดี โดยพักอาศัยในคอนโดมิเนียมหรู
ใจกลางกรุงเทพฯ ช่วงปิดเทอมก็ส่งลูกๆ ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษและนิวซีแลนด์
ปี 2536 ศิริวัฒน์เริ่มโครงการใหม่ที่หวังว่าจะทำให้ฐานะร่ำรวยจริงๆ เสียที ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม
หรูมูลค่ากว่า 400 ล้านบาทกลางสนามกอล์ฟเชิงเขาใหญ่ แต่ 3 ปีต่อมา เศรษฐกิจของประเทศเริ่มทรุดหนัก
ศิริวัฒน์มีหนี้สินมหาศาลและโครงการใหญ่ที่เป็นความหวังก็ยังสร้างไม่เสร็จ แถมยังขายได้เพียงไม่กี่ห้อง
ต้นปี 2540 บริษัททองกวีนของเขาก็ปิดฉากลง
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 1 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
“วิกฤตการณ์เศรษฐกิจอาจส่งผลให้เอเชียชะงักงันหลายสิบปี” หนังสือพิมพ์
“เอเชียน วอลสตรีท เจอร์นัล” พาดหัวข่าวเมื่อเดือนกันยายน 2541 ขณะที่หนังสือพิมพ์
“มะนิลา สแตนดาร์ด” ใช้ข้อความดุเดือดยิ่งกว่าคือ “เอเชียถึงจุดระเบิดแล้ว” ขณะนั้นเศรษฐกิจ
ของเอเชียเริ่มดิ่งลงเหวหลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วมาตลอด 2 ทศวรรษ ตลาดหุ้นตกติดต่อกัน
ค่าเงินร่วงกราวรูดและธุรกิจมากมายปิดตัวลง นักวิเคราะห์ทำนายว่า เศรษฐกิจอาจใช้เวลาอีก
หลายปีกว่าจะฟื้นตัว แต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงความกระตือรือร้นของนักธุรกิจของชาวเอเชียซึ่งรู้จัก
ปรับตัวรับสภาวะวิกฤต ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของนักธุรกิจ 3 คนที่จะทำให้เสือเศรษฐกิจของเอเชีย
กลับมาผงาดอีกครั้ง
1. พ่อค้าแซนด์วิช
เดือนกุมภาพัน์ 2540 ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ เฝ้าครุ่นคิดหลายคืนว่าจะแจ้งข่าวร้ายให้ลูกน้อง
ทราบอย่างไรดี พอถึงเวลาเรียกประชุม พนักงานทั้ง 40 คนในห้องประชุมใหญ่ของบริษัททองกวี
น ศิริวัฒน์ตัดสินใจพูดโดยไม่อ้อมค้อม “ธนาคารไม่ยอมให้โครงการเรากู้เงินอีก” เขากล่าว
“นับแต่เดือนเมษายน ผมคงไม่มีเงินเดือนจ่ายให้พวกคุณแล้ว”
นักค้าหุ้นวัย 48 ปีซึ่งเคยซื้อหุ้นมูลค่าหลายสิบล้านบาทในวันเดียว ขณะนี้ไม่มีแม้แต่เงินมาจ่ายชดเชย
พนักงานที่จะเลิกจ้าง
เส้นทางธุรกิจของศิริวัฒน์เติบโตมาพร้อมกับความร้อนแรงของเศรษฐกิจไทย เมื่อเป็นเด็กศริวัฒน์
เรียนมัธยมอัสสัมชัญ ศรีราชา มาต่อโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ในกรุงเทพและได้รับ
AFS (American Field Service) และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจการเงินจาก
มหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐฯในปี 2516
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ศิริวัฒน์ก็ทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย จำกัดในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
ซึ่งเป็นบริษัทค้าหุ้นใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ทำงาน เขาทำกำไรให้บริษัทหลาย
ร้อยล้านบาทและทำกำไรให้ลูกค้าอีกหลายล้านบาท
ต่อมา ศิริวัฒน์ตัดสินใจหันมายึดอาชีพผู้จัดการกองทุนรายย่อย และจัดตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริม
ทรัพย์ของตนเองในปี 2536
ศิริวัฒน์กับวิไลลักษณ์ภรรยาและลูก 3 คนมีความเป็นอยู่ในระดับดี โดยพักอาศัยในคอนโดมิเนียมหรู
ใจกลางกรุงเทพฯ ช่วงปิดเทอมก็ส่งลูกๆ ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษและนิวซีแลนด์
ปี 2536 ศิริวัฒน์เริ่มโครงการใหม่ที่หวังว่าจะทำให้ฐานะร่ำรวยจริงๆ เสียที ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม
หรูมูลค่ากว่า 400 ล้านบาทกลางสนามกอล์ฟเชิงเขาใหญ่ แต่ 3 ปีต่อมา เศรษฐกิจของประเทศเริ่มทรุดหนัก
ศิริวัฒน์มีหนี้สินมหาศาลและโครงการใหญ่ที่เป็นความหวังก็ยังสร้างไม่เสร็จ แถมยังขายได้เพียงไม่กี่ห้อง
ต้นปี 2540 บริษัททองกวีนของเขาก็ปิดฉากลง
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 2 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ศิริวัฒน์กับภรรยาต้องหาทางดิ้นรน แต่ท่ามกลางภาวะวิกฤตเช่นนี้ ไม่มีใครเรียกใช้บริการ
ผู้จัดการกองทุนรายย่อยและไม่มีใครนำเงินมาลงทุนทำธุรกิจ เช้าวันหนึ่งขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจ
อะไรเลี้ยงครอบครัวและพนักงานที่ฝากชีวิตไว้กับเขา ภรรยาเขาก็ได้ความคิด “เราน่าจะทำ
แซนด์วิชขาย” เธอบอก “เราขายเงินสด ถ้าเหลือก็เก็บไว้กินเอง”
การขายแซนด์วิชถือว่าเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีสำหรับนักธุรกิจ 100 ล้านอย่างศิริวัฒน์
แต่เขารู้ดีว่าหมดทางเลือกแล้ว “ถึงเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่คนก็ยังต้องกิน” เขาเห็นด้วยกับภรรยา
สองสามีภรรยาซื้อขนมปัง แฮม เนยแข็ง ปลาทูน่ากระป๋อง และมายองเนสหนึ่งกระปุก
วิไลลักษณ์ กับพนักงานช่วยกันทำแซนด์วิชในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ส่วนศิริวัฒน์กับพนักงาน
รับหน้าที่ไปขายที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย เขาจำวันแรกที่ขายได้แม่น เป็น
วันที่ 20 เมษายน 2540 เขาใช้เวลา 6 ชั่วโมงครึ่งในการขายแซนด์วิช 20 อันและได้เงิน 500 บาท
สองเดือนต่อมา ศิริวัฒน์เลิกสัญญาเช่าจากอาคารที่ทำการเดิมและย้ายไปอยู่ทาวน์เฮาส์ซึ่งค่าเช่า
ถูกกว่า พนักงาน 20 คนตัดสินใจสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยความหวังว่าจะทำธุรกิจแซนด์วิชให้ประสบ
ความสำเร็จให้ได้ ศิริวัฒน์นึกถึงภาพคนขายข้าวโพดคั่วในสนามแข่งอเมริกันฟุตบอลที่สหรัฐฯ จึงตัด
สินใจว่าถ้าตระเวนขายริมถนนน่าจะขายได้ดีกว่านี้ พอลูกน้องซึ่งเคยทำงานในห้องปรับอากาศมาก่อน
ไม่เห็นด้วย ศิริวัฒน์พูดสั้นๆ ว่า “ขนาดผมเป็นอย่างนี้ ผมยังไม่อายเลย”
การขายริมถนนเป็นงานหนักและต้องตากหน้า ครั้งหนึ่ง ศิริวัฒน์บังเอิญพบเพื่อนสมัยเรียนซึ่งขณะ
นั้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารแห่งหนึ่ง “คุณมาทำอะไรแถวนี้” นายธนาคารถามด้วยความ
ประหลาดใจ “ก็ขายแซนด์วิชไง” ศิริวัฒน์ตอบแบบอายๆ ก่อนจะงุดหน้าเดินจากไป
ศิริวัฒน์ดิ้นรนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหวไม่หยุด จนกระทั่งปลายปี 2540 สื่อมวลชนเผยแพร่
เรื่องนี้ออกไปทั่วประเทศ บ้างก็เรียกขานเขาว่า “มิสเตอร์แซนด์วิช” ความมุ่งมั่นของศิริวัฒน์ สร้าง
ความประทับใจแก่ผู้คนซึ่งพากันมาอุดหนุนแซนด์วิช “คุณเป็นตัวอย่างให้พวกผมไม่หมดหวัง”
คนตกงานรายหนึ่งบอกศิริวัฒน์
นับถึงวันที่เขียนบทความนี้ ในวันทำงานปกติ ศิริวัฒน์ ขายแซนด์วิชได้วันละประมาณ 800 ชิ้น
ธุรกิจของเขาซึ่งมีลูกจ้าง 28 คนเติบโตอย่างรวดเร็วและขยายไปยังสินค้าใหม่อย่างเช่นข้าวปั้นแบบ
ญี่ปุ่น เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว เพื่อนร่วมงานเก่าๆ เรียกร้องให้เขาหวนสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
“อย่าดูถูกธุรกิจเล็กๆ แบบนี้นะ มันเป็นอนาคตของผม” ศิริวัฒน์ ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ตอนที่ยัง
รวย ผมได้รับการสนับสนุนจากนายธนาคารไม่กี่คน แต่ตอนนี้มีคนเป็นพันๆ ให้กำลังใจตราบเท่าที่
ผมยังซื่อสัตย์และตั้งใจจะผลิตสินค้าคุณภาพดี”
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ศิริวัฒน์กับภรรยาต้องหาทางดิ้นรน แต่ท่ามกลางภาวะวิกฤตเช่นนี้ ไม่มีใครเรียกใช้บริการ
ผู้จัดการกองทุนรายย่อยและไม่มีใครนำเงินมาลงทุนทำธุรกิจ เช้าวันหนึ่งขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจ
อะไรเลี้ยงครอบครัวและพนักงานที่ฝากชีวิตไว้กับเขา ภรรยาเขาก็ได้ความคิด “เราน่าจะทำ
แซนด์วิชขาย” เธอบอก “เราขายเงินสด ถ้าเหลือก็เก็บไว้กินเอง”
การขายแซนด์วิชถือว่าเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีสำหรับนักธุรกิจ 100 ล้านอย่างศิริวัฒน์
แต่เขารู้ดีว่าหมดทางเลือกแล้ว “ถึงเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่คนก็ยังต้องกิน” เขาเห็นด้วยกับภรรยา
สองสามีภรรยาซื้อขนมปัง แฮม เนยแข็ง ปลาทูน่ากระป๋อง และมายองเนสหนึ่งกระปุก
วิไลลักษณ์ กับพนักงานช่วยกันทำแซนด์วิชในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ส่วนศิริวัฒน์กับพนักงาน
รับหน้าที่ไปขายที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย เขาจำวันแรกที่ขายได้แม่น เป็น
วันที่ 20 เมษายน 2540 เขาใช้เวลา 6 ชั่วโมงครึ่งในการขายแซนด์วิช 20 อันและได้เงิน 500 บาท
สองเดือนต่อมา ศิริวัฒน์เลิกสัญญาเช่าจากอาคารที่ทำการเดิมและย้ายไปอยู่ทาวน์เฮาส์ซึ่งค่าเช่า
ถูกกว่า พนักงาน 20 คนตัดสินใจสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยความหวังว่าจะทำธุรกิจแซนด์วิชให้ประสบ
ความสำเร็จให้ได้ ศิริวัฒน์นึกถึงภาพคนขายข้าวโพดคั่วในสนามแข่งอเมริกันฟุตบอลที่สหรัฐฯ จึงตัด
สินใจว่าถ้าตระเวนขายริมถนนน่าจะขายได้ดีกว่านี้ พอลูกน้องซึ่งเคยทำงานในห้องปรับอากาศมาก่อน
ไม่เห็นด้วย ศิริวัฒน์พูดสั้นๆ ว่า “ขนาดผมเป็นอย่างนี้ ผมยังไม่อายเลย”
การขายริมถนนเป็นงานหนักและต้องตากหน้า ครั้งหนึ่ง ศิริวัฒน์บังเอิญพบเพื่อนสมัยเรียนซึ่งขณะ
นั้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารแห่งหนึ่ง “คุณมาทำอะไรแถวนี้” นายธนาคารถามด้วยความ
ประหลาดใจ “ก็ขายแซนด์วิชไง” ศิริวัฒน์ตอบแบบอายๆ ก่อนจะงุดหน้าเดินจากไป
ศิริวัฒน์ดิ้นรนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหวไม่หยุด จนกระทั่งปลายปี 2540 สื่อมวลชนเผยแพร่
เรื่องนี้ออกไปทั่วประเทศ บ้างก็เรียกขานเขาว่า “มิสเตอร์แซนด์วิช” ความมุ่งมั่นของศิริวัฒน์ สร้าง
ความประทับใจแก่ผู้คนซึ่งพากันมาอุดหนุนแซนด์วิช “คุณเป็นตัวอย่างให้พวกผมไม่หมดหวัง”
คนตกงานรายหนึ่งบอกศิริวัฒน์
นับถึงวันที่เขียนบทความนี้ ในวันทำงานปกติ ศิริวัฒน์ ขายแซนด์วิชได้วันละประมาณ 800 ชิ้น
ธุรกิจของเขาซึ่งมีลูกจ้าง 28 คนเติบโตอย่างรวดเร็วและขยายไปยังสินค้าใหม่อย่างเช่นข้าวปั้นแบบ
ญี่ปุ่น เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว เพื่อนร่วมงานเก่าๆ เรียกร้องให้เขาหวนสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
“อย่าดูถูกธุรกิจเล็กๆ แบบนี้นะ มันเป็นอนาคตของผม” ศิริวัฒน์ ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ตอนที่ยัง
รวย ผมได้รับการสนับสนุนจากนายธนาคารไม่กี่คน แต่ตอนนี้มีคนเป็นพันๆ ให้กำลังใจตราบเท่าที่
ผมยังซื่อสัตย์และตั้งใจจะผลิตสินค้าคุณภาพดี”
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 3 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
2. ผู้สร้างระบบอีเมล
ซูจีน ชัง รู้สึกหดหู่เป็นที่สุดขณะอุ้มลูกชายวัย 9 ขวบไว้บนตัก มือหนึ่งถือกระปุกออมสินสีแดง
อัดแน่นด้วยเหรียญของลูก อีกมือหนึ่งวางบนบ่าข้างหนึ่งของเด็กชายพร้อมกับพูดว่า
“วอนจูน พ่อขอยืมไปไม่นาน พ่อสัญญา”
บริษัทคอมพิวเตอร์ของนักธุรกิจเกาหลีวัย 35 ปีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์
ทางเศรษฐกิจที่ลุกลามทั่วเอเชีย เขาต้องขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มีเพื่อความอยู่รอด บริษัทถูกตัดไฟ
4 ครั้งแล้วเพราะไม่มีเงินชำระ ชีวิตของซูจีนตกต่ำสุดขีดเมื่อครอบครัวไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ เขากับ
’มูนจา’ภรรยาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการยืมเงินจากกระปุกออมสินของลูกชายไปซื้อข้าวสาร
ห่อเล็กๆ ที่หุงได้เพียงมื้อเดียว สองสามีภรรยาอายจนไม่กล้าไปซื้อข้าวสารเองและต้องใช้ลูกชายไป
ซื้อจากร้านหัวมุมถนน
ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ของซูจีนมีรายได้เพียงน้อยนิดจากการขายไอศกรีม การดิ้นรนเรื่องเงินทอง
ตลอดเวลาทำให้เด็กชายซูจีนกลายเป็นคนสู้งาน เมื่องานขายไอศกรีมไปไม่รอด เขาจึงหาเลี้ยงปาก
ท้องไปวันๆ ด้วยการขายปฏิทินหน้าโรงแรม
ในวัยเรียน ซูจีนตื่นตาตื่นใจมากเมื่อได้สัมผัสคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ ซึ่งเด็กในครอบครัวฐานะดีมี
ไว้เล่นเกมส์ เขาจึงพยายามเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้มากที่สุด หลังจบการศึกษา ซูจีนเริ่มทำงานใน
โรงงานประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เข้ารับการอบรมด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นเวลา
7 เดือนและทำงานด้านนี้มาตลอดในช่วงวัย 20 เศษ
พออายุ 30 กว่า เขาตัดสินใจเปิดบริษัทของตัวเอง โดยหวังจะสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นำชาว
เกาหลีเข้าสู่อาณาจักรอินเทอร์เน็ตซึ่งยังไม่แพร่หลายในสมัยนั้น เพื่อนร่วมงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เขาเสียสติไปแล้วที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างในตลาดอินเทอร์เน็ตซึ่งเล็กมาก แต่ซูจีนกลับมองว่า
สภาพการณ์ ขณะนั้นเหมาะอย่างยิ่งที่จะเริ่มธุรกิจเล็กๆ เพราะนายทุนใหญ่ยังจดๆ จ้องๆ อยู่
ซูจีนเปิดบริษัทเอส เอ็นไอในเดือนกุมภาพันธ์ 2540 และเริ่มพัฒนาพีดีเอฟ
(Portable Document Format) เป็นภาษาเกาหลี ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เปิดและอ่านข้อมูลจาก
แฟ้มที่เก็บไว้ในซอฟต์แวร์ต่างประเภทกันได้
เมื่อกลับเข้าทำงานหลังหยุดพักผ่อนในเทศกาลปีใหม่ ซูจีนล้มทั้งยืนเมื่อทราบว่าลูกค้าหลายราย
ตัดงบประมาณและเริ่มปลดพนักงาน หนังสือยกเลิกคำสั่งซื้อทยอยเข้ามาทีละฉบับ พอโทรศัพท์ไปหา
ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดเพื่อยืนยันการสั่งซื้อ ซูจีนจึงทราบว่าผู้ที่เขาติดต่อด้วยไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทนั้นแล้ว
โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
2. ผู้สร้างระบบอีเมล
ซูจีน ชัง รู้สึกหดหู่เป็นที่สุดขณะอุ้มลูกชายวัย 9 ขวบไว้บนตัก มือหนึ่งถือกระปุกออมสินสีแดง
อัดแน่นด้วยเหรียญของลูก อีกมือหนึ่งวางบนบ่าข้างหนึ่งของเด็กชายพร้อมกับพูดว่า
“วอนจูน พ่อขอยืมไปไม่นาน พ่อสัญญา”
บริษัทคอมพิวเตอร์ของนักธุรกิจเกาหลีวัย 35 ปีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์
ทางเศรษฐกิจที่ลุกลามทั่วเอเชีย เขาต้องขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มีเพื่อความอยู่รอด บริษัทถูกตัดไฟ
4 ครั้งแล้วเพราะไม่มีเงินชำระ ชีวิตของซูจีนตกต่ำสุดขีดเมื่อครอบครัวไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ เขากับ
’มูนจา’ภรรยาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการยืมเงินจากกระปุกออมสินของลูกชายไปซื้อข้าวสาร
ห่อเล็กๆ ที่หุงได้เพียงมื้อเดียว สองสามีภรรยาอายจนไม่กล้าไปซื้อข้าวสารเองและต้องใช้ลูกชายไป
ซื้อจากร้านหัวมุมถนน
ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ของซูจีนมีรายได้เพียงน้อยนิดจากการขายไอศกรีม การดิ้นรนเรื่องเงินทอง
ตลอดเวลาทำให้เด็กชายซูจีนกลายเป็นคนสู้งาน เมื่องานขายไอศกรีมไปไม่รอด เขาจึงหาเลี้ยงปาก
ท้องไปวันๆ ด้วยการขายปฏิทินหน้าโรงแรม
ในวัยเรียน ซูจีนตื่นตาตื่นใจมากเมื่อได้สัมผัสคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ ซึ่งเด็กในครอบครัวฐานะดีมี
ไว้เล่นเกมส์ เขาจึงพยายามเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้มากที่สุด หลังจบการศึกษา ซูจีนเริ่มทำงานใน
โรงงานประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เข้ารับการอบรมด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นเวลา
7 เดือนและทำงานด้านนี้มาตลอดในช่วงวัย 20 เศษ
พออายุ 30 กว่า เขาตัดสินใจเปิดบริษัทของตัวเอง โดยหวังจะสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นำชาว
เกาหลีเข้าสู่อาณาจักรอินเทอร์เน็ตซึ่งยังไม่แพร่หลายในสมัยนั้น เพื่อนร่วมงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เขาเสียสติไปแล้วที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างในตลาดอินเทอร์เน็ตซึ่งเล็กมาก แต่ซูจีนกลับมองว่า
สภาพการณ์ ขณะนั้นเหมาะอย่างยิ่งที่จะเริ่มธุรกิจเล็กๆ เพราะนายทุนใหญ่ยังจดๆ จ้องๆ อยู่
ซูจีนเปิดบริษัทเอส เอ็นไอในเดือนกุมภาพันธ์ 2540 และเริ่มพัฒนาพีดีเอฟ
(Portable Document Format) เป็นภาษาเกาหลี ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เปิดและอ่านข้อมูลจาก
แฟ้มที่เก็บไว้ในซอฟต์แวร์ต่างประเภทกันได้
เมื่อกลับเข้าทำงานหลังหยุดพักผ่อนในเทศกาลปีใหม่ ซูจีนล้มทั้งยืนเมื่อทราบว่าลูกค้าหลายราย
ตัดงบประมาณและเริ่มปลดพนักงาน หนังสือยกเลิกคำสั่งซื้อทยอยเข้ามาทีละฉบับ พอโทรศัพท์ไปหา
ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดเพื่อยืนยันการสั่งซื้อ ซูจีนจึงทราบว่าผู้ที่เขาติดต่อด้วยไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทนั้นแล้ว
โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 4 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ซูจีนเชื่อมั่นในความสามารถและรู้ว่าไม่มีใครคิดผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดท่ามกลางความ
ผันผวนทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสู้ต่อไป แต่ก็ต้องหัวใจสลายเมื่อจำต้องเบิกเงิน
ที่จ่ายประกันการศึกษาของลูกทั้งสองมาจ่ายเงินเดือนพนักงานและคราวนี้ถึงกับต้องทุบกระปุก
ออมสินของลูก ในที่สุด เดือนมีนาคม 2542 เขาจำใจขายบริษัทพร้อมกับพีดีเอฟที่อุตส่าห์คิดค้น
ขึ้นมาให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อนำเงินไปชำระหนี้
ซูจีนทำงานให้บริษัทผู้ซื้อธุรกิจของเขาเกือบหนึ่งปีโดยรับผิดชอบในการพัฒนาธุรกิจอินเทอร์เน็ต
ที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่นานก็ทะเลาะกับเจ้านายเกี่ยวกับอนาคตของอินเทอร์เน็ต แม้เศรษฐกิจของเกาหลีจะ
ยังไม่ฟื้นตัว แต่ซูจีนก็อยากยืนด้วยตัวเองอีกครั้ง เขาไม่ต้องเสียเวลาหว่านล้อมภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเลย
“เราต้องพยายามต่อไป” มูมจาบอกสามี
เขาลาออกในเดือนตุลาคม 2542 พร้อมกับนำเงินที่สะสมไว้ระหว่างทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่
ไปลงทุนเปิดบริษัทใหม่ชื่อเจพีดีอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีพนักงานเพียง 2 คนกับความฝันที่จะสร้างระบบอีเมล
ฟรีแบบฮอตเมล (Hotmail) ให้แก่ชาวเกาหลี ขณะมุ่งมั่นพัฒนาระบบใหม่ ทีมงานของซูจีนก็สร้างมิติ
ใหม่ด้านเทคโนโลยีที่สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้อีเมลได้มากขึ้นถึง 10 เท่า ระบบนี้เรียกว่าไวด์เมล
(Wide-mail) อันเป็นระบบที่เร็วกว่า ถูกกว่าและเชื่อถือได้มากกว่าระบบอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจ
ทางอีเมลที่กำลังได้รับความนิยม
บริษัทใหม่ของซูจีนได้รับคำสั่งซื้อรายเดียวแต่มูลค่ารวมกว่า 250 ล้านบาท่และคาดว่ายอดขาย
ปี 2543 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า การสั่งซื้อส่วนมากมาจากต่างประเทศ ในเดือนเมษายน 2543 รัฐบาล
เกาหลีมอบรางวัลซอฟต์แวร์ใหม่ยอดเยี่ยม (New Software Prize) ให้ไวด์เมล ขณะที่เขียนเรื่องนี้
บริษัทเจพีดีมีพนักงาน 20 คน
ซูจีนกล่าวว่า วิธีเดียวที่จะพาตัวรอดพ้นวิกฤตคือ มองโลกในแง่ดีเสมอ คิดแต่เรื่องอนาคตและ
เชื่อมั่นในความสามารถของพนักงานและคุณภาพสินค้า สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จไม่ว่า
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
“การฝ่าฟันวิกฤตก็เหมือนการเดินไต่เชือกข้ามหุบเขาลึก” ซูจีนกล่าว “สายตาต้องแน่วแน่อยู่ที่เป้าหมาย
ข้างหน้า มิฉะนั้นจะเสียการทรงตัวและร่วงลงเหวง่ายๆ แต่ถ้าเชื่อมั่นในตนเอง มองไปที่ยอดเขาอีกด้าน
เราก็ไต่ข้ามไปได้แน่นอน"
โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ซูจีนเชื่อมั่นในความสามารถและรู้ว่าไม่มีใครคิดผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดท่ามกลางความ
ผันผวนทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสู้ต่อไป แต่ก็ต้องหัวใจสลายเมื่อจำต้องเบิกเงิน
ที่จ่ายประกันการศึกษาของลูกทั้งสองมาจ่ายเงินเดือนพนักงานและคราวนี้ถึงกับต้องทุบกระปุก
ออมสินของลูก ในที่สุด เดือนมีนาคม 2542 เขาจำใจขายบริษัทพร้อมกับพีดีเอฟที่อุตส่าห์คิดค้น
ขึ้นมาให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อนำเงินไปชำระหนี้
ซูจีนทำงานให้บริษัทผู้ซื้อธุรกิจของเขาเกือบหนึ่งปีโดยรับผิดชอบในการพัฒนาธุรกิจอินเทอร์เน็ต
ที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่นานก็ทะเลาะกับเจ้านายเกี่ยวกับอนาคตของอินเทอร์เน็ต แม้เศรษฐกิจของเกาหลีจะ
ยังไม่ฟื้นตัว แต่ซูจีนก็อยากยืนด้วยตัวเองอีกครั้ง เขาไม่ต้องเสียเวลาหว่านล้อมภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเลย
“เราต้องพยายามต่อไป” มูมจาบอกสามี
เขาลาออกในเดือนตุลาคม 2542 พร้อมกับนำเงินที่สะสมไว้ระหว่างทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่
ไปลงทุนเปิดบริษัทใหม่ชื่อเจพีดีอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีพนักงานเพียง 2 คนกับความฝันที่จะสร้างระบบอีเมล
ฟรีแบบฮอตเมล (Hotmail) ให้แก่ชาวเกาหลี ขณะมุ่งมั่นพัฒนาระบบใหม่ ทีมงานของซูจีนก็สร้างมิติ
ใหม่ด้านเทคโนโลยีที่สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้อีเมลได้มากขึ้นถึง 10 เท่า ระบบนี้เรียกว่าไวด์เมล
(Wide-mail) อันเป็นระบบที่เร็วกว่า ถูกกว่าและเชื่อถือได้มากกว่าระบบอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจ
ทางอีเมลที่กำลังได้รับความนิยม
บริษัทใหม่ของซูจีนได้รับคำสั่งซื้อรายเดียวแต่มูลค่ารวมกว่า 250 ล้านบาท่และคาดว่ายอดขาย
ปี 2543 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า การสั่งซื้อส่วนมากมาจากต่างประเทศ ในเดือนเมษายน 2543 รัฐบาล
เกาหลีมอบรางวัลซอฟต์แวร์ใหม่ยอดเยี่ยม (New Software Prize) ให้ไวด์เมล ขณะที่เขียนเรื่องนี้
บริษัทเจพีดีมีพนักงาน 20 คน
ซูจีนกล่าวว่า วิธีเดียวที่จะพาตัวรอดพ้นวิกฤตคือ มองโลกในแง่ดีเสมอ คิดแต่เรื่องอนาคตและ
เชื่อมั่นในความสามารถของพนักงานและคุณภาพสินค้า สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จไม่ว่า
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
“การฝ่าฟันวิกฤตก็เหมือนการเดินไต่เชือกข้ามหุบเขาลึก” ซูจีนกล่าว “สายตาต้องแน่วแน่อยู่ที่เป้าหมาย
ข้างหน้า มิฉะนั้นจะเสียการทรงตัวและร่วงลงเหวง่ายๆ แต่ถ้าเชื่อมั่นในตนเอง มองไปที่ยอดเขาอีกด้าน
เราก็ไต่ข้ามไปได้แน่นอน"
โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 5 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
3. ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว
อเล็กซ์ กง มีสายเลือดนักธุรกิจอยู่เต็มตัว ปู่เขาเริ่มธุรกิจค้าไม้เมื่อราว 60 ปีก่อน
หลังอพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย ส่วนพ่อของอเล็กซ์เริ่ม
จากการเป็นช่างไม้ ต่อมาก็ได้อาศัยลูกๆ ช่วยขยายกิจการอีกหลายอย่าง ตั้งแต่ส่งออกอาหา
รทะเลถึงบริษัททัวร์
“ถ้าอยากมีเงินเยอะๆ ก็ต้องทำธุรกิจของตัวเอง” พ่อของอเล็กซ์เคยบอก “อย่าเป็นลูกจ้างคนอื่น”
หลังจบการศึกษาด้านการวางแผนธุรกิจท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยฮาวายเมื่อปี 2536 อเล็กซ์
กลับสู่ซาราวัก พร้อมกับความคิดที่จะกระโจนเข้าธุรกิจท่องเที่ยว พ่อเขาสร้างโรงแรมในอุทยาน
แห่งชาติกูนังมูบูบนเกาะบอร์เนียว แต่กิจการไม่ค่อยดีเนื่องจากทำเลห่างไกล อเล็กซ์จึงเปิดบริษัท
ท่องเที่ยวซึ่งจัดโปรแกรมรวมที่พักในโรงแรมเข้ากับการเดินทางและบริการอื่นๆ บริษัทเขารุดหน้า
พร้อมกับกิจการโรงแรมของพ่อไปได้ดี
แต่อเล็กซ์มีโครงการใหญ่กว่านั้น สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาสนใจอินเทอร์เน็ตมากและ
คิดจะใช้เทคโนโลยีนี้ขยายธุรกิจท่องเที่ยว ราวปี 2535 อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายนักในเอเชีย
แต่อเล็กซ์เชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะต้องไปได้ไกลแน่ อนาคตของเขาสดใสยิ่งขึ้นเมื่อแต่งงานในเดือน
มีนาคม 2540 กับแคทาลีนา เพื่อนหญิงที่คบหากันมานาน
แต่ทุกอย่างพลิกผันภายในไม่กี่เดือน หมอกควันจากไฟป่าบนเกาะของอินโดนีเซียแผ่ปกคลุม
เป็นบริเวณกว้าง นักท่องเที่ยวพากันงดเดินทางมาภูมิภาคนี้ ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2540 ตลาดหุ้น
มาเลซียทรุดหนักและค่าเงินตกต่ำ ธุรกิจค่อยๆ ชะงักงัน ความหวังสุดท้ายของอเล็กซ์คือโครงการสร้าง
ธุรกิจท่องเที่ยวผ่านอินเทอร์เน็ต
โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
3. ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว
อเล็กซ์ กง มีสายเลือดนักธุรกิจอยู่เต็มตัว ปู่เขาเริ่มธุรกิจค้าไม้เมื่อราว 60 ปีก่อน
หลังอพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย ส่วนพ่อของอเล็กซ์เริ่ม
จากการเป็นช่างไม้ ต่อมาก็ได้อาศัยลูกๆ ช่วยขยายกิจการอีกหลายอย่าง ตั้งแต่ส่งออกอาหา
รทะเลถึงบริษัททัวร์
“ถ้าอยากมีเงินเยอะๆ ก็ต้องทำธุรกิจของตัวเอง” พ่อของอเล็กซ์เคยบอก “อย่าเป็นลูกจ้างคนอื่น”
หลังจบการศึกษาด้านการวางแผนธุรกิจท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยฮาวายเมื่อปี 2536 อเล็กซ์
กลับสู่ซาราวัก พร้อมกับความคิดที่จะกระโจนเข้าธุรกิจท่องเที่ยว พ่อเขาสร้างโรงแรมในอุทยาน
แห่งชาติกูนังมูบูบนเกาะบอร์เนียว แต่กิจการไม่ค่อยดีเนื่องจากทำเลห่างไกล อเล็กซ์จึงเปิดบริษัท
ท่องเที่ยวซึ่งจัดโปรแกรมรวมที่พักในโรงแรมเข้ากับการเดินทางและบริการอื่นๆ บริษัทเขารุดหน้า
พร้อมกับกิจการโรงแรมของพ่อไปได้ดี
แต่อเล็กซ์มีโครงการใหญ่กว่านั้น สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาสนใจอินเทอร์เน็ตมากและ
คิดจะใช้เทคโนโลยีนี้ขยายธุรกิจท่องเที่ยว ราวปี 2535 อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายนักในเอเชีย
แต่อเล็กซ์เชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะต้องไปได้ไกลแน่ อนาคตของเขาสดใสยิ่งขึ้นเมื่อแต่งงานในเดือน
มีนาคม 2540 กับแคทาลีนา เพื่อนหญิงที่คบหากันมานาน
แต่ทุกอย่างพลิกผันภายในไม่กี่เดือน หมอกควันจากไฟป่าบนเกาะของอินโดนีเซียแผ่ปกคลุม
เป็นบริเวณกว้าง นักท่องเที่ยวพากันงดเดินทางมาภูมิภาคนี้ ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2540 ตลาดหุ้น
มาเลซียทรุดหนักและค่าเงินตกต่ำ ธุรกิจค่อยๆ ชะงักงัน ความหวังสุดท้ายของอเล็กซ์คือโครงการสร้าง
ธุรกิจท่องเที่ยวผ่านอินเทอร์เน็ต
โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ตอนที่ ( 6 )
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
อเล็กซ์ขายทรัพย์สินทุกอย่างและทุ่มเงินถึง 18.7 ล้านบาทเพื่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง
ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ให้สร้างระบบจองและซื้อตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ต “ผมแน่ใจว่างานนี้จะต้องสำเร็จ”
เขาบอกภรรยา
แต่พอปลายปี 2540 บริษัทที่รับจ้างก็ล้มละลายโดยไม่ทันส่งมอบงาน อเล็กซ์หมดตัว ไม่มีแม้
แต่เงินจะส่งเสียแคทาลีนาซึ่งกำลังตั้งครรภ์และพักอยู่กับพ่อแม่ของเธอในฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม อเล็กซ์ยังไม่ทิ้งความฝัน นี่คือจังหวะเหมาะที่สุดในการเปิดตัว เขาบอกตนเอง
คนกำลังมองหาของถูก เขาต้องหาผู้สนับสนุนทางการเงินให้ได้
ต้นปี 2541 อเล็กซ์ไปพบนายธนาคารและบริษัทเงินทุนนับร้อยๆ ราย บางครั้งกว่าจะไปถึงที่หมาย
เขาก็อยู่ในสภาพเปียกปอนด้วยน้ำฝนเพราะไม่มีแม้แต่เงินค่าแท็กซี่
“ถ้าโครงการนี้ล้มเหลว ผมก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว” เขาบอกผู้ที่กำลังสนับสนุนทางการเงิน
“ผมต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จ” คำพูดง่ายๆ และตรงไปตรงมาประทับใจผู้ฟังทุกคนแต่ไม่มีใคร
ให้เงินลงทุน
ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนเมายน 2541 อเล็กซ์มีโอกาสเข้าพบแฮนสัน เจีย ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท
ลงทุนเอเชียเท็ก เวนเจอร์ ในฮ่องกง นักลงทุนผู้นี้ต่างจากคนอื่นๆ ที่อเล็กซ์เคยเข้าพบ เพราะเข้าใจทันที
ว่าอินเทอร์เน็ตมีศักยภาพเกือบจะเรียกว่าไร้ขีดจำกัด หลังจากอเล็กซ์นำเสนอโครงการนาน 90 นาที
แฮนสันคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก็ถามว่า “คุณต้องการเงินเท่าไร”
เดือนมิถุนายน 2541 อเล็กซ์เปิดบริษัทเอเชีย แทรเวิล เน็ตเวิร์กด้วยเงินลงทุนเบื้องต้น 7.7 ล้านบาท
และเปิดเว็บไซต์ชื่อ Asiatravelmart.com ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อกับโรงแรม สายการบินและผู้ให้
บริการท่องเที่ยวรายอื่นๆ แรงซื้อมหาศาลทำให้สามารถลดราคาให้แก่ลูกค้าได้ทั่วโลก ขณะเขียนเรื่องนี้
บริษัทของอเล็กซ์มีพนักงาน 110 คน และคาดว่าปีนั้นจะมีรายได้สูงถึง 2,500 ล้านบาท
“การโน้มน้าวให้นักลงทุนเห็นด้วยกับโครงการของผมเป็นเรื่องยากมาก” อเล็กซ์กล่าว
“แต่ผมไม่ย่อท้อเพราะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองและมุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ”
********************
จบบริบูรณ์
โดย Floyd Whaley จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2543
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
อเล็กซ์ขายทรัพย์สินทุกอย่างและทุ่มเงินถึง 18.7 ล้านบาทเพื่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง
ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ให้สร้างระบบจองและซื้อตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ต “ผมแน่ใจว่างานนี้จะต้องสำเร็จ”
เขาบอกภรรยา
แต่พอปลายปี 2540 บริษัทที่รับจ้างก็ล้มละลายโดยไม่ทันส่งมอบงาน อเล็กซ์หมดตัว ไม่มีแม้
แต่เงินจะส่งเสียแคทาลีนาซึ่งกำลังตั้งครรภ์และพักอยู่กับพ่อแม่ของเธอในฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม อเล็กซ์ยังไม่ทิ้งความฝัน นี่คือจังหวะเหมาะที่สุดในการเปิดตัว เขาบอกตนเอง
คนกำลังมองหาของถูก เขาต้องหาผู้สนับสนุนทางการเงินให้ได้
ต้นปี 2541 อเล็กซ์ไปพบนายธนาคารและบริษัทเงินทุนนับร้อยๆ ราย บางครั้งกว่าจะไปถึงที่หมาย
เขาก็อยู่ในสภาพเปียกปอนด้วยน้ำฝนเพราะไม่มีแม้แต่เงินค่าแท็กซี่
“ถ้าโครงการนี้ล้มเหลว ผมก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว” เขาบอกผู้ที่กำลังสนับสนุนทางการเงิน
“ผมต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จ” คำพูดง่ายๆ และตรงไปตรงมาประทับใจผู้ฟังทุกคนแต่ไม่มีใคร
ให้เงินลงทุน
ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนเมายน 2541 อเล็กซ์มีโอกาสเข้าพบแฮนสัน เจีย ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท
ลงทุนเอเชียเท็ก เวนเจอร์ ในฮ่องกง นักลงทุนผู้นี้ต่างจากคนอื่นๆ ที่อเล็กซ์เคยเข้าพบ เพราะเข้าใจทันที
ว่าอินเทอร์เน็ตมีศักยภาพเกือบจะเรียกว่าไร้ขีดจำกัด หลังจากอเล็กซ์นำเสนอโครงการนาน 90 นาที
แฮนสันคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก็ถามว่า “คุณต้องการเงินเท่าไร”
เดือนมิถุนายน 2541 อเล็กซ์เปิดบริษัทเอเชีย แทรเวิล เน็ตเวิร์กด้วยเงินลงทุนเบื้องต้น 7.7 ล้านบาท
และเปิดเว็บไซต์ชื่อ Asiatravelmart.com ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อกับโรงแรม สายการบินและผู้ให้
บริการท่องเที่ยวรายอื่นๆ แรงซื้อมหาศาลทำให้สามารถลดราคาให้แก่ลูกค้าได้ทั่วโลก ขณะเขียนเรื่องนี้
บริษัทของอเล็กซ์มีพนักงาน 110 คน และคาดว่าปีนั้นจะมีรายได้สูงถึง 2,500 ล้านบาท
“การโน้มน้าวให้นักลงทุนเห็นด้วยกับโครงการของผมเป็นเรื่องยากมาก” อเล็กซ์กล่าว
“แต่ผมไม่ย่อท้อเพราะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองและมุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ”
********************
จบบริบูรณ์
……………
สู้กับงูยักษ์ มีทั้งหมด ( 4 )ตอนจบ……………
สู้กับงูยักษ์ ตอนที่ ( 1 )
เรื่องจริงโดย ดั๊ก คอลลิแกน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2551
และจากกูเกิล2566 เรื่อง “Brazilian pries grandson from anaconda death grip”
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
สำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะมาทีอัส (Matheus) วัย 8 ขวบ การไปเที่ยวไร่ของปู่โจอาคิม
(Joaquim) และย่าเอรุนดีนา (Erundina) เป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง โจอาคิมเป็นชาวชนบท
เติบโตในไร่ที่บาเอีย ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล เมื่อเกษียณจากงานที่โรงงานเหล็ก
เขาก็ย้ายถิ่นฐานไปยังบ้านหลังนี้ในเขตคอสโมรามา (Cosmorama) ซึ่งอยู่ห่างจากแพนทานัล
(Pantanal) อันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำกว้างใหญ่ไม่กี่สิบกิโลเมตรโดยเลี้ยงวัวและปลูกมันสำปะหลัง
บ่ายวันนั้น มาทีอัสเดินไปกับลูกพี่ลูกน้องชื่อฟลาวีโอ (Flavio) วัย 11 ขวบ และน้องอีก 2 คน
ทั้งหมดเดินไปตามทางสู่ลำธารที่เดินย่ำจนเตียน มาทีอัสวิ่งล่วงหน้าลงไปตามทางแคบๆ
สู่หนองน้ำเพื่อเก็บหินมาเล่นกับ สุนัขที่ตามมาด้วยเพราะมันชอบเล่นคาบหินที่มาทีอัสขว้างไป
แล้วมันก็คาบหินกลับมาให้
ที่ริมหนองน้ำ มาทีอัสไม่ได้สนใจสิ่งที่ดูเหมือนส่วนบนของขอนไม้ลอยน้ำห่างออกไป 2-3 เมตร
เขาไม่เห็นดวงตาที่เปล่งประกายจ้องมองมาที่เขา งูอนาคอนดา (anaconda) ตวัดลิ้นเพื่อดมกลิ่น
ซึ่งเป็นสัญญาณของการเตรียมพร้อมจะจู่โจม
อนาคอนดาเป็นงูขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลำตัวยาวได้ถึงกว่า 10 เมตรและหนักกว่า 150 กิโลกรัม
มันกินทุกอย่างที่กลืนได้ เช่นหมูป่า, แกะ, สุนัข แม้แต่จระเข้และกวางขนาดเล็ก อนาคอนดาชอบนอน
รอเหยื่ออยู่ในน้ำตื้นริมแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือหนองน้ำ
งูค่อยๆ ขดส่วนคอแล้วทะยานขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว มาทีอัสเอี้ยวตัวหลบโดยสัญชาตญาณ
งูฉกถากไหล่ขวา แต่ขณะที่มาทีอัสหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนี งูก็กลับตัวมาโจมตีอีกครั้ง มันอ้าปากกว้าง
แล้วกัดลงตรงสีข้างด้านขวาของเขา
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
เรื่องจริงโดย ดั๊ก คอลลิแกน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2551
และจากกูเกิล2566 เรื่อง “Brazilian pries grandson from anaconda death grip”
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
สำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะมาทีอัส (Matheus) วัย 8 ขวบ การไปเที่ยวไร่ของปู่โจอาคิม
(Joaquim) และย่าเอรุนดีนา (Erundina) เป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง โจอาคิมเป็นชาวชนบท
เติบโตในไร่ที่บาเอีย ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล เมื่อเกษียณจากงานที่โรงงานเหล็ก
เขาก็ย้ายถิ่นฐานไปยังบ้านหลังนี้ในเขตคอสโมรามา (Cosmorama) ซึ่งอยู่ห่างจากแพนทานัล
(Pantanal) อันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำกว้างใหญ่ไม่กี่สิบกิโลเมตรโดยเลี้ยงวัวและปลูกมันสำปะหลัง
บ่ายวันนั้น มาทีอัสเดินไปกับลูกพี่ลูกน้องชื่อฟลาวีโอ (Flavio) วัย 11 ขวบ และน้องอีก 2 คน
ทั้งหมดเดินไปตามทางสู่ลำธารที่เดินย่ำจนเตียน มาทีอัสวิ่งล่วงหน้าลงไปตามทางแคบๆ
สู่หนองน้ำเพื่อเก็บหินมาเล่นกับ สุนัขที่ตามมาด้วยเพราะมันชอบเล่นคาบหินที่มาทีอัสขว้างไป
แล้วมันก็คาบหินกลับมาให้
ที่ริมหนองน้ำ มาทีอัสไม่ได้สนใจสิ่งที่ดูเหมือนส่วนบนของขอนไม้ลอยน้ำห่างออกไป 2-3 เมตร
เขาไม่เห็นดวงตาที่เปล่งประกายจ้องมองมาที่เขา งูอนาคอนดา (anaconda) ตวัดลิ้นเพื่อดมกลิ่น
ซึ่งเป็นสัญญาณของการเตรียมพร้อมจะจู่โจม
อนาคอนดาเป็นงูขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลำตัวยาวได้ถึงกว่า 10 เมตรและหนักกว่า 150 กิโลกรัม
มันกินทุกอย่างที่กลืนได้ เช่นหมูป่า, แกะ, สุนัข แม้แต่จระเข้และกวางขนาดเล็ก อนาคอนดาชอบนอน
รอเหยื่ออยู่ในน้ำตื้นริมแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือหนองน้ำ
งูค่อยๆ ขดส่วนคอแล้วทะยานขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว มาทีอัสเอี้ยวตัวหลบโดยสัญชาตญาณ
งูฉกถากไหล่ขวา แต่ขณะที่มาทีอัสหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนี งูก็กลับตัวมาโจมตีอีกครั้ง มันอ้าปากกว้าง
แล้วกัดลงตรงสีข้างด้านขวาของเขา
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
เรื่องจริงโดย ดั๊ก คอลลิแกน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2551
และจากกูเกิล2566 เรื่อง “Brazilian pries grandson from anaconda death grip”
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
อนาคอนดาไม่มีพิษ แต่มีฟันคมเหมือนเข็มกว่า 100 ซี่ที่โค้งไปด้านหลังเพื่อยึดเหยื่อที่กำลังดิ้น
มันเลี้อยขึ้นจากน้ำและรัดตัวมาทีอัสตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า
ตอนนั้นเอง ฟลาวีโอก็มาถึงริมตลิ่ง เขาเห็นช่วงสุดท้ายของการโจมตีจึงวิ่งกลับขึ้นไปพร้อมกับ
ตะโกนเรียกโจอาคิมซึ่งเดินตามหลังเด็กๆ มา 10 กว่าเมตรและได้ยินเสียงว่า “งูรัดมาทีอัส”
โจอาคิมรีบวิ่งไปที่หนองน้ำ ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ฟลาวีโอ ไปเอามีดที่บ้านมา” เมื่อไปถึงฝั่ง
เขาไม่เห็นมาทีอัส แต่เห็นงูลายดำเขียวขดตัวรัดเหยื่อซึ่งก็คือหลานชายของเขาเอง
เขาคว้าขดลำตัวงูที่เปียกเป็นมันเลื่อมแล้วดึงอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุด เขาก็เห็นกระหม่อมของมาทีอัส
และหน้าผาก ต่อมาก็เป็นดวงตาโตสีเข้มที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของหลาน
และแล้วโจอาคิมก็เห็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ใบหน้าของเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นสีเขียว หางงูเข้าไป
จุกอยู่ในปากของมาทีอัสทำให้เขาหายใจไม่ออก เด็กชายถูกลำตัวที่แข็งแรงของงูรัดอยู่ในท่ากึ่งนั่ง
แขนแนบกับสีข้าง มาทีอัสกัดหางงูในปากแรงๆ แต่ไม่เป็นผล กระทั่งโจอาคิมกระชากหางงูออกไป
มาทีอัสจึงสามารถหายใจได้
“ปู่ มันรัดจนผมหายใจไม่ออกแล้ว” มาทีอัสสูดหายใจ ชายวัย 66 ปีร่างกำยำพยายามดึงตัวงู
ออกจากไหล่ของมาทีอัส แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นหัวงูงับเด็กชายตรงลำตัวด้านขวาใต้รักแร้
เขาคว้าหัวงู มันอ้าปากเผยให้เห็นฟันคมเรียงเป็นแถว โจอาคิมหยิบหินขึ้นมา 2-3 ก้อนแล้วยัดลงไป
ในคองู
แต่สำหรับสัตว์ที่สามารถกลืนกวางได้ทั้งตัว หิน 2-3 ก้อนไม่ทำให้งูสะดุ้งสะเทือนเลย โจอาคิม
พยายามง้างหัวงูออกจากข้างลำตัวของมาทีอัส เขาจับขากรรไกรทั้งสองข้างของอนาคอนดา แล้วดึง
กระชากอย่างแรงจนได้ยินเสียงฉีกขาด แต่งูก็ยังไม่ยอมปล่อย ขากรรไกรล่างของงูฝังที่ข้างลำตัวของ
มาทีอัสลึกเข้าไปอีก
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
เรื่องจริงโดย ดั๊ก คอลลิแกน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2551
และจากกูเกิล2566 เรื่อง “Brazilian pries grandson from anaconda death grip”
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
“ผมจะตายแล้วปู่” เด็กชายร้อง
“หลานต้องไม่ตาย” โจอาคิมปลอบ
โจอาคิมหยิบหินขนาดใหญ่กว่ากำมือ 2 เท่าขึ้นมาทุบหัวงูเต็มแรงหวังจะให้งูปล่อย
แต่โจอาคิมกลับรู้สึกว่างูเกร็งกล้ามเนื้อสู้ มาทีอัสถึงกับตาถลนแล้วร้องออกมาว่า
“ปู่ มันรัดแน่นกว่าเดิม”
เอรุนดีนาอยู่ในครัว ตอนที่ฟลาวีโอวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทางระเบียงหลังบ้าน
“ขอมีดด้วย” เขาตะโกน “มาทีอัสถูกงูรัด”
เมื่อได้ยินเสียงเร่งเร้าของเด็กชาย เธอรีบลนลานไปยังกองเครื่องมือเก่าและดึงมีด
เล่มใหญ่สำหรับฟันต้นไม้ออกมา ด้ามไม้ของมีดหายไปเหลือแต่ตะปูที่ใช้ยึดด้าม ใบมีด
เป็นสนิมและทื่อ แต่นี่เป็นมีดเล่มดีที่สุดที่เธอจะหาได้ในตอนนั้น ฟลาวีโอคว้ามีดแล้วรีบวิ่ง
ไปที่หนองน้ำ
เอรุนดีนาค่อยๆ วิ่งตามไปที่ลำธารด้วยความเจ็บปวด เมื่อ 11 ปีก่อนเธอประสบเหตุทำ
ให้เท้าแตกและกระดูกสมานกันไม่ดีนัก เธอสะดุดบนพื้นขรุขระ 2-3 ครั้งแต่ก็ยังพยายามไปต่อ
โจอาคิมรู้สึกเหมือนจะต้องกอดปล้ำกับงูยาว 5 เมตรไม่มีวันจบ พอดึงตัวงูออกจากหลาน
ได้สักนิด งูยักษ์ก็รัดแน่นเข้าไปอีกและพยายามบิดตัวให้หลุดจากมือเขา และเมื่อดึงตัวงูออก
จากมาทีอัสได้สัก 2 เมตร โจอาคิมก็ตระหนักว่ามันพยายามจะมารัดเขาด้วย
หลังสู้อยู่ 2-3 นาที เขาก็คว้าตัวมันได้และนั่งทับไว้
เขาต่อกรกับงูยักษ์มาได้ 15 นาทีแล้วและกำลังจะหมดหวังขณะที่ฟลาวิโอวิ่งไปถึง โจอาคิม
รีบคว้ามีดมาฟันงู มีดเล่มใหญ่กระดอนกลับโดยไม่ทำอันตรายใดๆ แก่งู เขาฟันลงไปซ้ำแล้ว
ซ้ำเล่าแต่ไม่เป็นผล เหมือนฟาดไปบนยางรถบรรทุก เขาคิด
โจอาคิมทุ่มกำลังทั้งหมดดึงงูแรงมากจนตะปูที่ด้ามมีดบาดมือข้างขวาแต่ก็เปิดบาดแผลงูได้
งูคลายตัวครู่เดียวจากนั้นก็รัดแน่นอีก แม้จะฟันได้อีก 2 แผลก็ไม่เกิดผล
เขาคว้าหัวงูด้วยมือซ้ายแล้วฟันมีดหนักเล่มนี้ลงที่กะโหลกงูช่วงจมูกกับตา เขากระหน่ำไม่ยั้ง
จนฟันถูกมือตัวเองด้วย แล้วขากรรไกรบนของงูก็แตก ปากอ้าออก มาทีอัสรู้สึกว่าความแน่นคลาย
ลงจึงตะโกน ออกมาว่า “มันคลายแล้วปู่”
เด็กชายผลักลำตัวงูออกจากตัว คลานขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วออกวิ่งทั้งที่มีเลือดไหลจากข้างลำตัว
เขาพบเอรุนดีนากับลูกพี่ลูกน้องบนทางเดิน พวกนั้นพาเขากลับบ้าน
โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
สู้กับงูยักษ์ ตอนที่ ( 4 ) (ตอนจบ)
เรื่องจริงโดย ดั๊ก คอลลิแกน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2551
และจากกูเกิล2566 เรื่อง “Brazilian pries grandson from anaconda death grip”
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
โจอาคิมยังคงต่อสู้กับงูอนาคอนดาที่โกรธจัด เขาใช้มือซ้ายจับหัวงูเหยียดออกไป
แล้วใช้มือขวาฟาดด้วยมีด งูฟาดและบิดหางที่แข็งแรงพยายามรัดโจอาคิม
ขณะที่ฟลาวีโอนั่งทับหางงูที่กำลังบิดไปมา โจอาคิมก็ฟันต่อไปจนกระทั่งรู้สึกว่างูอ่อน
ปวกเปียกลงในมือเขา ด้วยความโล่งอกเขาปล่อยตัวงูที่บาดเจ็บสาหัสลงกับชายฝั่งโคลน
การต่อสู้กินเวลาราว 30 นาที แต่มาทีอัสเป็นอย่างไรบ้าง โจอาคิมรู้สึกเป็นกังวลและเริ่ม
กลับไปบนตลิ่ง
ที่บ้าน เอรุนดีนาล้างแผลให้มาทีอัส โจอาคิมพาเขาขึ้นรถไปยังคลินิกใกล้ๆ น่าอัศจรรย์ว่า
หมอเย็บแผลของมาทีอัสเพียง 21 เข็ม และผลเอ็กซเรย์ก็ไม่พบว่ามีอาการบาดเจ็บภายใน
มีเพียงรอยฟกช้ำดำเขียวตามคอและแขน
โจอาคิมไม่เห็นงูอนาคอนดาตัวอื่นอีกนับแต่การโจมตีครั้งนั้น แม้เขาบอกว่ามีหลายครั้ง
ที่วัวของเขาไม่ยอมดื่มน้ำที่ลำธาร อาจเป็นเพราะวัวเห็นผู้มาเยือนที่มีอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้
ช่วงวันหยุดเทศกาล หลานๆ กลับไปที่ไร่เช่นเคย โจอาคิมบอกว่าเรื่องสยองขวัญเมื่อบ่าย
วันนั้นทำให้เขารู้สึกรักครอบครัวมากขึ้น สำหรับมาทีอัส แผลเป็นเริ่มจางลงเช่นเดียวกับแผล
ทางใจ เขายังคงใจจดจ่อรอคอยจะได้ไปเที่ยวไร่ของปู่ แม้ว่าทั้งเขาและคนอื่นในครอบครัวจะ
ไม่ลงเล่นน้ำในหนองน้ำนั้นอีก นับแต่วันนั้น โจอาคิมจะถือมีดทุกครั้งที่ไปลำธารและมาทีอัส
ก็ยังแวะไปที่หนองน้ำนั้น
***************************
จบบริบูรณ์
เรื่องจริงโดย ดั๊ก คอลลิแกน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2551
และจากกูเกิล2566 เรื่อง “Brazilian pries grandson from anaconda death grip”
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
โจอาคิมยังคงต่อสู้กับงูอนาคอนดาที่โกรธจัด เขาใช้มือซ้ายจับหัวงูเหยียดออกไป
แล้วใช้มือขวาฟาดด้วยมีด งูฟาดและบิดหางที่แข็งแรงพยายามรัดโจอาคิม
ขณะที่ฟลาวีโอนั่งทับหางงูที่กำลังบิดไปมา โจอาคิมก็ฟันต่อไปจนกระทั่งรู้สึกว่างูอ่อน
ปวกเปียกลงในมือเขา ด้วยความโล่งอกเขาปล่อยตัวงูที่บาดเจ็บสาหัสลงกับชายฝั่งโคลน
การต่อสู้กินเวลาราว 30 นาที แต่มาทีอัสเป็นอย่างไรบ้าง โจอาคิมรู้สึกเป็นกังวลและเริ่ม
กลับไปบนตลิ่ง
ที่บ้าน เอรุนดีนาล้างแผลให้มาทีอัส โจอาคิมพาเขาขึ้นรถไปยังคลินิกใกล้ๆ น่าอัศจรรย์ว่า
หมอเย็บแผลของมาทีอัสเพียง 21 เข็ม และผลเอ็กซเรย์ก็ไม่พบว่ามีอาการบาดเจ็บภายใน
มีเพียงรอยฟกช้ำดำเขียวตามคอและแขน
โจอาคิมไม่เห็นงูอนาคอนดาตัวอื่นอีกนับแต่การโจมตีครั้งนั้น แม้เขาบอกว่ามีหลายครั้ง
ที่วัวของเขาไม่ยอมดื่มน้ำที่ลำธาร อาจเป็นเพราะวัวเห็นผู้มาเยือนที่มีอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้
ช่วงวันหยุดเทศกาล หลานๆ กลับไปที่ไร่เช่นเคย โจอาคิมบอกว่าเรื่องสยองขวัญเมื่อบ่าย
วันนั้นทำให้เขารู้สึกรักครอบครัวมากขึ้น สำหรับมาทีอัส แผลเป็นเริ่มจางลงเช่นเดียวกับแผล
ทางใจ เขายังคงใจจดจ่อรอคอยจะได้ไปเที่ยวไร่ของปู่ แม้ว่าทั้งเขาและคนอื่นในครอบครัวจะ
ไม่ลงเล่นน้ำในหนองน้ำนั้นอีก นับแต่วันนั้น โจอาคิมจะถือมีดทุกครั้งที่ไปลำธารและมาทีอัส
ก็ยังแวะไปที่หนองน้ำนั้น
***************************
จบบริบูรณ์
……………แท็กซี่ นักสังคมสงเคราะห์ มีทั้งหมด ( 4 )ตอนจบ……………
แท็กซี่ นักสังคมสงเคราะห์ ตอนที่ ( 1 )
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547
และจากกูเกิล http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
หญิงสูงอายุโบกมือเรียกแท็กซี่ย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นแรงงานในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
“ไปไหนครับ” คนขับหนวดครึ้มถาม
เธอเอ่ยชื่อคลินิกซึ่งอยู่ไกลออกไป
“ขับ 20 นาทีก็ถึงครับ” เขาบอก
เมื่อก้าวขึ้นนั่งเรียบร้อย เธอสังเกตเห็นรูปถ่ายหลายใบในซองพลาสติกที่แปะติดไว้กับเบาะหลัง
หนึ่งในนั้นเป็นรูปคนขับรถคันนั้นเอง เป็นชายร่างใหญ่ หนวดเคราดก ผมสีน้ำตาลสั้นเกรียน ล้อมรอบ
ด้วยเด็กๆ ชาวแอฟริกันถือข้าวของต่างๆ นานาในมือซึ่งมีทั้งเสื้อเชิ้ต กระโปรง เสื้อกันหนาว และรองเท้า
อีกรูปเป็นผู้ชายคนเดิมกำลังยื่นกล่องยาให้คนพื้นเมืองในเม็กซิโก รูปที่สาม เป็นรูปเขาคุกเข่าอยู่ตรง
คันโยกน้ำและมีกระท่อมดินโคลนอยู่ห่างไปเล็กน้อย
“ทั้งหมดนี่รูปคุณหรือ” ผู้โดยสารถาม
“ใช่ครับ” คนขับแท็กซี่ตอบ
“แล้วคุณไปทำอะไรตามสถานที่เหล่านั้น” เธอซักต่อ
“ผมเอาเสื้อผ้าไปให้คนไร้ที่อยู่ในแอฟริกาใต้ เอายาไปแจกที่เม็กซิโก และวางท่อน้ำใหม่ให้
โรงเรียนอนุบาลที่ผมกำลังสร้างในหมู่บ้านๆ ที่แอฟริกา” เขาอธิบาย และ “ถ้าคุณสนใจ ลองอ่านบทความ
เกี่ยวกับตัวผมและองค์กร “Helfen Wir” (เราช่วยกัน) ที่ผมก่อตั้งขึ้นได้ครับ” คนขับแท็กซี่เล่าพลางยื่น
สมุดบันทึกสีดำเล่มโตให้
เธอค่อยๆ พลิกอ่านข่าวที่ตัดแปะไว้ทีละหน้าด้วยความสนใจ ชายผู้นี้ชื่อ ‘ฮันเนส เออร์บัน’
(Hannes Urban) ขณะที่อ่านก็รู้สึกทึ่งและอยากรู้มากขึ้นว่า ชายผู้นี้จะเที่ยวออกช่วยเหลือคนไปทั่วโลก
ตามลำพังได้อย่างไร ที่สุดก็เอ่ยออกมาดังๆ ด้วยความสงสัยว่า “งานพวกนี้เป็นงานระดับกาชาดสากลเชียวนะ”
“ใช่ครับ ไม่น่าจะทำได้ แต่ก็ทำได้ครับ” เขาตอบ “องค์กรนี้มีผมคนเดียว ผมเอาของบริจาคทั้งหมดไป
ส่งถึงที่ด้วยตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่า ถึงมือคนที่ขัดสนจริงๆ ผมทำอย่างนี้คนบริจาคจึงไว้วางใจผม”
เมื่อถึงที่หมาย หญิงผู้โดยสารดึงธนบัตร 2 ใบออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
“โชคดีนะจ๊ะ” เธอกล่าวก่อนลงจากรถ
“100 ชิลลิง” (ราว 250 บาท—ชิลลิงเป็นสกุลเงินออสเตรียก่อนเปลี่ยนเป็นยูโรในปี 2545)
ฮันเนสพูดกับตัวเองและเข้าใจดีว่า เงินที่ได้รับบริจาคนี้เป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับเธอ อาจถึง 1 ใน 3
ของเงินบำนาญต่อวันที่เธอได้รับ “คนจนมักช่วยคนจนด้วยกันอย่างนี้แหละ”
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แท็กซี่ นักสังคมสงเคราะห์ ตอนที่ ( 1 )
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547
และจากกูเกิล http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
หญิงสูงอายุโบกมือเรียกแท็กซี่ย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นแรงงานในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
“ไปไหนครับ” คนขับหนวดครึ้มถาม
เธอเอ่ยชื่อคลินิกซึ่งอยู่ไกลออกไป
“ขับ 20 นาทีก็ถึงครับ” เขาบอก
เมื่อก้าวขึ้นนั่งเรียบร้อย เธอสังเกตเห็นรูปถ่ายหลายใบในซองพลาสติกที่แปะติดไว้กับเบาะหลัง
หนึ่งในนั้นเป็นรูปคนขับรถคันนั้นเอง เป็นชายร่างใหญ่ หนวดเคราดก ผมสีน้ำตาลสั้นเกรียน ล้อมรอบ
ด้วยเด็กๆ ชาวแอฟริกันถือข้าวของต่างๆ นานาในมือซึ่งมีทั้งเสื้อเชิ้ต กระโปรง เสื้อกันหนาว และรองเท้า
อีกรูปเป็นผู้ชายคนเดิมกำลังยื่นกล่องยาให้คนพื้นเมืองในเม็กซิโก รูปที่สาม เป็นรูปเขาคุกเข่าอยู่ตรง
คันโยกน้ำและมีกระท่อมดินโคลนอยู่ห่างไปเล็กน้อย
“ทั้งหมดนี่รูปคุณหรือ” ผู้โดยสารถาม
“ใช่ครับ” คนขับแท็กซี่ตอบ
“แล้วคุณไปทำอะไรตามสถานที่เหล่านั้น” เธอซักต่อ
“ผมเอาเสื้อผ้าไปให้คนไร้ที่อยู่ในแอฟริกาใต้ เอายาไปแจกที่เม็กซิโก และวางท่อน้ำใหม่ให้
โรงเรียนอนุบาลที่ผมกำลังสร้างในหมู่บ้านๆ ที่แอฟริกา” เขาอธิบาย และ “ถ้าคุณสนใจ ลองอ่านบทความ
เกี่ยวกับตัวผมและองค์กร “Helfen Wir” (เราช่วยกัน) ที่ผมก่อตั้งขึ้นได้ครับ” คนขับแท็กซี่เล่าพลางยื่น
สมุดบันทึกสีดำเล่มโตให้
เธอค่อยๆ พลิกอ่านข่าวที่ตัดแปะไว้ทีละหน้าด้วยความสนใจ ชายผู้นี้ชื่อ ‘ฮันเนส เออร์บัน’
(Hannes Urban) ขณะที่อ่านก็รู้สึกทึ่งและอยากรู้มากขึ้นว่า ชายผู้นี้จะเที่ยวออกช่วยเหลือคนไปทั่วโลก
ตามลำพังได้อย่างไร ที่สุดก็เอ่ยออกมาดังๆ ด้วยความสงสัยว่า “งานพวกนี้เป็นงานระดับกาชาดสากลเชียวนะ”
“ใช่ครับ ไม่น่าจะทำได้ แต่ก็ทำได้ครับ” เขาตอบ “องค์กรนี้มีผมคนเดียว ผมเอาของบริจาคทั้งหมดไป
ส่งถึงที่ด้วยตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่า ถึงมือคนที่ขัดสนจริงๆ ผมทำอย่างนี้คนบริจาคจึงไว้วางใจผม”
เมื่อถึงที่หมาย หญิงผู้โดยสารดึงธนบัตร 2 ใบออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
“โชคดีนะจ๊ะ” เธอกล่าวก่อนลงจากรถ
“100 ชิลลิง” (ราว 250 บาท—ชิลลิงเป็นสกุลเงินออสเตรียก่อนเปลี่ยนเป็นยูโรในปี 2545)
ฮันเนสพูดกับตัวเองและเข้าใจดีว่า เงินที่ได้รับบริจาคนี้เป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับเธอ อาจถึง 1 ใน 3
ของเงินบำนาญต่อวันที่เธอได้รับ “คนจนมักช่วยคนจนด้วยกันอย่างนี้แหละ”
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แท็กซี่ นักสังคมสงเคราะห์ ตอนที่ ( 2 )
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และจากกูเกิล
http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฮันเนสเป็นคนชั้นแรงงานติดดินที่ออกจะขวางโลก เขาเริ่มโครงการรณรงค์ให้ความช่วยเหลือ
ด้วยตนเองเมื่อ 4 ปีก่อน และใช้เวลาปีละ 3 เดือนเดินทางออกนอกประเทศไปช่วยเหลือผู้คน พอกลับ
ถึงกรุงเวียนนาก็ขับแท็กซี่ตามเดิมพร้อมกับขอความร่วมมือจากผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังชักชวนให้
ร่วมบริจาคยาราคาแพงนับร้อยๆ กล่อง รวมทั้งขอให้บริษัทรับส่งสินค้าและสายการบินช่วยส่งยา
เสื้อผ้า และสิ่งของบริจาคอื่นๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านงานสังคมสงเคราะห์และไม่มีหน่วยงานใดสนับสนุน คนขับแท็กซี่
วัย 46 ขณะที่เขียนเรื่องนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนเพียงคนเดียวที่มีความมุ่งมั่นก็สามารถสร้าง
ความเปลี่ยนแปลงให้ผู้ยากไร้ได้
6 สัปดาห์หลังจากรับหญิงสูงวัยคนนั้น ผู้เขียนเรื่องนี้ได้ติดตามเขาไปยังโรงพยาบาลเด็กในเขต
ยากจนแห่งหนึ่งของกรุงเม็กซิโกซิตี้ และเห็นแม่วัยรุ่นคนหนึ่งกำลังอุ้มกล่อมลูกชายวัย 6 เดือนด้วย
สีหน้าเป็นกังวล
นายแพพย์ ‘ฮวน โรเมโร’ (Juan Romero) ตรวจทารกและบอกผู้เป็นแม่คนนั้นว่า ลูกชายติดเชื้อ
ที่หลอดลมเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็ส่งยาให้กล่องหนึ่งโดยไม่คิดเงิน เธอส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อว่า
หมอจะจ่ายยาให้ฟรี ฮันเนสมองดูพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ยาพวกนี้เป็นของบริจาคเพียงส่วนหนึ่งที่เขา
นำไปให้ ถึงตอนนั้น เขาแจกยาให้กับผู้ป่วยชาวเมืองเม็กซิกันยากจนไปแล้วกว่า 10,000 ราย
“ก่อนหน้านี้ เราต้องสั่งยาที่รู้ดีว่าคนไข้ไม่มีปัญญาซื้อ” หมอโรเมโรบอก เขาเป็นแพทย์อาสาที่อุทิศ
เวลาวันละ 3 ชั่วโมงรักษาคนไข้ยากจน “ตอนนี้ ผมจ่ายยาฟรีที่ฮันเนสนำมาให้”
การขับแท็กซี่กลายเป็นช่องทางเกื้อหนุนให้ฮันเนสทำความดี “แท็กซี่เป็นศูนย์บัญชาการของผม”
เขาบอก
“เมื่อปีที่แล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกกระดาษ เขาประทับใจในความเสียสละ
ของผม จึงช่วยออกค่าใช้จ่ายกว่า 200,000 บาทเพื่อขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปยังซูดาน”
ฮันเนสบริหารองค์กรที่ก่อตั้งด้วยทุนทรัพย์เพียงน้อยนิดแห่งนี้ โดยใช้คอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วที่
สอดเก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้ารถแท็กซี่ และมีมุมทำงานเล็กๆ ในครัวที่บ้านไร่ของน้องชายซึ่งอยู่นอก
กรุงเวียนนา ขณะที่เขียนเรื่องนี้ องค์กร “เราช่วยกัน” สามารถรวบรวมเงินบริจาค ยา และอุปกรณ์ก
ารแพทย์ รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท ฮันเนสจัดการแทบทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยมีน้องสะใภ้
ช่วยตรวจสอบยาและสิ่งของบริจาคอื่นๆ ที่เก็บไว้ในโกดัง ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
อาสาสมัครคนอื่นช่วยกันทำเว็บไซต์ภาษาเยอรมัน
http://www.wir-helfen.org http://helfen-wir.org และแปลเป็นภาษาต่างๆ 5 ภาษา
ได้แก่ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน, เดนมาร์ก และ ฮังการี
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และจากกูเกิล
http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฮันเนสเป็นคนชั้นแรงงานติดดินที่ออกจะขวางโลก เขาเริ่มโครงการรณรงค์ให้ความช่วยเหลือ
ด้วยตนเองเมื่อ 4 ปีก่อน และใช้เวลาปีละ 3 เดือนเดินทางออกนอกประเทศไปช่วยเหลือผู้คน พอกลับ
ถึงกรุงเวียนนาก็ขับแท็กซี่ตามเดิมพร้อมกับขอความร่วมมือจากผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังชักชวนให้
ร่วมบริจาคยาราคาแพงนับร้อยๆ กล่อง รวมทั้งขอให้บริษัทรับส่งสินค้าและสายการบินช่วยส่งยา
เสื้อผ้า และสิ่งของบริจาคอื่นๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านงานสังคมสงเคราะห์และไม่มีหน่วยงานใดสนับสนุน คนขับแท็กซี่
วัย 46 ขณะที่เขียนเรื่องนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนเพียงคนเดียวที่มีความมุ่งมั่นก็สามารถสร้าง
ความเปลี่ยนแปลงให้ผู้ยากไร้ได้
6 สัปดาห์หลังจากรับหญิงสูงวัยคนนั้น ผู้เขียนเรื่องนี้ได้ติดตามเขาไปยังโรงพยาบาลเด็กในเขต
ยากจนแห่งหนึ่งของกรุงเม็กซิโกซิตี้ และเห็นแม่วัยรุ่นคนหนึ่งกำลังอุ้มกล่อมลูกชายวัย 6 เดือนด้วย
สีหน้าเป็นกังวล
นายแพพย์ ‘ฮวน โรเมโร’ (Juan Romero) ตรวจทารกและบอกผู้เป็นแม่คนนั้นว่า ลูกชายติดเชื้อ
ที่หลอดลมเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็ส่งยาให้กล่องหนึ่งโดยไม่คิดเงิน เธอส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อว่า
หมอจะจ่ายยาให้ฟรี ฮันเนสมองดูพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ยาพวกนี้เป็นของบริจาคเพียงส่วนหนึ่งที่เขา
นำไปให้ ถึงตอนนั้น เขาแจกยาให้กับผู้ป่วยชาวเมืองเม็กซิกันยากจนไปแล้วกว่า 10,000 ราย
“ก่อนหน้านี้ เราต้องสั่งยาที่รู้ดีว่าคนไข้ไม่มีปัญญาซื้อ” หมอโรเมโรบอก เขาเป็นแพทย์อาสาที่อุทิศ
เวลาวันละ 3 ชั่วโมงรักษาคนไข้ยากจน “ตอนนี้ ผมจ่ายยาฟรีที่ฮันเนสนำมาให้”
การขับแท็กซี่กลายเป็นช่องทางเกื้อหนุนให้ฮันเนสทำความดี “แท็กซี่เป็นศูนย์บัญชาการของผม”
เขาบอก
“เมื่อปีที่แล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกกระดาษ เขาประทับใจในความเสียสละ
ของผม จึงช่วยออกค่าใช้จ่ายกว่า 200,000 บาทเพื่อขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปยังซูดาน”
ฮันเนสบริหารองค์กรที่ก่อตั้งด้วยทุนทรัพย์เพียงน้อยนิดแห่งนี้ โดยใช้คอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วที่
สอดเก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้ารถแท็กซี่ และมีมุมทำงานเล็กๆ ในครัวที่บ้านไร่ของน้องชายซึ่งอยู่นอก
กรุงเวียนนา ขณะที่เขียนเรื่องนี้ องค์กร “เราช่วยกัน” สามารถรวบรวมเงินบริจาค ยา และอุปกรณ์ก
ารแพทย์ รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท ฮันเนสจัดการแทบทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยมีน้องสะใภ้
ช่วยตรวจสอบยาและสิ่งของบริจาคอื่นๆ ที่เก็บไว้ในโกดัง ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
อาสาสมัครคนอื่นช่วยกันทำเว็บไซต์ภาษาเยอรมัน
http://www.wir-helfen.org http://helfen-wir.org และแปลเป็นภาษาต่างๆ 5 ภาษา
ได้แก่ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน, เดนมาร์ก และ ฮังการี
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
แท็กซี่ นักสังคมสงเคราะห์ ตอนที่ ( 3 )
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และจากกูเกิล
http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฮันเนสเป็นลูกชาวไร่ยากจนและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหนีจากชีวิตลำเค็ญในครอบครัวให้ได้
ตอนวัยรุ่นพอเรียนจบก็ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงแล้วเข้าเรียนมัธยมปลายด้านธุรกิจ
พออายุ 19 ปี ฮันเนสรับใช้ชาติในกองทัพออสเตรียนาน 8 เดือน จากนั้นได้ทำงานในกอง
กำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติในซีเรีย นับเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางออกนอกประเทศ
พอกลับถึงกรุงเวียนนา ฮันเนสยึดอาชีพขับแท็กซี่และมีลูกสาว 2 คน หลังหย่ากับภรรยาที่อยู่
กินกันมา 7 ปี น้องชายของเขามาที่บ้านเพื่อบอกให้ทราบว่า เขาเห็นภาพนิมิตของพระเจ้าซึ่งทรง
เลือกฮันเนสเป็นผู้ช่วยเหลือคนยากไร้และเจ็บป่วย
ทีแรกฮันเนสหัวเราะเยาะ แต่น้องชายไม่ละความพยายาม ครั้งฟังน้องชายไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่ม
รู้สึกว่าจิตใจเปลี่ยนไปอย่างประหลาด จึงบอกน้องชายในภายหลังว่า พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นหาก
พระเจ้าประสงค์เช่นนั้น
อย่างไรก็ดี ผู้ชี้ทางให้ฮันเนสทำงานการกุศลอย่างจริงจังคือเอลิซาเบธ เมิร์ต (Elizabeth Mirt)
ช่างตัดผมของเขา หลังกลับจากท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ครั้งแรกในปี 2541 ฮันเนสเล่าให้เอลิซาเบธฟังว่า
เห็นคนไร้ที่อยู่และเด็กยากจนที่ไม่มีแม้แต่เงินซื้อเสื้อผ้าไปโรงเรียน จึงอยากช่วยคนเหล่านั้นแต่ไม่รู้ว่า
จะต้องทำอย่างไร เอลิซาเบธเสนอจะบริจาคเสื้อผ้าให้หากเขานำไปมอบด้วยตัวเอง
“ตอนนั้นผมบอกว่าดีแล้ว แต่ในใจคิดว่าคงไม่ขนไปหรอก เพราะไม่รู้จะขนไปได้อย่างไร” เขานึกย้อน
ทว่าหลายวันต่อมา ของบริจาคหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อเขาพูดกับเพื่อนๆ ตามร้านกาแฟ
แถวบ้าน ทุกคนก็หยิบยื่นน้ำใจให้เช่นเดียวกัน ในที่สุดมีผู้บริจาคเสื้อผ้าให้มากถึง 130 กิโลกรัม
แล้วเขาจะขนไปได้อย่างไร
เขาบังเอิญรับผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นตัวแทนสายการบิน หลังเล่าปัญหาให้ฟัง ผู้โดยสาร
คนนั้นรับปากจะช่วยส่งของให้โดยไม่คิดเงิน พอไปถึงแอฟริกาใต้ ฮันเนสเปิดกล่องเสื้อผ้าแจกให้คน
ไร้ที่อยู่ซึ่งมีองค์กรคาทอลิกเพื่อการกุศลคอยดูแล
โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และจากกูเกิล
http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฮันเนสเป็นลูกชาวไร่ยากจนและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหนีจากชีวิตลำเค็ญในครอบครัวให้ได้
ตอนวัยรุ่นพอเรียนจบก็ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงแล้วเข้าเรียนมัธยมปลายด้านธุรกิจ
พออายุ 19 ปี ฮันเนสรับใช้ชาติในกองทัพออสเตรียนาน 8 เดือน จากนั้นได้ทำงานในกอง
กำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติในซีเรีย นับเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางออกนอกประเทศ
พอกลับถึงกรุงเวียนนา ฮันเนสยึดอาชีพขับแท็กซี่และมีลูกสาว 2 คน หลังหย่ากับภรรยาที่อยู่
กินกันมา 7 ปี น้องชายของเขามาที่บ้านเพื่อบอกให้ทราบว่า เขาเห็นภาพนิมิตของพระเจ้าซึ่งทรง
เลือกฮันเนสเป็นผู้ช่วยเหลือคนยากไร้และเจ็บป่วย
ทีแรกฮันเนสหัวเราะเยาะ แต่น้องชายไม่ละความพยายาม ครั้งฟังน้องชายไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่ม
รู้สึกว่าจิตใจเปลี่ยนไปอย่างประหลาด จึงบอกน้องชายในภายหลังว่า พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นหาก
พระเจ้าประสงค์เช่นนั้น
อย่างไรก็ดี ผู้ชี้ทางให้ฮันเนสทำงานการกุศลอย่างจริงจังคือเอลิซาเบธ เมิร์ต (Elizabeth Mirt)
ช่างตัดผมของเขา หลังกลับจากท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ครั้งแรกในปี 2541 ฮันเนสเล่าให้เอลิซาเบธฟังว่า
เห็นคนไร้ที่อยู่และเด็กยากจนที่ไม่มีแม้แต่เงินซื้อเสื้อผ้าไปโรงเรียน จึงอยากช่วยคนเหล่านั้นแต่ไม่รู้ว่า
จะต้องทำอย่างไร เอลิซาเบธเสนอจะบริจาคเสื้อผ้าให้หากเขานำไปมอบด้วยตัวเอง
“ตอนนั้นผมบอกว่าดีแล้ว แต่ในใจคิดว่าคงไม่ขนไปหรอก เพราะไม่รู้จะขนไปได้อย่างไร” เขานึกย้อน
ทว่าหลายวันต่อมา ของบริจาคหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อเขาพูดกับเพื่อนๆ ตามร้านกาแฟ
แถวบ้าน ทุกคนก็หยิบยื่นน้ำใจให้เช่นเดียวกัน ในที่สุดมีผู้บริจาคเสื้อผ้าให้มากถึง 130 กิโลกรัม
แล้วเขาจะขนไปได้อย่างไร
เขาบังเอิญรับผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นตัวแทนสายการบิน หลังเล่าปัญหาให้ฟัง ผู้โดยสาร
คนนั้นรับปากจะช่วยส่งของให้โดยไม่คิดเงิน พอไปถึงแอฟริกาใต้ ฮันเนสเปิดกล่องเสื้อผ้าแจกให้คน
ไร้ที่อยู่ซึ่งมีองค์กรคาทอลิกเพื่อการกุศลคอยดูแล
โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
แท็กซี่ นักสังคมสงเคราะห์ ตอนที่ ( 4 ) (ตอนจบ)
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และจากกูเกิล
http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ที่แอฟริกา ฮันเนสได้พบกับ ‘โทเบกา’ซึ่งมุ่งมั่นอยากช่วยเหลือคนด้อยโอกาสเช่นกัน
โทเบกาพยายามสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กซึ่งมีสภาพเป็นกระท่อมในหมู่บ้านห่างไกลความเจริญ
ที่ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา ฮันเนสให้สัญญากับเธอว่าจะกลับมาพร้อมรองเท้า เสื้อผ้า ของเล่น
หนังสือ และทุนสำหรับสร้างโรงเรียนใหม่
เดือนเมษายน 2542 ฮันเนสทำตามสัญญา ลูกบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านราว 500 คนมาร่วมฟังใน
ที่ประชุมกลางแจ้ง โทเบกาถ่ายทอดคำพูดของฮันเนสว่า แม้เขาจะเป็นคนขับแท็กซี่ผู้ต่ำต้อย
แต่รู้ดีว่าการศึกษาทำให้ชีวิตคนเราดีขึ้น
“การเอาเสื้อผ้ามาแจกเป็นเพียงความช่วยเหลือเฉพาะหน้า” ฮันเนสกล่าว “แต่ถ้าอยากเปลี่ยนแปลง
หมู่บ้านหรือประเทศ เราต้องทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า การศึกษามีความสำคัญไม่แพ้การมีเสื้อผ้าใส่และ
มีข้าวกิน”
ไม่นานอาคารเรียนก็สร้างเสร็จไปกว่าครึ่งหลัง จากนั้นมีท่อน้ำต่อมาจากเขตที่อยู่ห่างไปเกือบ
90 กิโลเมตรและรับนักเรียนได้ 40 คนในปี 2545
หลังจากนั้นไม่นาน ฮันเนส หมอโรเมโร และอาสาสมัครด้านการแพทย์ไปรวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง
ในเม็กซิโกซิตี้ ฮันเนสง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อค่ำสำหรับ 6 คน ปากก็เล่าแผนการคร่าวๆ ว่า
อยากเปิดคลินิกเคลื่อนที่ให้คนพื้นเมืองยากจนเผ่าซาโปเทกซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้
400 กิโลเมตร
“ฮันเนส คุณเคยห่วงบ้างไหมว่าตัวเองชักจะผอมเกินไปแล้ว” หมอโรเมโรล้อเล่น
คนขับแท็กซี่ฉีกยิ้มและตอบว่า “ผมจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ตราบใดที่ผู้คนยังเชื่อในตัวผม
และสิ่งที่ผมทำ ผมจะหยุดได้ยังไง”
หมายเหตุ : องค์กร “”Wir Helfen” (เราช่วยกัน) ก่อตั้งโดย Mr. Hannes Urban
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2000 โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและยากจนที่สุด
ในโลกของเรา การให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ลี้ภัยในซูดานใต้และยูกันดาตอนเหนือ
ประชากรในท้องถิ่นในเขต Kajo Keji (พื้นที่ชายแดนติดกับยูกันดา) ยากจนข้นแค้น แต่ไม่มี
ความช่วยเหลือจากนานาชาติ องค์กรเดียวในไซต์งานคือ “Helfen Wir!” นำโดย Hannes Urban
จากออสเตรีย ซึ่งกำลังสร้างวิทยาลัยเกษตรกรรมและโรงพยาบาลที่นั่น
…………จบ………………
***************************
โดย ริชาร์ด โควิงทัน จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และจากกูเกิล
http://helfen-wir.org/ 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ที่แอฟริกา ฮันเนสได้พบกับ ‘โทเบกา’ซึ่งมุ่งมั่นอยากช่วยเหลือคนด้อยโอกาสเช่นกัน
โทเบกาพยายามสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กซึ่งมีสภาพเป็นกระท่อมในหมู่บ้านห่างไกลความเจริญ
ที่ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา ฮันเนสให้สัญญากับเธอว่าจะกลับมาพร้อมรองเท้า เสื้อผ้า ของเล่น
หนังสือ และทุนสำหรับสร้างโรงเรียนใหม่
เดือนเมษายน 2542 ฮันเนสทำตามสัญญา ลูกบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านราว 500 คนมาร่วมฟังใน
ที่ประชุมกลางแจ้ง โทเบกาถ่ายทอดคำพูดของฮันเนสว่า แม้เขาจะเป็นคนขับแท็กซี่ผู้ต่ำต้อย
แต่รู้ดีว่าการศึกษาทำให้ชีวิตคนเราดีขึ้น
“การเอาเสื้อผ้ามาแจกเป็นเพียงความช่วยเหลือเฉพาะหน้า” ฮันเนสกล่าว “แต่ถ้าอยากเปลี่ยนแปลง
หมู่บ้านหรือประเทศ เราต้องทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า การศึกษามีความสำคัญไม่แพ้การมีเสื้อผ้าใส่และ
มีข้าวกิน”
ไม่นานอาคารเรียนก็สร้างเสร็จไปกว่าครึ่งหลัง จากนั้นมีท่อน้ำต่อมาจากเขตที่อยู่ห่างไปเกือบ
90 กิโลเมตรและรับนักเรียนได้ 40 คนในปี 2545
หลังจากนั้นไม่นาน ฮันเนส หมอโรเมโร และอาสาสมัครด้านการแพทย์ไปรวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง
ในเม็กซิโกซิตี้ ฮันเนสง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อค่ำสำหรับ 6 คน ปากก็เล่าแผนการคร่าวๆ ว่า
อยากเปิดคลินิกเคลื่อนที่ให้คนพื้นเมืองยากจนเผ่าซาโปเทกซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้
400 กิโลเมตร
“ฮันเนส คุณเคยห่วงบ้างไหมว่าตัวเองชักจะผอมเกินไปแล้ว” หมอโรเมโรล้อเล่น
คนขับแท็กซี่ฉีกยิ้มและตอบว่า “ผมจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ตราบใดที่ผู้คนยังเชื่อในตัวผม
และสิ่งที่ผมทำ ผมจะหยุดได้ยังไง”
หมายเหตุ : องค์กร “”Wir Helfen” (เราช่วยกัน) ก่อตั้งโดย Mr. Hannes Urban
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2000 โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและยากจนที่สุด
ในโลกของเรา การให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ลี้ภัยในซูดานใต้และยูกันดาตอนเหนือ
ประชากรในท้องถิ่นในเขต Kajo Keji (พื้นที่ชายแดนติดกับยูกันดา) ยากจนข้นแค้น แต่ไม่มี
ความช่วยเหลือจากนานาชาติ องค์กรเดียวในไซต์งานคือ “Helfen Wir!” นำโดย Hannes Urban
จากออสเตรีย ซึ่งกำลังสร้างวิทยาลัยเกษตรกรรมและโรงพยาบาลที่นั่น
…………จบ………………
***************************
นางฟ้าถนนนานจิง มีทั้งหมด ( 3 )ตอนจบ
นางฟ้าถนนนานจิง ตอนที่ ( 1 )
โดย ลี ลิปิง จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฉันพบกับลีชวงตอนไปทำงานช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่บริษัทแห่งหนึ่งบนถนนนางจิง
ในกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ตอนนั้นฉันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เพราะพี่ชายเพิ่งแต่งงานและ
ฉันเข้ากับพี่สะใภ้ไม่ได้ เด็กในวัยมัธยมปลายอย่างฉันเห็นความทุกข์ของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่
อยู่แล้ว ฉันจึงไปทำงานทุกวันด้วยสีหน้าเศร้าหมองราวกับโลกจะแตก
ตรงข้ามกับลีชวงซึ่งยิ้มแย้มเสมอ รอยยิ้มบวกลักยิ้มบุ๋มทั้งสองข้างทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้า
ที่ไม่มีเรื่องต้องกังวล งานของเราคือเลือกสินค้าตัวอย่างและส่งจดหมาย บริษัทของเรามีห้อง
แสดงสินค้าขนาดใหญ่และมักจะมีเราเพียงสองคนอยู่ที่นั่น เวลาหัวหน้าไม่อยู่ ฉันชอบไปหาที่
เงียบๆ แอบงีบโดยจะแขวนกระดิ่งไว้หน้าประตูกันถูกจับได้ พอกระดิ่งดัง ฉันก็จะรีบรวบรวมสติ
แกล้งทำเป็น ง่วนอยู่กับงาน แต่บางครั้งลีชวงต้องคอยปลุกให้ตื่นหากฉันหลับสนิทจนไม่ได้ยิน
เสียงกระดิ่ง เธอตั้งใจทำงานมากและไม่เคยเถลไถลอย่างฉันเลย
ลีชวงเป็นคนเงียบ จะมีก็แต่เสียงฮัมเพลงบ้าง เธอแก่กว่าฉันแต่ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีแม้ฉัน
จะบ่นซ้ำซากอยู่ไม่กี่เรื่อง เช่น พี่สะใภ้ทารุณฉัน และฉันคงจะมีชีวิตที่ดีขึ้นถ้าไม่ได้เกิดในครอบครัวนี้
ทุกครั้งที่ลีชวงพยายามให้คำแนะนำ ฉันก็จะบอกว่า “เธอไม่เข้าใจหรอก เธอไม่ได้เกิดมา
ในครอบครัวของฉันนี่”
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
นางฟ้าถนนนานจิง ตอนที่ ( 1 )
โดย ลี ลิปิง จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฉันพบกับลีชวงตอนไปทำงานช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่บริษัทแห่งหนึ่งบนถนนนางจิง
ในกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ตอนนั้นฉันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เพราะพี่ชายเพิ่งแต่งงานและ
ฉันเข้ากับพี่สะใภ้ไม่ได้ เด็กในวัยมัธยมปลายอย่างฉันเห็นความทุกข์ของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่
อยู่แล้ว ฉันจึงไปทำงานทุกวันด้วยสีหน้าเศร้าหมองราวกับโลกจะแตก
ตรงข้ามกับลีชวงซึ่งยิ้มแย้มเสมอ รอยยิ้มบวกลักยิ้มบุ๋มทั้งสองข้างทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้า
ที่ไม่มีเรื่องต้องกังวล งานของเราคือเลือกสินค้าตัวอย่างและส่งจดหมาย บริษัทของเรามีห้อง
แสดงสินค้าขนาดใหญ่และมักจะมีเราเพียงสองคนอยู่ที่นั่น เวลาหัวหน้าไม่อยู่ ฉันชอบไปหาที่
เงียบๆ แอบงีบโดยจะแขวนกระดิ่งไว้หน้าประตูกันถูกจับได้ พอกระดิ่งดัง ฉันก็จะรีบรวบรวมสติ
แกล้งทำเป็น ง่วนอยู่กับงาน แต่บางครั้งลีชวงต้องคอยปลุกให้ตื่นหากฉันหลับสนิทจนไม่ได้ยิน
เสียงกระดิ่ง เธอตั้งใจทำงานมากและไม่เคยเถลไถลอย่างฉันเลย
ลีชวงเป็นคนเงียบ จะมีก็แต่เสียงฮัมเพลงบ้าง เธอแก่กว่าฉันแต่ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีแม้ฉัน
จะบ่นซ้ำซากอยู่ไม่กี่เรื่อง เช่น พี่สะใภ้ทารุณฉัน และฉันคงจะมีชีวิตที่ดีขึ้นถ้าไม่ได้เกิดในครอบครัวนี้
ทุกครั้งที่ลีชวงพยายามให้คำแนะนำ ฉันก็จะบอกว่า “เธอไม่เข้าใจหรอก เธอไม่ได้เกิดมา
ในครอบครัวของฉันนี่”
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
นางฟ้าถนนนานจิง ตอนที่ ( 2 )
โดย ลี ลิปิง จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันหนึ่ง เมื่อเกิดมีปากเสียงกับคนในครอบครัว ฉันตัดสินใจ “หนีออกจากบ้าน” เพื่อแสดง
ให้เห็นว่าโกรธ ฉันเก็บข้าวของ 2-3 อย่างลงกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปทำงาน ฉันถามลีชวงว่า
จะขอไป “ลี้ภัยชั่วคราว” ที่บ้านเธอได้ไหม ลีชวงยิ้มและตอบว่า “ได้สิ แต่บ้านเราเล็กนะ
ถ้าเธอไม่รังเกียจ” ฉันรีบยืนยันว่าไม่รังเกียจแน่นอน
หลังเลิกงาน “สาวน้อยผู้น่าสงสาร” อย่างฉันก็ขึ้นรถประจำทางไปกับเธอ พลางคิดคำพูดที่
จะตอบคำถามพ่อแม่ของลีชวงไว้ และสัญญากับตัวเองว่าจะชื่นชมกับความอบอุ่นในครอบครัว
อย่างที่ไม่เคยได้รับที่บ้านของตัวเอง
เรานั่งรถประจำทางนานมากไปถึงสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง แล้วเดินประมาณ 15 นาทีเพื่อไป
ต่อรถประจำทางอีกคัน จากนั้นก็เดินไปตามทางบนภูเขาอีก 15 นาที กว่าจะถึงบ้านของลีชวงก็
เลย 2 ทุ่มไปแล้ว
บ้านของลีชวงดัดแปลงมาจากหอพักของพวกคนงานเหมืองแร่ มี 7-8 ครอบคัวอาศัยอยู่
ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ละครอบครัวอยู่ในห้องเล็กๆ ของตนเอง แต่ต้องใช้ห้องครัวกับห้องน้ำ
ร่วมกัน ห้องที่ครอบครัวของลีชวงอยู่มีขนาดพอๆ กับห้องน้ำที่บ้านฉัน เธอกับย่าต้องนอนใน
เตียงเล็กด้วยกัน ลีชวงเล่าว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัว พ่อที่รับเธอเป็นลูกบุญธรรม
ก็เคยเป็นคนงานเหมืองแร่ แต่ต่อมาเร่ร่อนไปหางานทำที่อื่นและนานๆ จึงจะกลับบ้านสักครั้ง
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
โดย ลี ลิปิง จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันหนึ่ง เมื่อเกิดมีปากเสียงกับคนในครอบครัว ฉันตัดสินใจ “หนีออกจากบ้าน” เพื่อแสดง
ให้เห็นว่าโกรธ ฉันเก็บข้าวของ 2-3 อย่างลงกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปทำงาน ฉันถามลีชวงว่า
จะขอไป “ลี้ภัยชั่วคราว” ที่บ้านเธอได้ไหม ลีชวงยิ้มและตอบว่า “ได้สิ แต่บ้านเราเล็กนะ
ถ้าเธอไม่รังเกียจ” ฉันรีบยืนยันว่าไม่รังเกียจแน่นอน
หลังเลิกงาน “สาวน้อยผู้น่าสงสาร” อย่างฉันก็ขึ้นรถประจำทางไปกับเธอ พลางคิดคำพูดที่
จะตอบคำถามพ่อแม่ของลีชวงไว้ และสัญญากับตัวเองว่าจะชื่นชมกับความอบอุ่นในครอบครัว
อย่างที่ไม่เคยได้รับที่บ้านของตัวเอง
เรานั่งรถประจำทางนานมากไปถึงสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง แล้วเดินประมาณ 15 นาทีเพื่อไป
ต่อรถประจำทางอีกคัน จากนั้นก็เดินไปตามทางบนภูเขาอีก 15 นาที กว่าจะถึงบ้านของลีชวงก็
เลย 2 ทุ่มไปแล้ว
บ้านของลีชวงดัดแปลงมาจากหอพักของพวกคนงานเหมืองแร่ มี 7-8 ครอบคัวอาศัยอยู่
ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ละครอบครัวอยู่ในห้องเล็กๆ ของตนเอง แต่ต้องใช้ห้องครัวกับห้องน้ำ
ร่วมกัน ห้องที่ครอบครัวของลีชวงอยู่มีขนาดพอๆ กับห้องน้ำที่บ้านฉัน เธอกับย่าต้องนอนใน
เตียงเล็กด้วยกัน ลีชวงเล่าว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัว พ่อที่รับเธอเป็นลูกบุญธรรม
ก็เคยเป็นคนงานเหมืองแร่ แต่ต่อมาเร่ร่อนไปหางานทำที่อื่นและนานๆ จึงจะกลับบ้านสักครั้ง
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
นางฟ้าถนนนานจิง ตอนที่ ( 3 ) (ตอนจบ)
โดย ลี ลิปิง จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
พ่อแม่ที่อุปการะลีชวงหย่ากันตั้งแต่เธอยังเป็นทารก และย่าเป็นคนเลี้ยงเธอมา ย่าทำครัว
และซักเสื้อผ้าให้พวกคนงานเหมืองแร่ ต่อมาเหมืองแร่ปิด คนงานส่วนใหญ่ย้ายออกไปและหอพัก
ก็ให้คนเช่า ย่าจึงไม่มีงานทำ ซ้ำร้ายสายตาของย่าก็เริ่มเสื่อมลง ลีชวงตัดสินใจเข้าเรียนโรงเรียน
ภาคค่ำและทำงานเวลากลางวันเพื่อเลี้ยงย่าและตัวเอง
ลีชวงเล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟังด้วยน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่แสดงความน้อยใจหรือบ่นแม้แต่
อย่างใด บ้านของเธอเล็กแต่สะอาด ประตูไม้บานเก่าขาวจนขึ้นเงาเพราะแรงขัด
เธอตั้งใจว่าจะทำงานเป็นนักบัญชีหลังเรียนจบโรงเรียนพาณิชยการภาคค่ำ เมื่อมีรายได้ดีพอ เธอกับ
ย่าจะย้ายออกจากภูเขาไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับอีกครอบครัว เธอกับย่าจะได้มีส้วมชักโครกใช้
ย่าจะได้เลิกทรมานกับการใช้ส้วมแบบนั่งคุดคู้
ย่าของลีชวงทำก๋วยเตี๋ยวให้เรากิน ฉันคงหิวจัดเพราะรู้สึกว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามนั้นอร่อยเป็นพิเศษ
ย่าเป็นห่วงฉันและบอกว่า “พวกเขาอาจไม่ดีพร้อมแต่ก็เป็นญาติของหนู อย่าโกรธคนในครอบครัวนาน
เกินไป มิฉะนั้นหนูจะลงเอยด้วยการไม่มีครอบครัวเลย”
เมื่อถึงเวลานอน ลีชวงให้ฉันนอนในเตียง ส่วนเธอกับย่าไปนอนที่เตียงของเพื่อนบ้าน เพราะมีเพื่อน
บ้านหลายคนทำงานไกลมากและไม่ได้กลับบ้านทุกวัน
ฉันนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน “ความทุกข์ทรมาน” และ “ความเดือดร้อน” ของฉันช่างไม่มีความหมายเลย
ในบ้านหลังนี้ พอรุ่งเช้า ฉันลุกขึ้นไปที่ประตู ลีชวงกำลังต้มโจ๊กอยู่ในครัวที่ใช้ร่วมกัน เธอมองดูดวงอาทิตย์
ขึ้นเหนือขอบฟ้าและพูดว่า “สวยดีนะ ฉันชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นจากตรงนี้ ฉันรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อแสงอาทิตย์ค่อยๆ สว่างขึ้น และพระอาทิตย์ก็ขึ้นทุกวันใช่ไหม”
วันนั้น ฉันกลับไปบ้านหลังเลิกงานอย่างสิ้นพยศ พี่สะใภ้ของฉันดูมีอัธยาศัยดีขึ้นและเสียงของพ่อแม่
ก็ฟังไม่กราดเกรี้ยวอย่างเคย อีกไม่นาน “ความหดหู่” ของฉันก็สลายไป
เมื่องานหมดลงในฤดูร้อนนั้น ฉันขอที่อยู่ของลีชวงไว้และส่งการ์ดถึงเธอตอนคริสต์มาส ลีชวงเขียน
ตอบมาว่า เธอกับย่ากำลังจะย้ายบ้าน เธอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกและส่งมาให้ฉันใบหนึ่ง เป็นภาพของดวง
อาทิตย์ขึ้นที่ถ่ายจากประตูบ้านของเธอ ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ย้ายที่อยู่และเราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยตลอด
20 ปีที่ผ่านมา แต่ภาพของลีชวงยังติดตาฉันอยู่เสมอ ภาพหญิงสาวมีลักยิ้มน่ารักเหมือนนางฟ้าผู้แทบจะ
ไม่มีอะไรเลย แต่สอนสิ่งที่มีค่ายิ่งให้แก่ฉัน
********************
จบบริบูรณ์
โดย ลี ลิปิง จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
พ่อแม่ที่อุปการะลีชวงหย่ากันตั้งแต่เธอยังเป็นทารก และย่าเป็นคนเลี้ยงเธอมา ย่าทำครัว
และซักเสื้อผ้าให้พวกคนงานเหมืองแร่ ต่อมาเหมืองแร่ปิด คนงานส่วนใหญ่ย้ายออกไปและหอพัก
ก็ให้คนเช่า ย่าจึงไม่มีงานทำ ซ้ำร้ายสายตาของย่าก็เริ่มเสื่อมลง ลีชวงตัดสินใจเข้าเรียนโรงเรียน
ภาคค่ำและทำงานเวลากลางวันเพื่อเลี้ยงย่าและตัวเอง
ลีชวงเล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟังด้วยน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่แสดงความน้อยใจหรือบ่นแม้แต่
อย่างใด บ้านของเธอเล็กแต่สะอาด ประตูไม้บานเก่าขาวจนขึ้นเงาเพราะแรงขัด
เธอตั้งใจว่าจะทำงานเป็นนักบัญชีหลังเรียนจบโรงเรียนพาณิชยการภาคค่ำ เมื่อมีรายได้ดีพอ เธอกับ
ย่าจะย้ายออกจากภูเขาไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับอีกครอบครัว เธอกับย่าจะได้มีส้วมชักโครกใช้
ย่าจะได้เลิกทรมานกับการใช้ส้วมแบบนั่งคุดคู้
ย่าของลีชวงทำก๋วยเตี๋ยวให้เรากิน ฉันคงหิวจัดเพราะรู้สึกว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามนั้นอร่อยเป็นพิเศษ
ย่าเป็นห่วงฉันและบอกว่า “พวกเขาอาจไม่ดีพร้อมแต่ก็เป็นญาติของหนู อย่าโกรธคนในครอบครัวนาน
เกินไป มิฉะนั้นหนูจะลงเอยด้วยการไม่มีครอบครัวเลย”
เมื่อถึงเวลานอน ลีชวงให้ฉันนอนในเตียง ส่วนเธอกับย่าไปนอนที่เตียงของเพื่อนบ้าน เพราะมีเพื่อน
บ้านหลายคนทำงานไกลมากและไม่ได้กลับบ้านทุกวัน
ฉันนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน “ความทุกข์ทรมาน” และ “ความเดือดร้อน” ของฉันช่างไม่มีความหมายเลย
ในบ้านหลังนี้ พอรุ่งเช้า ฉันลุกขึ้นไปที่ประตู ลีชวงกำลังต้มโจ๊กอยู่ในครัวที่ใช้ร่วมกัน เธอมองดูดวงอาทิตย์
ขึ้นเหนือขอบฟ้าและพูดว่า “สวยดีนะ ฉันชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นจากตรงนี้ ฉันรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อแสงอาทิตย์ค่อยๆ สว่างขึ้น และพระอาทิตย์ก็ขึ้นทุกวันใช่ไหม”
วันนั้น ฉันกลับไปบ้านหลังเลิกงานอย่างสิ้นพยศ พี่สะใภ้ของฉันดูมีอัธยาศัยดีขึ้นและเสียงของพ่อแม่
ก็ฟังไม่กราดเกรี้ยวอย่างเคย อีกไม่นาน “ความหดหู่” ของฉันก็สลายไป
เมื่องานหมดลงในฤดูร้อนนั้น ฉันขอที่อยู่ของลีชวงไว้และส่งการ์ดถึงเธอตอนคริสต์มาส ลีชวงเขียน
ตอบมาว่า เธอกับย่ากำลังจะย้ายบ้าน เธอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกและส่งมาให้ฉันใบหนึ่ง เป็นภาพของดวง
อาทิตย์ขึ้นที่ถ่ายจากประตูบ้านของเธอ ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ย้ายที่อยู่และเราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยตลอด
20 ปีที่ผ่านมา แต่ภาพของลีชวงยังติดตาฉันอยู่เสมอ ภาพหญิงสาวมีลักยิ้มน่ารักเหมือนนางฟ้าผู้แทบจะ
ไม่มีอะไรเลย แต่สอนสิ่งที่มีค่ายิ่งให้แก่ฉัน
********************
จบบริบูรณ์
…………ความหวังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งหมด ( 3 ) ตอนจบ
ความหวังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ ( 1. )จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
1. รามี มาฮามิด โดย James Bennet : New York Times
ที่ป้ายรถประจำทางใกล้เมืองซึ่งคนอาหรับอยู่หนาแน่นในประเทศอิสราเอล ชายร่างสูงซึ่ง
ทราบชื่อภายหลังว่า ‘อูม เอล-ฟาห์ม’ (Umm al-Fahm) กำลังยืนรอรถ ส่วน ’รามี มาฮามิด’ ซึ่งยืน
อยู่ในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกว่า ชายคนนี้มีอะไรบางอย่างน่าสงสัย ตั้งแต่รองเท้าที่เลอะไปด้วยฝุ่น
จนถึงถุงสีดำใบใหญ่ที่ถืออยู่
รามี ชาวอิสราเอลวัย 17 ปีสังหรณ์ว่าชายแปลกหน้าคนนี้จะเป็นมือระเบิดพลีชีพจากปาเลสไตน์
รามีพูดจาสุภาพเพื่อขอยืมโทรศัพท์มือถือของเขา แล้วเดินห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะหมุนหมายเลข
100 ถึงตำรวจอิสราเอล
วันนั้นตรงกับวันที่ 18 กันยายน 2545 รามีบอกตำรวจเรื่องที่เขาสงสัย จากนั้นก็เดินกลับไป
คืนโทรศัพท์ให้เจ้าของและนั่งลงข้างชายแปลกหน้าโดยไม่แสดงอาการพิรุธใดๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจโมเซ เฮซคิยาห์ (Moshiko Hezekiah) กับเพื่อนร่วมงานไปถึงสถานที่แจ้งเหตุ
ทันเวลาเพื่อกั้นไม่ให้รถประจำทางเข้าไปรับผู้โดยสารที่ยืนรออยู่ พลตำรวจขอตรวจค้นถุงดำใบใหญ่
ทันใดนั้นถุงนั้นก็ระเบิดคร่าชีวิตของเฮซคิยาห์และมือระเบิดทันที
รามีซึ่งขยับตัวเลี่ยงออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ยังไม่ไกลพอรัศมีแรงระเบิด เขารู้ว่ามีระเบิดเกิดขึ้น
และมีชิ้นส่วนร่างกายคนกระจัดกระจายเต็มไปหมด เขารู้สึกเจ็บแปลบทั่วร่างและฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล
ในสภาพบาดเจ็บสาหัส แขนขาหักอย่างละข้างและคอมีบาดแผลเหวอะหวะ
มีคนสงสัยว่า รามีสมรู้ร่วมคิดกับมือระเบิด แต่ผู้บัญชาการตำรวจประจำพื้นที่มอบใบประกาศ
เกียรติคุณยกย่องเขาที่ช่วยชีวิตผู้อื่นด้วยความกล้าหาญและมีไหวพริบพร้อมกับฉลอง “การเป็นพลเมืองดี”
ให้แก่เขาในเวลาต่อมา
“ผมไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไปแม้ตัวเองจะต้องตายก็ตาม”
รามีบอก “ผมรู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำ”
โปรดติดตามตอนที่ (. 2. )ในวันพรุ่งนี้
ความหวังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ ( 1. )จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
1. รามี มาฮามิด โดย James Bennet : New York Times
ที่ป้ายรถประจำทางใกล้เมืองซึ่งคนอาหรับอยู่หนาแน่นในประเทศอิสราเอล ชายร่างสูงซึ่ง
ทราบชื่อภายหลังว่า ‘อูม เอล-ฟาห์ม’ (Umm al-Fahm) กำลังยืนรอรถ ส่วน ’รามี มาฮามิด’ ซึ่งยืน
อยู่ในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกว่า ชายคนนี้มีอะไรบางอย่างน่าสงสัย ตั้งแต่รองเท้าที่เลอะไปด้วยฝุ่น
จนถึงถุงสีดำใบใหญ่ที่ถืออยู่
รามี ชาวอิสราเอลวัย 17 ปีสังหรณ์ว่าชายแปลกหน้าคนนี้จะเป็นมือระเบิดพลีชีพจากปาเลสไตน์
รามีพูดจาสุภาพเพื่อขอยืมโทรศัพท์มือถือของเขา แล้วเดินห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะหมุนหมายเลข
100 ถึงตำรวจอิสราเอล
วันนั้นตรงกับวันที่ 18 กันยายน 2545 รามีบอกตำรวจเรื่องที่เขาสงสัย จากนั้นก็เดินกลับไป
คืนโทรศัพท์ให้เจ้าของและนั่งลงข้างชายแปลกหน้าโดยไม่แสดงอาการพิรุธใดๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจโมเซ เฮซคิยาห์ (Moshiko Hezekiah) กับเพื่อนร่วมงานไปถึงสถานที่แจ้งเหตุ
ทันเวลาเพื่อกั้นไม่ให้รถประจำทางเข้าไปรับผู้โดยสารที่ยืนรออยู่ พลตำรวจขอตรวจค้นถุงดำใบใหญ่
ทันใดนั้นถุงนั้นก็ระเบิดคร่าชีวิตของเฮซคิยาห์และมือระเบิดทันที
รามีซึ่งขยับตัวเลี่ยงออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ยังไม่ไกลพอรัศมีแรงระเบิด เขารู้ว่ามีระเบิดเกิดขึ้น
และมีชิ้นส่วนร่างกายคนกระจัดกระจายเต็มไปหมด เขารู้สึกเจ็บแปลบทั่วร่างและฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล
ในสภาพบาดเจ็บสาหัส แขนขาหักอย่างละข้างและคอมีบาดแผลเหวอะหวะ
มีคนสงสัยว่า รามีสมรู้ร่วมคิดกับมือระเบิด แต่ผู้บัญชาการตำรวจประจำพื้นที่มอบใบประกาศ
เกียรติคุณยกย่องเขาที่ช่วยชีวิตผู้อื่นด้วยความกล้าหาญและมีไหวพริบพร้อมกับฉลอง “การเป็นพลเมืองดี”
ให้แก่เขาในเวลาต่อมา
“ผมไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไปแม้ตัวเองจะต้องตายก็ตาม”
รามีบอก “ผมรู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำ”
โปรดติดตามตอนที่ (. 2. )ในวันพรุ่งนี้
ความหวังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ ( 2 )
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
2. มรดกจากพ่อ โดย John Ingham : Daily Express
ร่างของเซฟ ไวเดอร์ นักธุรกิจวัย 50 ปีแหลกละเอียดจากแรงระเบิดของผู้ก่อการร้ายพลีชีพ
ขณะนั่งกินอาหารฉลองเทศกาลประจำปีของชาวยิวกับครอบครัวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กรุงเทลอาวีฟ
ในเดือนมีนาคม 2545 ลูกสาววัย 20 ของเขาก็เสียชีวิต ส่วนลูกสาวคนโตบาดเจ็บสาหัส ระเบิดสังหาร
ครั้งนั้นคร่าชีวิตคนรวม 29 คน
ร่างของไวเดอร์มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางอยู่นาน 6 วัน แต่หลังจากสิ้นลม ครอบครัวอนุญาต
ให้นำอวัยวะของเขาไปบริจาค แพทย์นำไตข้างหนึ่งไปปลูกถ่ายให้แก่ ‘ไอชา อาบู ฮาดีร์’ หญิงชาวปาเลสไต
น์วัย 45 ปี ในอิสราเอล ครอบครัวผู้บริจาคอวัยวะไม่มีสิทธิเลือกผู้รับบริจาค แต่ครอบครัวของไวเดอร์ก็
เห็นชอบทันทีที่ทราบว่าหญิงปาเลสไตน์ได้รับบริจาคครั้งนี้
“พ่อผมสอนให้พวกเรารักชีวิตและผู้คนโดยไม่เลือกสัญชาติ” ลูกชายของไวเดอร์บอก “พ่อยึดมั่นเสมอมาว่า
อิสราเอลสามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอาหรับได้โดยสันติ และนี่คือสัญลักษณ์ความเชื่อของพ่อ
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
2. มรดกจากพ่อ โดย John Ingham : Daily Express
ร่างของเซฟ ไวเดอร์ นักธุรกิจวัย 50 ปีแหลกละเอียดจากแรงระเบิดของผู้ก่อการร้ายพลีชีพ
ขณะนั่งกินอาหารฉลองเทศกาลประจำปีของชาวยิวกับครอบครัวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กรุงเทลอาวีฟ
ในเดือนมีนาคม 2545 ลูกสาววัย 20 ของเขาก็เสียชีวิต ส่วนลูกสาวคนโตบาดเจ็บสาหัส ระเบิดสังหาร
ครั้งนั้นคร่าชีวิตคนรวม 29 คน
ร่างของไวเดอร์มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางอยู่นาน 6 วัน แต่หลังจากสิ้นลม ครอบครัวอนุญาต
ให้นำอวัยวะของเขาไปบริจาค แพทย์นำไตข้างหนึ่งไปปลูกถ่ายให้แก่ ‘ไอชา อาบู ฮาดีร์’ หญิงชาวปาเลสไต
น์วัย 45 ปี ในอิสราเอล ครอบครัวผู้บริจาคอวัยวะไม่มีสิทธิเลือกผู้รับบริจาค แต่ครอบครัวของไวเดอร์ก็
เห็นชอบทันทีที่ทราบว่าหญิงปาเลสไตน์ได้รับบริจาคครั้งนี้
“พ่อผมสอนให้พวกเรารักชีวิตและผู้คนโดยไม่เลือกสัญชาติ” ลูกชายของไวเดอร์บอก “พ่อยึดมั่นเสมอมาว่า
อิสราเอลสามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอาหรับได้โดยสันติ และนี่คือสัญลักษณ์ความเชื่อของพ่อ
โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ความหวังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ ( 3 )
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
3. คนไข้ไม่ใช่การเมือง โดย John Hassell : New York Star-Ledger
เวลา 6.30 น. วันที่ 5 มิถุนายน 2545 ‘เอยาล คาร์ลิน’กระโดดขึ้นรถประจำทางมุ่งสู่ค่ายทหาร
ทางตอนเหนือของอิสราเอลและผล็อยหลับในรถ สิ่งแรกที่จำได้ในเวลาต่อมาคือเขานอนหงาย
ตาจ้องดูเปลวเพลิงและควันสีดำ ไม่นานหลังมือระเบิดพลีชีพปาเลสไตน์บุกโจมตีรถประจำทางที่เขา
โดยสาร มีคนเสียชีวิต 17 คน ผู้ช่วยพยาบาลนำตัวคาร์ลิน วัย 22 ปีส่งศูนย์แพทย์ในเมืองฮาเดราซึ่ง
อยู่ระหว่างกรุงเทลอาวีฟกับเมืองไฮฟา คาร์ลินมีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า แขนและใบหน้า
ซีกซ้ายถูกไฟไหม้หนัก และมีแผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณขาซ้าย
แพทย์ พยาบาลและคนไข้หลายคนรอบตัวเขาเป็นคนอาหรับ เขาตื้นตันใจที่ได้รับความช่วยเหลือ
จากคนเหล่านี้ ทุกวัน ศูนย์แพทย์แห่งนี้เปิดให้บริการดูแลสุขภาพแก่คนอิสราเอลและคนปาเลสไตน์
เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ มีทั้งคนอิสราเอลและคนอาหรับ ศูนย์แพทย์ฯ ให้การรักษาพยาบาลเหยื่อของผู้ก่อ
การร้ายมาแล้วกว่า 500 คนนับแต่ชาวปาเลสไตน์ลุกฮือขึ้นต่อต้านอิสราเอล และมีบางครั้งที่
โรงพยาบาลรับคนปาเลสไตน์เข้ารักษาบาดแผลที่เกิดจากน้ำมือของทหารอิสราเอล
**********************
จบบริบูรณ์
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
3. คนไข้ไม่ใช่การเมือง โดย John Hassell : New York Star-Ledger
เวลา 6.30 น. วันที่ 5 มิถุนายน 2545 ‘เอยาล คาร์ลิน’กระโดดขึ้นรถประจำทางมุ่งสู่ค่ายทหาร
ทางตอนเหนือของอิสราเอลและผล็อยหลับในรถ สิ่งแรกที่จำได้ในเวลาต่อมาคือเขานอนหงาย
ตาจ้องดูเปลวเพลิงและควันสีดำ ไม่นานหลังมือระเบิดพลีชีพปาเลสไตน์บุกโจมตีรถประจำทางที่เขา
โดยสาร มีคนเสียชีวิต 17 คน ผู้ช่วยพยาบาลนำตัวคาร์ลิน วัย 22 ปีส่งศูนย์แพทย์ในเมืองฮาเดราซึ่ง
อยู่ระหว่างกรุงเทลอาวีฟกับเมืองไฮฟา คาร์ลินมีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า แขนและใบหน้า
ซีกซ้ายถูกไฟไหม้หนัก และมีแผลขนาดใหญ่ที่เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณขาซ้าย
แพทย์ พยาบาลและคนไข้หลายคนรอบตัวเขาเป็นคนอาหรับ เขาตื้นตันใจที่ได้รับความช่วยเหลือ
จากคนเหล่านี้ ทุกวัน ศูนย์แพทย์แห่งนี้เปิดให้บริการดูแลสุขภาพแก่คนอิสราเอลและคนปาเลสไตน์
เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ มีทั้งคนอิสราเอลและคนอาหรับ ศูนย์แพทย์ฯ ให้การรักษาพยาบาลเหยื่อของผู้ก่อ
การร้ายมาแล้วกว่า 500 คนนับแต่ชาวปาเลสไตน์ลุกฮือขึ้นต่อต้านอิสราเอล และมีบางครั้งที่
โรงพยาบาลรับคนปาเลสไตน์เข้ารักษาบาดแผลที่เกิดจากน้ำมือของทหารอิสราเอล
**********************
จบบริบูรณ์