เรื่องสั้น คติสอนใจ ชุดที่ ( 9 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:29 pm

( 1 )

นิทาน เรื่อง
ช่วงที่แย่ที่สุดและยากที่สุด


มดผู้โชคร้ายสองตัว ตกลงไปในแก้ว มันต่างตื่นตระหนก เดินวกไปวนมาเพื่อหาทาง
ออกจากแก้วใบนั้น และครู่ต่อมา มันก็รู้ว่า ที่ก้นแก้ว ไม่มีรูที่มันจะลอดออกไปได้
มันทั้งสองพากันมองไปที่ปากแก้ว

“นั่นคือประตูสู่อิสรภาพ” มดตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น

แต่พอมันเริ่มไต่ขึ้นปากแก้ว ไม่กี่ก้าว มันก็ตกลงมา เพราะความมันวาวของแก้ว
พวกมันคลำตูดตัวเอง แล้วก็ลุกขึ้นฮึดสู้อีกครั้ง ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5
จนมาถึงครั้งนี้.... มันปีนขึ้นไปจนเกือบถึงปากแก้วแต่เพราะความโค้งมนของแก้ว ทำให้
มันทั้งสองตกลงมา กระแทกกับก้นแก้วอีกครั้ง และเป็นครั้งที่ตกมาเจ็บที่สุด❗

มดทั้งสองหยุดพักเพื่อให้หายเจ็บตัว จากนั้นมดตัวหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า

“เราอย่าทำอย่างนี้อีกเลย มันอันตราย เดี๋ยวจะจบชีวิตกันเสียก่อน”
อีกตัวหนึ่งกลับเอ่ยแย้งว่า

“เมื่อสักครู่นี้ เราอยู่ใกล้ความสำเร็จ เพียงแค่เอื้อมมือ ข้าจะลองดูอีกสักครั้ง”

พูดเสร็จมันก็ปีนขึ้นไปใหม่อีกครั้ง และเป็นเวลาครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันปีนขึ้นไป
จนเกือบจะพ้นปากแก้ว แต่ก็ตกลงมาเสียก่อน จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง
ที่มือของมันจับที่ปากแก้วได้ มันตื่นเต้นดีใจ และใช้กำลังที่มีอยู่
จนสุดแรงกายแรงใจ เบี่ยงตัวเองจนพลัดตกออกนอกแก้วใบนั้น

มดที่อยู่ข้างใน ดีใจ ร้องเสียงหลงด้วยความอิจฉา
“บอกฉันมาสิ ว่าเธอมีเคล็ดลับอะไร❓

มดที่ได้รับอิสรภาพ บอกแก่มดในแก้วว่า

“ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ อาจเป็นช่วงที่แย่ที่สุดและยากที่สุด
ใครที่ไม่สูญเสียความมั่นใจคนนั้นคือ ผู้ชนะ”

ด้วยประโยคข้างต้น ทำให้มดที่อยู่ในแก้ว เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
มันไม่กลัวว่า จะตกลงมาอีกหรือไม่ จึงปีนขึ้นปากแก้วอีกครั้ง แม้ครั้งนี้
มันจะตกลงมา เหมือนครั้งที่แล้ว มันก็ไม่สูญเสียความเชื่อมั่น
เพราะมันเชื่อเสียแล้วว่า มันออกจากปากแก้วได้ และก็เป็นจริงอย่างที่มันคิด
สุดท้ายมันก็ปีนออกจากก้นแก้วได้

เพราะมดตัวแรกไม่ละทิ้ง และสร้างความศรัทธา ว่า "ทำสำเร็จได้"
ให้แก่มดอีกตัวหนึ่ง ยืนหยัดในความศรัทธา แม้จะเห็นว่ามันอาจล้มเหลว

ฝากไว้ให้คิด... สำหรับผู้ที่เริ่มสร้างชีวิต และผู้ที่กำลังประสบกับ
ปัญหาของชีวิต “ภาระที่คุณได้รับ คือ ทิศทางของคุณ
ประสบการณ์คือ ต้นทุน นิสัยของคุณคือ ชะตาชีวิตของคุณ”

Cr : นุสนธิ์บุคส์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 25, 2024 7:05 pm

( 2 )


คนรุ่นใหม่ไม่นิยมสะสมวัตถุให้เป็นภาระของชีวิตแล้ว..

ชูศักดิ์ ไตรศรีศิลป์

1.พ.ศ.2561 คนญี่ปุ่น ‘ทิ้งบ้าน’ 8.49 ล้านหลัง
เพราะไม่อยากมีภาระค่าดูแล บำรุง รักษา จ้างแม่บ้าน ซ่อมแซม บ้าน เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ประจำทุกปี และจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายในอนาคตตามมามากมายฯลฯ

2.รัฐบาลญี่ปุ่นนำบ้านร้างเหล่านี้ออกมาประมูลขายในราคาถูกแต่ก็มีคนซื้อน้อยมากเพราะคนญี่ปุ่น
เริ่มคิดว่า การมีบ้าน หมายถึงการมีภาระ ยิ่งบ้านใหญ่โตเท่าไหร่ ก็ต้องมีภาระมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
และไม่มีอิสระในการล่าฝัน

3.คนญี่ปุ่นนิยมเช่าห้องพัก หรือบ้านเช่าราคาถูกอยู่มากกว่าเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเช่นค่าซ่อมบำรุง
ทำความสะอาด ค่าอินเตอร์เน็ต และเครื่องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ย้ายบ้านตามสถานการณ์ที่ทำงานเปลี่ยน
แปลง และมีอิสระทางการเงิน

4.ในปี พ.ศ.2566 รัฐบาลญี่ปุ่นประมาณการว่าจะมีคนญี่ปุ่น ‘ทิ้งบ้าน’ ให้ร้างมากถึง 10 ล้านหลังพ.ศ.2581
หรืออีก16 ปีข้างหน้าจะมีคนญี่ปุ่น"ทิ้งบ้าน’ ของตนเองมากถึง 23.03 ล้านหลัง

5.แนวโน้มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในญี่ปุ่น แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก ทั้งในยุโรปและ
อเมริกา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและโลกไรัพรมแดน ทำให้ " การทำงานต้องลดค่าใช้จ่ายลดการเดินทาง
ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง" การเมืองแบ่งขั้ว เกิดสงคราม ภาวะโลกเดือด อากาศหนาวจัด มีหิมะผิดฤดูกาล
น้ำท่วม มาก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และสังคมของโลกใช้ไอทีที่ไร้พรมแดนเปลี่ยนแปลงไป

6.แล้วมุมมองคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป มีบ้านที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ New House ที่ไม่ใช่บ้านเกิดที่เรียน ที่ทำ
งานต้องอยู่ที่เดิมจนตาย ต้องการทำงานลดลง แต่มีอิสระในการทำงานและการเงินมากขึ้นลดค่าใช้จ่าย
และได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก กลับมีเงินเก็บมากกว่าที่อยู่ในประเทศตนเองที่ต้องทำงานมากกว่า และมีค่า
ใช้จ่ายในการครองชีพสูงไม่เหลือเงินเก็บ ไว้ใช้ยามชรา

7.คนรุ่นใหม่จะพยายามลดการสะสมทรัพย์สิน ทางโลกียะทรัพย์สินให้ตัวเบามากที่สุดในทุกมิติ และนำ
ทรัพยากร เงินและเวลาไปหา"ความสุขสงบ ทำงาน ให้เป็นประโยชน์ คู่ขนานกับการคืนกำไรให้ตัวเอง
และสังคม" เป็นการสร้าง"อริยะทรัพย์สินมากขึ้น ดูงบดุลชีวิตมากกว่างบการเงินและบัญชี"

8.ยิ่งนานวัน มนุษย์ยิ่งเข้าใจแล้วว่า การสะสม"โลกียะทรัพย์สิน" คือภาระ คือ เป็นสิ่งรกรุงรัง ให้กับตัวเอง
และลูกหลาน เป็นการขัดขวางความเจริญก้าวหน้า และ มีห่วงที่ทำให้การล่าฝันไปไม่ถึงที่สุดของจุดเป้า
หมายชีวิต

9.มนุษย์เริ่มคิดว่า เราทำงานหนักเอาสุขภาพไปเพื่อแลกเงิน แต่ดันไปใช้เงินกับการซื้อสะสมวัตถุ ได้วัตถุ
จำนวนมากแล้วก็ตายไปแล้วก็เอาไปไม่ได้ โดยที่ไม่ได้ใช้สินทรัพย์ที่หามาได้ทำให้ ตนเองมีความสุขเลย
กับเป็นภาระของลูกหลานต้องรักษาหรือหาทางขายซึ่งก็ยาก

10.ลูกหลานใช้ของเราก็ไม่ได้"ตกรุ่นสมัย" ขายก็ยากไม่ได้ราคาเป็นการสะสมของเก่าของโบราณ หรือ
ของใช้" บางคนผ่อนบ้านจนตายยังผ่อนไม่หมด และลูกหลานก็ไม่ยอมผ่อนต่อ" ขายในระหว่างจำนอง
ทำให้ขาดทุน

11."มนุษย์ยุคใหม่จึงเน้น การทำงาน กิน เที่ยว เดินทางล่าฝันหาความสุขสงบไปทั่วโลกคู่ขนานกับการคืน
กำไรให้แก่ตัวเองในทุกมิติด้านจิตใจ และกายโดยจะดูแลจิตใจตัวเองมากกว่าดูแลร่างกาย เพื่อให้มี
ความสุขที่สมบูรณ์แบบ สุขขะ จิตตะ กายะ มากว่าสร้างโลกียะทรัพย์สินเป็นภาระให้ตัวเองและลูกหลาน"
ในอนาคต

12.จึงเกิดเป็นที่มาของบ้านเช่าพำนักพักในระยะยาวแสนสุขโข Wellness Green ParkCommunity"
และโรงแรมในเครืออีกหลายแห่งที่จังหวัดเชียงราย อยู่ตรงข้ามสนามกอล์ฟสันติบุรีเชียงรายเพื่อ ที่เรา
ไม่ต้องแบกภาระหนักอึ้งในทุกด้านทุกมิติ เป็นการปล่อยวางทางโลกี
ยะทรัพย์สิน"ทำให้มีอิสระภาพทางการเงินและมีการออกแบบวางแผนของชีวิตตนเองอย่างอัจฉริยะมี
ระบบ อย่างมีวินัยให้ตนเองไม่เป็นภาระหน้าที่ของผู้อื่นแม้นแต่ลูกหลานของตนเองโดยเป็นที่พึ่งแห่งตนเอง"

13.บริการมี 5 โซน 5 ช่วงอายุวัยของคนดังนี้

14.สีเขียว(เข้ม)ขจี ( Dark Green)เป็นวัยทำงาน อายุ 21ปี ถึง55 ปีโดยทำเป็นโฮมออฟฟิศ ทำงานส่ง
กลับประเทศต้นทาง( Work to home) อยู่เพื่อ ได้มีการท่องเที่ยว เพื่อการศึกษา ได้เพื่อนร่วมงาน เป็น
บ้านหลังใหม่เรียกว่า New House พร้อมย้ายบ้านอย่างเหมาะสม ตามที่ทำงาน และตามสถานการณ์
โดยไม่มีภาระ ต้องซื้อ ต้องสร้าง ต้องขาย ต้องรักษาบ้านโลกี ยะทรัพย์สินโดย มาพำนักอยู่แบบมีชุมชน
มีเพื่อน และสังคม ทำให้ไม่เป็นโรคซึมเศร้าและโรค อัลไซเมอร์ จากไปแบบตัวเบาสบายๆ ไม่สร้างภาระ
ให้ใคร

15.บ้านหลังสุดท้าย Last Sweet Home สำหรับ สว. มี 4 ระดับสี ตามอายุและมีความสามารถ
ในการช่วยตนเองตามความสมบูรณ์

16. สีเขียวอ่อน(Banana Leave) ต้องช่วยตัวเองได้ 100% อายุระหว่าง 55 ปี ถึง75ปีมีเทรนเนอร์ดูแล
เน้นการป้องกัน มากกว่าการบำบัด รักษา ดูแลด้าน วิทยาศาสตร์การอาหาร กายบริหาร และการท่อง
เที่ยวเชิงสุขภาพภายในประเทศ และประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตามความเหมาะสม

17. สีส้มอายุ76 ปีถึง 86 ปี ช่วยตัวเองได้เกิน 60% มีเทรนเนอร์ และบริบาลเป็นพี่เลี้ยงดูแลฟื้นฟูให้
กลับมาเป็นสีเหลืองอ่อนช่วยตัวเองได้โดยเน้นอาหารช่วยการ บำบัดรักษาการฟื้นฟู( Medical.Food)
โดยสมุนไพรไทย

18. สีแดง อายุ 87 ปีขึ้นไปช่วยตัวเองได้ต่ำกว่า50%จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตมีพยาบาลและหมอดูแล
แบบประคับประคองเน้นทางด้านจิตใจให้เข้มแข็ง สงบ ทำใจได้มากขึ้น

19.สีเทามีบริการทำพินัยกรรม มีบริการพิธีกรรมทางศาสนาทุกศาสนารวมถึงส่งเถ้ากระดูกกลับภูมิลำเนา
บ้านเกิดเมืองนอน

20.วางแผนชีวิตดี ออกแบบชีวิตดี มีชัยไปกว่าครึ่ง "ช้างถ้ายังไม่ตายไม่ต้องรีบถอดงา คุณค่าของช้าง
ราคา และความสง่างามจะหมดไป"

21.ดั่งคำขวัญ "ก่อนตายใช้เงินไม่หมดดีกว่าเศร้าสลดเงินหมดแต่ยังไม่ตาย" ไม่ทิ้งภาระหนี้สินให้ลูกหลาน

22. คนไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ และไม่ควรมีมรดกหนี้ทิ้งไว้ให้ลูกหลานใช้หนี้ต่อ

23.ถ้าหากว่ามีการวางแผนการของชีวิตแบบพุทธทาสภิกขุ พุทธแท้ มาตัวเปล่าและไปก็ตัวเปล่า แสนสุขโข
Wellnees Green ParkCommunity คือทางเลือกที่เราจะ"ออกแบบชีวิตจริงของเราได้อย่างมีความสุขสงบ
มีประโยชน์อย่างคุณภาพและมีความสง่างาม"

แด่กัลยาณมิตราจารย์ทุกท่านส่งต่อได้ครับสนใจติดต่อสอบถามราละเอียดได้ที่คุณชูศักดิ์ ไตรศรีศิลป์
0819509566
นักวิชาการอิสระ ปราชญ์ชาวบ้าน นักคิด นักเขียน ผู้บรรยาย นักพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์ แบบธรรมะวาณิช(FairTradeModel)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 01, 2024 7:09 pm

( 3 )

“เงิน”มิใช่ทุกอย่างของชีวิต..!!!
•••••••••••••
จอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์ ผู้เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม

จอห์น. ดี. รอคกี้เฟลเลอร์ (บิดา) มีเงินถึงหนึ่งล้านเหรียญเมื่ออายุเพียง ๓๔ (สามสิบสี่) ปี และเมื่อ
อายุ ๔๓ (สี่สิบสาม) ปี ได้เป็นผู้ตั้งบริษัทผูกขาดในการค้าน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือบริษัทน้ำมัน
สแตนดาร์ดออยล์ (Standard Oil) แต่พออายุ ๕๓ (ห้าสิบสาม) ปี สุขภาพของเขาเสื่อมโทรมมาก
เพราะนิสัยชอบทุกข์ร้อนเคร่งเครียดของเขา ผู้เขียนประวัติของเขา คนหนึ่งกล่าวว่า
“เมื่อรอคกี้เฟลเลอร์อายุ ๕๓ ปี รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนมัมมี่”

เมื่ออายุ ๕๓ ปี เป็นโรคเครื่องย่อยอาหารพิการอย่างรุนแรง จนผมร่วง ขนตาและอื่น ๆ ก็ร่วง
ขนคิ้วยังเหลืออยู่เพียงหยอมแหยม

แพทย์ บอกว่า ที่เขาหัวล้านเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากประสาทอ่อนกำลัง เขาสะดุ้งกลัวมาก จนเขาต้อง
สวมฝาครอบผ้าบาง ๆ ปิดศีรษะอยู่ตลอดเวลา ต่อมาเขาซื้อผมปลอมชนิดสีเงินมาสวม ราคาชุดละ
ห้าร้อยเหรียญ และสวมผมปลอมต่อมาจนตลอดชีวิต

เดิมที รอคกี้เฟลเลอร์เป็นผู้มีอนามัยดี แข็งแรง ปราดเปรียว ครั้นพออายุได้ ๕๓ ปี ไหล่ของเขาตก
เดินกระย่องกระแย่ง ทั้งนี้สืบเนื่องจากการทำงานหักโหมหนัก วิตกทุกข์ร้อนไม่รู้จักสิ้นสุด โมโหโทโส
ดุด่าไม่เว้นแต่ละวัน กลางคืนนอนไม่หลับ ขาดการบริหารร่างกายและพักผ่อนหย่อนใจ

ดู เถิด มหาเศรษฐีแท้ ๆ ทำไมจึงกลายเป็นผู้ไร้ความสุขไปได้ แม้ว่าขณะนั้นเขาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย
ที่สุดในโลก เขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่คนยากคนจนไม่อยากจะแตะต้อง รายได้ของเขาเวลานั้น
ตกสัปดาห์ละหนึ่งล้านเหรียญ แต่ค่าอาหารประจำวันของเขาทุกมื้อ ตกเพียงสัปดาห์ละสองเหรียญเท่านั้น

รอคกี้เฟลเลอร์อยากให้คนทั้งหลายรักเขา แต่ปรากฏว่า มีคนชอบเขามีเพียงไม่กี่คน คนส่วนมากเกลียดเขา
ไม่ต้องการติดต่อเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ว่าในทางธุรกิจ หรือในทางใด ๆ แม้น้องชายของเขาเองก็เกลียดเขา
จนถึงกับพาลูก ๆ ออกไปจากบ้านประจำตระกูล ซึ่งรอคกี้เฟลเลอร์สร้างขึ้น น้องชายของเขาพูดว่า
“ฉันไม่ยอมให้สายเลือดของฉันต้องอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เป็นของเจ้าจอห์น.ดี.”

เสมียนพนักงานของเขาก็ไม่ชอบเขา หวาดกลัวเขาไปตาม ๆ กัน เพราะรอคกี้เฟลเลอร์เป็นคนขี้ระแวง
เขาเป็นคนไว้วางใจมนุษย์ด้วยกันน้อยที่สุด

ปรากฏว่า ในบริเวณบ่อน้ำมันต่าง ๆ ในรัฐเพ็นซิลเวเนีย รอคกี้เฟลเลอร์เป็นคนที่ถูกเกลียดชังมากที่สุด
ในโลก คู่แข่งขันของเขา ซึ่งถูกทำลายย่อยยับไปแล้วด้วยวิธีต่าง ๆ ต่างเคียดแค้นชิงชังเขา และอยากจะ
แขวนคอเขาเป็นที่สุด มีจดหมายแช่งชักหักกระดูกรวมทั้งขู่เข็ญจะเอาชีวิตหลั่งไหลมาสู่สำนักงานของเขา
นับไม่ถ้วน เขาต้องการองครักษ์จำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันชีวิต

ลงท้าย เขาได้ประจักษ์ความจริงว่า ตัวเขาหนีความเป็นมนุษย์ไปไม่พ้น เขาไม่สามารถทนทานต่อความ
เกลียดชังของคนหมู่มาก ซึ่งอยู่รอบตัวเขา และไม่สามารถทนทานต่อความทุกข์ร้อนซึ่งมีอยู่ประจำได้
ผลก็คือสุขภาพของเขาเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ เขาต้องเผชิญกับศัตรูใหม่คือความเจ็บป่วย อาการของเขา
คือนอนไม่หลับ เครื่องย่อยอาหารพิการ จิตใจของเขาสุมอยู่ด้วยความทุกข์ร้อนกระสับกระส่าย

แพทย์ ได้บอกความจริงกับเขาว่า ขอให้เขาเลือกเอาอย่างหนึ่ง คือ ธุรกิจการเงินหรือชีวิต และจะต้องตัดสิ
นใจเลือกอย่างรวดเร็วด้วย ถ้าเขาเลือกเอาชิวิตไว้ ขอให้เลิกงานด้านธุรกิจอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นเขาจะ
ต้องตายอย่างแน่นอน

เขาเลือกเอาชีวิตไว้ แพทย์ได้วางกฎ ๓ ข้อให้เขาปฎิบัติอย่างเคร่งครัด คือ

1. อย่าวิตกทุกข์ร้อนในสิ่งหนึ่งสิ่งใดทุก ๆ กรณี

2. พักผ่อนด้วยการออกกำลังกายขนาดเบากลางแจ้ง

3. ระวังเรื่องอาหารประจำวัน อย่ากินเมื่อยังไม่หิว

รอคกี้เฟลเลอร์ ปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ ผลก็คือ เขารอดตาย เขาหยุดงานด้านธุรกิจ แต่หันมาสนใจ
เรื่องของเพื่อนบ้าน และเล่นกีฬาในร่มเล็ก ๆ น้อย ๆ

ระหว่างที่รอคกี้เฟลเลอร์ทรมานจากโรคนอนไม่หลับและหยุดงานธุรกิจแล้วนั้น เขามีเวลาเหลือเฟือที่
จะคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ เขาเริ่มคิดถึงผู้อื่น เขาเลิกคิดถึงเรื่องการกอบโกยเงิน แต่เขากลับคิดว่า เขาจะต้อง
ใช้เงินจำนวนสักเท่าใด จึงจะสามารถสร้างความสุขให้ปวงมนุษย์ในโลกได้

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมา เขาเริ่มบริจาคเงินจำนวนล้าน ๆ เพื่อสาธารณกุศล

วิทยาลัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ซึ่งกำลังจะถูกธนาคารยึด แต่ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัย
แห่งชิคาโก เพราะการช่วยเหลือของเขา โดยการบริจาคเงินหลายล้านเหรียญ เขาบริจาคเงินช่วยเหลือ
การศึกษาของชาวนิโกร

เขาเองอีกนั่นแหละ บริจาคเงินหลายล้านเหรียญในการปราบพยาธิปากขอจนหมดไปจากภาคใต้ของ
สหรัฐอเมริกา เขาได้ตั้งมูลนิธิอันยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก นั่นคือ รอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ ซึ่งมีวัตถุ
ประสงค์ที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ และเพื่อความสุขสวัสดีของปวงมนุษย์ทั่วโลก

ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ว่า จะมีองค์กรใดได้บำเพ็ญประโยชน์แก่มนุษย์อย่างกว้างใหญ่
ไพศาลเหมือนรอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ รอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิเป็นสิ่งแปลกและใหม่ของโลก เขาให้ทุนเพื่อการ
ศึกษาค้นคว้าสิ่งต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งในวงการแพทย์ด้วย เราต้องขอบคุณเขาในเรื่องยาหลายชนิด
เช่น เพนนิซิลิน, ยาในการรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เขาร่วมบริจาคในการต่อสู้ทำลายโรคมาเลเรีย วัณโรค
ไข้หวัดใหญ่ โรคคอตีบ และโรคอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งระบาดอยู่ทั่วโลก

สำหรับรอคกี้เฟลเลอร์เอง ได้รับผลจากการปฏิบัติเช่นนั้นของเขาอย่างดียิ่ง คือได้รับสันติสุขทางใจ
อย่างล้นเหลือ ได้รับความยกย่องนับถือไปทั่วโลก

“ยอห์น. ดี. รอคกี้เฟลเลอร์ ผู้ซึ่งกำลังจะตายเมื่ออายุ ๕๓ ปี กลับเป็นผู้มีอายุยืนถึง ๙๘ (เก้าสิบแปด) ปี
อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เพราะเขาได้เปลี่ยนชีวิตของเขา จากความหน้าเลือดเห็นแก่ได้เอารัดเอาเปรียบ
มาเป็นผู้เสียสละ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อความสุขของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และตัวเขาเองก็กลายเป็นผู้มี
ความสุขความสงบแห่งจิต เขาเปลี่ยนคนเกลียดชังให้รักใคร่ เพราะเขาเปลี่ยนแปลงแนวคิด การกระทำ
ของเขาก่อน รวมความว่าเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง ทำตัวเขาให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ทำความดีและ
เพิ่มพูนความดีอยู่เรื่อย ๆ ความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริงอยู่ตรงนี้”
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ค. 02, 2024 10:28 pm

( 4 )

หญิงสาวชาวเหนือแต่งงานกับหนุ่มใต้
หญิงสาวไม่ทานเผ็ด แต่หนุ่มใต้ขาดเผ็ดไม่ได้
มีอยู่วันหนึ่ง หญิงสาวกลับบ้านแม่ พ่อของเธอซึ่งชอบทานเค็มเป็นคนทำอาหาร
เมื่อถึงเวลาทานข้าว คุณแม่ของเธอถือถ้วยใส่น้ำร้อนมาใบหนึ่งก่อนทาน แม่ของเธอ
ก็คีบอาหารผ่านน้ำร้อนในถ้วย จากนั้นถึงคีบเข้าปาก ทานอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่พูดอะไร
เธอสังเกตสิ่งที่แม่ทำ จึงเข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่จึงอยู่กันได้ยืดยาว
.
วันต่อมาเธอทำอาหารที่สามีชอบทาน แน่นอน แต่ละอย่างมีรสเผ็ดจัดจ้าน
แต่ตรงหน้าของเธอ มีน้ำร้อนอยู่ถ้วยหนึ่ง สามีของเธอเห็นภรรยาคีบอาหารผ่านน้ำร้อน
แล้วก็ทานอย่างเอร็ดอร่อย น้ำตาก็รินขึ้นมา
.
วันต่อมา สามีของเธออาสาทำอาหารบ้าง แต่อาหารที่เขาปรุงไม่มีอะไรที่เผ็ดเลยสักอย่าง
แต่ว่า ตรงหน้าของเขา มีจานเล็กๆที่มีพริกอยู่เต็มจาน ทุกครั้งที่เขาตักข้าวเข้าปาก
เขาก็จะหยิบพริกในจานนั้นตามเข้าปากไปด้วย ทุกคำข้าวอร่อยเหมือนเดิม
.
เพื่อชีวิตร่วม เขาเลือกที่จะเพิ่มจานพริก เธอเลือกที่จะเพิ่มถ้วยน้ำร้อน
.
นี่คือปรัชญาในการร่วมชีวิต
ประชากรบนโลกมีมากถึง 7 พัน 2 ร้อยล้านกว่าคน คนที่ใช้ชีวิตร่วมกับคุณ
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง สามีภรรยาและญาติมิตรหากมิใช่มีวาสนาต่อกันมา
จะมาร่วมชีวิตกันได้อย่างไร? รักและถนอมคนรอบตัวให้มาก เพราะเราต่างมี
วาสนาที่ได้มาอยู่ร่วมกัน

:s023:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.ค. 02, 2024 10:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ค. 02, 2024 10:37 pm

( 5 )


รู้ไหมว่าการเป็นผู้ใหญ่มันมีค่า มีราคาต้องจ่าย!! การเติบโตเป็นผู้ใหญ่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ชีวิตเราต้องแลกและต้องเลือก กับหลายๆ เหตุการณ์
...
เราจ่ายค่าโง่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อที่เราจะได้ฉลาดขึ้น เราจ่ายความซื่อสัตย์และความจริงใจ
ออกไปนับครั้งไม่ถ้วน แลกกับประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ผู้คน หลายครั้งเราต้อง "ยอม" จ่าย
เพราะความไม่เอาไหนของตัวเอง
...
มองย้อนกลับไป เราเข้มแข็งและแข็งแกร่งได้ในวันนี้ เราต้องผ่านการอ่อนแอ ร้องไห้คนเดียว
เจ็บปวดคนเดียวมานับครั้งไม่ถ้วน เราทุกข์มานับครั้งไม่ถ้วน ชีวิตเราจดจำ "ความทุกข์"
ได้มากกว่าความสุขที่ผ่านเข้ามาแทบนับครั้งได้!
...
เราต้องทนกับคนไม่จริงใจ ทนกับคนที่กดขี่ข่มเหงน้ำใจเรา
เราต้องทน แรงกดดัน ให้เขาด่าว่า ดุด่านับครั้งไม่ถ้วน
เราอดและทน จนเรารอดมาได้!!
...
ค่อยๆ ผ่านไปทีละเรื่องๆ จนรู้ตัวอีกที เราก็ผ่านมาได้ทุกๆ เรื่อง
...
ตอนเป็นเด็ก เราอยากโตเป็นผู้ใหญ่เพราะจะได้ทำอะไรตามใจ แต่พอวันนี้ที่เราโตเป็นผู้ใหญ่
...
เราอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะสองบ่าเรามันแบกปัญหาแทบไม่ไหว
เรายิ้มไม่ไหว เราเหนื่อย เราท้อแท้ ไม่มีใครที่เข้าใจ
...
หลายครั้งที่อยากทิ้งทุกๆ อย่างแล้วเดินหนีไปให้ไกล แต่ด้วยเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ เราต้องคิด
"ให้" ได้ มีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบที่กดทับเราไว้ให้เราต้องเข้มแข็ง
...
สู้กับมันต่อไป...นี่แหละชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่ มันเลวร้ายในบางวัน ดีบ้างในบางวัน

:s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 03, 2024 9:20 pm

( 6 )

วันนั้น...เมื่อข้าพเจ้าไปทำบุญที่วัดดังแห่งหนึ่ง
มีร้านหนังสือหลังวัดกำลังเคลียร์หนังสือกองใหญ่ทิ้งกองอยู่บนโต๊ะ
เป็นหนังสือที่ทางร้านไม่ต้องการแล้ว
ด้วยความที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในร้านหนังสือของวัดเป็นของสิ่งที่มีคุณค่า
อย่างยิ่ง ก็รู้สึกเสียดายที่จะถูกกำจัดออก จึงไปเดินดู และขอหยิบมาบางเล่ม หนึ่งในนั้นก็คือ
"เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว The Gift from Mom"
เมื่อเปิดอ่านแล้วรู้สึกอยากให้เป็นของขวัญสำหรับเด็กๆ และเยาวชนไทย ให้มีโอกาสได้อ่าน
ด้วยกัน และต้องขอกราบขอบพระคุณ ผู้ประพันธ์
นามปากกา: ปิยโสภณ
-พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก-
ท่านได้บันทึกเสน่ห์ของผ้าขี้ริ้วไว้ได้น่าสนใจมาก
เราควรจดจำ และนำไปใช้ เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต

* เสน่ห์ ๙ ประการ ของผ้าขี้ริ้ว *

๑.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด
เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข
พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย
ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น

๒.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา
เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว
มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

๓.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุดในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง
รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน
ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น
เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้
แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

๔.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคาแต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้
เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่าด้วยการทำงาน
มิใช่ด้วยการประจบ
ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้าน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต
ต้องสร้าง กำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

๕.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร
เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน
อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็น งานใด ๆ ก็ตาม

๖.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่คนเขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจ
ทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับ
ใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน
และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

๗.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด
เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น
ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน
ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น
มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

๘.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง
เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้
เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่าย
ใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

๙.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้วแต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่
เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคครั้งนั้นให้ได้
ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น
มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ

*ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก*

ขอแสดงความยินดีสำหรับทุกท่านที่ได้อ่าน
เพราะท่านจะได้ของขวัญที่ล้ำค่าเหมือนกับข้าพเจ้า...สาธุ

Cr.: Fb ธรรมะง่ายๆ เข้าใจได้ ไม่ต้อง..งง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 03, 2024 9:34 pm

( 7 )

🍂 เรื่องชวนคิด
“It' s ok, son. Everybody does it.”

เมื่อเปาอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด
พ่อแอบยื่นเงิน 200 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป พ่อหันมาพูดกับเปาว่า
"ไม่เป็นไรลูก เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อเปาอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท เมื่อป้าไปชำระเงิน
ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร
50 บาทคือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที ทั้งที่รู้ว่าพนักงานทอนเงินผิด เมื่อออก
จากร้าน ป้าก็พูดกับเปาว่า "ไม่เป็นไรหลาน ความผิดของเขาเอง ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อเปาอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน
แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้เปา เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาดและฝัง
ลงในกระบะให้เปานำไปส่งครู และพูดว่า "ไม่เป็นไรลูก ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาก็
ทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อเปาอายุ 12 ขวบ เปาทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัท
บัตรเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมยได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา
ลุงพูดกับเปาอย่างภาคภูมิใจว่า "ไม่เป็นไรหรอกหลาน สิทธ์ของเรา ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ "

เมื่อเปาอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บ
โดยไม่ผิด ถือว่าอยู่ในเกม ครูฝึกบอกเปาว่า "ไม่เป็นไรหรอก ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาก็ทำ
กันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อเปาอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อ
แห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้เปาจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า
คัดผลสวย ใบโตสีสดจัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนเปาว่า
"ไม่เป็นไรหรอกเปา ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เอง แต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อเปาอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย ปรากฏผลทราบเป็นการภายใน
ว่า มาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดเปาก็ได้รับทุน
พ่อพูดกับเปาว่า "ไม่เป็นไรลูก เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาสเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ "

เมื่อเปาอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับเปาเป็นเงิน 1,500 บาท เปาลังเลใจ
และตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า "ไม่เป็นไรหรอกเปา เกรดมีผลกับอนาคตนะ
ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ "

เมื่อเปาอายุ 32 ปี เปาถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 500,000 บาท และต้องติดคุก
พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า
"ทำไมลูกเปาทำอย่างนี้กับพ่อแม่ ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเปาเป็นคนขี้โกงเลยนะ!!"

แนวคิดจาก
It' s ok, son; everybody does it .
By Jack Griffin
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 04, 2024 1:17 pm

( 8 )


โลกของธุรกิจ ต้องคำนึงถึง ใจเขาใจเรา โลภมากลาภหาย
ตึกแถวแห่งนึงที่บ้านผม ติดกัน20ห้อง คิดค่าเช่า เดือนละ10,000บาทมาตลอด7-8ปี
พ่อเป็นเจ้าของตึกตายลงไป ลูกชายมาดูแลกิจการต่อ อยู่ๆขึ้นค่าเช่าเป็น15,000บาท
ปรากฎว่าจากมีคนเช่าเต็ม20หัอง ตอนนี้เหลือ3ห้อง อีก17ห้องย้ายหนีหมด
ตั้งแต่ขึ้นค่าเช่ามา ไม่มีใครไปเช่าเลย นานนับปีๆ ถ้าคิดเดือนละ10,000บาท
17ห้อง เดือนนึงก็ได้170,000 แต่คิด15,000ทำให้เหลือแค่3ห้องกลายเป็นมีรายได้
แต่45,000บาท
ทั้งสองเรื่องนี้
มันไปตรงกับคำสั่งสอนที่ครูอาจารย์ผมสอนมา ทำธุรกิจหรือดำเนินชีวิตต้อง...ใจเขาใจเรา!
โลภมากลาภหาย! อยากได้มากสุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย ผมเดาเอาเองว่า
เจ้าของตึกคงไม่ซีเรียสอะไรมาก เอ็งไม่อยู่ เดี๋ยวคนอื่นก็มาอยู่ อันนี้เข้าใจว่าไม่เดือดร้อน
แต่สุดท้ายเมื่อเราสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น คนที่เดือดร้อนก็เป็นเราอยู่ดี
อย่างน้อยมึงก็ได้รายได้น้อยกว่าเก่าหล่ะว่ะ! คนเช่าอยู่ไม่ได้เขาจะเอาเงินไหนจ่ายค่าตึก?
ใจเขาใจเรา ทำงานแล้วไม่ได้เงินใครจะทำ? หาได้เท่าไหร่ให้ค่าตึกหมด...ใครจะอยู่?
ผมพบว่าสองสถานที่ที่ผมอ้างถึง มีความเหมือนกันโดยบังเอิญคือ สองคนนี้รวยมา
ตั้งแต่เกิด ไม่เคยลำบากยากจน เป็นเรื่องยาก ที่เขาจะเข้าใจหัวอกคนจนคนทำมาหากินได้
อยากที่ผมพูดประจำ โพสต์ประจำ เราไม่มีทางได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น ในขณะที่จะขอทำ
งานเท่าเดิมได้หรอก โลกจ่ายผลตอบแทน ตามความสามารถและความพยายาม
ตึกเดิม ไม่เพิ่มอะไรให้ ไม่ตกแต่งอะไรใหม่ แต่จะเอาค่าเช่าเพิ่มขึ้น...ใครจะจ่าย?!
ในเชิงการค้าก็เช่นกัน ไม่มีใครยอมจ่ายเงินเท่าเดิม แต่ได้ของที่ห่วยกว่าเดิมหรอก จริงมั้ย?
“อย่าหวังจะได้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ บนความสามารถและความพยายามที่เท่าเดิม”

#โลภมากลาภหาย
#อยากได้มากก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรเลย
#ใจเขาใจเรา
Cr. บทความจาก : คุณ สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 04, 2024 4:21 pm

( 9 )


(*)ไม่อยากโง่​ โดนแก๊งค์ คอลเซนเตอร์ หลอกเงิน คุณต้องอ่านให้หมด(*)

1. ถ้าพัสดุ​ คุณตีกลับ คุณต้องไปตามเองที่ ไปรษณีย์ ชาตินี้​ เขาไม่โทรมาหาคุณแน่ๆ
ถ้า​เขาโทรมา คือ​ **โทรมาหลอกคุณ**

2. ไม่มีหน่วยงานราชการไทยไหน ที่จะโทรมาบอกคุณ แล้วพูดจาดีๆ ให้คุณ​ เพืมเพื่อนไลน์
แล้วโหลดแอ้ป จนท. ไม่ได้ว่างขนาดนั้น** คุณกำลังโดนหลอก**

3. ธนาคารไหนก็ไม่โทรมาบอกคุณหรอกว่าเงินกำลังจะโดนหน่วยงานรัฐอายัด มีแต่เขา
จะอายัดก่อนแล้วให้​ คุณไปตามเอง ถ้า​ เขาโทรมา​ **คุณโดนหลอก**

4. ถ้าบัญชีคุณไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เขาไม่โทรมาหา​ คุณหรอก เขาจะมาเป็นรถตู้มา
ที่บ้านคุณเลย ถ้าโทรมาคือ**โดนหลอก**

5. ตำรวจไทยไม่มีระบบอะไรที่จะตรวจสอบเงินในบัญชีได้ ถ้าบอกให้ คุณโอนไปตรวจสอบ
ถ้าเขาจะตรวจสอบเขาดูจากเส้นทางการเงิน ฉะนั้นถ้า​ เขาบอกให้โอน **คุณโดนหลอกแน่ๆ​**

6. สรรพากรไม่ใจดี​ โทรมาบอก คุณว่า​ คุณได้ภาษีคืนหรอก มีแต่จะมาขอให้จ่ายเพิ่ม
ถ้าโทรมาแบบนี้ ** คุณโดนหลอก 100% **

7. คุณไม่ได้มีดวงโชคลาภที่จะมีบริษัทหรือองค์กรอะไรโทร​ มาบอก​ คุณว่าได้รับรางวัลใหญ่ๆ
แต่ต้องโอนภาษีไปก่อน **คุณโดนหลอก​**

8. ถ้าศาลส่งหมายมาไม่ถึง เขาไม่โทรมาหา คุณหรอก **เขาโทรมาหลอกคุณ**

9. ถ้าธนาคารเขาทำข้อมูล คุณหาย​ นะ เขาไม่มีเบอร์โทร​ คุณหรอก คนที่โทรมา​ **เขาหลอกคุณ**

10. ถ้ามีคนโอนเงินมาผิดบัญชีแล้วโทรมานะ คุณไม่ต้องโอนกลับ คุณบอก​
เขาว่าไปแจ้งธนาคารเอาเอง

11. โหลดแอ้ปอะไรก็ตามที่ เขาส่งลิงค์มาในไลน์
**คุณโดนหลอกแน่ๆ **

12.ไม่ว่าจะโทร.​ มา​ จาก​ การไฟฟ้า​ การประปา​ เขตพื้นที่ต่างๆ ฯลฯ​ ไม่ต้องคุยนาน..
จะโดนแฮ๊ก​ ข้อมูล​ เดี๋ยวเงิน​** หมดบัญชี​ แน่นอน**

13ถ้า... คุณ​ กลัวนะดีมาก

ถ้า​ คุณโอนเงินไปแล้ว โอกาสได้คืนมันยากมากๆ คุณเข้าใจไหม ฉะนั้นห้ามโอน ไม่ต้อง
เชื่อเหี้ยไรทั้งนั้น ไม่แน่ใจ คุณบอก​ เขาไปเลย ให้ตำรวจมาจับเลย

(*)คุณหาเงินมาทั้งชีวิตแล้วโดนหลอกง่ายๆ แบบนี้อะ
เรียกว่า.. โง่​ (*)

ถ้า​ คุณ หิวแสง​ อยากออกข่าวนะ เอาตังค์ไปซื้อพวกรายการที่เขาให้​ คุณออกก็ได้
ไม่ต้องไปโดนไอ้พวกนี้หลอก

(*)คุณเชื่อ​ ฉันนะ(*) เงิน คุณ​ คุณไม่ต้องโอนให้ใคร แล้วคุณจะไม่ต้องไปออกข่าว คุณจะ
ไม่ต้องไปโรงพัก คุณไม่ต้องขอความช่วยเหลือใครทั้งสิ้น

(*)คุณต้องเลือกเป็นมนุษย์ที่ฉลาด คุณมีสมาร์ทโฟนแล้ว คุณอ่านโพสต์​ ฉันหลายๆ รอบ
แล้วส่งไปให้ญาติๆ เพื่อนๆ​ ของคุณด้วย​ (*) หวังว่า​ พวกเรา​ คงโชคดี​ อย่าได้เพลี่ยงพล้ำไป​
หลงเชื่อ​ มิจฉาชีพ​ พวกนี้.. จนสูญเงินที่​ มีไว้เลี้ยงชีพ​ ในบั้นปลายชีวิต​ (*)


Cr : เพื่อนในไลน์ส่งมา :s023:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 04, 2024 9:36 pm

( 10 )


โลกยุคใหม่หมุนไกล..เกินตามทัน จน..พ่อแม่ยุคนี้ต้องยอมรับว่า..เราไม่อาจเลี้ยงลูก
ในแบบเดียวกับ..ที่เคยถูกพ่อแม่เลี้ยงมาในอดีต..ได้อีกต่อไป
เพราะ..คนในแต่ละยุค ล้วนมีบุคลิกภาพ..แตกต่างตามสมัย ด้วย..อิทธิพล จากสิ่งรอบตัว
ส่งผลต่อ..ความคิด และทัศนคติการใช้ชีวิต

มา..ดูกันว่า.. คุณและคนในครอบครัว อยู่ใน..Gen. ไหน..บ้าง ??

1. *Builders*
อายุตั้งเเต่ : 73 ปีขึ้นไป (เกิดก่อน:2489)
อุปนิสัย : ขยัน อดทน ครอบครัว..เข้มเเข็ง เคร่ง..ขนบประเพณี ภักดี..ต่อองค์กร

2. *Baby boomers*
อายุตั้งเเต่ : 55 - 72 ปี(เกิดช่วง : 2490 - 2507)
อุปนิสัย : สู้..งานหนัก มุ่ง..ความสำเร็จ ภักดี..ต่อองค์กร ต้องการ..ทำงานในองค์กร
ที่.. มีชื่อเสียง ทุ่มเท..เพื่อตำแหน่ง ต้องการ..การยกย่องชมเชย ภักดี..ต่อองค์กร

3. * Gen. X *
อายุตั้งเเต่ : 38 - 54 ปี (เกิดช่วง : 2508 - 2524)
อุปนิสัย : กระตือรือล้น ชอบ..เเข่งขัน ชิงดี ชิงเด่น สนใจ..เทคโนโลยี สนใจ..เรื่องส่วนตน
มากกว่าส่วนรวม เป็น..นักบริโภคนิยม เเต่..ยังห่วงครอบครัว ภักดี..ต่อบุคคลมากกว่า..องค์กร

4. * Gen. Y *
อายุตั้งเเต่ : 24 - 37 ปี (เกิดช่วง : 2525 - 2538)
อุปนิสัย : ฉลาดในเทคโนโลยี มี..ความเป็นอิสระ เเละโลกส่วนตัว..สูง ชอบ..คิดนอกกรอบ
มี..ความทะเยอทะยานสูง ชอบ..งานที่สนุกท้าทาย มี..ความอดทน.. ต่ำ พูดจา..ตรงไปตรงมา

5. * Gen. Z *
อายุตั้งเเต่ : 10 - 23 ปี(เกิดช่วง : 2539 - 2552)
อุปนิสัย : -อยากได้ผลลัพธ์ ทันที -รอคอย..ไม่ได้ -เวลาส่วนใหญ่อยู่..บนโลกอินเทอร์เน็ต
ตัดสินใจ ไป..ตามกระเเส เรียนเพื่อ.. ความสนุก ไม่ได้คิดว่า..จะเอาไปใช้ประโยชน์
อยากรู้ ใน..สิ่งที่ตน..ตั้งเป้าหมาย..เท่านั้น -ไม่สนใจวัฒนธรรม..ดั้งเดิม-ติด..เพื่อน เเละคิดว่า..
เพื่อนช่วยได้..ทุกเรื่องเมื่อ..มีปัญหา เป็นยุคเเห่ง.. การเรียกร้องสิทธิ

⭐️⭐️⭐️
6.*Gen Alpha*
(**Gen. นี้คุณพ่อ คุณแม่ ต้องอ่าน..น้าา**)
อายุตั้งเเต่ : 9 ปีหรือ น้อยกว่า ( เกิดหลัง : พ.ศ.2553 หรือ ค.ศ.2010 )
วัยนี้กำลังเป็นเด็กอนุบาล ที่เกิดจากพ่อแม่ ที่.. -มีอายุมาก -มีลูกน้อย
มีเงินทองที่ไม่ต้องดิ้นรนมากเท่ารุ่นอื่น จับอุปกรณ์ดิจิตอล สัมผัสเทคโนโลยีตั้งแต่เกิด
เรียนกันมาก นาน และหลากหลาย อยู่กับสังคมทุนนิยม มีแนวโน้มเป็นคนวัตถุนิยม
คุ้นเคยกับ..การเปลี่ยนแปลง เบื่อง่ายและความอดทนต่ำ นิยมความรวดเร็วทันใจ
จึงมองหาสูตรความสำเร็จ ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

... ดังนั้นเด็กยุคปัจุบันนี้ไม่ใช่เป็นรุ่นเจเนอเรชั่น Z แล้ว แต่เป็นเจเนอเรชั่น
รุ่นอัลฟ่า ที่มีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น

การปฏิสัมพันธ์กับบ้าน โรงเรียน วัด น้อยลง ซึ่งถ้า..คนเราไม่มีความรักความผูกพันแล้ว
ความเอื้ออาทร ก็จะ..ไม่มี ถ้า..ปล่อยให้สังคม..เป็นสภาพ..แบบนี้ก็..จะเกิดปัญหา

cr : มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทย์ SI
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 05, 2024 8:29 pm

( 11 )

2 ปีก่อน
ผมเห็นเขารายได้ไม่พอใช้ ผมเห็นลูกเขาเพิ่งเกิด ผมบอกเขาว่า...
ขายลูกชิ้นทอดมั้ย พี่สอนสูตรน้ำจิ้มให้ฟรี อุปกรณ์บางอย่างพี่มีครบไม่ได้ใช้...พี่ให้
เขาบอกผมว่า ลูกยังเล็ก ผมไปไหนไม่ได้ ไม่มีเวลาแน่นอน ขับรถผ่านบ้านเขา
ผมเห็นเขานั่งตั้งวงกินเหล้าเกือบทุกวัน!!

ไม่นาน
เห็นเขาบ่นเรื่องงาน อยากหาอะไรทำ ที่ไม่กระทบงานหลัก ผมบอกเขาว่า
รู้จักพี่คนนึง เก่งในอาชีพประกันชีวิต จะแนะนำให้เอามั้ย? ขายประกันไม่ต้องลงทุน
ซื้อหม้อ ซื้อไห ได้แต่งตัวหล่อๆ ไม่ต้องลำบาก เขาบอกกับผมว่า พ่อผมเคยทำแล้ว
ไม่รอด ทุกวันนี้ ขับตุ๊กๆหน้าเดอะมอลล์

ไม่นานมานี้
เขาเห็นผมไปแข่งรายการมา ได้แชมป์ประเทศไทย ผมก็ไปเจอเขาโดยบังเอิญ
ที่ตลาดย่าโม ผมถามเป็นไงสบายดีมั้ย? เขาตอบ ไม่okเลยพี่ ช่วงนี้โรงงานไม่มีOT
แถมมีแนวโน้มจะปลดพนักงานอีก นี่แฟนผมก็โดนโกงแชร์ ลูกก็ต้องกินต้องใช้
ผมบอกเขาว่า.... พี่มีอุปกรณ์ขายก๋วยเตี๋ยว ที่ไม่ได้ใช้อยู่นะ มีหลายอย่างเลย
แทบจะเปิดร้านได้เลย ถ้าเปิดซื้อเพิ่มไม่มาก พี่ให้ เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวมั้ย??
เขาตอบว่า น้องเมียผมเพิ่งเจ๊งมา!! คนขายกันเยอะแยะ เปิดตอนนี้ตายพอดี
นี่มันกู้เงินมาทำด้วยนะ ตอนนี้หนีหนี้ไปแล้ว

เพื่อนๆเห็นอะไรในเรื่องนี้?
ผมเห็นชายคนนึง ที่ในหัวของเขา จับจ้องแต่ปัญหา! เขาเห็นแต่ความล้มเหลว
เขาจึงดึงเอาความล้มเหลวมาหาตัวเอง อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น กลับไปมองแต่คนที่มี
ชีวิตแย่ๆ อยากประสบความสำเร็จ ไปยึดเอาแต่ตัวอย่างที่ล้มเหลวมาเป็นตัวอย่าง
ทำไมเขาไม่คิดบ้างว่า คนล้มเหลวที่เขาพูดถึง ทำอย่างไรกับอาชีพนั้น?
พ่อเขาไม่ประสบความสำเร็จ ในอาชีพประกัน แล้วทำไม มีคนมากมาย ขายประกัน
จนรวยได้? น้องเมียเขาขายก๋วยเตี๋ยวเจ๊ง แล้วทำไม มีคนขายกก๋วยเตี๋ยวรวยมากมาย??
เพราะเขา...จับจ้องแต่ปัญหา ชีวิตจึงเต็มไปด้วยปัญหา ทำงานก็ทำด้วยปัญหา
คบเพื่อนก็มีแต่เพื่อนที่มีปัญหาชีวิต

ปัจจุบัน
ชายคนนี้ เลิกกับเมีย เมียหนีไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด

ส่วนตัวเขา
เพิ่งตกงานไม่นานมานี้ เพราะ กินเหล้าจนเสียงาน ผมอยากบอกว่า
ให้เราทุกคน จับจ้องที่เป้าหมาย แล้วจะเห็นหนทาง จับจ้องที่ความสำเร็จ
แล้วจะเห็นโอกาศ ตราบใดที่ยังจับจ้องที่ปัญหา ชีวิตจะเห็นแต่ปัญหา
เวลาจะทำอะไร ไปดู ไปศึกษา คนสำเร็จ เอาคนสำเร็จเป็นแบบอย่าง
ไม่ใช่จะทำอะไรที ก็ยกเอาแต่ตัวอย่างคนล้มเหลวมาอ้าง แบบนี้จะล้มเหลว
ดักดานไปตลอดชีวิต!!

ขอบคุณบทความดีจากๆ สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 05, 2024 8:34 pm

( 12 )


#ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้
ต่อให้สกปรก แปดเปื้อนแค่ไหน มันก็คือ “ชีวิตเรา”

ไม่เป็นไร …ปล่อยให้ทุกอย่าง เป็นไปตามที่ควรจะเป็น

ชีวิตที่ผ่านอะไรมามากมาย ถ้าจะมอมแมมบ้าง สกปรกบ้าง ก็ไม่แปลกไม่ต้อง
พยายามทำให้มันสะอาด

แต่ให้ทุกๆรอยเปื้อน เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าอย่าให้มัน เกิดขึ้นอีก ซ้ำๆ ชีวิต
ได้เก็บเกี่ยว เรื่องราวระหว่างทางไว้แล้ว

ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไป ถ้ามันคือ “ประสบการณ์เลว” ก็ให้เวลาช่วย
จัดสรรให้มันอยู่ในที่ๆ ควรอยู่

อาจจะเป็นในซอกเล็กๆ ในความทรงจำ หรือ ที่หนึ่งที่ใด ที่ไม่สามารถ
ทำร้ายเราได้อีก

ไม่มีชีวิตใครไม่ “แปดเปื้อน” แต่รอยเปื้อนนั้น สักวัน มันจะเบาบาง ทิ้งไว้แค่
คราบจางๆ ที่เราเรียกมันว่า... “บทเรียน”

:s015:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:17 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:09 pm

( 13 )


*เรื่องสั้น*

………ธนาคารสมอง ……

สารคดี จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมกราคม 2547
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ผู้ใหญ่ชอบบ่นว่าเด็กสมัยนี้เอาแต่แต่งตัวและสนุกไปวันๆ แต่ไม่ใช่กลุ่มเยาวชนหมู่บ้านสามขา
ตำบลหัวเสือ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง

เมื่อปลายปี 2545 วัยรุ่นกลุ่มนี้ซึ่งมีสมาชิก 44 คน ช่วยกันก่อตั้งธนาคารสมองด้วยเงินทุนเพียง
30,000 บาทซึ่งเป็นเงินที่เหลือจากการบริหารโครงการอื่นของกลุ่มฯ ที่ประชุมจึงลงความเห็นว่า
ควรนำมาปล่อยกู้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชน

เหตุที่เรียกว่าธนาคารสมองก็เพราะว่า ผู้ขอกู้ไม่จำเป็นต้องแสดงหลักทรัพย์ค้ำประกันใดๆ
แต่ต้องเขียนโครงการเสนอว่าจะกู้ไปทำอะไรและจะชำระคืนอย่างไร คณะกรรมการของธนาคารซึ่ง
เป็นเยาวชนทั้งหมดจะพิจารณาว่า สมควรอนุมัติหรือไม่โดยดูจากตัวโครงการว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่
บางทีอาจขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ในชุมชนว่า ผู้ขอกู้รายนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ธนาคาร
แห่งนี้ไม่คิดดอกเบี้ยเพราะเกรงว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ใหญ่ที่เดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว

ชาวบ้านที่มากู้ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรซึ่งกู้ไปเป็นเงินทุนเพื่อทำการเกษตรต่างๆ เมื่อขายผลผลิต
ได้ก็นำเงินมาชำระคืนพร้อมกับบริจาคเงินสมทบทุน ทำให้ธนาคารมีเงินทุนสูงขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่
เขียนเรื่องนี้ เงินหมุนเวียนเพิ่มเป็น 65,000 บาทแล้ว

“เมื่อก่อนเคยคิดว่า เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก ผู้ใหญ่ก็อยู่ส่วนผู้ใหญ่ แต่พอมาทำตรงนี้แล้ว ทำให้เรารู้สึกว่า
ผู้ใหญ่กับเด็กสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้” ‘พรนับพัน วงศ์ตระกูล’ ผู้จัดการธนาคารสมองวัย 21 ปีกล่าว

**********************
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:17 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:11 pm

( 14 )


*เรื่องสั้น*

………วางแผนเรื่องมรดก ……

จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมิถุนายน 2546
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เมื่อคนที่เรารักป่วยหนัก เราอาจรู้สึกกังวลว่าจะจัดการกับทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่อย่างไร
ทนายความและผู้รู้ด้านการวางแผนทรัพย์สินแนะวิธีเตรียมการต่างๆ ดังนี้

ร่างหนังสืออำนาจทางกฎหมายในรูปของหนังสือสั่งเสียและพินัยกรรมเป็นสิ่งสำคัญ
หนังสือฉบับแรกควรระบุชื่อของผู้ดูแลกิจการต่างๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่อาจทำเองได้

ฉบับที่สองเขียนบอกโรงพยาบาลว่าผู้ป่วยอยากให้รักษาอย่างไร และ

ฉบับสุดท้ายระบุวิธีแบ่งทรัพย์สินให้แก่ทายาท จดข้อมูลล่าสุด ควรรู้ว่าเอกสารเกี่ยวกับการเงิน
เช่นบัญชีเงินฝากเก็บไว้ที่ใดบ้าง ชื่อเจ้าของร่วมและผู้รับผลประโยชน์ถูกต้องหรือไม่

ข้อมูลส่วนตัว จดรหัสตู้นิรภัยและสถานที่เก็บรักษาของมีค่าต่างๆ ไว้

ป้องกันข้อวิวาท ขอให้ผู้ป่วยบอกความประสงค์ของตนกับทายาทซึ่งมักจะยอมรับ
เมื่อทราบความต้องการจากปากเจ้าตัว

*********************
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:16 pm

( 15


*เรื่องสั้น*

……………พลังน่าสะพรึงกลัวของภูเขาไฟ …………

โดย William จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2544
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

การระเบิดของภูเขาไฟอาจพ่นหินทุกขนาดสู่อากาศด้วยอัตราเร็วกว่า 1,290 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมง และสามารถเหวี่ยงก้อนหินขนาดมหึมาให้กระเด็นไปไกลได้เหมือนก้อนกรวดเล็กๆ
ผลที่เกิดอาจรุนแรงมหาศาล

เมื่อภูเขาไฟทัมบอรา (Tambora) ในประเทศอินโดนีเซียระเบิดในปี 2358 มีผู้เสียชีวิตกว่า
10,000 คน เศษเถ้าถ่านปกคลุมพื้นดินเป็นแผ่นหนาทำลายพืชไร่และมีผู้เสียชีวิตกว่า 80,000 คน
จากทุพภิกขภัยและโรคระบาด แก๊สและฝุ่นผงที่ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศทำให้สภาพอากาศวิปริต
ปีนั้น”ไม่มีฤดูร้อน”ที่รัฐนิวอิงแลนด์ในสหรัฐฯ

อีก 70 ปีต่อมาในปี 2426 ภูเขาไฟกรากะตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียปะทุ ทั้งเกาะเกือบจม
หายไปในทะเล แรงระเบิดทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูงถึง 30 เมตร มีผู้เสียชีวิต 36,000 คนในบริเวณเกาะ
ข้างเคียง ในปี 2528 ภูเขาไฟเนวาโด เดล รุยซ์ (Nevado del Ruiz)ในโคลัมเบียปะทุไม่รุนแรงนัก
พ่นเถ้าร้อนและหินเหลว 20 ล้านลูกบาศก์เมตรออกมาละลายหิมะบนยอดเขา ส่งผลให้เกิดโคลนถล่ม
กลืนเมืองอาร์เมโร (Armero) และ กลืนชีวิตชาวเมืองไปกว่า 23,000 คน

หินหลอมเหลวใต้พิภพอาจใช้เวลากว่า 10,000 ปีกว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นสู่พื้นผิวโลก และเมื่อถึงเปลือกโลก
กระบวนการก่อตัวของภูเขาไฟก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งในปี 2486 หินหนืดพุ่งขึ้นมาจากไร่ข้าวโพด
ในเม็กซิโก ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงภูเขาไฟสูง 45 เมตรก็ผุดขึ้นในไร่ข้าวโพด เวลาผ่านอีก 1 ปี
ภูเขาไฟลูกนั้นสูงกว่า 300 เมตร

การปะทุของภูเขาไฟเซนต์เฮเลนในสหรัฐฯ เมื่อปี 2523 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 57 คน แม้จะดูว่าน้อยแต่
ทรัพย์สินเสียหายมหาศาล การปะทุทำให้บ้านเรือน ธุรกิจต่างๆ และอุตสาหกรรมเสียหาย ประเมิน
ได้กว่า 1,000 ล้านเหรียญ แต่ภูเขาไฟใช่จะมีแต่ความชั่วร้าย เมื่อหลายพันล้านปีก่อนความเข้มข้นของ
แก๊สภูเขาไฟช่วยให้เกิดมหาสมุทรและเอื้อต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลก เมื่อเถ้าฝุ่นภูเขาไฟตกลง
มาก็ข่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์ส่งผลให้พืชไร่เจริญงอกงาม ความร้อนใต้พิภพนำมาผลิตไฟฟ้าเพื่อ
ให้ความอบอุ่นแก่บ้านเรือน ขณะที่หินภูเขาไฟมีโลหะล้ำค่าเช่นทองคำ

*************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 27, 2024 4:44 pm

( 16 )

*เรื่องสั้น*

………… รักษาโรคด้วยสมาธิ ข่าวการแพทย์………

จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมกราคม 2547 และจากกูเกิล 2566
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

การทำสมาธิแม้จะดูเป็นเรื่องเคร่งเครียดจริงจัง แต่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย
วิสคอนซิน (University of Wisconsin–Madison) ยืนยันว่า การปล่อยวางความคิดให้ปลอดโปร่ง
นอกจากจะมีผลดีต่อจิตใจแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย

ริชาร์ด เจ. เดวิดสัน (Richard J. Davidson) นักจิตวิทยาและคณะทำการศึกษาโดยฉีดวัคซีน
ป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้อาสาสมัคร 41 คน จากนั้นก็สอนวิธีทำสมาธิให้แก่อาสาสมัครครึ่งหนึ่งและ
ให้ฝึกทำสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน ส่วนอาสาสมัครอีกครึ่งได้รับวัคซีนเพียงอย่างเดียว

ผลการตรวจ 8 สัปดาห์ต่อมาพบว่า กลุ่มที่ฝึกสมาธิมีระดับภูมิต้านทานไข้หวัดใหญ่สูงกว่าและ
สามารถรับมือกับความเครียดได้ดีกว่าอีกกลุ่ม และยังพบว่าสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ดีทำงานเพิ่มขึ้น
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่มีผลต่อเนื่องถึง 4 เดือนหลังหยุดฝึกสมาธิแล้ว

“สมาธิทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาของสมองและร่างกายในระดับที่สามารถตรวจวัดได้”
เดวิดสันกล่าว “เป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ประโยชน์มาก และอาจนำมาใช้เสริมกับวิธีการรักษาในปัจจุบันได้”

หมายเหตุ : ดร. เดวิดสันเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและจิตเวชศาสตร์ของวิลเลียม เจมส์ และวิลาส
แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน
(the William James and Vilas Professor of Psychology and Psychiatry) และเป็นผู้ก่อตั้งและ
ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อสุขภาพจิตที่ดี (Director of the Center for Healthy Minds)

ดร. เดวิดสันเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีจากผลงานชิ้นเอกที่ศึกษาเรื่องอารมณ์และสมอง นอกจากนั้น ดร. เดวิดสัน
ยังเป็นทั้งเพื่อนและคนสนิทของทะไลลามะ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรหรือผู้นำการสนทนาเกี่ยวกับ
ความเป็นอยู่ที่ดีในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การประชุม World Economic Forum ซึ่งเขาทำหน้าที่ในสภา
ระดับโลกด้านสุขภาพจิต นิตยสารไทม์ยกให้ ดร. เดวิดสันเป็นหนึ่งใน "100 บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุด
ในโลก" ในปี 2549

************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 07, 2024 12:02 am

( 17 )

วันนั้น...เมื่อข้าพเจ้าไปทำบุญที่วัดดังแห่งหนึ่ง
มีร้านหนังสือหลังวัดกำลังเคลียร์หนังสือกองใหญ่ทิ้งกองอยู่บนโต๊ะ
เป็นหนังสือที่ทางร้านไม่ต้องการแล้ว
ด้วยความที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในร้านหนังสือของวัดเป็นของสิ่งที่มี
คุณค่าอย่างยิ่ง รู้สึกเสียดายที่จะถูกกำจัดออก จึงไปเดินดู และขอหยิบมาบางเล่ม
หนึ่งในนั้นคือ
*** "เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว The Gift from Mom" ***
เมื่อเปิดอ่านแล้วรู้สึกอยากให้เป็นของขวัญสำหรับเด็กๆ และเยาวชนไทย ให้มีโอกาส
ได้อ่านด้วยกันและต้องขอกราบขอบพระคุณ ผู้ประพันธ์ นามปากกา: ปิยโสภณ
-พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
ท่านได้บันทึกเสน่ห์ของผ้าขี้ริ้วไว้ได้น่าสนใจมาก
เราควรจดจำ และนำไปใช้ เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต

* เสน่ห์ ๙ ประการ ของผ้าขี้ริ้ว *

๑.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด
เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข
พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย
ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น

๒.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้แต่สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา
เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว
มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

๓.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุดในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง
รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน
ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น
เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อย เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี
เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

๔.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคาแต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้
เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่าด้วยการทำงาน
มิใช่ด้วยการประจบ
ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้าง
กำลังใจ ให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

๕.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร
เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น
รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ

๖.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่คนเขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ตั้งใจทำให้เป็น
ของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม
ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตนและยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการ
มากกว่าเข้าไปบริหาร

๗.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสะอาด
เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น
ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน
ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น
มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

๘.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง
เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดอดทนได้เพื่อ
ให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่าย ใจเบา
แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

๙.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้วแต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่
เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคครั้งนั้นให้ได้
ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น
มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ

*ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก*

ขอแสดงความยินดีสำหรับทุกท่านที่ได้อ่าน
เพราะท่านจะได้ของขวัญที่ล้ำค่าเหมือนกับข้าพเจ้า...สาธุ

Cr.: Fb ธรรมะง่ายๆ เข้าใจได้ ไม่ต้อง..งง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 07, 2024 2:38 pm

( 18 )

พนักงานสาวร้านกาแฟแห่งหนึ่ง แบ่งปันประสบการณ์เลวร้ายที่สุดที่เธอเคยพบเจอ - -
นั่นคือ ลูกค้าอารมณ์ร้ายสาดกาแฟร้อนใส่เธอ หลังจากได้กาแฟไม่ถูกต้องตามที่สั่ง!
.
เพื่อนพนักงานผู้หญิงบอกให้โทรเรียกตำรวจ ส่วนพนักงานผู้ชายเตรียมจับลูกค้ารายนั้น
โยนออกนอกร้าน แต่เจ้าตัวที่โดนกาแฟสาดกลับห้ามไว้ เธอมีสติและใจเย็นกว่าใคร ทั้งที่
กาแฟร้อนเพิ่งราดรดให้ปวดแสบ...
.
เมื่อมีใครถามว่า เธอรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร เธอตอบว่า

“ฉันแค่เดินกลับไปชงกาแฟถ้วยใหม่มาให้เขาด้วยตัวเอง” - - เพราะพนักงานคนเดิมที่ชงกาแฟ
ให้ลูกค้ากลัวตัวสั่น จนไม่กล้าทำอะไร เธอจึงต้องเป็นผู้แก้ไขคลี่คลายสถานการณ์... แน่นอน
เธอเองก็ตกใจ! แต่คิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ลูกค้ารายนั้นอาจมีวันแย่ ๆ หรือมีเรื่อง
ปวดร้าวในใจจึงเป็นเช่นนี้...
.
จริงดังคาด! หลังจากที่เสิร์ฟกาแฟถ้วยใหม่ นอกจากเธอไม่รู้สึกโกรธแล้ว ยังถามเขาด้วย
ความห่วงใยว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ? ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”
.
เธอสละเวลาเดินไปส่งเขาที่รถ และมีโอกาสคุยกันระหว่างทาง จึงรู้ว่าภรรยาของลูกค้ารายนั้นเพิ่ง
เสียชีวิตเมื่อไม่กี่วันก่อน เขารู้สึกทุกข์ทรมาน อารมณ์แปรปรวนและหงุดหงิดจนกลายเป็นคนโมโหร้าย
เขาร้องไห้สำนึกผิดที่โมโหร้าย... พนักงานสาวให้อภัย แล้วเธอก็ปลอบโยนเขา แม้ผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่
ยังมีร่องรอยของคราบกาแฟ... แต่เรื่องที่ค้างคาในใจกลับผ่อนคลายหายไป...
.
หลังจากวันนั้น เขากลายเป็นลูกค้าที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และมีความสัมพันธ์งดงามกับพนักงานทุกคนในร้าน!
. . . . .
.
เช้าวันหนึ่งของปีเตอร์ ขณะขับรถมาทำงาน ชายคนหนึ่งได้ขับรถปาดหน้ารถของเขา แล้วยังชูนิ้วกลางให้
พร้อมตะโกนด่า “ไอ้บ้า” (แปลแบบสุภาพที่สุดแล้ว) - - ซึ่งนั่นทำให้ปีเตอร์ประหลาดใจมาก เพราะไม่รู้ตัว
เลยว่าทำอะไรให้เขาหัวเสียขนาดนั้น... หรือ คงเป็นตอนที่ชายคนนั้นเลี้ยวโดยไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
ทำให้ปีเตอร์ตกใจต้องบีบแตร !
.
ไม่นานต่อมา ปีเตอร์เห็นเขาแวะเข้าจอดหน้าร้านกาแฟ เลยนึกในใจว่า “เป็นโอกาสดีที่จะบอกเขาว่า
ฉันคิดอย่างไรกับมารยาทไม่ดีและการไม่เคารพกฎของเขา”
.
แต่เมื่อเข้าไปในร้าน กลับหาชายคนนั้นไม่เจอ ปีเตอร์จึงไปที่เคาน์เตอร์สั่งกาแฟ ...แต่แล้วก็เห็นเขา
เดินออกจากห้องน้ำ มาต่อคิวซื้อกาแฟอยู่ด้านหลัง ปีเตอร์จึงหันไปบอกชายคนนั้นว่า
.
“ผมขอซื้อกาแฟให้คุณได้ไหม ผมเลี้ยงเอง!” ชายคนนั้นตะลึง ถามว่า “จริงหรือ?”
.
เมื่อได้กาแฟแล้ว ปีเตอร์บอกเขาว่า “ผมเป็นคนที่คุณให้นิ้วกลางเมื่อตะกี้เองแหละ”
เขาตกใจ รีบกล่าวว่า “โอ ผมขอโทษจริง ๆ ช่วงนี้ ผมเครียดมาก”
.
ปีเตอร์บอกเขาไม่เป็นไร อธิบายว่าสาเหตุคงมาจากเรื่องสัญญาณไฟเลี้ยว แล้วทั้งสองก็เดินคุยกัน
ออกมาข้างนอก เมื่อไปถึงที่รถ ชายคนนั้นลองเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวดู ปรากฏว่ามันเสียจริง ๆ!
.
มีคนถามปีเตอร์ ทำไมเลือกที่จะเลี้ยงกาแฟเขาล่ะ แทนที่จะ...
.
“...ก็เพราะเรามักจะเชียร์ให้คนแก้แค้นเอาคืน (เหมือนอย่างที่เราเห็นในสังคมโซเชียลบ่อย ๆ) หรือ
สะใจที่จะทำให้คนพวกนี้ได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ! แต่คำถามของผมคือ แล้วเมื่อไหร่มันจะจบล่ะ?
เมื่อเสร็จสิ้นการทะเลาะชกต่อยกัน เราจะหายโกรธหรือ? ไม่ใช่เลย มันจะจบได้ ก็ต่อเมื่อเรายอม
ให้ 'สันติภาพ' ได้เข้ามาในใจ แล้วเอาชนะ ‘ความรุนแรง’เท่านั้นเอง”
. . . . .
.
ทุกเช้าเราตื่นมา ความรู้สึกในใจก็ไม่ต่างจากถ้วยกาแฟในมือ พร้อมที่จะสาดใส่ หรือยื่นให้กันด้วย
ไมตรี บางทีความเห็นอกเห็นใจ พยายามเข้าใจชีวิตของผู้อื่น ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี เพราะเราไม่รู้
เลยว่า ในแต่ละเช้าแต่ละวันนั้น เราเองอาจเป็นคนอ่อนไหว หรืออาจเป็นวันที่โลกใจร้าย-ไม่เข้าข้างเรา
.
ฉะนั้น เช้านี้ หลังจากปิดประตูบ้านออกไปทำงาน อย่าลืมเปิดประตูหัวใจ ให้ความรักของเราได้ออกไป
หาผู้อื่น และให้ความสุขของผู้อื่นเข้ามาในใจเรา - - ด้วยวิธีนี้ เราสามารถเปลี่ยนความร้อนรุ่มให้อ่อนเย็น
เปลี่ยนเรื่องร้ายที่อาจบานปลายกลายเป็นดี - -
.
ที่สำคัญ! เปลี่ยนกาแฟให้หอมกรุ่นและอุ่นคอ ไม่ใช่คราบเปื้อนในใจไปตลอดชีวิต!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนเปิดประตูหัวใจให้กัน ]
.
.
* * * * * * * * * ฿
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 07, 2024 2:44 pm

( 19 )

15 ข้อคิด จากหนังสือ

"ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์"

1. สมมุติว่าคุณอยู่ได้ถึงอายุแปดสิบ คุณจะมีเวลาในชีวิตทั้งหมดประมาณ 4,000 สัปดาห์
2. เวลาทุกชั่วโมง ทุกสัปดาห์ และทุกปี เปรียบเหมือนภาชนะใบหนึ่งที่เคลื่อนไปบนสายพาน
เราต้องเติมของเข้าไปเมื่อมันผ่านมาถ้าอยากรู้สึกว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า เมื่อมีกิจกรรมมากเกินกว่า
จะยัดลงไปในภาชนะนั้นได้อย่างสบาย ๆ เราก็รู้สึกยุ่งจนไม่มีความสุข แต่พอมีกิจกรรมน้อยไป
ก็รู้สึกเบื่อ
3. หากเข้าใจว่าตัวเองไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับทุกสิ่งที่อยากทำหรือสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ
คุณจะสามารถหยุดโบยตีตัวเองที่ทำล้มเหลวได้
4. ไม่มีเหตุผลที่จะรู้สึกเดือดร้อนกับรายการสิ่งที่ต้องทำยาวเหยียด แค่ทำในสิ่งที่ทำได้
และไม่ทำสิ่งที่ทำไม่ได้
5. เทคโนโลยีจำนวนมากที่ใช้เพื่อพยายาม “ควบคุมทุกอย่าง” มักทำเราผิดหวังในที่สุด เพราะมัน
จะเพิ่มขนาดของ “ทุกอย่าง” ที่เราพยายามจะควบคุม
6. การให้คุณค่ากับสิ่งที่มีอยู่จำกัดเพราะมันมีจำกัด คือสิ่งที่ทำให้บุคคลหนึ่งใส่ใจถึงผลกระทบของ
หายนะที่จะเกิดขึ้นต่อมนุษย์โดยรวมอย่างแท้จริง
7. การบริหารจัดการเวลาในทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดเพราะเราไม่เก่งเรื่องการให้ความสำคัญกับหินก้อนใหญ่
แต่มันมีก้อนหินจำนวนมากเกินไปต่างหาก
8. ปัญหาของการทุ่มเทจิตใจให้กับการวางแผนอนาคตมากเกินไปคือ มันมักทำให้เกิดความวิตกกังวล
หนักขึ้นแทนที่จะบรรเทาลง
9. การทำราวกับว่าเวลาเป็นแค่สิ่งที่ควรใช้ให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะทำให้เราเริ่มรู้สึกกดดันว่า
ต้องใช้เวลาว่างให้มีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน
10. การจะใช้ชีวิตเดียวที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ คุณจะต้องละเว้นจากการใช้ทุกชั่วโมงที่ว่างเพื่อพัฒนาตัวเอง
11. วิธีแก้ปัญหาการใช้เวลาเพื่อเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายมากเกินไปคือ หากิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ที่ทำเพียงเพราะแค่อยากทำให้มากขึ้น
12. เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงว่า คุณไม่สามารถบงการว่าอะไรควรไปเร็วแค่ไหน คุณก็จะเลิกพยายาม
เอาชนะความวิตกกังวล และความกังวลก็จะเปลี่ยนสภาพไป
13. หลักความอดทนสามประการ
1) ทำตัวให้คุ้นกับรสชาติของการเจอปัญหา
2) เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
3) ความเป็นต้นตำรับเป็นอีกขั้วหนึ่งของการเลียนแบบ
14. คนที่มีตารางยืดหยุ่นและทรัพยากรพอประมาณ จะมีความสุขมากกว่าคนรวยที่มีทุกอย่าง
ยกเว้นตารางที่ยืดหยุ่น
15. “เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ” สิ่งนี้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่คนอื่นจะมีอิทธิพลต่อการ
ใช้เวลาของคุณ

จากหนังสือ ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์

Cr. บาร์จเฉยๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 07, 2024 2:51 pm

( 20 )

“เตี่ยบอกว่า เตี่ยกินข้าวเปล่า ตอนที่เตี่ยมีชีวิตอยู่_ย่อมอร่อยกว่ากินเนื้อมังกร
ตอนที่เตี่ย ตายแล้ว !?“ 55555

Sumit Petcharapirat
....ไม่แพง .....
บ่ายวันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน
อาหมวย นอนเอกเขนก ดูทีวี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หน้าจอบอกว่าเตี่ยโทรมา อาหมวย กดรับสาย
" หวัดดีค่ะ เตี่ย "
" อาหมวย ลื้อดูทีวีอยู่หรือเปล่า "
" ดูค่ะ เตี่ย "
" ลื้อ ดูช่องไหน "
" ช่องเดียวกับเตี่ยแหละ ฮ่าๆๆ "
อาหมวย กับ เตี่ย ชอบดูรายการพากิน พาเที่ยว หรือไม่ก็ รายการสอนทำอาหาร ถ้าอยู่ด้วยกัน
ก็นั่งดูไป ชวนกันไป ว่า " ร้านนี้เมื่อไหร่ดี "
" น่ากินเนอะ "
เตี่ยพูดปนเสียงหัวเราะ ที่อาหมวยดักทางถูก
" พรุ่งนี้เลยนะ เตี่ย สิบโมง อั๊วไปรับ "
" ตกลง ตกลง "
"แต่งตัวหล่อๆนะ เตี่ย "
" แก่แล้ว หล่อน้อยลง "
" เตี่ยหล่อเสมอ สำหรับอั๊ว"
" เอาเถอะ เจอกันพรุ่งนี้ "
วางสายลง เตี่ยคงนั่งอมยิ้ม อาหมวยคิด
วันรุ่งขึ้น อาหมวยไปรับเตี่ย เตี่ยแต่งตัวรออยู่แล้ว หล่อเหมือนเดิม กางเกงสแล็ค เสื้อเชิ้ต
ชายเสื้อใส่ในกางเกง
" มาแล้วเตี่ย "
เตี่ยพนักหน้า ค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้พับตัวเล็กๆ เพื่อใส่ถุงเท้า
อาหมวยนั่งลง ใส่ถุงเท้าให้เตี่ย เหมือนที่เคยทำให้ พอเงยหน้ามา ก็จะเห็นเตี่ยยิ้ม มีความสุข
เตี่ย เปิดตู้รองเท้า หยิบรองเท้าคู่เก่งออกมาสวม
" ไม้เท้าหล่ะ เตี่ย "
" ไม่ต้องหรอกม้าง แค่ไปกินข้าว"
" เอาไปเถอะน่า เผื่อเค้ามีงานน่าสนใจ จะได้เดินดูไงเตี่ย "
" โอเค โอเค "
เริ่มออกเดินทาง เตี่ยนั่งยิ้ม กับถนนหนทาง กับรถคันข้างๆ แจกยิ้มไปทั่วนั่นเพราะ เตี่ย มีความสุข
อาหมวยมองเตี่ย ก็มีความสุข
" โลกเปลี่ยนไปมากนะ อาหมวย"
เตี่ยพูด ทั้งๆที่ตายังมองออกนอกรถ
" ใช่ เตี่ย "
" เมื่อก่อน เตี่ยพาลื้อนั่งรถไปเที่ยว ไปกินของอร่อย ตอนนี้ ลื้อพาเตี่ยนั่งรถเที่ยว พาเตี่ยไปกินของอร่อย "
" แล้ว ดีไหม เตี่ย "
" ดีซิ การดูแลบุพการีให้มีความสุข ตามสมควร ตามกำลังตน ถือเป็นการสร้างกุศลให้ตัวเองนะ ลื้อทำ
ลื้อก็ได้เอง คนไม่ทำ ก็ไม่ได้รับ ไม่เชื่อ ลื้อก็คอยดูไป "
เตี่ยหันมามองหน้า
" ลื้อ ส่องกระจกดูซิ หน้าลื้อ อิ่มสุข"
อาหมวย ชะโงกหน้าส่องกระจก หน้ามีความสุขจริงๆด้วย
" เตี่ย หน้าอั๊วอิ่ม เพราะอั๊วอ้วน "
ฮ่า ๆๆๆ เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน
รถมาจอดที่หน้าร้าน อาหมวยพาเตี่ยลง เตี่ยหยุดแหงนหน้ามอง หน้าร้าน
" ร้านใหญ่โต "
บริกรเปิดประตูต้อนรับ อาหมวยเลือกโต๊ะกลม แบบหมุนได้ เป็นความชอบส่วนตัว
เลื่อนเก้าอี้ ให้เตี่ยแล้ว เตี่ยนั่งลง มองไปรอบๆร้าน เสร็จแล้วรับเมนูมาเปิดดู
" เตี่ย เจียะเบียร ไหม "
" ดี ดี อาแหมะลื้อไม่มาด้วย ไม่ต้องฟังบ่น "
เตี่ยชอบจิบเบียร พอๆกับที่อาแหมะชอบบ่น อาหมวยไม่เข้าใจว่า ทำไมอาแหมะ ต้องบ่น เพราะเตี่ย
ก็แค่จิบๆ มากสุดก็ขวดเดียว สังคมสังสรรค์ เตี่ยก็ไม่เคยออกไป อยู่แต่บ้าน นิดๆหน่อยๆ ไม่เห็นต้องบ่น
อาหมวยหันไปสั่งเบียรให้เตี่ย
" อาหมวย ราคาแพงทุกอย่างเลยนะ "
เตี่ย ยื่นหน้ามากระซิบ
" เตี่ย เตี่ยดู เฉพาะรูปอาหารที่อยากกิน แล้วสั่ง ราคา เตี่ยไม่ต้องไปดูมัน "
เตี่ยปิดเมนู เงยหน้าถามบริกรว่า
" ที่นี่ มีอาหารแนะนำ อะไรบ้างครับ"
บริกร แจ้งว่า เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ อาหมวยรู้ว่าของชอบเตี่ย และเตี่ยมาที่นี่ก็เพราะ
ไอ้สามอย่างนี้ เพราะรายการทีวี เมื่อวาน การันตีว่า อร่อย
" เอาแบบรวมกันมาที่นึงค่ะ "
อาหมวยชิงสั่งก่อนเลย
" เตี่ย สั่งที่เตี่ยอยากกินเลย "
พร้อมกับเปิดเมนูวางบนมือเตี่ย
" เตี่ย อยากกินอะไร สั่ง ไม่ต้องกังวล อั๊วพามา อั๊วจะดีใจ ถ้าเตี่ยกินได้เยอะๆ สั่งหลายๆอย่างก็ได้
ถ้าเหลือ อั๊วห่อกลับบ้าน "
เตี่ย มองหน้า เหมือนยังลังเล อาหมวยต้องรีบขยี้ซ้ำ
" อั๊วบอกก่อนนะเตี่ย เชงเม้ง ไม่มีนะ เตี่ยตาย อั๊วเผา แล้วลอยอังคารนะ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ยังอยู่
อยากกินอะไร เตี่ยต้องได้กิน "
ได้ผล เตี่ยเปิดเมนู สั่งอีกสี่ห้าอย่าง
" ลื้อ ดุเหมือนใคร "
" เหมือน เมียเตี่ยไง "
ฮ่าๆๆๆ การนินทา อาแหมะ คือความสุขของพ่อลูก อีกอย่างหนึ่ง
ระหว่างรออาหารมาเสริฟ เตี่ยจิบเบียร ทีละน้อย ทำเสียง ชื่นใจ อารมณ์คงเหมือนเด็ก แอบพ่อแม่
ออกมากินเบียรกับเพื่อน เตี่ยจิบแบบกลัวจะหมด
" เตี่ย จิบไปเถอะ วันนี้อั๊วให้ สองขวดเลย "
" ฮ่อ ฮ่อ ฮ่อ "
เตี่ยยิ้มกว้าง จนตาหยี
" แต่ กลับบ้าน ตัวใคร ตัวมันนะเตี่ย "
" เตี่ย ไม่สนใจหรอก อาแหมะลื้อ บ่นจนเตี่ยเลิกฟังแล้ว คิดแค่ว่า คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่านมา
แล้วก็ผ่านไป จะเอาหูไปดักไว้ทำไม ถ้าฟังแล้วร้อนหู "
เตี่ย ช่างคิด และแทบจะทุกความคิด ล้วนทำให้ชีวิตเตี่ย เป็นสุข โดยไม่เดือดร้อนคนอื่น
อาหารทยอยมาเสริฟ เตี่ยนั่งมองอาหาร พึมพำเบาๆว่า
" น่ากินจริงๆ "
อาหมวย ใช้ตะเกียบคีบเป็ดย่างให้เตี่ย และตักอาหารทุกอย่าง ให้เตี่ยก่อน อย่างละนิด อย่างละหน่อย
ถือเป็นการให้เกียรติ เป็นประเพณีที่เตี่ยสอน เอาไว้ ด้วยการกระทำ เตี่ยบอกว่า การอ่อนน้อม ถ่อมตน
เป็นคุณสมบัติของผู้อ่อนวัยกว่า เช่นเดียวกันกับ ที่ผู้ใหญ่ ต้องมีความเมตตา
เตี่ย กินไป ก็ชื่นชมรสชาติไป
" เป็ดย่างดีมาก เนื้อนุ่ม หนังกรอบ หมูแดงก็หมักจนเข้าเนื้อ ย่างสุกกำลังดี หมูกรอบ กรอบมาก ไม่อม
น้ำมันเลย น้ำราดคงเคี่ยวนาน และ ผสมหลายอย่าง หอมเชียวกระเพาะปลาน้ำแดงนี่ก็ดี น้ำซุปหอม
กลมกล่อม ฟองเต้าหู้ทอดนี่ กุ้งมาเป็นตัวๆ สดๆ รสชาติหวาน ข้าวผัดหนำเลี๊ยบ ก็หอมกลิ่นกะทะ
ตัวข้าวร่วนสวยไม่แข็งเหมาะกับการทำข้าวผัด "
อาหมวยนั่งฟังจนเพลิน เตี่ยนี่น่าจะไปเป็น พิธีกรรายการอาหาร แข่งกับหม่อมถนัดศรี ขวัญใจเตี่ย
" อร่อย ทุกอย่างจริงๆ ไม่เสียแรงนั่งรถมาไกล "
" ไว้อั๊ว พามาอีกนะ เตี่ยจะเอาขนมหวานด้วยไหม หรือจะสั่งติ่มซำกลับไปกินที่บ้านด้วย "
อาหมวย ยื่นเมนูให้ เตี่ยนั่งดูสักพัก ก็ทำตาโต ชี้ให้อาหมวยดู ในเมนู เค้าเขียนว่า มาไลโกว 95 บาท
" คุณครับ มาไลโกว นี่ ที่หนึ่งมีกี่ชิ้นครับ "
เตี่ยถามบริกร คำตอบคือ ตามรูป สองชิ้นเล็กๆ
เตี่ย เลยแหย่เล่น
" แป้งข้าวเจ้าเค้า คงได้จากข้าวสารบนสวรรค์ "
ฮ่าๆๆๆๆ อาหมวย หัวเราะลั่น จนคนหันมอง
" เอาน่า เตี่ย ทำกินเองไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้ หาซื้อกินยังยาก "
" น้องค่ะ เอามาที่นึงค่ะ "
อาหมวยหันไปสั่ง
" เอาใส่กล่อง นะครับ "
เตี่ยสั่ง บริกร แล้วเลือกติ่มซำ อีกสามสี่อย่าง สั่งใส่กล่อง
" เอาไปฝาก อาแหมะลื้อ "
เตี่ย ไม่เคยลืมที่จะนึกถึงหญิงอันเป็นที่รัก
อาแหมะ ไม่ชอบออกนอกบ้าน อ้างว่า ขี้เกียจแต่งตัว แต่มีเสื้อผ้าสามสี่ตู้ ไม่รู้มีไว้ทำไม
เตี่ย นั่งเอนพิงพนัก เอามือลูบพุง
" อิ่มมาก อร่อย เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ "
" เตี่ย เคยไปสวรรค์มาแล้วเหรอ"
" การที่มีลูก พามากินของดีดี อร่อย อร่อย สำหรับเตี่ย มันคือ สวรรค์ มันมากกว่าความสุข
เพราะลูกมีอยู่ มีกิน มีชีวิตที่ดี พอที่จะเอื้อเฟื้อ ดูแลพ่อแม่ ดูแลผู้อื่น ต้องถือว่า คือ สวรรค์ "
อาหมวยนั่งยิ้ม สุขใจที่สุด
" เตี่ยขอบใจลื้อมากนะ ขอให้ลื้อเจริญๆ นะ "
เตี่ยให้พรแบบนี้ทุกครั้ง ที่อาหมวยทำอะไรต่ออะไรเพื่อเตี่ย คำอวยพรของเตี่ย เป็นส่วนหนึ่ง
ของกำลังใจในการดำเนินชีวิตของอาหมวย
" ของที่สั่งมาแล้ว อั๊วให้เค้าเก็บเงินเลยนะเตี่ย "
เตี่ยพยักหน้า สักพัก บริกรนำบิลมายื่นให้ เตี่ยรับไปดู อาหมวยคิดในใจว่า บริกรน่าจะยื่น
ให้อาหมวย มากกว่า
" โอ้โห อาหมวย แพงมาก "
อาหมวยรับบิลมา ทำหน้านิ่งๆ แต่ในใจคิดว่า มาม่าคือที่พึ่ง
" ซื้อให้เตี่ยกิน ไม่มีคำว่าแพง เตี่ยจำคำนี้ของอั๊วไว้นะ สำหรับเตี่ย อั๊วเต็มใจ "
นึกขอบคุณเตี่ยในใจ ที่เตี่ยเปิดโอกาสให้อาหมวย ได้ทำสิ่งดีดี เพื่อเตี่ย
รถแล่นออกจากหน้าร้านได้พักเดียว เตี่ยก็หลับ อาหมวยหันไปมอง นึกย้อนไปตอนเป็นเด็ก
อาหมวยในวันนั้นก็เหมือนเตี่ยในวันนี้
อาหมวย มองออกนอกรถ นึกถึงคำที่เตี่ยสอน
" ข้าวเปล่าตอนอยู่ อร่อยกว่าเนื้อมังกรตอนตาย "
หันมา เอื้อมมือไปลูบแขนเตี่ยเบาๆ ตะโกนในใจว่า " อั๊ว มีความสุข "

👧👴

มาไลโกว หรือ หม่าไหล่โก๊ว คือ ขนมเค้กนึ่งของจีนค่ะ

Cr.ขอบคุณบทความดีดีนะครับ.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2024 7:35 pm

( 21 )


(#)เรื่องสั้น

เมื่อพิธีแต่งงานเป็นหมัน โดย Ray Turchansky จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2544

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

บาทหลวงพร้อมแล้วที่จะประกอบพิธีแต่งงาน จากนั้นเราก็จะถ่ายรูปร่วมกันที่ริมลำน้ำ ผมกำลังจะ
แต่งงานเป็นครั้งแรกในชีวิต วันนั้นตรงกับวันที่ 18 กรกฎาคม 2530 ก่อนผมอายุครบ 37 ปี

เธอชื่อเฮเลน เป็นช่างทำผม เราพบกันที่ประเทศคิวบาเมื่อเดือนมีนาคม 2529 และสามเดือนต่อมาก็หมั้นกัน
แต่หลังจากนั้น 11 เดือนเธอกลับบอกผมที่อพาร์ตเมนต์ของเธอว่าแต่งงานกับผมไม่ได้

ผมขับรถกลับบ้านอย่างคนหัวใจสลาย ผมหยุดพักที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นั่งจ้องแก้วไวน์ราคาถูกด้วยความ
รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว พร้อมกับนึกถึงความอับอายขายหน้าที่กำลังจะตามมา

“อันที่จริงผมคงไม่ได้แต่งงานหรอก... ถูกแล้วที่พูดว่าเวลาจะช่วยเยียวยาความเจ็บปวด ไม่เช่นนั้นเหล้าหรือยา
ระงับประสาทที่แรง ๆ ก็ช่วยได้ ผมบอกเพื่อน ๆ และยืนยันว่าคงเข็ดไปอีกนานแม้จะเข้าใจดีว่าเฮเลนกลัวไม่
น้อยที่จะต้องจากครอบครัว เพื่อนฝูงและงานของเธอ ดีนะที่เกิดเรื่องนี้ก่อนแต่งงานแทนที่จะเกิดหลังแต่ง

เมื่อใกล้กำหนดวันแต่งงาน ผมรู้สึกว่ายังอยากให้เป็นวันพิเศษอยู่ดี และอยากฉลองมิตรภาพระหว่างผมกับ
แขกที่ได้รับเชิญมางานนี้ ผมจึงพิมพ์บัตรเชิญดังนี้

“นายเรย์มอนด์ เทอร์แชนสกีจะไม่ประกอบพิธีสมรสในวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม 2530 จึงเรียนเชิญท่านมา
เป็นเกียรติในงาน

“อุ๊ย... เกือบไป” เสิร์ฟอาหาร
และเครื่องดื่มเวลา 16.00 น.”

งานวันนั้นสนุกระเบิดเถิดเทิงจริง ๆ ผมแต่งชุดสากลเต็มยศถ่ายรูปกับแลรี่น้องชายซึ่งจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว
แขกที่มาราว 40 คนมีทั้งเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้าน พวกเขาเอาขนมเค้กมาให้ประดับ
ด้วยตุ๊กตาเจ้าบ่าวและเขียนหน้าเค้กว่า “เยี่ยมจริง ๆ ที่เป็นโสด”

นอกจากนั้นผมยังได้ของขวัญเป็นผ้าขนหนูสำหรับใช้เวลาเล่นกอล์ฟมีลายปักว่า “อุ๊ย... เกือบไป”
ในงานวันนั้นเรากิน ดื่มและหัวเราะกันครื้นเครง

หนึ่งเดือนต่อมา ขณะไปทำข่าวการแข่งขันกอล์ฟแชมเปี้ยนชิปสมัครเล่นของแคนาดา ผมก็พบกับ
หญิงสาวชื่อลอเรน ซึ่งมาแทนนักข่าวที่เกิดมาไม่ได้อย่างกะทันหัน เธอออกปากอยากหัดเล่นกอล์ฟและ
บอกว่าผมทำให้เธออดหัวเราะไม่ได้ ผมรู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันงดงาม

สองปีต่อมา เราสองคนไปฮันนีมูนด้วยการล่องเรือไปตามลำน้ำมิสซิสซิปปี ลอเรนเป็นผู้หญิงชนิดที่
เมื่อบอกว่าจะแต่งงานกับใคร ก็จะทำตามนั้นจริง ๆ และผมก็ชอบผู้หญิงแบบนี้
เราเพิ่งกลับจากฉลองครบรอบแต่งงาน 10 ปีที่อเมริกาใต้ ลูกชายวัย 8 ขวบและ 6 ขวบของเราพูดบ่อย ๆ ว่า
น เราเป็นพ่อแม่แย่ที่สุดในโลก

ส่วนเฮเลน ผมไม่พบเธออีกเลยตั้งแต่เธอเดินหายไปในวันนั้น

************************
ตอบกลับโพส