( 1 )
“ความเชื่อเป็นชีวิต”
ความเชื่อคือความวางใจในพระเป็นเจ้าในสิ่งที่มองไม่เห็น ยังมาไม่ถึง และในสิ่งที่ยังไม่ถึงพร้อม
บริบูรณ์ เราฝากทุกอย่างที่เราหวังและอนาคตไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า คริสตชนหลายๆ
คนใฝ่ฝันอยากเห็นอัศจรรย์ อาทิ แม่พระประจักษ์ พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมาบนท้องฟ้า เพียงมีความ
คิดว่าถ้ามีอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนจะได้กลับใจมีความเชื่อ และตนเองก็จะมีความเชื่อมั่นคงขึ้น
อัศจรรย์เป็นบ่อเกิดของความเชื่อเที่ยงแท้จริงหรือ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือชาวอิสราเอลและบรรดา
อัครสาวกของพระเยซูคริสตเจ้า ระหว่างที่พระองค์ปฏิบัติพันธกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระบิดาท่าม
กลางพวกเขา พวกเขาได้ฟังคำเทศน์สอนของพระองค์ ได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำมากมาย
อาทิ ทำให้คนง่อยเดินได้ ทรงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย ขับไล่ปีศาจ และทวีขนมปังเลี้ยงพวกเขา ฯลฯ
แต่มีกี่คนกลับใจ มีกี่คนนับถือองค์พระเยซูคริตเจ้ามีความเชื่อในพระองค์ แม้บรรดาอัครสาวกเองก็ถูก
พระองค์ตำหนิหลายครั้ง หลายคราว่าไม่มีความเชื่อหรือความเชื่อน้อย
พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญมาระโกบทที่ 4 ข้อ 35 – 41 ได้เล่าเรื่องอัครสาวกเดินเรือ
ข้ามทะเลสาบ พระเยซูคริสตเจ้าทรงบรรทมหลับอยู่ที่ท้ายเรือ ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้าบรรดาอัครสาวก
ตกใจกลัวจึงไปปลุกพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงบังคับลมพายุให้สงบ และทรงตำหนิบรรดาอัครสาวก
ว่า “ ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไมท่านยังไม่มีความเชื่ออีกหรือ “ ( มก. 4 : 40 ) อีกครั้งหนึ่งพระเยซูคริสตเจ้า
ทรงเตือนบรรดาอัครสาวกให้ระวังเชื้อแป้งของฟารีสี พระองค์ต้องการจะเตือนพวกเขาให้ระวังการดำเนิน
ชีวิต และการปฏิบัติอย่างพวกฟารีสี แต่พวกเขากับคิดถึงเรื่องที่พวกเขาลืมเอาขนมปังมาเป็นเสบียง
พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาว่า “ ท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านยังมีใจแข็งกระด้างอยู่อีกหรือ มีตาแต่
ไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินหรือ ท่านจำไม่หรือว่า เมื่อเราทวีขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษที่
เหลือได้กี่กระบุง” ( มก. 8 : 17 – 19 ) คำตำหนิของพระเยซูคริสตเจ้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่า
ชาวอิสราเอลและบรรดา อัครสาวกได้เห็นการอัศจรรย์หลายครั้งแต่การอัศจรรย์นั้นไม่ทำให้พวกเขามี
ความเชื่อในพระองค์มากขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำร้ายพวกฟารีสียังมาขอให้พระองค์ทำเครื่องหมายอัศจรรย์
พระองค์ตรัสว่า “ คนยุคนี้แสวงหา เครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า
คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย “ ( มก. 8: 11 – 13 ) ในที่อื่นพระองค์ตำหนิแรงกว่านี้ว่า
“ คนยุคนี้เป็นคนชั่ว “ เพราะฉะนั้นอัศจรรย์ก็มี ส่วนอยู่บ้างที่สามารถทำให้คนมีความเชื่อ แต่ไม่ใช่บ่อ
เกิดของความเชื่อที่มั่นคงยั่งยืน ความเชื่อที่มั่นคงยั่งยืนเกิดจากประสบการณ์ ประสบการณ์มากจากการ
ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองเชื่อในชีวิตจริง
เมื่อคนๆหนึ่งสวดภาวนา มาร่วมมิสซาบูชาขอบพระคุณด้วยความเลื่อมใสศรัทธา และปฏิบัติตามพระวาจา
ของพระเจ้าที่เขาได้อ่านและได้ฟัง เขาจะเริ่มมีประสบการณ์กับพระเป็นเจ้าเข้าไปลิ้มรสความดีงามของพระองค์
ด้วยตนเอง เขาจะมีความเชื่อและรักพระเป็นเจ้าอย่างมั่นคงยั่งยืนไม่ว่าจะประสบกับปัญหาหรือเหตุการณ์ใดๆ
ในชีวิต ความเชื่อของเขาจะไม่หวั่นไหวเหมือนคนที่ฉลาดสร้างบ้านลงรากฐานลึกในหินแกร่ง ซึ่งต่างจากความ
เชื่อ ที่เกิดจากการเห็นอัศจรรย์ วันที่เขาขอแล้วได้รับตามความปรารถนา ถ้าวันใดความตื่นเต้นจากการเห็น
อัศจรรย์จืดจาง เมื่อขอแล้วไม่ได้รับตามความปรารถนา ความเชื่อของเขาจะหวั่นไหวและมลายสูญสิ้นไปในที่สุด
ความเชื่อจึงต้องเป็นชีวิตเป็นประสบการณ์ของคนๆหนึ่งที่ได้พยายามปฏิบัติตามในสิ่งที่ตนเองเชื่อเพราะจะเขา
ได้สัมผัสความดีงามของพระเป็นเจ้าด้วยตนเอง ความเชื่อที่ไม่กิจการจึงเป็นความเชื่อที่ตายไปแล้ว ความเชื่อ
แท้จึงเป็นชีวิตเพราะมีการปฏิบัติ มีกิจการในชีวิตจริงนั่นเอง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
บทความดีๆ โดยคุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( 4 )
( 2 )
“ถึงเวลาถอดชฎาและหัวโขนออกแล้ว”
เคยเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับ “การมีหน้าตาเป็นอาวุธ” ให้อ่านอยู่บ่อยๆเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมโนขึ้นมาเอง
“แต่เป็นเรื่องจริง” เวลาที่ได้ยินคนพูดถึงเรื่องการเรียนได้เกียรตินิยมที่วิทยาลัยแสงธรรม “รู้สึกเฉยๆ”
เพราะนี่เป็นเหมือน fight บังคับสำหรับทุกคนแบบกลายๆ ทุกคนต้องพยายามเรียนให้ผ่านเกณฑ์ที่
บ้านเณรกำหนดไม่เช่นนั้นไปต่อไม่ได้ หรือต้องมีความประพฤติดี มีความศรัทธายอดเยี่ยม ก็จะได้เป็น
เณรที่เรียกว่า “เณรอุดมการณ์” ต้องเรียนวิชาหลักสำคัญสำหรับการทำหน้าที่สงฆ์ให้ได้ เพื่อใช้ในการ
ทำหน้าที่สงฆ์แต่เณรเหล่านี้จะไม่ได้รับปริญญา ตามจิตตารมณ์เดียวกับ นักบุญ ยอห์นมารีย์เวียนเนย์
เจ้าอาวาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นตอนเรียนอยู่ที่วิทยาแสงธรรมจำเป็นต้องเรียนสุดความสามารถ ทำ
ทุกอย่างที่สุจริตเพื่อให้สอบได้ตามเกณฑ์ สมัยนั้นข้าฯเป็นคนบ้าบออ่านหนังสือจนถึงขนาดจำได้เกือบ
ทั้งเล่ม ก่อนวันสอบจึงเตรียมสอบโดยไม่ต้องใช้หนังสือ นั่งคิดเดินคิดเอาว่า “บทไหนหน้าที่เท่าไรมีเรื่อง
อะไรบ้าง” หลายปีที่ผ่านมาข้าฯจึงกลายเป็น “หุ่นยนต์” เดินไปไหนเหมือนปิดโปรแกรมแห่งการรับรู้ไว้
แทบทุก Chanel เมื่อมีคนเรียกทักทายสวัสดีจึงไม่ค่อยได้ยินและไม่เห็น เดินไปคิดไปจึงมีหน้าตาไม่รับ
แขก ตอนหลังๆมีคนมาบอกให้คำแนะบ่อยๆ จึงเริ่มทักทายคนอื่นก่อนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสและจริงใจ
ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ ในเรื่องการทำงานข้าฯได้ผ่านสังเวียนมาตามสมควรแก่อายุ จึงคิดว่าเรา
ต้องแยกแยะระหว่างความสุขกับความสบาย เพราะข้าฯจะมีความสุขกับการทำงานทุกที่ๆข้าอยู่ “ทำเต็มที่
ทำด้วยความรัก ใจสมัคร และด้วยความจริงใจ” เนื่องจากมีคติพจน์ประจำใจว่า “น้อยคนนักที่ได้ทำงานที่
ตนรัก แต่เราสามารถรักงานและทุกสิ่งที่เราทำได้เสมอ” ทำด้วยความรักและด้วยใจสมัครภาระและแอก
ของเราจะเบาลง เพราะฉะนั้นแม้ลำบากทำงานหนักแต่มีความสุขได้ ส่วน “ความสบาย” นั้นต้องรอให้ถึง
เวลาที่เหมาะสม หลังจากผ่านสังเวียนมายี่สิบกว่าปีอยู่ดีๆก็ได้พักงาน และถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสมา
2-3 ที่แล้ว รู้สึกสบายดีมีความสุขมาก เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายนักทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่
ตามคติพจน์ของตนก็พอแล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นชฎาและหัวโขนที่คนในสังคมสวมใส่ให้กับเรา เกียรติ
นิยม มิสยูนิเวิร์ส ตำแหน่งหน้าที่ในสังคม ยิ่งใหญ่โตสูงส่งมากเท่าใด ชฎาที่ทำจากโลหะเงินทองประดับ
ด้วยอัญมณีก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้น นักบุญเปาโลจึงสอนว่ามงกุฎแห่งสวรรค์เป็น “มงกุฎใบไม้” ส่วนหัว
โขนเป็นสัญลักษณ์ของหน้าตาที่ต้องเสกสรรปั้นแต่งไม่มีความจริงใจ คำว่าความจริงใจภาษาอังกฤษใช้คำว่า
“sincere มาจากภาษาลาติน 2 คำรวมกัน ซีเน-sine แปลว่า โดยไม่ ปราศจาก ไม่มีบวกกับ เชรา-cera แปลว่า
ขี้ผึ้ง สมัยโบราณใช้ขี้ผึ้งทำหน้ากากรูปร่างต่างๆ” ดังนั้น sincere จึงแปลว่าตรงตัวว่า “ไม่มีหน้ากาก ไม่ต้อง
ใส่หน้ากากเข้าหากัน” (ไม่ใช่หน้ากากอนามัยกันโควิคนะ) เพราะฉะนั้นเวลานี้ข้าฯจึงมีความสุขสบายดีพอ
สมควร เพราะถึงเวลาที่ชฎาและหัวโขนถูกถอดออกแล้ว ดีใจที่คลื่นลูกใหม่ทำให้ใจของข้าฯเต็มเปี่ยมด้วย
ความหวัง ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย สลอัญชลีพรสันต์
“ถึงเวลาถอดชฎาและหัวโขนออกแล้ว”
เคยเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับ “การมีหน้าตาเป็นอาวุธ” ให้อ่านอยู่บ่อยๆเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมโนขึ้นมาเอง
“แต่เป็นเรื่องจริง” เวลาที่ได้ยินคนพูดถึงเรื่องการเรียนได้เกียรตินิยมที่วิทยาลัยแสงธรรม “รู้สึกเฉยๆ”
เพราะนี่เป็นเหมือน fight บังคับสำหรับทุกคนแบบกลายๆ ทุกคนต้องพยายามเรียนให้ผ่านเกณฑ์ที่
บ้านเณรกำหนดไม่เช่นนั้นไปต่อไม่ได้ หรือต้องมีความประพฤติดี มีความศรัทธายอดเยี่ยม ก็จะได้เป็น
เณรที่เรียกว่า “เณรอุดมการณ์” ต้องเรียนวิชาหลักสำคัญสำหรับการทำหน้าที่สงฆ์ให้ได้ เพื่อใช้ในการ
ทำหน้าที่สงฆ์แต่เณรเหล่านี้จะไม่ได้รับปริญญา ตามจิตตารมณ์เดียวกับ นักบุญ ยอห์นมารีย์เวียนเนย์
เจ้าอาวาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นตอนเรียนอยู่ที่วิทยาแสงธรรมจำเป็นต้องเรียนสุดความสามารถ ทำ
ทุกอย่างที่สุจริตเพื่อให้สอบได้ตามเกณฑ์ สมัยนั้นข้าฯเป็นคนบ้าบออ่านหนังสือจนถึงขนาดจำได้เกือบ
ทั้งเล่ม ก่อนวันสอบจึงเตรียมสอบโดยไม่ต้องใช้หนังสือ นั่งคิดเดินคิดเอาว่า “บทไหนหน้าที่เท่าไรมีเรื่อง
อะไรบ้าง” หลายปีที่ผ่านมาข้าฯจึงกลายเป็น “หุ่นยนต์” เดินไปไหนเหมือนปิดโปรแกรมแห่งการรับรู้ไว้
แทบทุก Chanel เมื่อมีคนเรียกทักทายสวัสดีจึงไม่ค่อยได้ยินและไม่เห็น เดินไปคิดไปจึงมีหน้าตาไม่รับ
แขก ตอนหลังๆมีคนมาบอกให้คำแนะบ่อยๆ จึงเริ่มทักทายคนอื่นก่อนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสและจริงใจ
ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ ในเรื่องการทำงานข้าฯได้ผ่านสังเวียนมาตามสมควรแก่อายุ จึงคิดว่าเรา
ต้องแยกแยะระหว่างความสุขกับความสบาย เพราะข้าฯจะมีความสุขกับการทำงานทุกที่ๆข้าอยู่ “ทำเต็มที่
ทำด้วยความรัก ใจสมัคร และด้วยความจริงใจ” เนื่องจากมีคติพจน์ประจำใจว่า “น้อยคนนักที่ได้ทำงานที่
ตนรัก แต่เราสามารถรักงานและทุกสิ่งที่เราทำได้เสมอ” ทำด้วยความรักและด้วยใจสมัครภาระและแอก
ของเราจะเบาลง เพราะฉะนั้นแม้ลำบากทำงานหนักแต่มีความสุขได้ ส่วน “ความสบาย” นั้นต้องรอให้ถึง
เวลาที่เหมาะสม หลังจากผ่านสังเวียนมายี่สิบกว่าปีอยู่ดีๆก็ได้พักงาน และถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสมา
2-3 ที่แล้ว รู้สึกสบายดีมีความสุขมาก เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายนักทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่
ตามคติพจน์ของตนก็พอแล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นชฎาและหัวโขนที่คนในสังคมสวมใส่ให้กับเรา เกียรติ
นิยม มิสยูนิเวิร์ส ตำแหน่งหน้าที่ในสังคม ยิ่งใหญ่โตสูงส่งมากเท่าใด ชฎาที่ทำจากโลหะเงินทองประดับ
ด้วยอัญมณีก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้น นักบุญเปาโลจึงสอนว่ามงกุฎแห่งสวรรค์เป็น “มงกุฎใบไม้” ส่วนหัว
โขนเป็นสัญลักษณ์ของหน้าตาที่ต้องเสกสรรปั้นแต่งไม่มีความจริงใจ คำว่าความจริงใจภาษาอังกฤษใช้คำว่า
“sincere มาจากภาษาลาติน 2 คำรวมกัน ซีเน-sine แปลว่า โดยไม่ ปราศจาก ไม่มีบวกกับ เชรา-cera แปลว่า
ขี้ผึ้ง สมัยโบราณใช้ขี้ผึ้งทำหน้ากากรูปร่างต่างๆ” ดังนั้น sincere จึงแปลว่าตรงตัวว่า “ไม่มีหน้ากาก ไม่ต้อง
ใส่หน้ากากเข้าหากัน” (ไม่ใช่หน้ากากอนามัยกันโควิคนะ) เพราะฉะนั้นเวลานี้ข้าฯจึงมีความสุขสบายดีพอ
สมควร เพราะถึงเวลาที่ชฎาและหัวโขนถูกถอดออกแล้ว ดีใจที่คลื่นลูกใหม่ทำให้ใจของข้าฯเต็มเปี่ยมด้วย
ความหวัง ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย สลอัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 21, 2024 9:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 3 )
“รู้จักที่ยืนแล้วยืนให้ถูกที่”
ถ้าเราสังเกตคนในยุดปัจจุบันเราจะพบว่า การแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ทวีมากขึ้นทุกๆวัน เพราะเราอยู่
ในสังคมของการแก่งแย่งแข่งขัน ยิ่งการแก่งแย่งแข่งขันสูงมากขึ้นเท่าไร คนยิ่งแสวงหาตำแหน่งหน้าที่
การงานยศถาบรรดาศักดิ์มากขึ้นเท่านั้น “เพราะอะไรหรือ” เพราะว่า “มาตรการวัดค่าของความเป็นคน”
มันแปลเปลี่ยนไปตามใจที่นิยมชมชอบวัดค่าของคนเพียงภายนอก ถ้าถามว่า “แปลกหรือเปล่า” ผู้เขียน
คิดว่า “มันไม่แปลกอะไรหรอก” เพราะนี่เป็นความต้องพื้นฐานของมนุษย์อีกชนิดหนึ่ง ที่ต้องการมีที่ยืนอยู่
ในสังคมอย่างสง่าผ่าเผย และบรรดายศถาบรรดาศักดิ์เหล่านี้ยังนำมาซึ่งการยอมรับความสะดวกสบาย
(ลาภ ยศ สรรเสริญ) อีกด้วย ความจริงการแสวงหาการดิ้นรนให้ตนเองมีที่ยืนบ้างในสังคม มันเป็นธรรม
ชาติความต้องการพื้นฐานของคนที่เราต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจ เพื่อเราจะได้รู้จักที่ยืนและยืนให้ถูกที่
แล้วที่ตรงนั้นจะทำให้เรามีความสุขและทำให้เรายืนได้อย่างมั่นคง ข้าฯต้องขอบคุณพระสงฆ์รุ่นพ่อรุ่นพี่
หลายๆท่านที่สอนข้าฯอยู่เสมอว่า “คุณพ่อจำไว้นะไม่มีความสุขใดยิ่งใหญ่เท่า เมื่อคุณพ่อยืนถวายมิสซา
บูชาขอบพระคุณที่พระแท่นเพื่อประชากรของพระเจ้า ด้วยความเชื่อศรัทธาและความสำรวมเอาใจใส่”
และไม่มีที่ไหนที่จะทำให้สัตบุรุษรู้จักตัวตนแท้จริงของคุณพ่อดีเท่ากับ “เวลาที่คุณพ่อยืนบนธรรมมาสเทศน์
สอนประกาศพระวาจาของพระเจ้า” ข้าฯจึงพยายามเตรียมบทเทศน์อย่างดี พยายามถวายมิสซาบูชาขอบคุณ
ด้วยความเชื่อศรัทธาและความสำรวมเสมอมา เพราะข้าฯรู้ว่าที่นั่นคือที่ยืนของข้าฯและข้าฯยืนถูกที่แล้ว จึง
สามารถยืนได้อย่างมั่นใจมั่นคงตามสมควร หลายๆคนอยากมีที่ยืนอยู่ในสังคมแต่ไม่รู้ว่าจะยืนตรงไหน และ
มีอีกหลายๆคนรู้ว่าจะยืนตรงไหนแต่กลับยืนตรงนั้นไม่เป็น พวกเขาจึงไม่มีที่ยืนและแม้มีที่ยืนก็ยืนไม่เป็นจึงยืน
ได้ไม่มั่นคง เคยเจอคุณพ่อเจ้าอาวาสบางท่านไม่ชอบถวายบูชามิสซาบูชาขอบพระคุณ ไม่เตรียมเทศน์ ไม่ชอบ
เทศน์ แต่สั่งห้ามคนอื่นประกาศประชาสัมพันธ์เพราะคิดว่านั่นคือที่ยืนของเจ้าอาวาส เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลก
อะไรเลยที่จะมีเจ้าอาวาสพฤตินัย ทั้งๆที่ไม่ได้ยืนในตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่ได้นั่งที่ตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่มีใบ
แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแบบนิตินัย เพราะเขาเหล่านั้นสามารถยืนและนั่งอยู่ในใจของสัตบุรุษทั้งหลาย ตำแหน่ง
หน้าที่แบบนิตินัยจึงไม่ค่อยสำคัญอะไรนัก ขอเพียงเข้าใจคำสอนของพระเยซูคริสคเจ้าให้ลึกซึ้งก็พอแล้ว
“ผู้เป็นใหญ่ต้องถ่อมตนลงรับใช้ผู้อื่นเป็นคนแรก” ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้สำหรับบรรดาผู้
ปรีชาฉลาดฝ่ายโลก และทรงเปิดเผยให้บรรดาผู้ต่ำต้อยได้ทราบ ขอบคุณพระองค์ที่ทรงขจัดผู้มีใจมักใหญ่
ใฝ่สูงให้กระจายไป ทรงผลักไสบรรดาผู้ทรงอำนาจลงจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยสุภาพให้สูงขึ้น
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“รู้จักที่ยืนแล้วยืนให้ถูกที่”
ถ้าเราสังเกตคนในยุดปัจจุบันเราจะพบว่า การแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ทวีมากขึ้นทุกๆวัน เพราะเราอยู่
ในสังคมของการแก่งแย่งแข่งขัน ยิ่งการแก่งแย่งแข่งขันสูงมากขึ้นเท่าไร คนยิ่งแสวงหาตำแหน่งหน้าที่
การงานยศถาบรรดาศักดิ์มากขึ้นเท่านั้น “เพราะอะไรหรือ” เพราะว่า “มาตรการวัดค่าของความเป็นคน”
มันแปลเปลี่ยนไปตามใจที่นิยมชมชอบวัดค่าของคนเพียงภายนอก ถ้าถามว่า “แปลกหรือเปล่า” ผู้เขียน
คิดว่า “มันไม่แปลกอะไรหรอก” เพราะนี่เป็นความต้องพื้นฐานของมนุษย์อีกชนิดหนึ่ง ที่ต้องการมีที่ยืนอยู่
ในสังคมอย่างสง่าผ่าเผย และบรรดายศถาบรรดาศักดิ์เหล่านี้ยังนำมาซึ่งการยอมรับความสะดวกสบาย
(ลาภ ยศ สรรเสริญ) อีกด้วย ความจริงการแสวงหาการดิ้นรนให้ตนเองมีที่ยืนบ้างในสังคม มันเป็นธรรม
ชาติความต้องการพื้นฐานของคนที่เราต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจ เพื่อเราจะได้รู้จักที่ยืนและยืนให้ถูกที่
แล้วที่ตรงนั้นจะทำให้เรามีความสุขและทำให้เรายืนได้อย่างมั่นคง ข้าฯต้องขอบคุณพระสงฆ์รุ่นพ่อรุ่นพี่
หลายๆท่านที่สอนข้าฯอยู่เสมอว่า “คุณพ่อจำไว้นะไม่มีความสุขใดยิ่งใหญ่เท่า เมื่อคุณพ่อยืนถวายมิสซา
บูชาขอบพระคุณที่พระแท่นเพื่อประชากรของพระเจ้า ด้วยความเชื่อศรัทธาและความสำรวมเอาใจใส่”
และไม่มีที่ไหนที่จะทำให้สัตบุรุษรู้จักตัวตนแท้จริงของคุณพ่อดีเท่ากับ “เวลาที่คุณพ่อยืนบนธรรมมาสเทศน์
สอนประกาศพระวาจาของพระเจ้า” ข้าฯจึงพยายามเตรียมบทเทศน์อย่างดี พยายามถวายมิสซาบูชาขอบคุณ
ด้วยความเชื่อศรัทธาและความสำรวมเสมอมา เพราะข้าฯรู้ว่าที่นั่นคือที่ยืนของข้าฯและข้าฯยืนถูกที่แล้ว จึง
สามารถยืนได้อย่างมั่นใจมั่นคงตามสมควร หลายๆคนอยากมีที่ยืนอยู่ในสังคมแต่ไม่รู้ว่าจะยืนตรงไหน และ
มีอีกหลายๆคนรู้ว่าจะยืนตรงไหนแต่กลับยืนตรงนั้นไม่เป็น พวกเขาจึงไม่มีที่ยืนและแม้มีที่ยืนก็ยืนไม่เป็นจึงยืน
ได้ไม่มั่นคง เคยเจอคุณพ่อเจ้าอาวาสบางท่านไม่ชอบถวายบูชามิสซาบูชาขอบพระคุณ ไม่เตรียมเทศน์ ไม่ชอบ
เทศน์ แต่สั่งห้ามคนอื่นประกาศประชาสัมพันธ์เพราะคิดว่านั่นคือที่ยืนของเจ้าอาวาส เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลก
อะไรเลยที่จะมีเจ้าอาวาสพฤตินัย ทั้งๆที่ไม่ได้ยืนในตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่ได้นั่งที่ตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่มีใบ
แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแบบนิตินัย เพราะเขาเหล่านั้นสามารถยืนและนั่งอยู่ในใจของสัตบุรุษทั้งหลาย ตำแหน่ง
หน้าที่แบบนิตินัยจึงไม่ค่อยสำคัญอะไรนัก ขอเพียงเข้าใจคำสอนของพระเยซูคริสคเจ้าให้ลึกซึ้งก็พอแล้ว
“ผู้เป็นใหญ่ต้องถ่อมตนลงรับใช้ผู้อื่นเป็นคนแรก” ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้สำหรับบรรดาผู้
ปรีชาฉลาดฝ่ายโลก และทรงเปิดเผยให้บรรดาผู้ต่ำต้อยได้ทราบ ขอบคุณพระองค์ที่ทรงขจัดผู้มีใจมักใหญ่
ใฝ่สูงให้กระจายไป ทรงผลักไสบรรดาผู้ทรงอำนาจลงจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยสุภาพให้สูงขึ้น
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 21, 2024 9:30 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 4 )
“ผลงานของพระเจ้า”
พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ทุกคนให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ ในการสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้า
บนแผ่นดินนี้ การที่พระองค์ทรงเรียกเราเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเรามีความสามารถ แต่เพราะพระองค์ทรงรัก
และให้เกียรติเรา อีกทั้งพระองค์ยังทรงปรารถนาให้กิจการเล็กๆน้อยๆอันไร้ค่าของเรา เป็นบุญกุศลเพื่อ
ช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น “พระองค์มิได้ทรงมีความจำเป็นที่จะต้องรับคำสรรเสริญใดๆ กระนั้นก็ดี
ยังทรงพระกรุณา โปรดให้ข้าพระเจ้าทั้งหลายได้ขอบพระคุณ คำสดุดีมิได้เพิ่มพูนพระเกียรติ แต่นำ
พระหรรษทานมาช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น” บทขอบพระคุณนี้แสดงนัยสำคัญว่ากิจการดีต่างๆ
ที่มนุษย์ทำไม่มีความจำเป็นใดๆสำหรับพระเจ้าเลย แต่พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์ทำเช่นนั้น เพราะ
ต้องการให้กิจการอันไร้ค่าที่มาจากความพยายามและน้ำใจดีของมนุษย์ นำมาซึ่งพระหรรษทานเพื่อ
ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น
กิจการดีต่างๆที่มนุษย์ทำเป็นสิ่งที่เรียกร้องการตอบแทนจากพระเจ้าไม่ได้ เพราะเพียงพระเจ้าทรงสร้าง
เรามาด้วยความรัก ให้ชีวิตกับเรา ทรงคำจุนชีวิตของเรา เราก็เป็นหนี้พระคุณของพระองค์จนเราไม่อาจ
ตอบแทนได้อย่างสาสม เราจึงต้องพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบแทนความดีและความรักของ
พระองค์เสมอไป “กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ ท่านทั้งหลายก็เกิดผลไม่ได้..... เพราะถ้าไม่มีเรา
ท่านทำอะไรไม่ได้เลย”(ยน.15:4-5) บทรำพึงของผู้หว่านในพระวรสารนักบุญมาระโกบทที่ 4 “เป็นเช่นนี้
ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง”(มก.4:27-28) เป็นความประหลาดใจของผู้ร่วมงาน
ของพระเจ้าด้วยความสุภาพและจริงใจทุกคน เมื่อเห็นผลงานพวกเขาจะรู้สึกอัศจรรย์ใจเพราะพวกเขา
ทำสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ไม่มีค่าอะไร แต่ทำไมเกิดผลอเนกอนันต์เช่นนี้ ด้วยความสุภาพรับรู้การประทับอยู่
ของพระเจ้า ประสบการณ์แห่งความเชื่อสอนพวกเขาว่า เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่างมีพระเจ้าคอย
หนุนนำอยู่เสมอ
เราคริสตชนต้องมีความหวัง มีความวางใจในพระเจ้า และรู้จักรอคอย ท่าทีของผู้หว่านคนนั้นเมื่อเขาหว่าน
เมล็ดข้าวเสร็จแล้ว “เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลาวงวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต”(มก.4:27)
ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงทำงานตลอดเวลา และทราบวันเวลาที่เหมาะสม เรามนุษย์จึงต้องมีความหวัง
ความวางใจในพระองค์ มีความเพียรอดทนรอคอยไม่หวังผลทันตาเห็น และผลตรงกับความคาดหวัง
ของตน เพราะสิ่งที่เราทำเราอาจจะไม่ได้ชื่นชมผลงานเลย หรือผลอาจจะไปเกิดขึ้นกับชนรุ่นหลังซึ่งลืมเรา
ไปแล้ว และผลอาจจะเกิดขึ้นไม่ตรงกับความปรารถนาของเรา ผู้ร่วมงานที่ดีของพระเจ้าจึงต้องเชื่อและ
วางใจในพระองค์ เชื่อมั่นและวางใจว่าพระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา ทรงทำงาน ทรงค้ำจุนกิจการต่างๆ
ที่ดีของเรา และพระองค์จะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างดีและเหมาะสมแก่ผู้ที่รักพระองค์
ความสุภาพถ่อมตนทำให้กิจการต่างๆของผู้ร่วมงานของพระเจ้ามีคุณค่า “นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่
ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ”(ลก.16:9) ดังนั้นเมื่อเราเห็นผลงานบางอย่างเกิดขึ้นบ้าง จงขอบพระคุณพระเจ้า
ถวายทุกสิ่งเป็นเกียรติแด่พระองค์ และสำนึกอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตาม
หน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”(ลก.16:10) ความสุภาพถ่อมตนเช่นนี้แหละที่ทำให้กิจการของเรามีคุณค่าในสาย
พระเนตรของพระองค์
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“ผลงานของพระเจ้า”
พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ทุกคนให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ ในการสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้า
บนแผ่นดินนี้ การที่พระองค์ทรงเรียกเราเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเรามีความสามารถ แต่เพราะพระองค์ทรงรัก
และให้เกียรติเรา อีกทั้งพระองค์ยังทรงปรารถนาให้กิจการเล็กๆน้อยๆอันไร้ค่าของเรา เป็นบุญกุศลเพื่อ
ช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น “พระองค์มิได้ทรงมีความจำเป็นที่จะต้องรับคำสรรเสริญใดๆ กระนั้นก็ดี
ยังทรงพระกรุณา โปรดให้ข้าพระเจ้าทั้งหลายได้ขอบพระคุณ คำสดุดีมิได้เพิ่มพูนพระเกียรติ แต่นำ
พระหรรษทานมาช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น” บทขอบพระคุณนี้แสดงนัยสำคัญว่ากิจการดีต่างๆ
ที่มนุษย์ทำไม่มีความจำเป็นใดๆสำหรับพระเจ้าเลย แต่พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์ทำเช่นนั้น เพราะ
ต้องการให้กิจการอันไร้ค่าที่มาจากความพยายามและน้ำใจดีของมนุษย์ นำมาซึ่งพระหรรษทานเพื่อ
ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น
กิจการดีต่างๆที่มนุษย์ทำเป็นสิ่งที่เรียกร้องการตอบแทนจากพระเจ้าไม่ได้ เพราะเพียงพระเจ้าทรงสร้าง
เรามาด้วยความรัก ให้ชีวิตกับเรา ทรงคำจุนชีวิตของเรา เราก็เป็นหนี้พระคุณของพระองค์จนเราไม่อาจ
ตอบแทนได้อย่างสาสม เราจึงต้องพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบแทนความดีและความรักของ
พระองค์เสมอไป “กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ ท่านทั้งหลายก็เกิดผลไม่ได้..... เพราะถ้าไม่มีเรา
ท่านทำอะไรไม่ได้เลย”(ยน.15:4-5) บทรำพึงของผู้หว่านในพระวรสารนักบุญมาระโกบทที่ 4 “เป็นเช่นนี้
ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง”(มก.4:27-28) เป็นความประหลาดใจของผู้ร่วมงาน
ของพระเจ้าด้วยความสุภาพและจริงใจทุกคน เมื่อเห็นผลงานพวกเขาจะรู้สึกอัศจรรย์ใจเพราะพวกเขา
ทำสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ไม่มีค่าอะไร แต่ทำไมเกิดผลอเนกอนันต์เช่นนี้ ด้วยความสุภาพรับรู้การประทับอยู่
ของพระเจ้า ประสบการณ์แห่งความเชื่อสอนพวกเขาว่า เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่างมีพระเจ้าคอย
หนุนนำอยู่เสมอ
เราคริสตชนต้องมีความหวัง มีความวางใจในพระเจ้า และรู้จักรอคอย ท่าทีของผู้หว่านคนนั้นเมื่อเขาหว่าน
เมล็ดข้าวเสร็จแล้ว “เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลาวงวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต”(มก.4:27)
ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงทำงานตลอดเวลา และทราบวันเวลาที่เหมาะสม เรามนุษย์จึงต้องมีความหวัง
ความวางใจในพระองค์ มีความเพียรอดทนรอคอยไม่หวังผลทันตาเห็น และผลตรงกับความคาดหวัง
ของตน เพราะสิ่งที่เราทำเราอาจจะไม่ได้ชื่นชมผลงานเลย หรือผลอาจจะไปเกิดขึ้นกับชนรุ่นหลังซึ่งลืมเรา
ไปแล้ว และผลอาจจะเกิดขึ้นไม่ตรงกับความปรารถนาของเรา ผู้ร่วมงานที่ดีของพระเจ้าจึงต้องเชื่อและ
วางใจในพระองค์ เชื่อมั่นและวางใจว่าพระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา ทรงทำงาน ทรงค้ำจุนกิจการต่างๆ
ที่ดีของเรา และพระองค์จะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างดีและเหมาะสมแก่ผู้ที่รักพระองค์
ความสุภาพถ่อมตนทำให้กิจการต่างๆของผู้ร่วมงานของพระเจ้ามีคุณค่า “นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่
ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ”(ลก.16:9) ดังนั้นเมื่อเราเห็นผลงานบางอย่างเกิดขึ้นบ้าง จงขอบพระคุณพระเจ้า
ถวายทุกสิ่งเป็นเกียรติแด่พระองค์ และสำนึกอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตาม
หน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”(ลก.16:10) ความสุภาพถ่อมตนเช่นนี้แหละที่ทำให้กิจการของเรามีคุณค่าในสาย
พระเนตรของพระองค์
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 21, 2024 9:31 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 5 )
“คนนิยมคน”
ก่อนอื่นหมดขอทำความเข้าใจกับ “การเป็นคนที่คนนิยม” หมายถึงการมีผู้อื่นสนใจเรา เรายังมีค่าในสายตา
ของผู้คน ยังมีผู้คนนิยมชมชอบในตัวเรา คิดว่านี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
หลายๆคนอาจจะปฏิเสธว่าไม่จริง “ฉันไม่เห็นต้องการให้ผู้คนมานิยมชมชอบในตัวฉันเลย” แต่ลองถามใจ
ตนเองลึกๆว่า “จริงหรือเปล่า” ผ่านวันเวลามาจนถึงวัย 60 กว่าปีตอนนี้มันค่อยๆขยับกว่าไปเรื่อยๆ เคย
ยังมองว่านี่เป็นความจองหองเป็นการหลงตนเองเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อพิจารณาประสบการณ์ที่ผ่านๆมา
ในชีวิตพบว่า “ความต้องให้ผู้คนนิยมชมชอบในตัวเรา” มันน่าจะเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่
ต้องการๆเติมเต็ม ถ้าไม่ได้รับการเติมเต็มอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ เพราะหลายๆคนไม่มีความสุข ขาดกระตือ
รือร้นในการทำงาน รู้สึกว่าชีวิตของตนไร้ค่า ขาดความมั่นใจในตนเอง ปัจจุบันนี้อาจจะเป็นโรคยอดฮิต
“โรคซึมเศร้า” ได้ หลังมิสซาบูชาขอบพระคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ พระสงฆ์จะได้สัมผัสกับความคิด
ของผู้คนหลากหลาย เป็นต้นเกี่ยวกับบทเทศน์ที่ท่านเพิ่งเทศน์ไปในชั่วโมงที่ผ่านมา (บทเทศน์บทเดียวกัน)
บางคนบอกว่า “เทศน์ดีมีข้อคิด” “ชัดเจน” “เทศน์ๆไม่รู้เรื่อง” “เทศน์ยาวไป” “วิชาการมาก” ความจริงมันเป็น
เรื่องนานาจิตตัง แต่ในความรู้สึกที่จริงแล้วเรารู้สึกดีใจในคำนิยมชมชอบ และมันทำให้เรามีความสุขมีความ
กระตือรือร้นในการทำหน้าที่สงฆ์ของเราต่อไป ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายความผิดบาปอะไร เราต้อง
น้อมรับด้วยความรู้คุณที่มีคนมาเติมเต็มธรรมชาติวิสัยความต้องการพื้นฐานความเป็นมนุษย์ของเรา แต่ต้อง
ระวังที่เราจะไม่ไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้ไปเกิดขึ้นกับผู้อื่น อาทิ เขาชมคนอื่น ไปหา
ทักทายพูดคุยกับคนอื่น ฯลฯ เพราะจะทำให้เกิดความน้อยอกน้อยใจ ด้อยค่าตนเอง เกิดความอิจฉา เคล็ดที่
สำคัญในเรื่องดังกล่าวนี้คือ จงมีความสุภาพถ่อมตน จงทำตนเป็นให้ผ่อนคลาย จงเป็นคนใจกว้าง มีเมตตา
ไม่เรื่องมาก สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราเป็นคนที่น่ารักน่าคบหาน่าเข้าใกล้ และสามารถยอมรับตนเองอย่าง
ที่เป็น ความจริงเรื่องที่กล่าวถึงนี้เป็นธรรมชาติวิสัยของคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งด้านบวกและด้าน
ลบ แต่ผู้ที่ต้องระวังในเรื่องนี้มากๆ คือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้ที่อาจจะมีความบกพร่องทางกายภาพด้านต่างๆ
เพราะบุคคลกลุ่มนี้มักจะคิดว่าตนเองเป็นภาระไม่มีค่าในสายตาของผู้อื่นแล้ว เมื่อผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือแบ่งเบา
ภาระอย่างที่เคยทำ หรือให้หยุดทำโน้นทำนี่ด้วยความห่วงใย เราอาจจะแปลความปรารถนาดีความห่วงใยไป
ในแง่ร้าย ลูกหลานมันปีกกล้าขาแข็ง มันดูถูกเรา เราเป็นภาระ เราไม่มีคุณในสายตาของพวกเขาแล้ว คนกลุ่มนี้
เป็นกลุ่มเปราะบางในความรู้สึก เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต่อกันต้องระมัดระวังทั้งผู้ให้และผู้รับ ความสุขภาพถ่อม
ตน ความรัก ความจริงใจ ความอดทน จะสามารถช่วยเราให้สามารถยอมรับตนเอง เข้าใจความรู้สึก ความต้อง
การ ความปรารถนาดี ของกันและกันได้ เพราะกิจการต่างๆที่ปฏิบัติต่อกันจะสามารถเติมเต็มความต้องการพื้น
ฐานตามธรรมชาติวิสัยมนุษย์ให้กันและกันได้ ขอให้ทุกๆคนมีความสุขในการดำเนินชีวิตทุกๆวัน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“คนนิยมคน”
ก่อนอื่นหมดขอทำความเข้าใจกับ “การเป็นคนที่คนนิยม” หมายถึงการมีผู้อื่นสนใจเรา เรายังมีค่าในสายตา
ของผู้คน ยังมีผู้คนนิยมชมชอบในตัวเรา คิดว่านี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
หลายๆคนอาจจะปฏิเสธว่าไม่จริง “ฉันไม่เห็นต้องการให้ผู้คนมานิยมชมชอบในตัวฉันเลย” แต่ลองถามใจ
ตนเองลึกๆว่า “จริงหรือเปล่า” ผ่านวันเวลามาจนถึงวัย 60 กว่าปีตอนนี้มันค่อยๆขยับกว่าไปเรื่อยๆ เคย
ยังมองว่านี่เป็นความจองหองเป็นการหลงตนเองเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อพิจารณาประสบการณ์ที่ผ่านๆมา
ในชีวิตพบว่า “ความต้องให้ผู้คนนิยมชมชอบในตัวเรา” มันน่าจะเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่
ต้องการๆเติมเต็ม ถ้าไม่ได้รับการเติมเต็มอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ เพราะหลายๆคนไม่มีความสุข ขาดกระตือ
รือร้นในการทำงาน รู้สึกว่าชีวิตของตนไร้ค่า ขาดความมั่นใจในตนเอง ปัจจุบันนี้อาจจะเป็นโรคยอดฮิต
“โรคซึมเศร้า” ได้ หลังมิสซาบูชาขอบพระคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ พระสงฆ์จะได้สัมผัสกับความคิด
ของผู้คนหลากหลาย เป็นต้นเกี่ยวกับบทเทศน์ที่ท่านเพิ่งเทศน์ไปในชั่วโมงที่ผ่านมา (บทเทศน์บทเดียวกัน)
บางคนบอกว่า “เทศน์ดีมีข้อคิด” “ชัดเจน” “เทศน์ๆไม่รู้เรื่อง” “เทศน์ยาวไป” “วิชาการมาก” ความจริงมันเป็น
เรื่องนานาจิตตัง แต่ในความรู้สึกที่จริงแล้วเรารู้สึกดีใจในคำนิยมชมชอบ และมันทำให้เรามีความสุขมีความ
กระตือรือร้นในการทำหน้าที่สงฆ์ของเราต่อไป ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายความผิดบาปอะไร เราต้อง
น้อมรับด้วยความรู้คุณที่มีคนมาเติมเต็มธรรมชาติวิสัยความต้องการพื้นฐานความเป็นมนุษย์ของเรา แต่ต้อง
ระวังที่เราจะไม่ไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้ไปเกิดขึ้นกับผู้อื่น อาทิ เขาชมคนอื่น ไปหา
ทักทายพูดคุยกับคนอื่น ฯลฯ เพราะจะทำให้เกิดความน้อยอกน้อยใจ ด้อยค่าตนเอง เกิดความอิจฉา เคล็ดที่
สำคัญในเรื่องดังกล่าวนี้คือ จงมีความสุภาพถ่อมตน จงทำตนเป็นให้ผ่อนคลาย จงเป็นคนใจกว้าง มีเมตตา
ไม่เรื่องมาก สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราเป็นคนที่น่ารักน่าคบหาน่าเข้าใกล้ และสามารถยอมรับตนเองอย่าง
ที่เป็น ความจริงเรื่องที่กล่าวถึงนี้เป็นธรรมชาติวิสัยของคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งด้านบวกและด้าน
ลบ แต่ผู้ที่ต้องระวังในเรื่องนี้มากๆ คือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้ที่อาจจะมีความบกพร่องทางกายภาพด้านต่างๆ
เพราะบุคคลกลุ่มนี้มักจะคิดว่าตนเองเป็นภาระไม่มีค่าในสายตาของผู้อื่นแล้ว เมื่อผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือแบ่งเบา
ภาระอย่างที่เคยทำ หรือให้หยุดทำโน้นทำนี่ด้วยความห่วงใย เราอาจจะแปลความปรารถนาดีความห่วงใยไป
ในแง่ร้าย ลูกหลานมันปีกกล้าขาแข็ง มันดูถูกเรา เราเป็นภาระ เราไม่มีคุณในสายตาของพวกเขาแล้ว คนกลุ่มนี้
เป็นกลุ่มเปราะบางในความรู้สึก เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต่อกันต้องระมัดระวังทั้งผู้ให้และผู้รับ ความสุขภาพถ่อม
ตน ความรัก ความจริงใจ ความอดทน จะสามารถช่วยเราให้สามารถยอมรับตนเอง เข้าใจความรู้สึก ความต้อง
การ ความปรารถนาดี ของกันและกันได้ เพราะกิจการต่างๆที่ปฏิบัติต่อกันจะสามารถเติมเต็มความต้องการพื้น
ฐานตามธรรมชาติวิสัยมนุษย์ให้กันและกันได้ ขอให้ทุกๆคนมีความสุขในการดำเนินชีวิตทุกๆวัน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 6 )
เสาหลักทางความเชื่อสองเสา
การสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล เป็นการสมโภชเสาหลักทางความเชื่อสองเสาของ
พระศาสนจักร นักบุญเปโตรเป็นหลักทางความเชื่อที่เราต้องยึดถือ นักบุญเปาโลเป็นผู้ป้องกัน
ความเชื่อที่เราต้องรักษาไว้ เสาหลักทั้งสองนี้สำคัญมากเพราะความเชื่อของเราต้องเป็นความเชื่อ
ที่สืบเนื่องมาจากอัครสาวก ความเชื่อเปรียบดังเมล็ดพันธุ์แห่งพระหรรษทานที่ถูกหวานลงในใจคน
เมื่อเรารับศีลล้างบาปพระเป็นเจ้า ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อลงในใจเรา เราแต่ละคนจึงมี
หน้าที่บำรุงรักษาและทำให้เติบโตเจริญ งอกงาม เหมือนกับการดูแลต้นไม้เราต้องลดน้ำพรวนดิน
ใส่ปุ๋ย เพื่อทำให้มันเจริญเติบโตให้ดอกให้ผล
เพราะฉะนั้นเมื่อโปรดศีลล้างบาปจึงต้องมีพ่อแม่ทูนหัว และต้องฝากผู้รับศีลล้างบาปใหม่ไว้ในกลุ่ม
คริสตชน เพราะพระศาสนจักรเชื่อว่าความเชื่อของพ่อแม่ทูนหัวและกลุ่มคริสตชนจะช่วยให้ความเชื่อ
ของผู้รับศีลล้างบาปใหม่เจริญเติบโขึ้นในทางที่ถูกที่ควร สิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือคริสตชนมีความเชื่อ
ที่ถูกต้องแค่ไหนสามารถเป็นแบบอย่างได้หรือไม่
ความเชื่อเริ่มต้นจากความรู้และจึงค่อยๆพัฒนาเป็นประสบการณ์ต่อไป เราจะเริ่มต้นจากการรู้จักคนๆหนึ่ง
มีประสบการณ์ที่ดีๆน่าประทับใจกับเขาต่อมาก็จะเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และในที่สุดก็รักกัน คริสตชน
สำรองที่เข้ามาร่วมทุกข์ร่วมสุขในกลุ่มคริสตชนของเราจึงต้องการแบบอย่างและประสบการณ์ที่ดี
พระเยซูคริสตเจ้าทรงเลือกและเรียกอัครสาวกมาร่วมทุกข์ร่วมสุขและมีประสบการณ์กับพระองค์ระยะ
หนึ่งแล้วพระองค์ก็ถามพวกเขาว่ารู้ไหมว่าพระองค์เป็นใคร “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร“
.......... “พวกท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร“ ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของ
พระเจ้าผู้ทรงชีวิต”( มธ. 16:15-16 ) คำตอบของนักบุญเปโตรตัวแทนอัครสาวกดูเหมือนว่าบรรดาอัคร
สาวกรู้จักพระเยซูคริสตเจ้าดีแล้ว แต่หลังจากที่พระเยซูตริสตเจ้าทำนายถึงพระมหาทรมานของพระองค์
ที่จะได้รับ ปฏิกิริยาที่เปโตรและบรรดาอัครสาวกแสดงออกนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกท่านยังไม่รู้จัก
พระองค์เท่าที่ควร นักบุญเปาโลหลังจากได้พบพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์
ทรงแนะนำท่านให้ไปพบอานาเนียซึ่งจะสามารถช่วยเหลือและแนะนำท่านให้รู้จักพระเยซูคริสตเจ้ามากขึ้น
เวลาที่ท่านเทศน์สอนเมื่อมีข้อสงสัยหรือโต้แย้งใดๆท่านจะไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อขอความเห็นจาก นักบุญ
เปโตร ยากอบ และยอห์น ( กจ. บทที่ 9 – 11 ) แสดงให้เห็นว่าความเชื่อที่พระศาสนจักรประกาศสอนสืบ
เนื่องมาจากอัครสาวกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีประสบการณ์รู้จักพระเยซูคริสตเจ้าทีละเล็กทีละน้อยจนแจ่มแจ้ง
เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพและพระจิตเจ้าเสด็จลงมา
สำหรับเราคริสตชนต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ พิจารณาตรวจสอบความเชื่อและการปฏิบัติของเราอยู่เสมอว่า
เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากอัครสาวกหรือไม่ ในการปฏิบัติของคริสตชนมีสิ่งปนเปื้อนเข้ามาในความเชื่อ
มากมายโดยการปฏิบัติที่ไม่รู้จริง เอาธรรมเนียมปฏิบัติที่ปฏิบัติต่อๆกันมาโดยไม่รู้ไม่เข้าเหตุผลว่าทำไม
บรรพบุรุษของเราต้องปฏิบัติอย่างนั้นมาปฏิบัติ อีกทั้งยังบวกกับความเชื่อนอกรีตด้วยว่าถ้าไม่ปฏิบัติจะ
เกิดภัยพิบัติสิ่งเลวร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ คำถามเกี่ยวเรื่องนี้ก็คือ สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร พระเป็นเจ้า
ทำให้เกิดหรือ ถ้าพระองค์เป็นผู้บันดาลให้เกิดพระองค์ก็ไม่ใช่องค์ความดี ความเมตตา ไม่ใช่พระเป็นเจ้า
ของเรา เราไม่ต้องนมัสการพระเป็นเจ้าแบบนี้ ถ้าเป็นวิญญาณของพ่อแม่ปู่ย่าตายายทำกับลูกหลานเช่นนี้
ก็เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ไม่รักเราจริง เราไม่จำต้องให้ความเคารพนับถืออีกต่อไป การปฏิบัติแบบนี้หลายๆเรื่อง
เป็นบาปที่ผิดพระบัญญัติประการที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่าเราปฏิบัติตาม
ความเชื่อของพระศาสนาจักรหรือไม่ ถ้าไม่หรือไม่รู้ต้องถามผู้ที่รู้ก็คือพระสงฆ์นั่นแหละ อย่าไปทะเลาะกับ
พระสงฆ์เพราะเรื่องเหล่านี้เลยเพราะไม่มีพระสงฆ์องค์ไหนยอมให้เราทำบาปหนัก หรือไม่ก็ทนๆไปกับบางสิ่ง
บางอย่างที่ไม่ผิดอะไรนักเพราะท่านไม่ต้องการทะเลาะกับสัตบุรุษนั่นเอง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
เสาหลักทางความเชื่อสองเสา
การสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล เป็นการสมโภชเสาหลักทางความเชื่อสองเสาของ
พระศาสนจักร นักบุญเปโตรเป็นหลักทางความเชื่อที่เราต้องยึดถือ นักบุญเปาโลเป็นผู้ป้องกัน
ความเชื่อที่เราต้องรักษาไว้ เสาหลักทั้งสองนี้สำคัญมากเพราะความเชื่อของเราต้องเป็นความเชื่อ
ที่สืบเนื่องมาจากอัครสาวก ความเชื่อเปรียบดังเมล็ดพันธุ์แห่งพระหรรษทานที่ถูกหวานลงในใจคน
เมื่อเรารับศีลล้างบาปพระเป็นเจ้า ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อลงในใจเรา เราแต่ละคนจึงมี
หน้าที่บำรุงรักษาและทำให้เติบโตเจริญ งอกงาม เหมือนกับการดูแลต้นไม้เราต้องลดน้ำพรวนดิน
ใส่ปุ๋ย เพื่อทำให้มันเจริญเติบโตให้ดอกให้ผล
เพราะฉะนั้นเมื่อโปรดศีลล้างบาปจึงต้องมีพ่อแม่ทูนหัว และต้องฝากผู้รับศีลล้างบาปใหม่ไว้ในกลุ่ม
คริสตชน เพราะพระศาสนจักรเชื่อว่าความเชื่อของพ่อแม่ทูนหัวและกลุ่มคริสตชนจะช่วยให้ความเชื่อ
ของผู้รับศีลล้างบาปใหม่เจริญเติบโขึ้นในทางที่ถูกที่ควร สิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือคริสตชนมีความเชื่อ
ที่ถูกต้องแค่ไหนสามารถเป็นแบบอย่างได้หรือไม่
ความเชื่อเริ่มต้นจากความรู้และจึงค่อยๆพัฒนาเป็นประสบการณ์ต่อไป เราจะเริ่มต้นจากการรู้จักคนๆหนึ่ง
มีประสบการณ์ที่ดีๆน่าประทับใจกับเขาต่อมาก็จะเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และในที่สุดก็รักกัน คริสตชน
สำรองที่เข้ามาร่วมทุกข์ร่วมสุขในกลุ่มคริสตชนของเราจึงต้องการแบบอย่างและประสบการณ์ที่ดี
พระเยซูคริสตเจ้าทรงเลือกและเรียกอัครสาวกมาร่วมทุกข์ร่วมสุขและมีประสบการณ์กับพระองค์ระยะ
หนึ่งแล้วพระองค์ก็ถามพวกเขาว่ารู้ไหมว่าพระองค์เป็นใคร “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร“
.......... “พวกท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร“ ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของ
พระเจ้าผู้ทรงชีวิต”( มธ. 16:15-16 ) คำตอบของนักบุญเปโตรตัวแทนอัครสาวกดูเหมือนว่าบรรดาอัคร
สาวกรู้จักพระเยซูคริสตเจ้าดีแล้ว แต่หลังจากที่พระเยซูตริสตเจ้าทำนายถึงพระมหาทรมานของพระองค์
ที่จะได้รับ ปฏิกิริยาที่เปโตรและบรรดาอัครสาวกแสดงออกนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกท่านยังไม่รู้จัก
พระองค์เท่าที่ควร นักบุญเปาโลหลังจากได้พบพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์
ทรงแนะนำท่านให้ไปพบอานาเนียซึ่งจะสามารถช่วยเหลือและแนะนำท่านให้รู้จักพระเยซูคริสตเจ้ามากขึ้น
เวลาที่ท่านเทศน์สอนเมื่อมีข้อสงสัยหรือโต้แย้งใดๆท่านจะไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อขอความเห็นจาก นักบุญ
เปโตร ยากอบ และยอห์น ( กจ. บทที่ 9 – 11 ) แสดงให้เห็นว่าความเชื่อที่พระศาสนจักรประกาศสอนสืบ
เนื่องมาจากอัครสาวกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีประสบการณ์รู้จักพระเยซูคริสตเจ้าทีละเล็กทีละน้อยจนแจ่มแจ้ง
เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพและพระจิตเจ้าเสด็จลงมา
สำหรับเราคริสตชนต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ พิจารณาตรวจสอบความเชื่อและการปฏิบัติของเราอยู่เสมอว่า
เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากอัครสาวกหรือไม่ ในการปฏิบัติของคริสตชนมีสิ่งปนเปื้อนเข้ามาในความเชื่อ
มากมายโดยการปฏิบัติที่ไม่รู้จริง เอาธรรมเนียมปฏิบัติที่ปฏิบัติต่อๆกันมาโดยไม่รู้ไม่เข้าเหตุผลว่าทำไม
บรรพบุรุษของเราต้องปฏิบัติอย่างนั้นมาปฏิบัติ อีกทั้งยังบวกกับความเชื่อนอกรีตด้วยว่าถ้าไม่ปฏิบัติจะ
เกิดภัยพิบัติสิ่งเลวร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ คำถามเกี่ยวเรื่องนี้ก็คือ สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร พระเป็นเจ้า
ทำให้เกิดหรือ ถ้าพระองค์เป็นผู้บันดาลให้เกิดพระองค์ก็ไม่ใช่องค์ความดี ความเมตตา ไม่ใช่พระเป็นเจ้า
ของเรา เราไม่ต้องนมัสการพระเป็นเจ้าแบบนี้ ถ้าเป็นวิญญาณของพ่อแม่ปู่ย่าตายายทำกับลูกหลานเช่นนี้
ก็เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ไม่รักเราจริง เราไม่จำต้องให้ความเคารพนับถืออีกต่อไป การปฏิบัติแบบนี้หลายๆเรื่อง
เป็นบาปที่ผิดพระบัญญัติประการที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่าเราปฏิบัติตาม
ความเชื่อของพระศาสนาจักรหรือไม่ ถ้าไม่หรือไม่รู้ต้องถามผู้ที่รู้ก็คือพระสงฆ์นั่นแหละ อย่าไปทะเลาะกับ
พระสงฆ์เพราะเรื่องเหล่านี้เลยเพราะไม่มีพระสงฆ์องค์ไหนยอมให้เราทำบาปหนัก หรือไม่ก็ทนๆไปกับบางสิ่ง
บางอย่างที่ไม่ผิดอะไรนักเพราะท่านไม่ต้องการทะเลาะกับสัตบุรุษนั่นเอง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 7 )
“ไม่ต้องกลัวที่จะมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น”
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา
ในความสัมพันธ์ “อาดัม” มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างไม่สามารถอยู่คนเดียวกับสิ่งสร้างอื่นๆได้
พระเจ้าจึงทรงสร้าง “เอวา” ให้มาเป็นเพื่อนชีวิตที่เหมาะสมกับเขา ดังนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถดำรง
ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ในลักษณะเป็น “เกาะ” อยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใคร ถ้าใครมีความรู้สึกว่าไม่ชอบ
พบปะกับผู้คนชอบอยู่คนเดียวกลัวการเข้าสังคม ต้องรับรู้ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นและลอง
พิจารณา
ชความรู้สึกเช่นนี้อย่างจริงจัง เพราะอาจเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า
“Social anxiety disorder” “Social phobia” ผู้ที่กลัวการเผชิญหน้า พูดคุยกับผู้อื่น การเข้าสังคม
เป็นต้นกับคนระดับเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนที่มีอาการเช่นนี้บางคนจึงชอบคบกับเด็ก เพราะรู้สึกว่า
ตนเองมีบางอย่างที่เหนือกว่า เมื่อเผชิญหน้าและพูดคุยกับผู้อื่นจะมีอาการกลัวประหม่า เพราะกลัว
คนจะวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินตนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงผู้อื่นอาจไม่ได้มีความคิด
ทำนองนี้เลย ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากการมโนคิดไปเองทั้งสิ้น อาการทางจิตแบบนี้มีผลต่อการทำงาน
ภาวะผู้นำ การไปโรงเรียน การเข้าสังคม ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ฯลฯ จึงขอแนะนำว่า “ให้ไปพบ
จิตแพทย์ เพราะปัจจุบันนี้พบวิธีการรักษาแล้ว” ความจริงแล้วหลายๆเรื่องราวปัญหาต่างๆในชีวิตคน
“เหมือนเส้นผมบังภูเขา” เห็นชื่อภาษาฝรั่งแปลเสียยืดยาวคิดแล้วน่ากลัวมาก ข้าฯเคยพบเด็กหนุ่ม
น่าสงสารมากบุคลิกภายนอกดูดี๊ดี แต่ไม่มีเพื่อนไม่มีใครคบหาจึงล้มเหลวในการสร้างความสัมพันธ์
กับผู้อื่น ในระหว่างเข้าค่ายเยาวชนเขาเข้าพบและเล่าเรื่องความทุกข์ใจให้ฟังเพราะล้มเหลวในการ
สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ข้าฯจึงเล่าเรื่อง “ข้าฯมีหน้าตาเป็นอาวุธ” ที่เคยเขียนมาหลายครั้งแล้ว
ให้เขาฟัง พอมาถึงตอนอยู่โคราช (บ้านเณรกลาง) ชวนเพื่อนไปดูหนัง แต่ไม่มีโอกาสได้ดูเพราะต้อง
วิ่งหนีวัยรุ่นแถวๆนั้นก่อน เพราะพวกเขาไปเรียกพักพวกมาเยอะแยะไปหมด และพูดกันเสียงดังว่า
“มึงดูไอ้สองตัวนั้นเป็นต้นไอ้ตัวเล็กๆผอมๆนั่น มันมองหน้ากูหน้าตามันกวนตีนชะมัดเลยวะ” พอได้ยิน
ดังนั้นจึงต้องวิ่งก่อน เด็กหนุ่มคนนั้นฟังแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นเลยทีเดียว และข้าฯก็ให้คำแนะนำ
อย่างที่มีผู้คนแนะนำข้าฯไป “คิดถึงคนอื่นบ้าง ทักทายคนอื่นก่อน ถามไถ่ทุกข์สุขของเขา ยิ้มให้คนอื่น
บ้าง และข้าฯถึงขนาดบอกกับพนักงานว่า “ถ้ายกมือไหว้ ทักทาย สวัสดีข้าฯ แล้วข้าฯไม่เห็นไม่ได้ยิน
ก็สามารถเข้ามาดึงแขนหรือแขนเสื้อของข้าฯได้” เด็กหนุ่มคนนั้นฟังแล้วก็ขำ แต่เขาไปลองทำดูแล้ว
กลับมาบอกว่าได้ผลจริงๆ มีคนยิ้มให้เขาพูดคุยกับเขามากขึ้นเขารู้สึกดีมีความสุข ความจริงเรื่องนี้ไ
ม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า “การออกจากตนเองมีความสุภาพมากๆ หัดรักผู้อื่น
ให้เป็น ถ้าอยากให้ผู้อื่นทำอย่างไรกับเราๆก็ทำอย่างนั้นกับผู้อื่นก่อน (ด้วยความจริงใจ)” แค่นี้ปัญหา
ก็แก้ได้แล้วโดยไม่ต้องไปพบจิตแพทย์ หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังนี้คงจะช่วยให้หลายๆคนมีความสุขกับ
การดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน เจริญพร
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“ไม่ต้องกลัวที่จะมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น”
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา
ในความสัมพันธ์ “อาดัม” มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างไม่สามารถอยู่คนเดียวกับสิ่งสร้างอื่นๆได้
พระเจ้าจึงทรงสร้าง “เอวา” ให้มาเป็นเพื่อนชีวิตที่เหมาะสมกับเขา ดังนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถดำรง
ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ในลักษณะเป็น “เกาะ” อยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใคร ถ้าใครมีความรู้สึกว่าไม่ชอบ
พบปะกับผู้คนชอบอยู่คนเดียวกลัวการเข้าสังคม ต้องรับรู้ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นและลอง
พิจารณา
ชความรู้สึกเช่นนี้อย่างจริงจัง เพราะอาจเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า
“Social anxiety disorder” “Social phobia” ผู้ที่กลัวการเผชิญหน้า พูดคุยกับผู้อื่น การเข้าสังคม
เป็นต้นกับคนระดับเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนที่มีอาการเช่นนี้บางคนจึงชอบคบกับเด็ก เพราะรู้สึกว่า
ตนเองมีบางอย่างที่เหนือกว่า เมื่อเผชิญหน้าและพูดคุยกับผู้อื่นจะมีอาการกลัวประหม่า เพราะกลัว
คนจะวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินตนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงผู้อื่นอาจไม่ได้มีความคิด
ทำนองนี้เลย ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากการมโนคิดไปเองทั้งสิ้น อาการทางจิตแบบนี้มีผลต่อการทำงาน
ภาวะผู้นำ การไปโรงเรียน การเข้าสังคม ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ฯลฯ จึงขอแนะนำว่า “ให้ไปพบ
จิตแพทย์ เพราะปัจจุบันนี้พบวิธีการรักษาแล้ว” ความจริงแล้วหลายๆเรื่องราวปัญหาต่างๆในชีวิตคน
“เหมือนเส้นผมบังภูเขา” เห็นชื่อภาษาฝรั่งแปลเสียยืดยาวคิดแล้วน่ากลัวมาก ข้าฯเคยพบเด็กหนุ่ม
น่าสงสารมากบุคลิกภายนอกดูดี๊ดี แต่ไม่มีเพื่อนไม่มีใครคบหาจึงล้มเหลวในการสร้างความสัมพันธ์
กับผู้อื่น ในระหว่างเข้าค่ายเยาวชนเขาเข้าพบและเล่าเรื่องความทุกข์ใจให้ฟังเพราะล้มเหลวในการ
สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ข้าฯจึงเล่าเรื่อง “ข้าฯมีหน้าตาเป็นอาวุธ” ที่เคยเขียนมาหลายครั้งแล้ว
ให้เขาฟัง พอมาถึงตอนอยู่โคราช (บ้านเณรกลาง) ชวนเพื่อนไปดูหนัง แต่ไม่มีโอกาสได้ดูเพราะต้อง
วิ่งหนีวัยรุ่นแถวๆนั้นก่อน เพราะพวกเขาไปเรียกพักพวกมาเยอะแยะไปหมด และพูดกันเสียงดังว่า
“มึงดูไอ้สองตัวนั้นเป็นต้นไอ้ตัวเล็กๆผอมๆนั่น มันมองหน้ากูหน้าตามันกวนตีนชะมัดเลยวะ” พอได้ยิน
ดังนั้นจึงต้องวิ่งก่อน เด็กหนุ่มคนนั้นฟังแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นเลยทีเดียว และข้าฯก็ให้คำแนะนำ
อย่างที่มีผู้คนแนะนำข้าฯไป “คิดถึงคนอื่นบ้าง ทักทายคนอื่นก่อน ถามไถ่ทุกข์สุขของเขา ยิ้มให้คนอื่น
บ้าง และข้าฯถึงขนาดบอกกับพนักงานว่า “ถ้ายกมือไหว้ ทักทาย สวัสดีข้าฯ แล้วข้าฯไม่เห็นไม่ได้ยิน
ก็สามารถเข้ามาดึงแขนหรือแขนเสื้อของข้าฯได้” เด็กหนุ่มคนนั้นฟังแล้วก็ขำ แต่เขาไปลองทำดูแล้ว
กลับมาบอกว่าได้ผลจริงๆ มีคนยิ้มให้เขาพูดคุยกับเขามากขึ้นเขารู้สึกดีมีความสุข ความจริงเรื่องนี้ไ
ม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า “การออกจากตนเองมีความสุภาพมากๆ หัดรักผู้อื่น
ให้เป็น ถ้าอยากให้ผู้อื่นทำอย่างไรกับเราๆก็ทำอย่างนั้นกับผู้อื่นก่อน (ด้วยความจริงใจ)” แค่นี้ปัญหา
ก็แก้ได้แล้วโดยไม่ต้องไปพบจิตแพทย์ หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังนี้คงจะช่วยให้หลายๆคนมีความสุขกับ
การดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน เจริญพร
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 8 )
“ยิ่งวิทยาการสมัยใหม่เจริญขึ้นมากเท่าใด
พระธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระเจ้าจะถูกเปิดเผยมากเท่านั้น”
คิดถึงเรื่องเล่าที่พระสงฆ์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังในระหว่างสอนคำสอน คุณป้าท่านหนึ่งเป็นภารโรง
ที่มหาวิทยาลัยดัง ก่อนไปถึงที่ทำงานแกแวะซื้อส้มเขียนหวานมาครึ่งกิโล เอาไว้กินล้างปากหลัง
จากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ก่อนซื้อแกได้ต่อราคาและชิมจนพอใจ หลังจากนั้นแกไปทำงาน
ระหว่างที่เดินไปยังหอประชุมแกเห็นป้ายโฆษณามีข้อความเชิญชวนว่า
“วันนี้มีโต้วาที เรื่องพระเจ้า มีจริงหรือไม่” แกอ่านด้วยความสนใจ และจงใจไปเริ่มต้นทำงานของแก
ที่ห้องน้ำในหอประชุมแห่งนั้น แกล้างห้องน้ำไปและฟังการโต้วาทีไปด้วยใจระทึก เพราะแกเชียร์ฝ่าย
ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ยิ่งเชียร์แกยิ่งรู้สึกเสียใจเพราะฝ่ายที่แกเชียร์ทำท่าจะจนด้วยเหตุผล และ
ในที่สุดก็แพ้อย่างไม่เป็นท่า แกโมโหมากเดินโผล่เข้าในห้องประชุมและตะโกนเสียงดังว่า
“ไอ้อาจารย์และนักศึกษาน่าโง่ทั้งหลาย พวกแกรู้หรือเปล่าว่า “ล้มลูกนี้” หวานหรือไม่หวาน” อาจารย์
และนักศึกษาตอบว่า “ไม่รู้หรอก” แกถามอยากรู้หรือเปล่าว่า “หวานหรือไม่หวาน” ถ้าอยากรู้ก็เอาไป
ชิมกันดู เมื่อทุกคนชิมแล้วก็บอกว่า “หวานดีนิป้า” พวกแกรู้เพราะพวกแกได้ชิม กูเนี่ยโว้ยไปวัดอยู่เสมอๆ
สวดภาวนาทุกวันมา 50 กว่าปีแล้ว กูได้สัมผัสพระองค์ได้ลิ้มรสความดีงามของพระองค์ กูจึงแน่ใจว่า
“พระเจ้ามีอยู่จริง” ส่วนพวกมึงไม่เชื่อไม่รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพราะพวกมึงไม่เคยทำแบบกูไงไอ้พวกหน้าโง่
ชาร์ล ดาวิน คิดค้นทฤษฎีวิวัฒนาการ สอนว่า “โลกและสรรพสิ่งเกิดจากการวิวัฒนาการ” กลุ่มก๊าซที่หลุด
มาจากดวงอาทิตย์เย็นลง มีน้ำเกิดขึ้นบนโลกและในน้ำมีชีวิตเซลล์เดียว แล้วจากนั้นชีวิตเซลล์เดียวก็
วิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ต่อมามีนักคิดอีกท่านหนึ่งชื่อ เตยารด์ เดอ ชาร์แดง มาตั้งคำถามว่า
“ชีวิตเซลล์เดียวในน้ำมาจากไหน” จากสิ่งไม่มีชีวิตมีแล้วมีชีวิตได้อย่างไร เขาบอกว่า
“ได้เอาน้ำใส่หลอดทดลอง ส่องดูจนแน่ใจว่าไม่มีชีวิตอะไรแน่นอน ตั้งไว้ในห้องทดลองมาตั้งนานแล้ว
ไม่เห็นมีชีวิตเซลล์เดียวเลย” คำตอบในเวลานั้นคือ “มีพลังบางอย่างทำให้เกิดการก้าวกระโดดอย่างแรง
และไกลมากทำให้เกิดชีวิตเซลล์เดียวขึ้น” พลังนั้นเรียกว่าอะไรไม่สำคัญ แต่ศาสนาคริสต์เรียกว่า
“God พระเจ้า” ศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า “พรม” พวกคุณจะเรียกว่าอะไร “ก็เรื่องของคุณ” ออกไปเดินออก
กำลังกายบนเขื่อนข้างๆบ้าน เห็นเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากๆทุกวัน คิดถึงตอนเด็กๆบ้านอยู่ริมคลองทำ
ของหนักๆตกน้ำต้องลงไปจม เหรียญบาทเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึง ตกน้ำตามร่องกระดานต้อง
รอน้ำแห้งคลองจึงค่อยลงไปเก็บ ไม่น่าเชื่อนะว่าเวลานี้เหล็กหนักตั้งหลายๆตันลอยน้ำได้ และสามารถบิน
เหมือนนกเสียด้วย เห็นเรื่องราวเหล่านี้จึงเฝ้าชื่นชมปรีชาญาณของพระเจ้าในการสร้างสรรค์ และวางกฎ
เกณฑ์ทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างยอดเยี่ยม แล้วมนุษย์มาค้นพบภายหลังจึงอย่าทะนงตนว่า
“ตนเองเก่งกล้าสามารถนักหนา” เราจึงต้องขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าในทุกกรณีแห่งชีวิต
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“ยิ่งวิทยาการสมัยใหม่เจริญขึ้นมากเท่าใด
พระธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระเจ้าจะถูกเปิดเผยมากเท่านั้น”
คิดถึงเรื่องเล่าที่พระสงฆ์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังในระหว่างสอนคำสอน คุณป้าท่านหนึ่งเป็นภารโรง
ที่มหาวิทยาลัยดัง ก่อนไปถึงที่ทำงานแกแวะซื้อส้มเขียนหวานมาครึ่งกิโล เอาไว้กินล้างปากหลัง
จากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ก่อนซื้อแกได้ต่อราคาและชิมจนพอใจ หลังจากนั้นแกไปทำงาน
ระหว่างที่เดินไปยังหอประชุมแกเห็นป้ายโฆษณามีข้อความเชิญชวนว่า
“วันนี้มีโต้วาที เรื่องพระเจ้า มีจริงหรือไม่” แกอ่านด้วยความสนใจ และจงใจไปเริ่มต้นทำงานของแก
ที่ห้องน้ำในหอประชุมแห่งนั้น แกล้างห้องน้ำไปและฟังการโต้วาทีไปด้วยใจระทึก เพราะแกเชียร์ฝ่าย
ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ยิ่งเชียร์แกยิ่งรู้สึกเสียใจเพราะฝ่ายที่แกเชียร์ทำท่าจะจนด้วยเหตุผล และ
ในที่สุดก็แพ้อย่างไม่เป็นท่า แกโมโหมากเดินโผล่เข้าในห้องประชุมและตะโกนเสียงดังว่า
“ไอ้อาจารย์และนักศึกษาน่าโง่ทั้งหลาย พวกแกรู้หรือเปล่าว่า “ล้มลูกนี้” หวานหรือไม่หวาน” อาจารย์
และนักศึกษาตอบว่า “ไม่รู้หรอก” แกถามอยากรู้หรือเปล่าว่า “หวานหรือไม่หวาน” ถ้าอยากรู้ก็เอาไป
ชิมกันดู เมื่อทุกคนชิมแล้วก็บอกว่า “หวานดีนิป้า” พวกแกรู้เพราะพวกแกได้ชิม กูเนี่ยโว้ยไปวัดอยู่เสมอๆ
สวดภาวนาทุกวันมา 50 กว่าปีแล้ว กูได้สัมผัสพระองค์ได้ลิ้มรสความดีงามของพระองค์ กูจึงแน่ใจว่า
“พระเจ้ามีอยู่จริง” ส่วนพวกมึงไม่เชื่อไม่รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพราะพวกมึงไม่เคยทำแบบกูไงไอ้พวกหน้าโง่
ชาร์ล ดาวิน คิดค้นทฤษฎีวิวัฒนาการ สอนว่า “โลกและสรรพสิ่งเกิดจากการวิวัฒนาการ” กลุ่มก๊าซที่หลุด
มาจากดวงอาทิตย์เย็นลง มีน้ำเกิดขึ้นบนโลกและในน้ำมีชีวิตเซลล์เดียว แล้วจากนั้นชีวิตเซลล์เดียวก็
วิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ต่อมามีนักคิดอีกท่านหนึ่งชื่อ เตยารด์ เดอ ชาร์แดง มาตั้งคำถามว่า
“ชีวิตเซลล์เดียวในน้ำมาจากไหน” จากสิ่งไม่มีชีวิตมีแล้วมีชีวิตได้อย่างไร เขาบอกว่า
“ได้เอาน้ำใส่หลอดทดลอง ส่องดูจนแน่ใจว่าไม่มีชีวิตอะไรแน่นอน ตั้งไว้ในห้องทดลองมาตั้งนานแล้ว
ไม่เห็นมีชีวิตเซลล์เดียวเลย” คำตอบในเวลานั้นคือ “มีพลังบางอย่างทำให้เกิดการก้าวกระโดดอย่างแรง
และไกลมากทำให้เกิดชีวิตเซลล์เดียวขึ้น” พลังนั้นเรียกว่าอะไรไม่สำคัญ แต่ศาสนาคริสต์เรียกว่า
“God พระเจ้า” ศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า “พรม” พวกคุณจะเรียกว่าอะไร “ก็เรื่องของคุณ” ออกไปเดินออก
กำลังกายบนเขื่อนข้างๆบ้าน เห็นเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากๆทุกวัน คิดถึงตอนเด็กๆบ้านอยู่ริมคลองทำ
ของหนักๆตกน้ำต้องลงไปจม เหรียญบาทเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึง ตกน้ำตามร่องกระดานต้อง
รอน้ำแห้งคลองจึงค่อยลงไปเก็บ ไม่น่าเชื่อนะว่าเวลานี้เหล็กหนักตั้งหลายๆตันลอยน้ำได้ และสามารถบิน
เหมือนนกเสียด้วย เห็นเรื่องราวเหล่านี้จึงเฝ้าชื่นชมปรีชาญาณของพระเจ้าในการสร้างสรรค์ และวางกฎ
เกณฑ์ทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างยอดเยี่ยม แล้วมนุษย์มาค้นพบภายหลังจึงอย่าทะนงตนว่า
“ตนเองเก่งกล้าสามารถนักหนา” เราจึงต้องขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าในทุกกรณีแห่งชีวิต
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 9 )
อุปสรรคแห่งศรัทธา
พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญมาระโกบทที่ 6 ข้อ 1- 6 ทำให้เราต้องกลับมา
พิจารณาไตร่ตรองดูว่า ในการดำเนินชีวิตคริสตชนของเรามีอะไรที่เป็นอุปสรรคแห่งความศรัทธาที่ทำ
ให้ความเชื่อ ของเราหวั่นไหว และทำให้เราไม่ได้รับพระหรรษทานที่เราควรจะได้รับบ้างหรือไม่ มีความ
รู้สึกนึกคิดหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมมันให้ดีเราก็จะตกเป็นทาสของมัน และ
ในที่สุดสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นอุปสรรคแห่งความศรัทธา ทำให้บางคนไม่สวดภาวนาไม่มาร่วม
มิสซาบูชาขอบพระคุณ ไม่มารับศีลอภัยบาป เขาจึงไม่ได้รับพระหรรษทานที่เขาควรจะได้รับ อุปสรรค
แห่งความศรัทธาเหล่านี้อาจจะเป็น อคติกับบุคคล การยึดมั่นถือมั่นในบางเรื่อง การตัดสินผู้อื่นเพียง
ภายนอก ความอิจฉา ความจองหอง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้หลายๆครั้งมันจะเกิดขึ้นกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
เราจึงต้องหมั่นพิจารณาตนเองบ่อยๆ เพื่อเราจะได้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นทาสของมัน
พระเยซูคริสตเจ้ากลับไปเมืองนาซาเร็ธถิ่นกำเนิดของพระองค์ พระองค์ทรงไปเทศน์สอนในศาลาธรรม
ทุกคนต่างประหลาดใจในคำสอนของพระองค์ พวกเขาสงสัยว่าพระองค์สามารถสอนดีๆอย่างนี้ได้อย่างไร
พระองค์ไปเอาความรู้ความปรีชาฉลาดเช่นมาจากไหน พวกเขาสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์เพราะ
พระองค์เป็นเพียงลูกช่างไม้จนๆคนหนึ่งเท่านั้น “คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์......พี่น้องของเขาก็อยู่ที่นี่
กับพวกเรามิใช่หรือ คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจ และไม่ยอมรับพระองค์” ( มก. 6: 3 ) สิ่งที่ทำให้พวกเขา
สะดุดใจก็อาจจะเป็นเพราะความอิจฉาและความยากจนของครอบครัวของพระองค์ก็เป็นได้ เข้าตำราที่ว่า
มีเงินเรียกน้อง มีทองเรียกพี่ ใกล้เกลือกินด่าง หญ้าหน้าบ้านคนอื่นเขียวกว่าหน้าบ้านของตนเองเสมอ
อคติ ความอิจฉา การตัดสินผู้อื่นเพียงภายนอกอย่างนี้ทำให้คนในบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์ไม่ได้
รับพระหรรษทานที่เขาสมควรจะได้รับ “พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้......และทรงรู้สึกแปลกพระทัย
ที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ” ( มก. 6: 5-6 )
คริสตชนหลายคนเสียโอกาสดีๆที่จะได้รับพระพรเพราะขาดความรู้ มีความเข้าใจไม่ดีพอ อาทิ ในศีล
อภัยบาปพระสงฆ์อภัยบาปได้จริงหรือ เพียงได้ยินคนที่ไม่มีความเชื่อพูดว่า “เป็นคริสตังดีจริงๆทำบาป
ทำชั่วแล้วไปแก้ได้” บางคนก็ไม่รู้ความหมายของบาปพิจารณามโนธรรมไม่เป็นก็เลยคิดว่าตนเองไม่มีบาป
เพราะไม่เคยโกงใครทำร้ายใคร ทั้งๆที่บาปอาจเกิดจาก ความคิด วาจา กิจการ และการละเลยไม่ทำในสิ่ง
ที่ต้องทำ บางคนชื่นชมคำสอนของคนอื่นทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการอ่านพระคัมภีร์ของเราและ
หยิบยกบ้างประโยคเอามาพูดให้เราฟัง คริสตชนคนหนึ่งซาบซึ้งคำนิยามแห่งความรักจากรายการวิทยุ
มากจนน้ำตาไหล และมาเล่าให้พ่อฟังแถมยังต่อว่าพ่ออีกว่าทำไมศาสนาของเราไม่สอนอะไรที่มันซาบซึ้ง
ไม่อย่างนี้บ้าง เมื่อพ่อฟังจบจึงบอกให้เขารอสักครู่หนึ่งแล้วเข้าไปหยิบพระคัมภีร์เปิด 1 โครินธ์ บทที่ 13
ให้เขาอ่าน เขาร้องโอ้โฮมาจากนี่เอง ปรากฏว่าความซาบซึ้งมากจากพระคัมภีร์ของเราเองแต่เขาไม่เคย
อ่าน บางคนไม่ชอบพระสงฆ์ก็ไม่มาร่วมมิสซาบูชาขอบพระคุณ ฯลฯ พี่น้องต้องระวังให้มากๆ ความรู้สึก
ที่ไม่ดีผิดๆ อคติต่างๆ การตัดสินคนอื่นเพียงภายนอกอาจเกิดขึ้นกับเราโดยเราไม่รู้ตัว เราต้องมีสติหมั่น
พิจารณาตนเองบ่อยๆ คิดก่อนตัดสินใจทำเราจะได้ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ และไม่เสียโอกาสที่จะ
ได้รับพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
อุปสรรคแห่งศรัทธา
พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญมาระโกบทที่ 6 ข้อ 1- 6 ทำให้เราต้องกลับมา
พิจารณาไตร่ตรองดูว่า ในการดำเนินชีวิตคริสตชนของเรามีอะไรที่เป็นอุปสรรคแห่งความศรัทธาที่ทำ
ให้ความเชื่อ ของเราหวั่นไหว และทำให้เราไม่ได้รับพระหรรษทานที่เราควรจะได้รับบ้างหรือไม่ มีความ
รู้สึกนึกคิดหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมมันให้ดีเราก็จะตกเป็นทาสของมัน และ
ในที่สุดสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นอุปสรรคแห่งความศรัทธา ทำให้บางคนไม่สวดภาวนาไม่มาร่วม
มิสซาบูชาขอบพระคุณ ไม่มารับศีลอภัยบาป เขาจึงไม่ได้รับพระหรรษทานที่เขาควรจะได้รับ อุปสรรค
แห่งความศรัทธาเหล่านี้อาจจะเป็น อคติกับบุคคล การยึดมั่นถือมั่นในบางเรื่อง การตัดสินผู้อื่นเพียง
ภายนอก ความอิจฉา ความจองหอง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้หลายๆครั้งมันจะเกิดขึ้นกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
เราจึงต้องหมั่นพิจารณาตนเองบ่อยๆ เพื่อเราจะได้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นทาสของมัน
พระเยซูคริสตเจ้ากลับไปเมืองนาซาเร็ธถิ่นกำเนิดของพระองค์ พระองค์ทรงไปเทศน์สอนในศาลาธรรม
ทุกคนต่างประหลาดใจในคำสอนของพระองค์ พวกเขาสงสัยว่าพระองค์สามารถสอนดีๆอย่างนี้ได้อย่างไร
พระองค์ไปเอาความรู้ความปรีชาฉลาดเช่นมาจากไหน พวกเขาสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์เพราะ
พระองค์เป็นเพียงลูกช่างไม้จนๆคนหนึ่งเท่านั้น “คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์......พี่น้องของเขาก็อยู่ที่นี่
กับพวกเรามิใช่หรือ คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจ และไม่ยอมรับพระองค์” ( มก. 6: 3 ) สิ่งที่ทำให้พวกเขา
สะดุดใจก็อาจจะเป็นเพราะความอิจฉาและความยากจนของครอบครัวของพระองค์ก็เป็นได้ เข้าตำราที่ว่า
มีเงินเรียกน้อง มีทองเรียกพี่ ใกล้เกลือกินด่าง หญ้าหน้าบ้านคนอื่นเขียวกว่าหน้าบ้านของตนเองเสมอ
อคติ ความอิจฉา การตัดสินผู้อื่นเพียงภายนอกอย่างนี้ทำให้คนในบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์ไม่ได้
รับพระหรรษทานที่เขาสมควรจะได้รับ “พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้......และทรงรู้สึกแปลกพระทัย
ที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ” ( มก. 6: 5-6 )
คริสตชนหลายคนเสียโอกาสดีๆที่จะได้รับพระพรเพราะขาดความรู้ มีความเข้าใจไม่ดีพอ อาทิ ในศีล
อภัยบาปพระสงฆ์อภัยบาปได้จริงหรือ เพียงได้ยินคนที่ไม่มีความเชื่อพูดว่า “เป็นคริสตังดีจริงๆทำบาป
ทำชั่วแล้วไปแก้ได้” บางคนก็ไม่รู้ความหมายของบาปพิจารณามโนธรรมไม่เป็นก็เลยคิดว่าตนเองไม่มีบาป
เพราะไม่เคยโกงใครทำร้ายใคร ทั้งๆที่บาปอาจเกิดจาก ความคิด วาจา กิจการ และการละเลยไม่ทำในสิ่ง
ที่ต้องทำ บางคนชื่นชมคำสอนของคนอื่นทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการอ่านพระคัมภีร์ของเราและ
หยิบยกบ้างประโยคเอามาพูดให้เราฟัง คริสตชนคนหนึ่งซาบซึ้งคำนิยามแห่งความรักจากรายการวิทยุ
มากจนน้ำตาไหล และมาเล่าให้พ่อฟังแถมยังต่อว่าพ่ออีกว่าทำไมศาสนาของเราไม่สอนอะไรที่มันซาบซึ้ง
ไม่อย่างนี้บ้าง เมื่อพ่อฟังจบจึงบอกให้เขารอสักครู่หนึ่งแล้วเข้าไปหยิบพระคัมภีร์เปิด 1 โครินธ์ บทที่ 13
ให้เขาอ่าน เขาร้องโอ้โฮมาจากนี่เอง ปรากฏว่าความซาบซึ้งมากจากพระคัมภีร์ของเราเองแต่เขาไม่เคย
อ่าน บางคนไม่ชอบพระสงฆ์ก็ไม่มาร่วมมิสซาบูชาขอบพระคุณ ฯลฯ พี่น้องต้องระวังให้มากๆ ความรู้สึก
ที่ไม่ดีผิดๆ อคติต่างๆ การตัดสินคนอื่นเพียงภายนอกอาจเกิดขึ้นกับเราโดยเราไม่รู้ตัว เราต้องมีสติหมั่น
พิจารณาตนเองบ่อยๆ คิดก่อนตัดสินใจทำเราจะได้ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ และไม่เสียโอกาสที่จะ
ได้รับพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 10 )
พลังแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า
พระเยซูคริสตเจ้าทรงส่งบรรดาศิษย์ออกไปประกาศข่าวดีเป็นคู่ๆ โดยกำชับว่าให้เอาอุปกรณ์
ยังชีพไปน้อยที่สุด “มิให้นำสิ่งใดไปด้วยนอกจากไม้เท้าเท่านั้น ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่าม ไม่ให้
มีเศษเงินใส่ไถ้ ให้สวมรองเท้าได้ แต่ไม่ให้เอาเสื้อสำรองไปด้วย”(มก.6:8-9) รายละเอียดจาก
พระวรสาร 3 ฉบับ มัทธิว มาระโก และลูกา มีความแตกต่างกันในเรื่องไม้เท้ากับรองเท้า แต่ถ้า
พิจารณาโดยภาพรวมเราพบสรุปได้ว่า “ในการประกาศข่าวดีจงอย่าเชื่อมั่นฝากความหวังความสำเร็จ
ไว้กับพลังศักยภาพของอุปกรณ์และสิ่งภายนอก” ทั้งๆที่พระองค์ทรงทราบดีว่าในการออกไปประกาศ
ข่าวดีจะต้องประสบกับปัญหาและภัยอันตรายต่างๆ “เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนักป่า”
(ลก.10:3) แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ดีและสำคัญกว่าที่บรรดาศิษย์ต้องมีและพกพานำไปด้วยเสมอ
นั่นก็คือ “ความเชื่อมั่นในพลังแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า”
การส่งไปเป็นคู่ๆ คำมั่นสัญญาของพระเยซูคริสตเจ้า “ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอน
ขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดา....จะประทานให้ เพราะที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เรา
อยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”(มธ.18:19-20) คำภาวนาเพื่อบรรดาสาวกก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ “โลกจะ
เกลียดชังเขา.....ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน”(ยน.17:14-21) สิ่งต่างๆ
ที่กล่าวถึงนี้เป็นการตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของพลังแห่งความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของบรรดาศิษย์ ซึ่งเป็นพลังแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเขา และพลังนี้เองเป็น
พลังอำนาจที่สามารถปกป้องคุ้มครองบรรดาศิษย์ให้ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ
หน้าที่ตามคำสั่งของพระองค์ และพลังอำนาจนี้สามารถเกิดขึ้นทุกๆที่และทุกๆครั้งที่เราทำตามคำสั่ง
ของพระองค์ ในครอบครัวของเรา ในชุมชนวัด ในที่ทำงานของเรา ฯลฯ
อำนาจที่พระเยซูคริสตเจ้ามอบให้อัครสาวกก่อนออกไปประกาศข่าวดี “ประทานอำนาจเหนือปีศาจ
และพลังการรักษาโรค”(ลก.9:1) ถ้าเราพิจารณาในด้านความรับผิดชอบอำนาจจะมาพร้อมกับหน้าที่
เสมอ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวดีไม่ใช่มีเฉพาะการประกาศข่าวดีเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้กับ
ความชั่วร้ายและภัยทางสังคมด้วย พระวรสารบางตอนบันทึกไว้ชัดเจนว่า ต้องขจัดความชั่วร้ายและ
ภัยทางสังคมเสียก่อน แล้วจึงประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว เพราะถ้ายังมีปัญหาเรื่อง
ยาเสพติด การพนันซึงเป็นดั่งปีศาจสิงสู่ และมีความแตกแยก การฉ้อโกง เรื่องผิดศีลธรรมซึ่งเปรียบ
เหมือนความป่วยไข้ทางสังคมอยู่ การประกาศข่าวดีจะเป็นไปได้ยาก ผู้ประกาศข่าวดีจึงมีหน้าที่ในการ
ขจัดเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนการปรับผืนดินให้พร้อมที่จะรับเมล็ดพันธุ์ซึ่งผู้หว่านเตรียมมาหว่านลง
คริสตชนทุกคนมีหน้าที่ประกาศข่าวดีตามคำสอนของพระศาสนจักรในยุคปัจจุบัน พระวาจาของพระเจ้า
ประจำอาทิตย์นี้จึงกระตุ้นเตือนใจเราให้เป็นผู้ประกาศพระวาจาที่ดีด้วยวาจาและด้วยการดำเนินชีวิตเป็น
พยาน ถ้าเราได้พยายามทำหน้าที่ของเราอย่างดีแล้วก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด เพราะพระเจ้าผู้ประทับอยู่ท่าม
กลางเราจะเป็นพลังค้ำจุนชีวิตของเรา และช่วยเหลือเราให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหล่านั้น
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
พลังแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า
พระเยซูคริสตเจ้าทรงส่งบรรดาศิษย์ออกไปประกาศข่าวดีเป็นคู่ๆ โดยกำชับว่าให้เอาอุปกรณ์
ยังชีพไปน้อยที่สุด “มิให้นำสิ่งใดไปด้วยนอกจากไม้เท้าเท่านั้น ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่าม ไม่ให้
มีเศษเงินใส่ไถ้ ให้สวมรองเท้าได้ แต่ไม่ให้เอาเสื้อสำรองไปด้วย”(มก.6:8-9) รายละเอียดจาก
พระวรสาร 3 ฉบับ มัทธิว มาระโก และลูกา มีความแตกต่างกันในเรื่องไม้เท้ากับรองเท้า แต่ถ้า
พิจารณาโดยภาพรวมเราพบสรุปได้ว่า “ในการประกาศข่าวดีจงอย่าเชื่อมั่นฝากความหวังความสำเร็จ
ไว้กับพลังศักยภาพของอุปกรณ์และสิ่งภายนอก” ทั้งๆที่พระองค์ทรงทราบดีว่าในการออกไปประกาศ
ข่าวดีจะต้องประสบกับปัญหาและภัยอันตรายต่างๆ “เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนักป่า”
(ลก.10:3) แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ดีและสำคัญกว่าที่บรรดาศิษย์ต้องมีและพกพานำไปด้วยเสมอ
นั่นก็คือ “ความเชื่อมั่นในพลังแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า”
การส่งไปเป็นคู่ๆ คำมั่นสัญญาของพระเยซูคริสตเจ้า “ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอน
ขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดา....จะประทานให้ เพราะที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เรา
อยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”(มธ.18:19-20) คำภาวนาเพื่อบรรดาสาวกก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ “โลกจะ
เกลียดชังเขา.....ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน”(ยน.17:14-21) สิ่งต่างๆ
ที่กล่าวถึงนี้เป็นการตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของพลังแห่งความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของบรรดาศิษย์ ซึ่งเป็นพลังแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเขา และพลังนี้เองเป็น
พลังอำนาจที่สามารถปกป้องคุ้มครองบรรดาศิษย์ให้ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ
หน้าที่ตามคำสั่งของพระองค์ และพลังอำนาจนี้สามารถเกิดขึ้นทุกๆที่และทุกๆครั้งที่เราทำตามคำสั่ง
ของพระองค์ ในครอบครัวของเรา ในชุมชนวัด ในที่ทำงานของเรา ฯลฯ
อำนาจที่พระเยซูคริสตเจ้ามอบให้อัครสาวกก่อนออกไปประกาศข่าวดี “ประทานอำนาจเหนือปีศาจ
และพลังการรักษาโรค”(ลก.9:1) ถ้าเราพิจารณาในด้านความรับผิดชอบอำนาจจะมาพร้อมกับหน้าที่
เสมอ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวดีไม่ใช่มีเฉพาะการประกาศข่าวดีเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้กับ
ความชั่วร้ายและภัยทางสังคมด้วย พระวรสารบางตอนบันทึกไว้ชัดเจนว่า ต้องขจัดความชั่วร้ายและ
ภัยทางสังคมเสียก่อน แล้วจึงประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว เพราะถ้ายังมีปัญหาเรื่อง
ยาเสพติด การพนันซึงเป็นดั่งปีศาจสิงสู่ และมีความแตกแยก การฉ้อโกง เรื่องผิดศีลธรรมซึ่งเปรียบ
เหมือนความป่วยไข้ทางสังคมอยู่ การประกาศข่าวดีจะเป็นไปได้ยาก ผู้ประกาศข่าวดีจึงมีหน้าที่ในการ
ขจัดเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนการปรับผืนดินให้พร้อมที่จะรับเมล็ดพันธุ์ซึ่งผู้หว่านเตรียมมาหว่านลง
คริสตชนทุกคนมีหน้าที่ประกาศข่าวดีตามคำสอนของพระศาสนจักรในยุคปัจจุบัน พระวาจาของพระเจ้า
ประจำอาทิตย์นี้จึงกระตุ้นเตือนใจเราให้เป็นผู้ประกาศพระวาจาที่ดีด้วยวาจาและด้วยการดำเนินชีวิตเป็น
พยาน ถ้าเราได้พยายามทำหน้าที่ของเราอย่างดีแล้วก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด เพราะพระเจ้าผู้ประทับอยู่ท่าม
กลางเราจะเป็นพลังค้ำจุนชีวิตของเรา และช่วยเหลือเราให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหล่านั้น
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์