( 1 )
“งานให้ความหมายและคุณค่าสำหรับชีวิต”
เคยเขียนเล่าให้อ่านบ่อยๆว่า “อยู่ดีๆมีโอกาสได้พักงาน” อาจเป็นเพราะว่าป่วยหรืออะไรสุดแต่ใจ
จะคิดเอา ตอนแรกๆเข้าไปอยู่บ้านอับราฮัมซึ่งเป็นบ้านพระสงฆ์ผู้สูงอายุที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน
รู้สึกหดหู่ใจอย่างไรบอกไม่ถูกด้านหน้าไปสุสานด้านหลังเป็นบ่อน้ำใหญ่ ยังดีที่มีผู้ใหญ่ใจดีมีเมตตา
ท่านหนึ่งอยู่ที่นั่น ท่านกล่าวเสียงดังเหมือนเป็นการต้อนรับ “มาพ่อโก๋มากินข้าว ดีแล้วกลับมาอยู่บ้าน
ของเราอย่าคิดมาก” ตั้งแต่วันนั้นความรู้สึกว่าตนเองเป็นสมาชิกบ้านอับราฮัมไม่เคยเสื่อมคลาย ยัง
คิดถึงและสวดภาวนาให้สมาชิกบ้านอับราฮัมอยู่เสมอ พอเข้าไปอยู่ได้สักพักหนึ่งจึงเริ่มหาอะไรที่พอ
จะทำและช่วยเหลือคุณพ่อที่นั่นได้ทำ ได้ไปร่วมมิสซากับกลุ่มพระสงฆ์ผู้สูงอายุรอบ 9 โมงเช้า เพราะ
ตอนนั้นเริ่มตื่นเช้ามากไม่ได้จะเกิดอาการบ้านมันหมุน มิสซารอบ 9 โมงเช้าจึงเหมาะที่สุดไม่เช้าและ
ไม่สายจนเกินไป เมื่อไปร่วมมิสซาบรรดาพระสงฆ์ผู้สูงอายุในรอบดังกล่าวจึงมอบหมาย ให้เป็นผู้อ่าน
บทอ่านและร้องเพลงเป็นต้นบทสร้อย หลังจากได้รับมอบหมายก็พยายามทำอย่างเต็มที่ บทสร้อยไหน
ที่นานๆร้องทีจะพยายามไปซ้อมไปทบทวนจนร้องนำได้ จนพระสงฆ์บางท่านบอกว่า “คุณพ่ออ่านเสียง
ดังฟังชัดดี แต่ทำไมคุณพ่อชอบแต่งบทสร้อยใหม่เอามาร้องอยู่เรื่อยๆ” จึงตอบพวกคุณพ่อไปว่า
“ไม่ได้แต่งบทสร้อยใหม่หรอกครับ เพียงแต่ร้องตามที่มีให้หนังสือบทอ่านโดยไม่ข้ามหรือเปลี่ยนบทสร้อย
ไปใช้บทสร้อยที่เราร้องกันซ้ำๆเท่านั้น” พวกคุณพ่อบอกว่า “ดีเหมือนกันพวกเราจะได้ทบทวนความจำ
เพราะทำนองมันคุ้นๆอยู่” เมื่อได้ทำเช่นนี้จึงเริ่มมีความรู้สึกว่า “ชีวิตเริ่มต้นขึ้นทุกยามเช้ามีคุณค่าและ
มีความหมายมากขึ้น” หลังจากนั้นผู้ใหญ่ได้มอบหมายให้ไปช่วยงานอภิบาลที่วัดพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้น
สวรรค์ ได้ไปดูแลงาน BEC วิถีชุมชนวัด ไปช่วยงานอภิบาลของพวกเซอร์บ้านหลุยส์โชเวย์เป็นครั้งคราว
วันเสาร์และวันอาทิตย์ได้ไปถวายมิสซาบูชาขอบพระคุณที่วัดพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ สอนคำสอน
ตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตสงฆ์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ยังคิดถึงสมาชิก BEC บ้านหลุยส์โชเวย์ วัดพระเยซูเจ้า
เสด็จขึ้นสวรรค์เสมอ ทุกครั้งที่ผ่านไปจะมองด้วยความรู้คุณขอบคุณที่ทำให้ชีวิตสงฆ์ในช่วงนั้นมีคุณค่า
ความหมายมีชีวิตชีวา เคยพบหลายๆครอบครัวภรรยาอยู่บ้านดูแลบ้านสามีไปทำงาน หรือสามีอาจมีเหตุ
ให้ต้องอยู่บ้านดูแลบ้านภรรยาไปทำงาน บางช่วงบางตอนที่ฝ่ายอยู่บ้านไม่ค่อยทำอะไรให้เป็นมรรคเป็นผล
จะเกิดปัญหาระหองระแหงแต่เมื่อฝ่ายอยู่บ้านหยิบจับทำอะไรเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง ปัญหาจะค่อยๆคลี่
คลายลงเคยเฝ้าสังเกตบางครอบครัวอย่างใกล้ชิด พบว่าปัญหาไม่ใช่อยู่ที่เงินทองผลประโยชน์ที่จะเข้ามา
ในครอบครัว แต่อยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าไม่มีความหมายตนเองเป็นภาระ เรื่องที่เล่า
ให้อ่านนี้รวมความถึงผู้สูงอายุหลายๆท่านด้วย จึงพอสรุปได้ว่า “งานทำให้ชีวิตมีคุณค่าและความหมายได้”
ดังนั้นจงอย่านิ่งดูดายอะไรพอทำได้จงทำเถอะแต่อย่าทำเกินกำลังและสังขารของตนเอง แล้วสิ่งที่เราทำนั้น
จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมีคุณค่าให้เกิดขึ้นในที่ๆเราอยู่
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
บทความดีๆของคุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( 5 )
( 2 )
ผู้เลี้ยงแกะต้องเอาใจใส่ดูแลฝูงแกะของตน
พระเยซูคริสตเจ้า “ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสารเพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มี
คนเลี้ยง” ( มก.6:34) บทบาทหน้าที่การเป็นผู้เลี้ยงแกะไม่ใช่บทบาทหน้าที่เฉพาะของพระสังฆาราช
และพระสงฆ์เท่านั้นแต่เป็นบทบาทหน้าที่ของเราแต่ละคนด้วย เพราะเราแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่เป็น
ผู้เลี้ยงแกะและแกะในฝูงในเวลาเดียวกัน ในฐานะผู้เลี้ยงแกะเราต้องดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะและในฐานะ
แกะในฝูงเราต้องเชื่อฟังและติดตามผู้เลี้ยงแกะของตน ภาพพจน์ของผู้เลี้ยงแกะที่ดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะ
ของตนนำความคิดของเราไปสู่เรื่องการปกครองดูแลเอาใจใส่บรรดาสัตบุรุษที่เป็นแกะน้อยใหญ่ในฝูง
ที่ต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจของทุกๆคนเพื่อความสงบสุขร่มเย็นของฝูงแกะ
พระสงฆ์ เป็นผู้เลี้ยงแกะของสัตบุรุษ พระสงฆ์จึงมีหน้าที่ต้องปกครองดูแลสัตบุรุษและพยายามทำให้ชุมชน
แห่งความเชื่อเข้มแข็งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกทั้งยังต้องเลี้ยงดูสัตบุรุษด้วยพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ในแง่นี้สัตบุรุษทุกๆคนต้องให้ความร่วมมือกับพระสงฆ์ช่วยเหลือทำให้งานอภิบาลต่างๆของพระสงฆ์เป็น
ไปอย่างราบรื่นเพื่อยังประโยชน์ให้สัตบุรุษเติมโตขึ้นในความเชื่อความศรัทธา อาทิ การเป็นสภาอภิบาล
นักขับร้อง ผู้ช่วยมิสซา คนอ่านบทอ่าน ฯลฯ ในส่วนนี้พวกเราก็พยายามทำกันอยู่แล้วแต่ต้องพยายาม
ปรับปรุงทำให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
พ่อแม่ เป็นผู้เลี้ยงแกะของลูกๆ ในปัจจุบันหลายๆครอบครัวลูกๆเป็นดังฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง ถ้าจะถามพ่อแม่
ว่าเวลานี้ลูกๆเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนพ่อแม่บางท่านอาจจะตอบไม่ได้ หรือถ้าลองถามลูกๆบางคนว่าเวลานี้
พ่อแม่อยู่ที่ไหนทำอะไร ทำงานเหนื่อยยากแค่ไหน ลูกๆก็อาจไม่ทราบ ปัญหานี้เป็นปัญหาของการไม่มีเวลา
ให้แก่กันและกัน การที่พ่อแม่และลูกๆไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขและมีเวลาให้กันและกันนั้น ทำให้ความสัมพันธ์
ที่ดีงามในครอบครัวจืดจาง สามีภรรยา พ่อแม่และลูกๆไม่มีทางที่จะมีความเข้าใจที่ดีและถูกต้องต่อกันได้
สมาชิกในครอบครัวจะทราบถึงทุกข์สุขความเหนื่อยยากของกันและกันได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีเวลาไต่ถาม
ทุกข์สุขของกันและกันเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ครอบครัวของเราจะอ่อนแอ ลูกๆจะไม่มีวันเข้าใจความเหนื่อยยาก
ของพ่อแม่ และขาดที่พึ่งพาเป็นดังฝูงแกะที่ขาดผู้เลี้ยง
ชุมชนแห่งความเชื่อ เป็นดังฝูงแกะฝูงใหญ่ที่ต้องการผู้เลี้ยง หรือมองอีกแง่มุมหนึ่งสมาชิกในชุมชนแห่งความ
เชื่อก็เป็นดังผู้เลี้ยงแกะที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนใหม่และผู้มาเยือน เราทำ
ให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นได้รับมิตรภาพไมตรีจิตหรือมีการต้อนรับพอเป็นพิธี เยาวชน
คนรุ่นใหม่พวกเราทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มีบทบาทหน้าสำคัญในชุมชน ยอมรับความคิด
เห็นของพวกเขาด้วยใจกว้างหรือไม่ บทบาทหน้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเราควรพิจารณาไตร่ตรองเพื่อจะได้รู้และ
สามารถทำตามบทบาทหน้าที่ของเราอย่างสมบูรณ์ในฐานะผู้เลี้ยงและแกะที่ดีในฝูง
ประกาศกเยเรมีย์ท่านได้ให้ภาพพจน์ของความหายนะของฝูงแกะที่มีผู้เลี้ยงที่เลวไม่ดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะของตน
และการลงโทษที่ผู้เลี้ยงที่เลวสมควรจะได้รับ (ยรม.23:1-6) จึงเป็นสิ่งที่เตือนใจเราให้พยายามทำตามบทบาท
หน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด เลียนแบบอย่างองค์พระเยซูคริสตเจ้าผู้เลี้ยงแกะที่ดี “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี...
ยอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา.....เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา”(ยน.10:11-14)
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ผู้เลี้ยงแกะต้องเอาใจใส่ดูแลฝูงแกะของตน
พระเยซูคริสตเจ้า “ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสารเพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มี
คนเลี้ยง” ( มก.6:34) บทบาทหน้าที่การเป็นผู้เลี้ยงแกะไม่ใช่บทบาทหน้าที่เฉพาะของพระสังฆาราช
และพระสงฆ์เท่านั้นแต่เป็นบทบาทหน้าที่ของเราแต่ละคนด้วย เพราะเราแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่เป็น
ผู้เลี้ยงแกะและแกะในฝูงในเวลาเดียวกัน ในฐานะผู้เลี้ยงแกะเราต้องดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะและในฐานะ
แกะในฝูงเราต้องเชื่อฟังและติดตามผู้เลี้ยงแกะของตน ภาพพจน์ของผู้เลี้ยงแกะที่ดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะ
ของตนนำความคิดของเราไปสู่เรื่องการปกครองดูแลเอาใจใส่บรรดาสัตบุรุษที่เป็นแกะน้อยใหญ่ในฝูง
ที่ต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจของทุกๆคนเพื่อความสงบสุขร่มเย็นของฝูงแกะ
พระสงฆ์ เป็นผู้เลี้ยงแกะของสัตบุรุษ พระสงฆ์จึงมีหน้าที่ต้องปกครองดูแลสัตบุรุษและพยายามทำให้ชุมชน
แห่งความเชื่อเข้มแข็งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกทั้งยังต้องเลี้ยงดูสัตบุรุษด้วยพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ในแง่นี้สัตบุรุษทุกๆคนต้องให้ความร่วมมือกับพระสงฆ์ช่วยเหลือทำให้งานอภิบาลต่างๆของพระสงฆ์เป็น
ไปอย่างราบรื่นเพื่อยังประโยชน์ให้สัตบุรุษเติมโตขึ้นในความเชื่อความศรัทธา อาทิ การเป็นสภาอภิบาล
นักขับร้อง ผู้ช่วยมิสซา คนอ่านบทอ่าน ฯลฯ ในส่วนนี้พวกเราก็พยายามทำกันอยู่แล้วแต่ต้องพยายาม
ปรับปรุงทำให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
พ่อแม่ เป็นผู้เลี้ยงแกะของลูกๆ ในปัจจุบันหลายๆครอบครัวลูกๆเป็นดังฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง ถ้าจะถามพ่อแม่
ว่าเวลานี้ลูกๆเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนพ่อแม่บางท่านอาจจะตอบไม่ได้ หรือถ้าลองถามลูกๆบางคนว่าเวลานี้
พ่อแม่อยู่ที่ไหนทำอะไร ทำงานเหนื่อยยากแค่ไหน ลูกๆก็อาจไม่ทราบ ปัญหานี้เป็นปัญหาของการไม่มีเวลา
ให้แก่กันและกัน การที่พ่อแม่และลูกๆไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขและมีเวลาให้กันและกันนั้น ทำให้ความสัมพันธ์
ที่ดีงามในครอบครัวจืดจาง สามีภรรยา พ่อแม่และลูกๆไม่มีทางที่จะมีความเข้าใจที่ดีและถูกต้องต่อกันได้
สมาชิกในครอบครัวจะทราบถึงทุกข์สุขความเหนื่อยยากของกันและกันได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีเวลาไต่ถาม
ทุกข์สุขของกันและกันเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ครอบครัวของเราจะอ่อนแอ ลูกๆจะไม่มีวันเข้าใจความเหนื่อยยาก
ของพ่อแม่ และขาดที่พึ่งพาเป็นดังฝูงแกะที่ขาดผู้เลี้ยง
ชุมชนแห่งความเชื่อ เป็นดังฝูงแกะฝูงใหญ่ที่ต้องการผู้เลี้ยง หรือมองอีกแง่มุมหนึ่งสมาชิกในชุมชนแห่งความ
เชื่อก็เป็นดังผู้เลี้ยงแกะที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนใหม่และผู้มาเยือน เราทำ
ให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นได้รับมิตรภาพไมตรีจิตหรือมีการต้อนรับพอเป็นพิธี เยาวชน
คนรุ่นใหม่พวกเราทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มีบทบาทหน้าสำคัญในชุมชน ยอมรับความคิด
เห็นของพวกเขาด้วยใจกว้างหรือไม่ บทบาทหน้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเราควรพิจารณาไตร่ตรองเพื่อจะได้รู้และ
สามารถทำตามบทบาทหน้าที่ของเราอย่างสมบูรณ์ในฐานะผู้เลี้ยงและแกะที่ดีในฝูง
ประกาศกเยเรมีย์ท่านได้ให้ภาพพจน์ของความหายนะของฝูงแกะที่มีผู้เลี้ยงที่เลวไม่ดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะของตน
และการลงโทษที่ผู้เลี้ยงที่เลวสมควรจะได้รับ (ยรม.23:1-6) จึงเป็นสิ่งที่เตือนใจเราให้พยายามทำตามบทบาท
หน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด เลียนแบบอย่างองค์พระเยซูคริสตเจ้าผู้เลี้ยงแกะที่ดี “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี...
ยอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา.....เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา”(ยน.10:11-14)
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 3 )
“อยู่ก็เหมือนตาย”
หัวข้อครั้งนี้อ่านแล้วจะรู้สึกแปลกๆหน่อยนะ แต่เป็นหัวข้อมาจากการรำพึงถึงชีวิตจริงที่ผ่านๆมาของ
ผู้เขียน บรรดานักบวชพระสงฆ์โดยปกติแล้วต้องสวดทำวัตร 7 ยาม เลือกสวดได้ 5 ยาม และมีทำวัตร
ภาคบังคับ 3 ยาม คือ เช้า เย็น ค่ำ การทำวัตรแต่ละยามจะมีวัตถุประสงค์ต่างๆกัน อาทิ ทำวัตรเช้าจะ
รำพึงถึงชีวิตใหม่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้ ทำวัตรเย็นจะรำพึงถึงความตาย
และสวดภาวนาสำหรับผู้ล่วงลับเป็นพิเศษ ยามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเปรียบดังชีวิตเรา
กำลังลาลับจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นบทภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับส่วนใหญ่จึงมาจากบทภาวนาทำวัตรเย็น
ถ้าสวดภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับด้วยความตั้งใจและสังเกตจะพบว่า “บทภาวนาแทบทุกบทเป็นบทภาวนา
ปลุกปลอบใจบรรดาคนดีมีธรรมทั้งหลาย ซึ่งในชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ดูเหมือนว่า “เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ไม่ได้รับ
ความยุติธรรม” และเตือนคนชั่วคนอธรรมว่า “อย่าได้หยามใจนักพวกเขาเหมือนจะเป็นผู้ชนะได้เปรียบ
แต่พระยุติธรรมของพระเจ้าคงความยุติธรรมอยู่เสมอ และมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง” ชีวิตของผู้เขียนเองซึ่งเป็น
ปุถุชนเช่นเดียวกับผู้อ่านทุกๆท่าน หลายๆครั้งมีคำถาม มีความสงสัยในพระยุติธรรมของพระเจ้าว่า
“ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นต้องเจออย่างนี้นะ และทำไมคนชั่วช้าสามานย์มันจึงลอยนวลมีความสุขสบาย”
ความจริงชีวิตของผู้เขียนก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนามากกว่าผู้อื่น แต่พยายามเป็นคนดีและทำหน้าที่ของตน
สุดความสามารถ สวนใครจะรู้ใครจะเห็นใครจะเข้าใจอย่างไร มันสุดแต่ใจบังคับกันไม่ได้ “ขอพระเจ้าทรง
ทราบทรงพระเมตตากพอแล้ว” เมื่อพระเจ้าทรงขับไล่ผู้ทรงอำนาจลงจากบัลลังก์ มีผู้คนมากมายรวมทั้งพี่น้อง
พระสงฆ์ตั้งคำถามว่า “จะรู้ไหมว่าจะมีวันนี้ และจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบคือจะต้องมีวันนี้สำหรับทุกคนแต่
จะจบสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง เรามีเวลา อดีต วันนี้ และวันพรุ่งนี้ แต่เวลาที่สำคัญที่สุด
คือวันนี้ที่เราอยู่ร่วมกัน ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตามีคุณธรรมทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุด เชื่อว่า
“วันนี้ จะทำให้วันที่เราพบและวันที่เราต้องอำลาจากกันมีความหมายในความทรงจำ” เมื่อคิดถึงเรื่อง “
จะอยู่อย่างไรต่อไป” เรื่องราวของกาอินและอาแบลจึงผุดขึ้นมาในความคิดคำนึง กาอินได้ทำร้ายรังแกจน
ในสุดฆ่าอาแบลผู้เป็นน้องชาย ซึ่งได้ทำหน้าที่ต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าเพื่อนพี่น้องอย่างสุดความ
สามารถ หลังจากโศกนาฏกรรมนั้นพระเจ้าทรงถามกาอินว่า “กาอินน้องชายเจ้าอยู่ที่ไหน” กาอินตอบว่า
“ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าฯไม่ได้เป็นผู้เฝ้าน้องของข้าฯนี่” พระเจ้าตรัสกับกาอินว่า “ความทุกข์ต่างๆและเลือดของ
อาแบลน้องชายส่งเสียงร้องมาถึงเราแล้ว เจ้าจะต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดิน” กาอินบอกกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้า
ต้องตายแน่ เพราะเมื่อใครพบข้าฯพวกเขาจะทำร้ายและฆ่าข้าฯให้ตาย” พระเจ้าบอกกาอินว่า “ไม่ได้ ทำเช่น
นั้นไม่ได้ เพราะเราได้หมายเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นกาอินก็เร่ร่อนไปทั่วแผ่น
ใครพบเจอเขาจะประณามความชั่วสามานย์ที่เขาเคยทำไว้ ด้วย คำพูด กิริยาท่าทาง ด้วยสายตาที่ตำหนิ
ติเตียน สภาพของกาอินเป็นเช่นนี้หลังจากก่อกรรมทำเข็นกับผู้อื่นและมันได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเราคิดว่า
พระยุติธรรมของพระเจ้ามีจริงหรือไม่ สำหรับผู้เขียนคิดว่า “เรื่องของกาอินเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว”
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
“อยู่ก็เหมือนตาย” หัวข้อครั้งนี้อ่านแล้วจะรู้สึกแปลกๆหน่อยนะ แต่เป็นหัวข้อมาจากการรำพึงถึงชีวิตจริงที่ผ่านๆมาของผู้เขียน บรรดานักบวชพระสงฆ์โดยปกติแล้วต้องสวดทำวัตร 7 ยาม เลือกสวดได้ 5 ยาม และมีทำวัตรภาคบังคับ 3 ยาม คือ เช้า เย็น ค่ำ การทำวัตรแต่ละยามจะมีวัตถุประสงค์ต่างๆกัน อาทิ ทำวัตรเช้าจะรำพึงถึงชีวิตใหม่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้ ทำวัตรเย็นจะรำพึงถึงความตายและสวดภาวนาสำหรับผู้ล่วงลับเป็นพิเศษ ยามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเปรียบดังชีวิตเรากำลังลาลับจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นบทภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับส่วนใหญ่จึงมาจากบทภาวนาทำวัตรเย็น ถ้าสวดภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับด้วยความตั้งใจและสังเกตจะพบว่า “บทภาวนาแทบทุกบทเป็นบทภาวนาปลุกปลอบใจบรรดาคนดีมีธรรมทั้งหลาย ซึ่งในชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ดูเหมือนว่า “เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ไม่ได้รับความยุติธรรม” และเตือนคนชั่วคนอธรรมว่า “อย่าได้หยามใจนักพวกเขาเหมือนจะเป็นผู้ชนะได้เปรียบ แต่พระยุติธรรมของพระเจ้าคงความยุติธรรมอยู่เสมอ และมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง” ชีวิตของผู้เขียนเองซึ่งเป็นปุถุชนเช่นเดียวกับผู้อ่านทุกๆท่าน หลายๆครั้งมีคำถาม มีความสงสัยในพระยุติธรรมของพระเจ้าว่า “ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นต้องเจออย่างนี้นะ และทำไมคนชั่วช้าสามานย์มันจึงลอยนวลมีความสุขสบาย” ความจริงชีวิตของผู้เขียนก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนามากกว่าผู้อื่น แต่พยายามเป็นคนดีและทำหน้าที่ของตนสุดความสามารถ สวนใครจะรู้ใครจะเห็นใครจะเข้าใจอย่างไร มันสุดแต่ใจบังคับกันไม่ได้ “ขอพระเจ้าทรงทราบทรงพระเมตตาก็พอแล้ว” เมื่อพระเจ้าทรงขับไล่ผู้ทรงอำนาจลงจากบัลลังก์ มีผู้คนมากมายรวมทั้งพี่น้องพระสงฆ์ตั้งคำถามว่า “จะรู้ไหมว่าจะมีวันนี้ และจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบคือจะต้องมีวันนี้สำหรับทุกคนแต่จะจบสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง เรามีเวลา อดีต วันนี้ และวันพรุ่งนี้ แต่เวลาที่สำคัญที่สุดคือวันนี้ที่เราอยู่ร่วมกัน ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตามีคุณธรรมทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุด เชื่อว่า “วันนี้ จะทำให้วันที่เราพบและวันที่เราต้องอำลาจากกันมีความหมายในความทรงจำ” เมื่อคิดถึงเรื่อง “จะอยู่อย่างไรต่อไป” เรื่องราวของกาอินและอาแบลจึงผุดขึ้นมาในความคิดคำนึง กาอินได้ทำร้ายรังแกจนในสุดฆ่าอาแบลผู้เป็นน้องชาย ซึ่งได้ทำหน้าที่ต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าเพื่อนพี่น้องอย่างสุดความสามารถ หลังจากโศกนาฏกรรมนั้นพระเจ้าทรงถามกาอินว่า “กาอินน้องชายเจ้าอยู่ที่ไหน” กาอินตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าฯไม่ได้เป็นผู้เฝ้าน้องของข้าฯนี่” พระเจ้าตรัสกับกาอินว่า “ความทุกข์ต่างๆและเลือดของอาแบลน้องชายส่งเสียงร้องมาถึงเราแล้ว เจ้าจะต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดิน” กาอินบอกกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าต้องตายแน่ เพราะเมื่อใครพบข้าฯพวกเขาจะทำร้ายและฆ่าข้าฯให้ตาย” พระเจ้าบอกกาอินว่า “ไม่ได้ ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเราได้หมายเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นกาอินก็เร่ร่อนไปทั่วแผ่น ใครพบเจอเขาจะประณามความชั่วสามานย์ที่เขาเคยทำไว้ ด้วย คำพูด กิริยาท่าทาง ด้วยสายตาที่ตำหนิติเตียน สภาพของกาอินเป็นเช่นนี้หลังจากก่อกรรมทำเข็นกับผู้อื่นและมันได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเราคิดว่าพระยุติธรรมของพระเจ้ามีจริงหรือไม่ สำหรับผู้เขียนคิดว่า “เรื่องของกาอินเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว”
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“อยู่ก็เหมือนตาย”
หัวข้อครั้งนี้อ่านแล้วจะรู้สึกแปลกๆหน่อยนะ แต่เป็นหัวข้อมาจากการรำพึงถึงชีวิตจริงที่ผ่านๆมาของ
ผู้เขียน บรรดานักบวชพระสงฆ์โดยปกติแล้วต้องสวดทำวัตร 7 ยาม เลือกสวดได้ 5 ยาม และมีทำวัตร
ภาคบังคับ 3 ยาม คือ เช้า เย็น ค่ำ การทำวัตรแต่ละยามจะมีวัตถุประสงค์ต่างๆกัน อาทิ ทำวัตรเช้าจะ
รำพึงถึงชีวิตใหม่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้ ทำวัตรเย็นจะรำพึงถึงความตาย
และสวดภาวนาสำหรับผู้ล่วงลับเป็นพิเศษ ยามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเปรียบดังชีวิตเรา
กำลังลาลับจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นบทภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับส่วนใหญ่จึงมาจากบทภาวนาทำวัตรเย็น
ถ้าสวดภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับด้วยความตั้งใจและสังเกตจะพบว่า “บทภาวนาแทบทุกบทเป็นบทภาวนา
ปลุกปลอบใจบรรดาคนดีมีธรรมทั้งหลาย ซึ่งในชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ดูเหมือนว่า “เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ไม่ได้รับ
ความยุติธรรม” และเตือนคนชั่วคนอธรรมว่า “อย่าได้หยามใจนักพวกเขาเหมือนจะเป็นผู้ชนะได้เปรียบ
แต่พระยุติธรรมของพระเจ้าคงความยุติธรรมอยู่เสมอ และมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง” ชีวิตของผู้เขียนเองซึ่งเป็น
ปุถุชนเช่นเดียวกับผู้อ่านทุกๆท่าน หลายๆครั้งมีคำถาม มีความสงสัยในพระยุติธรรมของพระเจ้าว่า
“ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นต้องเจออย่างนี้นะ และทำไมคนชั่วช้าสามานย์มันจึงลอยนวลมีความสุขสบาย”
ความจริงชีวิตของผู้เขียนก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนามากกว่าผู้อื่น แต่พยายามเป็นคนดีและทำหน้าที่ของตน
สุดความสามารถ สวนใครจะรู้ใครจะเห็นใครจะเข้าใจอย่างไร มันสุดแต่ใจบังคับกันไม่ได้ “ขอพระเจ้าทรง
ทราบทรงพระเมตตากพอแล้ว” เมื่อพระเจ้าทรงขับไล่ผู้ทรงอำนาจลงจากบัลลังก์ มีผู้คนมากมายรวมทั้งพี่น้อง
พระสงฆ์ตั้งคำถามว่า “จะรู้ไหมว่าจะมีวันนี้ และจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบคือจะต้องมีวันนี้สำหรับทุกคนแต่
จะจบสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง เรามีเวลา อดีต วันนี้ และวันพรุ่งนี้ แต่เวลาที่สำคัญที่สุด
คือวันนี้ที่เราอยู่ร่วมกัน ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตามีคุณธรรมทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุด เชื่อว่า
“วันนี้ จะทำให้วันที่เราพบและวันที่เราต้องอำลาจากกันมีความหมายในความทรงจำ” เมื่อคิดถึงเรื่อง “
จะอยู่อย่างไรต่อไป” เรื่องราวของกาอินและอาแบลจึงผุดขึ้นมาในความคิดคำนึง กาอินได้ทำร้ายรังแกจน
ในสุดฆ่าอาแบลผู้เป็นน้องชาย ซึ่งได้ทำหน้าที่ต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าเพื่อนพี่น้องอย่างสุดความ
สามารถ หลังจากโศกนาฏกรรมนั้นพระเจ้าทรงถามกาอินว่า “กาอินน้องชายเจ้าอยู่ที่ไหน” กาอินตอบว่า
“ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าฯไม่ได้เป็นผู้เฝ้าน้องของข้าฯนี่” พระเจ้าตรัสกับกาอินว่า “ความทุกข์ต่างๆและเลือดของ
อาแบลน้องชายส่งเสียงร้องมาถึงเราแล้ว เจ้าจะต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดิน” กาอินบอกกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้า
ต้องตายแน่ เพราะเมื่อใครพบข้าฯพวกเขาจะทำร้ายและฆ่าข้าฯให้ตาย” พระเจ้าบอกกาอินว่า “ไม่ได้ ทำเช่น
นั้นไม่ได้ เพราะเราได้หมายเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นกาอินก็เร่ร่อนไปทั่วแผ่น
ใครพบเจอเขาจะประณามความชั่วสามานย์ที่เขาเคยทำไว้ ด้วย คำพูด กิริยาท่าทาง ด้วยสายตาที่ตำหนิ
ติเตียน สภาพของกาอินเป็นเช่นนี้หลังจากก่อกรรมทำเข็นกับผู้อื่นและมันได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเราคิดว่า
พระยุติธรรมของพระเจ้ามีจริงหรือไม่ สำหรับผู้เขียนคิดว่า “เรื่องของกาอินเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว”
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
“อยู่ก็เหมือนตาย” หัวข้อครั้งนี้อ่านแล้วจะรู้สึกแปลกๆหน่อยนะ แต่เป็นหัวข้อมาจากการรำพึงถึงชีวิตจริงที่ผ่านๆมาของผู้เขียน บรรดานักบวชพระสงฆ์โดยปกติแล้วต้องสวดทำวัตร 7 ยาม เลือกสวดได้ 5 ยาม และมีทำวัตรภาคบังคับ 3 ยาม คือ เช้า เย็น ค่ำ การทำวัตรแต่ละยามจะมีวัตถุประสงค์ต่างๆกัน อาทิ ทำวัตรเช้าจะรำพึงถึงชีวิตใหม่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้ ทำวัตรเย็นจะรำพึงถึงความตายและสวดภาวนาสำหรับผู้ล่วงลับเป็นพิเศษ ยามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเปรียบดังชีวิตเรากำลังลาลับจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นบทภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับส่วนใหญ่จึงมาจากบทภาวนาทำวัตรเย็น ถ้าสวดภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับด้วยความตั้งใจและสังเกตจะพบว่า “บทภาวนาแทบทุกบทเป็นบทภาวนาปลุกปลอบใจบรรดาคนดีมีธรรมทั้งหลาย ซึ่งในชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ดูเหมือนว่า “เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ไม่ได้รับความยุติธรรม” และเตือนคนชั่วคนอธรรมว่า “อย่าได้หยามใจนักพวกเขาเหมือนจะเป็นผู้ชนะได้เปรียบ แต่พระยุติธรรมของพระเจ้าคงความยุติธรรมอยู่เสมอ และมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง” ชีวิตของผู้เขียนเองซึ่งเป็นปุถุชนเช่นเดียวกับผู้อ่านทุกๆท่าน หลายๆครั้งมีคำถาม มีความสงสัยในพระยุติธรรมของพระเจ้าว่า “ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นต้องเจออย่างนี้นะ และทำไมคนชั่วช้าสามานย์มันจึงลอยนวลมีความสุขสบาย” ความจริงชีวิตของผู้เขียนก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนามากกว่าผู้อื่น แต่พยายามเป็นคนดีและทำหน้าที่ของตนสุดความสามารถ สวนใครจะรู้ใครจะเห็นใครจะเข้าใจอย่างไร มันสุดแต่ใจบังคับกันไม่ได้ “ขอพระเจ้าทรงทราบทรงพระเมตตาก็พอแล้ว” เมื่อพระเจ้าทรงขับไล่ผู้ทรงอำนาจลงจากบัลลังก์ มีผู้คนมากมายรวมทั้งพี่น้องพระสงฆ์ตั้งคำถามว่า “จะรู้ไหมว่าจะมีวันนี้ และจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบคือจะต้องมีวันนี้สำหรับทุกคนแต่จะจบสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง เรามีเวลา อดีต วันนี้ และวันพรุ่งนี้ แต่เวลาที่สำคัญที่สุดคือวันนี้ที่เราอยู่ร่วมกัน ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตามีคุณธรรมทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุด เชื่อว่า “วันนี้ จะทำให้วันที่เราพบและวันที่เราต้องอำลาจากกันมีความหมายในความทรงจำ” เมื่อคิดถึงเรื่อง “จะอยู่อย่างไรต่อไป” เรื่องราวของกาอินและอาแบลจึงผุดขึ้นมาในความคิดคำนึง กาอินได้ทำร้ายรังแกจนในสุดฆ่าอาแบลผู้เป็นน้องชาย ซึ่งได้ทำหน้าที่ต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าเพื่อนพี่น้องอย่างสุดความสามารถ หลังจากโศกนาฏกรรมนั้นพระเจ้าทรงถามกาอินว่า “กาอินน้องชายเจ้าอยู่ที่ไหน” กาอินตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าฯไม่ได้เป็นผู้เฝ้าน้องของข้าฯนี่” พระเจ้าตรัสกับกาอินว่า “ความทุกข์ต่างๆและเลือดของอาแบลน้องชายส่งเสียงร้องมาถึงเราแล้ว เจ้าจะต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดิน” กาอินบอกกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าต้องตายแน่ เพราะเมื่อใครพบข้าฯพวกเขาจะทำร้ายและฆ่าข้าฯให้ตาย” พระเจ้าบอกกาอินว่า “ไม่ได้ ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเราได้หมายเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นกาอินก็เร่ร่อนไปทั่วแผ่น ใครพบเจอเขาจะประณามความชั่วสามานย์ที่เขาเคยทำไว้ ด้วย คำพูด กิริยาท่าทาง ด้วยสายตาที่ตำหนิติเตียน สภาพของกาอินเป็นเช่นนี้หลังจากก่อกรรมทำเข็นกับผู้อื่นและมันได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเราคิดว่าพระยุติธรรมของพระเจ้ามีจริงหรือไม่ สำหรับผู้เขียนคิดว่า “เรื่องของกาอินเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว”
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 4 )
พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าฯ
“เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย”(ยน.6:34)
“จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโรงนา ไม่มียุ้งฉาง แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงมัน
ท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกกาสักเพียงใด”(ลก.12:24) พระเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์ทางพระคัมภีร์
หลายครั้งให้เราทราบว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คอยดูแลค้ำจุนชีวิตมนุษย์” เป็นการย้ำเตือนเราให้มีความ
วางใจในพระองค์และรู้จักลำดับคุณค่าในชีวิตให้ถูกต้อง “จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนเถิด
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมทุกสิ่งให้”(ลก.12:31) การทวีอาหารเลี้ยงประชากร ในหนังสือพงศ์กษัตริย์
สมัยประกาศกเอลีชา (2พกษ.4:42-44) และการทวีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เลี้ยงคนห้าพันคนไม่นับ
ผู้หญิงและเด็ก (ยน.6:1-15) เป็นสิ่งที่ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูเราได้แน่นอน ถ้าเรามีความเชื่อ
และวางใจในพระองค์ การมีความเชื่อและวางใจในพระเจ้ามิได้หมายความถึงการงอมืองอเท้าเกียจคร้าน
ในการทำงาน ตรงกันข้ามมันเป็นการทำหน้าที่ของตนเองสุดความสามารถโดยจัดลำดับคุณค่าก่อนหลัง
อย่างถูกต้อง และที่เหลือพระเจ้าจะจัดการให้อย่างเหมาะสม
การทวีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเลี้ยงคนจำนวนมากมาย สามารถตีความได้ว่าพระเจ้าทรงสามารถทำ
อัศจรรย์เช่นนั้นได้ และเราก็เชื่อเช่นนั้นจริง แต่พระองค์คงไม่ทำอัศจรรย์ซึ่งเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
ให้เกิดขึ้นบ่อยๆอย่างฟุ่มเฟือย มิเช่นนั้นแล้วพระองค์คงไม่สร้างมนุษย์มาให้มีสติปัญญาเป็นเลิศ สามารถ
คิดค้นเครื่องมือต่างๆในการอำนวยความสะดวกยังชีพได้มากมาย และให้เกียรติเชิญชวนมนุษย์ให้ร่วมมือ
กับพระองค์ในการสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่อย่างนี้ จากเรื่องการทวีขนมปังเราเห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซู
คริสตเจ้าทรงสามารถทำอัศจรรย์ แต่ทรงขอความร่วมจากมนุษย์พระองค์ทรงปรึกษาหารือกับบรรดาศิษย์
และขอขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวจากเด็กคนหนึ่ง “จึงตรัสแก่ฟิลิปว่า พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คน
เหล่านี้กิน......อันดรูว์......ทูลว่าเด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว”(ยน.6:5-9) แล้วพระองค์ทรง
ขอขนมปังและปลาจากเด็กทวีขึ้นเลี้ยงคนจำนวนมากมาย นักตีความพระคัมภีร์บางพวกตีความเรื่องการทวี
ขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเลี้ยงคนมากมายโดยเลี่ยงเรื่องการทำอัศจรรย์ พวกนี้ตีความว่า “พระเยซูคริสตเจ้า
จงใจเอาขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2ตัวจากเด็กซึ่งเป็นคนที่ไร้ศักดิ์ศรีในเวลานั้น แล้วสั่งให้นำไปแจกให้กับ
ประชาชน” เมื่อผู้คนเห็นดังนั้นก็รู้สึกละอายใจจึงนำขนมปังและอาหารที่แต่ละคนพกติดตัวมาแบ่งปันกันกิน
จนอิ่ม
การตีความโดยไม่เน้นการทำอัศจรรย์ก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นการแสดงให้เห็นเด่นชัดว่า “จิตตารมณ์แห่ง
แบ่งปันมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตร่วมกัน เพราะจะนำมาซึ่งความสุขของคนในสังคม” ที่สังคมทุกวันนี้
มีปัญหาเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า คนยากจนค่อนประเทศมีคนรวยๆอยู่ไม่กี่คน ก็เพราะว่าเราอยู่ด้วยกัน
โดยทฤษฎีการแกร่งแย่งแข่งขันมือใครยาวสาวได้สาวเอา ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ขาดความรักความเมตตา
เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ดังนั้นถ้าเราอยากเห็นสังคมน่าอยู่มีความสุขมากขึ้น เราคงต้องทำเหมือนเด็กคนนั้นที่
นำเอาของเล็กๆน้อยๆที่ตนเองมีออกมาแบ่งปันให้กันและกัน เชื่อแน่ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้คนกินดีอยู่ดี
มากขึ้น และไม่แน่ว่ามันอาจจะทำให้อีกหลายๆคนที่มีมากละอายใจบ้างก็เป็นได้
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าฯ
“เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย”(ยน.6:34)
“จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโรงนา ไม่มียุ้งฉาง แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงมัน
ท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกกาสักเพียงใด”(ลก.12:24) พระเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์ทางพระคัมภีร์
หลายครั้งให้เราทราบว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คอยดูแลค้ำจุนชีวิตมนุษย์” เป็นการย้ำเตือนเราให้มีความ
วางใจในพระองค์และรู้จักลำดับคุณค่าในชีวิตให้ถูกต้อง “จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนเถิด
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมทุกสิ่งให้”(ลก.12:31) การทวีอาหารเลี้ยงประชากร ในหนังสือพงศ์กษัตริย์
สมัยประกาศกเอลีชา (2พกษ.4:42-44) และการทวีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เลี้ยงคนห้าพันคนไม่นับ
ผู้หญิงและเด็ก (ยน.6:1-15) เป็นสิ่งที่ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูเราได้แน่นอน ถ้าเรามีความเชื่อ
และวางใจในพระองค์ การมีความเชื่อและวางใจในพระเจ้ามิได้หมายความถึงการงอมืองอเท้าเกียจคร้าน
ในการทำงาน ตรงกันข้ามมันเป็นการทำหน้าที่ของตนเองสุดความสามารถโดยจัดลำดับคุณค่าก่อนหลัง
อย่างถูกต้อง และที่เหลือพระเจ้าจะจัดการให้อย่างเหมาะสม
การทวีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเลี้ยงคนจำนวนมากมาย สามารถตีความได้ว่าพระเจ้าทรงสามารถทำ
อัศจรรย์เช่นนั้นได้ และเราก็เชื่อเช่นนั้นจริง แต่พระองค์คงไม่ทำอัศจรรย์ซึ่งเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
ให้เกิดขึ้นบ่อยๆอย่างฟุ่มเฟือย มิเช่นนั้นแล้วพระองค์คงไม่สร้างมนุษย์มาให้มีสติปัญญาเป็นเลิศ สามารถ
คิดค้นเครื่องมือต่างๆในการอำนวยความสะดวกยังชีพได้มากมาย และให้เกียรติเชิญชวนมนุษย์ให้ร่วมมือ
กับพระองค์ในการสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่อย่างนี้ จากเรื่องการทวีขนมปังเราเห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซู
คริสตเจ้าทรงสามารถทำอัศจรรย์ แต่ทรงขอความร่วมจากมนุษย์พระองค์ทรงปรึกษาหารือกับบรรดาศิษย์
และขอขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวจากเด็กคนหนึ่ง “จึงตรัสแก่ฟิลิปว่า พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คน
เหล่านี้กิน......อันดรูว์......ทูลว่าเด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว”(ยน.6:5-9) แล้วพระองค์ทรง
ขอขนมปังและปลาจากเด็กทวีขึ้นเลี้ยงคนจำนวนมากมาย นักตีความพระคัมภีร์บางพวกตีความเรื่องการทวี
ขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเลี้ยงคนมากมายโดยเลี่ยงเรื่องการทำอัศจรรย์ พวกนี้ตีความว่า “พระเยซูคริสตเจ้า
จงใจเอาขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2ตัวจากเด็กซึ่งเป็นคนที่ไร้ศักดิ์ศรีในเวลานั้น แล้วสั่งให้นำไปแจกให้กับ
ประชาชน” เมื่อผู้คนเห็นดังนั้นก็รู้สึกละอายใจจึงนำขนมปังและอาหารที่แต่ละคนพกติดตัวมาแบ่งปันกันกิน
จนอิ่ม
การตีความโดยไม่เน้นการทำอัศจรรย์ก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นการแสดงให้เห็นเด่นชัดว่า “จิตตารมณ์แห่ง
แบ่งปันมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตร่วมกัน เพราะจะนำมาซึ่งความสุขของคนในสังคม” ที่สังคมทุกวันนี้
มีปัญหาเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า คนยากจนค่อนประเทศมีคนรวยๆอยู่ไม่กี่คน ก็เพราะว่าเราอยู่ด้วยกัน
โดยทฤษฎีการแกร่งแย่งแข่งขันมือใครยาวสาวได้สาวเอา ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ขาดความรักความเมตตา
เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ดังนั้นถ้าเราอยากเห็นสังคมน่าอยู่มีความสุขมากขึ้น เราคงต้องทำเหมือนเด็กคนนั้นที่
นำเอาของเล็กๆน้อยๆที่ตนเองมีออกมาแบ่งปันให้กันและกัน เชื่อแน่ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้คนกินดีอยู่ดี
มากขึ้น และไม่แน่ว่ามันอาจจะทำให้อีกหลายๆคนที่มีมากละอายใจบ้างก็เป็นได้
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 5 )
“เมื่อเข้าใจสัจธรรมอย่างลึกซึ้งจะถึงซึ่งความสงบสุขแห่งชีวิต”
ผู้เขียนอยากเรียกตนเองว่า “คนเดินเฉียดตาย” เพราะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว
คิดถึงตอนเป็น “โควิค 19” ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวมากสำหรับทุกๆประเทศในโลก ประเทศไทย
เราไม่ยอมแพ้นาๆประเทศเหมือนกัน โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วย วัดวาอารามเดือดร้อนไปทั่วเผ่าศพ
กันจนเมรุเผาศพแตก ในประเทศไทยคนเดินล้มตายกันตามถนนหนทาง ใครเสียชีวิตตอนนั้นจะเป็นเหมือน
คนอนาถาไร้ญาติขาดมิตร ส่วนข้าฯนอนอยู่ในโรงพยาบาลอาการหนักเอาการทีเดียว ตอนแรกๆทำเป็น
ใจกล้าไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อรู้ความจริงเพราะอาการมันบ่งชัดเท่านั้นแหละขวัญกระเจิง ตอนนั้นต้อง
นอนคนเดียวหมอพยาบาลจะเข้ามาเท่าที่จำเป็น และต้องใส่ชุดป้องกันอย่างดีจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
ความโดดเดี่ยวอ้างว้างจึงเข้าครอบงำ เดี๋ยวได้ยินเสียงโน้นเดี๋ยวได้ยินเสียงนี่ เดี๋ยวเห็นไอ้โน้นไอ้นี่วุ้นวาย
ไปหมด จนต้องโทรฯไปหาน้องชายให้เอาเครื่องรับสัญญาณบลูทูธมาเปิดฟังเพลง และต้องเปิดเสียงดังๆ
เข้าไว้ อาการแบบนี้เกิดจากความกลัว “กลัวอะไรหละ” “กลัวตายครับ” เพราะเบื้องหลังความกลัวตาย
คือการพลัดพรากจากคนที่เรารัก การสูญเสียจบทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่มนุษย์ทุกคน
“กลัวตาย” นักบุญเปาโลจึงสอนคริสตชนว่า “เราไม่ปรารถนาให้พวกท่านขาดความเข้าใจเรื่อง “ความตาย”
ความตายคือการเปลี่ยนแปลงใหม่จากความเป็นความอนิจจังสู่ความเป็นอมตะ ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้
ดำเนินชีวิตดีทำความดี เราจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า (มีชีวิตนิรันดรมีความสุขกับพระเจ้า) เพราะฉะนั้น
ความเข้าใจอย่างถูกต้องการยึดมั่นในความเชื่อเป็นต้นเรื่อง “สหพันธ์นักบุญ” นักบุญ วิญญาณที่ต้องชำระ
ให้บริสุทธิ์ และมนุษย์ที่ยังเดินทางบนโลกใบนี้ ยังมีความสัมพันธ์ติดต่อกันได้โดยทางการสวดภาวนา และ
สามารถพบปะกันได้บางขณะถ้าสามารถจูนคลื่นให้ตรงกัน (ความคิดเห็นส่วนตัว) ความตายการพลัดพราก
จากคนที่เรารักจึงไม่มีอยู่จริง ความเข้าใจในสัจธรรมอย่างลึกซึ้งจึงนำมาซึ่งความสงบสุข ทำให้ความโศกเศร้า
ที่เกิดจากการพลัดพรากและการกลัวตายจะน้อยลง เพราะความตายเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ เหมือนการออก
จากหนอนดักแด่กลายเป็นผีเสื้อ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะต้องมีความเจ็บปวดเป็นธรรมชาติ แต่ต่อไปคนดี
มีธรรมจะไม่ต้องประสบกับเรื่องทำนองนี้อีก “คนดีมีธรรมอยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า ความทุกข์ใดเล่าจะ
มากล่ำกลาย ความตายเหมือนเป็นการสูญเสีย แต่ที่ไหนได้เขากลับไปมีความสุขกับพระเจ้าแล้ว” เชื่อไหมว่า
ข้าฯยังคุยกับเตี่ยแม่ของข้าฯบ่อยๆ ยังเคยพบปะกันบ้างในช่วงแรก จนกระทั่งข้าฯมีความเชื่อแน่ใจว่าท่านทั้ง
สองไม่ได้จากข้าฯไปไหน ยังคงอยู่ใกล้ๆคอยช่วยเหลือข้าฯ และเมื่อข้าฯเดือดเนื้อร้อนใจยังคงเรียกหาท่านได้
ตลอดเวลา เพราะข้าฯเชื่อว่าท่านทั้งสองเป็นนักบุญคอยปกป้องดูแลข้าฯอยู่เสมอ ขอให้เรื่องเล่าของข้าฯเป็น
ยารักษาใจ ช่วยให้ทุกท่านคลายความโศกเศร้ามีใจสงบสุขเทอญ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“เมื่อเข้าใจสัจธรรมอย่างลึกซึ้งจะถึงซึ่งความสงบสุขแห่งชีวิต”
ผู้เขียนอยากเรียกตนเองว่า “คนเดินเฉียดตาย” เพราะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว
คิดถึงตอนเป็น “โควิค 19” ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวมากสำหรับทุกๆประเทศในโลก ประเทศไทย
เราไม่ยอมแพ้นาๆประเทศเหมือนกัน โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วย วัดวาอารามเดือดร้อนไปทั่วเผ่าศพ
กันจนเมรุเผาศพแตก ในประเทศไทยคนเดินล้มตายกันตามถนนหนทาง ใครเสียชีวิตตอนนั้นจะเป็นเหมือน
คนอนาถาไร้ญาติขาดมิตร ส่วนข้าฯนอนอยู่ในโรงพยาบาลอาการหนักเอาการทีเดียว ตอนแรกๆทำเป็น
ใจกล้าไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อรู้ความจริงเพราะอาการมันบ่งชัดเท่านั้นแหละขวัญกระเจิง ตอนนั้นต้อง
นอนคนเดียวหมอพยาบาลจะเข้ามาเท่าที่จำเป็น และต้องใส่ชุดป้องกันอย่างดีจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
ความโดดเดี่ยวอ้างว้างจึงเข้าครอบงำ เดี๋ยวได้ยินเสียงโน้นเดี๋ยวได้ยินเสียงนี่ เดี๋ยวเห็นไอ้โน้นไอ้นี่วุ้นวาย
ไปหมด จนต้องโทรฯไปหาน้องชายให้เอาเครื่องรับสัญญาณบลูทูธมาเปิดฟังเพลง และต้องเปิดเสียงดังๆ
เข้าไว้ อาการแบบนี้เกิดจากความกลัว “กลัวอะไรหละ” “กลัวตายครับ” เพราะเบื้องหลังความกลัวตาย
คือการพลัดพรากจากคนที่เรารัก การสูญเสียจบทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่มนุษย์ทุกคน
“กลัวตาย” นักบุญเปาโลจึงสอนคริสตชนว่า “เราไม่ปรารถนาให้พวกท่านขาดความเข้าใจเรื่อง “ความตาย”
ความตายคือการเปลี่ยนแปลงใหม่จากความเป็นความอนิจจังสู่ความเป็นอมตะ ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้
ดำเนินชีวิตดีทำความดี เราจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า (มีชีวิตนิรันดรมีความสุขกับพระเจ้า) เพราะฉะนั้น
ความเข้าใจอย่างถูกต้องการยึดมั่นในความเชื่อเป็นต้นเรื่อง “สหพันธ์นักบุญ” นักบุญ วิญญาณที่ต้องชำระ
ให้บริสุทธิ์ และมนุษย์ที่ยังเดินทางบนโลกใบนี้ ยังมีความสัมพันธ์ติดต่อกันได้โดยทางการสวดภาวนา และ
สามารถพบปะกันได้บางขณะถ้าสามารถจูนคลื่นให้ตรงกัน (ความคิดเห็นส่วนตัว) ความตายการพลัดพราก
จากคนที่เรารักจึงไม่มีอยู่จริง ความเข้าใจในสัจธรรมอย่างลึกซึ้งจึงนำมาซึ่งความสงบสุข ทำให้ความโศกเศร้า
ที่เกิดจากการพลัดพรากและการกลัวตายจะน้อยลง เพราะความตายเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ เหมือนการออก
จากหนอนดักแด่กลายเป็นผีเสื้อ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะต้องมีความเจ็บปวดเป็นธรรมชาติ แต่ต่อไปคนดี
มีธรรมจะไม่ต้องประสบกับเรื่องทำนองนี้อีก “คนดีมีธรรมอยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า ความทุกข์ใดเล่าจะ
มากล่ำกลาย ความตายเหมือนเป็นการสูญเสีย แต่ที่ไหนได้เขากลับไปมีความสุขกับพระเจ้าแล้ว” เชื่อไหมว่า
ข้าฯยังคุยกับเตี่ยแม่ของข้าฯบ่อยๆ ยังเคยพบปะกันบ้างในช่วงแรก จนกระทั่งข้าฯมีความเชื่อแน่ใจว่าท่านทั้ง
สองไม่ได้จากข้าฯไปไหน ยังคงอยู่ใกล้ๆคอยช่วยเหลือข้าฯ และเมื่อข้าฯเดือดเนื้อร้อนใจยังคงเรียกหาท่านได้
ตลอดเวลา เพราะข้าฯเชื่อว่าท่านทั้งสองเป็นนักบุญคอยปกป้องดูแลข้าฯอยู่เสมอ ขอให้เรื่องเล่าของข้าฯเป็น
ยารักษาใจ ช่วยให้ทุกท่านคลายความโศกเศร้ามีใจสงบสุขเทอญ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 6 )
วุฒิภาวะด้านการนับถือศาสนา
บรรดาศาสนิกทั้งหลายต้องพยายามหาคำตอบให้กับตนเองให้ได้ว่า “เรานับถือศาสนาเพื่ออะไร” ความ
คาดหวังในการนับถือศาสนานี่แหละคือตัวบ่งชี้ว่า “เรามีวุฒิภาวะในการนับถือศาสนามากน้อยแค่ไหน”
( วุฒิภาวะหมายถึงความเป็นผู้ใหญ่ เป็นความถึงพร้อมด้านความคิดอ่าน อารมณ์ สติปัญญา ฯลฯ )
หลังจากที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงทวีขนมปังเลี้ยงประชาชนแล้ว พระองค์เสด็จปลีกตัวจากประชาชนไปอยู่
ในที่เงียบสงัด ประชาชนตามหาพระองค์จนพบ พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน
ทั้งหลายว่าท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม”(ยน. 6:26)
พระดำรัสของพระเยซูคริสตเจ้าทำให้เราชัดเจนถึงการนับถือศาสนาที่อิงกับผลประโยชน์ การนับถือศาสนา
แบบนี้แหละคือการขาดวุฒิภาวะด้านการนับถือศาสนาเพราะผู้ที่นับถือศาสนาแบบนี้ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์
ที่แท้จริงของการนับถือศาสนา เขานับถือศาสนาเพียงผิวเผินเท่านั้นไม่มีประสบการณ์ทางความเชื่อแต่อย่างใด
เมื่อเข้ามานับถือศาสนาแล้วไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ตนเองคาดหวัง ไม่ได้อย่างใจตนก็เลิกกันแบบง่ายๆโดย
อ้างเหตุผลข้างๆคูๆว่า เป็นคริสตังก็ไม่เห็นต่างจากศาสนาอื่นตรงไหน ไม่เห็นได้อะไรเลย ฯลฯ
ศาสนาเป็นหนทางแห่งชีวิตและไม่ใช่เป็นเพียงคำสอนหรูๆไพเราะฟังดูดีมีวาทศิลป์เท่านั้น แต่เป็นการสร้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นพระบุคคล เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามคำสอน การสวดภาวนา
การมาร่วมพิธีกรรมล้วนเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้กิจการเหล่านี้จึงอิงกับผล
ประโยชน์ไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ที่อิงกับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับใครระดับไหนก็เป็นความ
สัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืนทั้งสิ้น เมื่อหมดผลประโยชน์ความสัมพันธ์ก็สิ้นสุดลงทันที เพราะฉะนั้นพระเยซูคริสตเจ้าจึง
สอนเราให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างแท้จริงซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่จะคำรงอยู่นิรันดร “อย่าขวนขวายหา
อาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้” (ยน. 6:27) เราคงต้องถาม
ตัวเราเองบ่อยๆว่าเราคาดหวังอะไรในการนับถือศาสนา ในการติดตามพระเยซูคริสเจ้า ในการสวดภาวนา
ในการปฏิบัติกิจศรัทธาต่างๆ เราทำเพราะเรารักพระเป็นเจ้าต้องการตอบสนองความรักของพระองค์ หรือ
ต้องการใช้พระองค์เป็นเครื่องมือขอนั่นขอนี่ทำโน้นทำนี่ให้กันแน่ เราจะเป็นเหมือนประชาชนเหล่านั้นไหม
“แสวงหาพระองค์เพราะอยากกินขนมปังจนอิ่มท้อง” อย่ากังวลใจไปเลยจงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า
ก่อนแล้วอย่างอื่นพระองค์จะแถมให้เอง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
วุฒิภาวะด้านการนับถือศาสนา
บรรดาศาสนิกทั้งหลายต้องพยายามหาคำตอบให้กับตนเองให้ได้ว่า “เรานับถือศาสนาเพื่ออะไร” ความ
คาดหวังในการนับถือศาสนานี่แหละคือตัวบ่งชี้ว่า “เรามีวุฒิภาวะในการนับถือศาสนามากน้อยแค่ไหน”
( วุฒิภาวะหมายถึงความเป็นผู้ใหญ่ เป็นความถึงพร้อมด้านความคิดอ่าน อารมณ์ สติปัญญา ฯลฯ )
หลังจากที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงทวีขนมปังเลี้ยงประชาชนแล้ว พระองค์เสด็จปลีกตัวจากประชาชนไปอยู่
ในที่เงียบสงัด ประชาชนตามหาพระองค์จนพบ พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน
ทั้งหลายว่าท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม”(ยน. 6:26)
พระดำรัสของพระเยซูคริสตเจ้าทำให้เราชัดเจนถึงการนับถือศาสนาที่อิงกับผลประโยชน์ การนับถือศาสนา
แบบนี้แหละคือการขาดวุฒิภาวะด้านการนับถือศาสนาเพราะผู้ที่นับถือศาสนาแบบนี้ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์
ที่แท้จริงของการนับถือศาสนา เขานับถือศาสนาเพียงผิวเผินเท่านั้นไม่มีประสบการณ์ทางความเชื่อแต่อย่างใด
เมื่อเข้ามานับถือศาสนาแล้วไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ตนเองคาดหวัง ไม่ได้อย่างใจตนก็เลิกกันแบบง่ายๆโดย
อ้างเหตุผลข้างๆคูๆว่า เป็นคริสตังก็ไม่เห็นต่างจากศาสนาอื่นตรงไหน ไม่เห็นได้อะไรเลย ฯลฯ
ศาสนาเป็นหนทางแห่งชีวิตและไม่ใช่เป็นเพียงคำสอนหรูๆไพเราะฟังดูดีมีวาทศิลป์เท่านั้น แต่เป็นการสร้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นพระบุคคล เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามคำสอน การสวดภาวนา
การมาร่วมพิธีกรรมล้วนเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้กิจการเหล่านี้จึงอิงกับผล
ประโยชน์ไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ที่อิงกับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับใครระดับไหนก็เป็นความ
สัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืนทั้งสิ้น เมื่อหมดผลประโยชน์ความสัมพันธ์ก็สิ้นสุดลงทันที เพราะฉะนั้นพระเยซูคริสตเจ้าจึง
สอนเราให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างแท้จริงซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่จะคำรงอยู่นิรันดร “อย่าขวนขวายหา
อาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้” (ยน. 6:27) เราคงต้องถาม
ตัวเราเองบ่อยๆว่าเราคาดหวังอะไรในการนับถือศาสนา ในการติดตามพระเยซูคริสเจ้า ในการสวดภาวนา
ในการปฏิบัติกิจศรัทธาต่างๆ เราทำเพราะเรารักพระเป็นเจ้าต้องการตอบสนองความรักของพระองค์ หรือ
ต้องการใช้พระองค์เป็นเครื่องมือขอนั่นขอนี่ทำโน้นทำนี่ให้กันแน่ เราจะเป็นเหมือนประชาชนเหล่านั้นไหม
“แสวงหาพระองค์เพราะอยากกินขนมปังจนอิ่มท้อง” อย่ากังวลใจไปเลยจงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า
ก่อนแล้วอย่างอื่นพระองค์จะแถมให้เอง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 7 )
“นับถือศาสนาอะไรใจต้องยึดมั่น”
บทความนี้ไม่มีเจตนาที่จะเปรียบเทียบว่าศาสนาใดดีกว่าศาสนาใด แต่ปรารถนาจะให้ข้อคิดว่า
“ความจริงใจในการแสวงหาความจริง และการนับถือศาสนา” เป็นเรื่องที่สำคัญ คิดถึงตอนสมัยวัยเด็ก
ผู้เขียนอยู่ท่ามกลางคนต่างความเชื่อ ที่นั่นส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเตี่ยชอบพูดให้ข้อคิดอยู่บ่อยๆว่า
“ลูกเรานับถือศาสนาอะไรใจต้องยึดมั่นนะลูก” ไม่เอานะเดี๋ยวก็ไปไหว้โน้นเดี๋ยวก็ไปไหว้นี่นับถือปนกันไป
ปนกันมาไม่ได้นะลูกมันอันตราย อันตรายอย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เตี่ยอธิบายว่าการนับถือ
ศาสนาจะต้องมีใจยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เพื่อใจของเราจะได้มีพลังมีอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยว
มั่งคง คนที่นับถือศาสนาในลักษณะโน้นเอาก็นี่ก็เอาไสยศาสตร์ก็ได้ อะไรที่ใครว่าดีให้ผลประโยชน์ให้โชค
ให้ลาภเป็นเอาหมด เพราะการนับถือศาสนาแบบนี้ใจของผู้ที่นับถือจะเป็นเหมือนไม้หลักปักขี้โคลน ไหลเอน
ไปตามกระแสใจแบบนี้ไม่มีพลัง ต่อต้านและปกป้องอะไรให้ผู้ที่นับถือไม่ได้เลย ยิ่งถ้าอยู่ท่ามกลางคนต่าง
ความเชื่อยิ่งต้องระวัง เพราะเราไม่ทราบว่าใครนับถืออะไรไหว้ผีเล่นไสยศาสตร์ อย่าคิดว่า “สิ่งที่ไม่เห็นคือไม่มี”
ตอนที่ผู้เขียนไปเรียนที่กรุงโรมวันหนึ่งขึ้นรถรางและเข้าไปนั่งตรงที่ว่าง ใกล้ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายประหลาดๆ
เมื่อนั่งลงผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มไล่ให้ไปนั่งห่างๆ ผู้เขียนไม่ยอมไปและบอกกับเขาว่า “ผมมีตั๋วเดือน” แล้วคุณหละ
“มีตั๋วหรือเปล่า” สักครู่หนึ่งผู้หญิงคนนั้นหันมาบอกว่า “คุณไม่ไปฉันไปเอง” แล้วเขาก็ย้ายไปนั่งที่อื่นผู้เขียนเห็น
ว่าข้างๆเขามีที่ว่างจึงย้ายไปนั่งตรงนั้นและถามเขาว่า “ขอโทษนะคุณไล่ผมทำไม” เขาตอบว่า “เรานับถือต่างกัน”
คุณนับถือสิ่งที่อยู่เบื้องบนฉันนับถือสิ่งที่อยู่ข้างล่าง แล้วถามผู้เขียนว่า “คุณเป็นนักบวชหรือพระสงฆ์ศาสนาคริสต์
ใช่ไหม” ผู้เขียนตอบว่า “ใช่” เขาพูดต่อไปว่า “ถึงว่าสิฉันรู้สึกแย่มากเมื่ออยู่ใกล้ๆคุณ” หลังจากนั้นผู้เขียนไปถาม
เพื่อนชาวอิตาเลียนในเรื่องที่เกิดขึ้น เขาบอกว่า “นั่นคงเป็นพวกที่นับถือลัทธิซาตาน” สิ่งที่ยังงงๆถึงวันนี้คือผู้เขียน
แต่งกายไม่มีอะไรบงบอกเลยว่าเป็นพระสงฆ์แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระสงฆ์ อีกครั้งหนึ่งผู้เขียนไปต่างจังหวัด
ไปทำงานเยาวชนอยู่ดีๆมีคนมาทักว่า “คุณไม่เป็นอะไรเลยหรือ” ผู้เขียนตอบว่า “เป็นอะไรเหรอ” แต่ความจริงรู้สึก
ไม่ดีนิดๆหน่อยๆ เขาบอกว่า “อยากลองดูว่าพระคริสต์จะแน่แค่ไหน” เขาเตือนผู้เขียนด้วยความปรารถนาดีว่า
“จะออกไปไหนมาไหนแถวๆนี้หลวงพ่อทำพิธีอะไรที่หลวงพ่อเคยทำก่อนนะ” เพราะคงมีหลายๆคนอยากลองของ
มีพระสงฆ์รุ่นน้องเคยโดนเรื่องทำนองนี้เหมือนกันแล้วมาเล่าให้ฟัง จึงสามารถไขข้อข้องใจที่เตี่ยเคยสอนไว้
“มันอันตรายนะลูก” อ๋อมันอันตรายอย่างนี้เอง ถ้าเราเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะทรงปกป้องเราได้
ถนัดอย่างแน่นอน เพราะใจของเราไม่เอนเอียงไปไหนใจของเราจึงมีพระเจ้าซึ่งเป็นพลังคอยปกป้องคุ้มครอง
เราอยู่เสมอ
ขอพระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“นับถือศาสนาอะไรใจต้องยึดมั่น”
บทความนี้ไม่มีเจตนาที่จะเปรียบเทียบว่าศาสนาใดดีกว่าศาสนาใด แต่ปรารถนาจะให้ข้อคิดว่า
“ความจริงใจในการแสวงหาความจริง และการนับถือศาสนา” เป็นเรื่องที่สำคัญ คิดถึงตอนสมัยวัยเด็ก
ผู้เขียนอยู่ท่ามกลางคนต่างความเชื่อ ที่นั่นส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเตี่ยชอบพูดให้ข้อคิดอยู่บ่อยๆว่า
“ลูกเรานับถือศาสนาอะไรใจต้องยึดมั่นนะลูก” ไม่เอานะเดี๋ยวก็ไปไหว้โน้นเดี๋ยวก็ไปไหว้นี่นับถือปนกันไป
ปนกันมาไม่ได้นะลูกมันอันตราย อันตรายอย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เตี่ยอธิบายว่าการนับถือ
ศาสนาจะต้องมีใจยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เพื่อใจของเราจะได้มีพลังมีอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยว
มั่งคง คนที่นับถือศาสนาในลักษณะโน้นเอาก็นี่ก็เอาไสยศาสตร์ก็ได้ อะไรที่ใครว่าดีให้ผลประโยชน์ให้โชค
ให้ลาภเป็นเอาหมด เพราะการนับถือศาสนาแบบนี้ใจของผู้ที่นับถือจะเป็นเหมือนไม้หลักปักขี้โคลน ไหลเอน
ไปตามกระแสใจแบบนี้ไม่มีพลัง ต่อต้านและปกป้องอะไรให้ผู้ที่นับถือไม่ได้เลย ยิ่งถ้าอยู่ท่ามกลางคนต่าง
ความเชื่อยิ่งต้องระวัง เพราะเราไม่ทราบว่าใครนับถืออะไรไหว้ผีเล่นไสยศาสตร์ อย่าคิดว่า “สิ่งที่ไม่เห็นคือไม่มี”
ตอนที่ผู้เขียนไปเรียนที่กรุงโรมวันหนึ่งขึ้นรถรางและเข้าไปนั่งตรงที่ว่าง ใกล้ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายประหลาดๆ
เมื่อนั่งลงผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มไล่ให้ไปนั่งห่างๆ ผู้เขียนไม่ยอมไปและบอกกับเขาว่า “ผมมีตั๋วเดือน” แล้วคุณหละ
“มีตั๋วหรือเปล่า” สักครู่หนึ่งผู้หญิงคนนั้นหันมาบอกว่า “คุณไม่ไปฉันไปเอง” แล้วเขาก็ย้ายไปนั่งที่อื่นผู้เขียนเห็น
ว่าข้างๆเขามีที่ว่างจึงย้ายไปนั่งตรงนั้นและถามเขาว่า “ขอโทษนะคุณไล่ผมทำไม” เขาตอบว่า “เรานับถือต่างกัน”
คุณนับถือสิ่งที่อยู่เบื้องบนฉันนับถือสิ่งที่อยู่ข้างล่าง แล้วถามผู้เขียนว่า “คุณเป็นนักบวชหรือพระสงฆ์ศาสนาคริสต์
ใช่ไหม” ผู้เขียนตอบว่า “ใช่” เขาพูดต่อไปว่า “ถึงว่าสิฉันรู้สึกแย่มากเมื่ออยู่ใกล้ๆคุณ” หลังจากนั้นผู้เขียนไปถาม
เพื่อนชาวอิตาเลียนในเรื่องที่เกิดขึ้น เขาบอกว่า “นั่นคงเป็นพวกที่นับถือลัทธิซาตาน” สิ่งที่ยังงงๆถึงวันนี้คือผู้เขียน
แต่งกายไม่มีอะไรบงบอกเลยว่าเป็นพระสงฆ์แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระสงฆ์ อีกครั้งหนึ่งผู้เขียนไปต่างจังหวัด
ไปทำงานเยาวชนอยู่ดีๆมีคนมาทักว่า “คุณไม่เป็นอะไรเลยหรือ” ผู้เขียนตอบว่า “เป็นอะไรเหรอ” แต่ความจริงรู้สึก
ไม่ดีนิดๆหน่อยๆ เขาบอกว่า “อยากลองดูว่าพระคริสต์จะแน่แค่ไหน” เขาเตือนผู้เขียนด้วยความปรารถนาดีว่า
“จะออกไปไหนมาไหนแถวๆนี้หลวงพ่อทำพิธีอะไรที่หลวงพ่อเคยทำก่อนนะ” เพราะคงมีหลายๆคนอยากลองของ
มีพระสงฆ์รุ่นน้องเคยโดนเรื่องทำนองนี้เหมือนกันแล้วมาเล่าให้ฟัง จึงสามารถไขข้อข้องใจที่เตี่ยเคยสอนไว้
“มันอันตรายนะลูก” อ๋อมันอันตรายอย่างนี้เอง ถ้าเราเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะทรงปกป้องเราได้
ถนัดอย่างแน่นอน เพราะใจของเราไม่เอนเอียงไปไหนใจของเราจึงมีพระเจ้าซึ่งเป็นพลังคอยปกป้องคุ้มครอง
เราอยู่เสมอ
ขอพระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 8 )
การเดินทางชีวิตคริสตชน
ชีวิตคริสตชนเป็นการเดินทางเรากำลังเดินทางกลับบ้านแท้ของเราคือเมืองสรรค์ พระเยซูคริสตเจ้า
ทรงบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า หนทางนี้มีความยากลำบากเป็นหนทางแห่งไม้กางเขน และเป็นหนทาง
ที่เราต้องติดตามพระองค์ไปจึงจะสามารถถึงเป้าหมาย “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง
จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา”(มธ.16:24) บนหนทางไกลและผจญภัยเช่นนี้พวกเราคง
ทราบดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่จำเป็นที่ต้องนำติดตัวไปก็คือ เข้มทิศหรือสิ่งที่บ่งชี้เป้าหมายที่ชัดเจน อาหาร
ยารักษาโรค และอาวุธ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงประทานพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ
การเดินทางชีวิตคริสตชนให้กับเรา เพื่อเราจะได้สามารถเดินทางจนบรรลุเป้าหมายปลายทางแห่งชีวิต
พระวาจาของพระเจ้า เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเป็นดั่งเข้มทิศที่ชี้บอกทาง ให้เราทราบว่าเราต้อง
เดินไปทางไหนและต้องเดินทางอย่างไร ในการดำเนินชีวิตของเราพระวาจาของพระเจ้าจะทำให้เราทราบว่า
เราต้องดำเนินชีวิตอย่างไรต้องปฏิบัติอะไรซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และอะไรต้องหลีกเลี่ยงเพราะจะ
นำเราไปสู่ความหายนะ “ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์
ก็มาหาเรา”(ยน.6:45) พระวาจาของพระเจ้ายังเป็นดั่งอาหารที่ทำให้เราชุ่มชื่นใจมีปีติภายใน มีกำลังใจ
ในการเดินทางต่อไป “มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจาก
พระโอษฐ์ของพระเจ้า”(มธ.4:4)
ศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นดังอาหารและยารักษาโรค เป็นต้นศีลมหาสนิทพระเยซูคริสตเจ้าตรัสว่า “เราเป็นปังแห่ง
ชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย....เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์
ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”(ยน.6:34,51)
ภาพพจน์ของศีลมหาสนิทที่เป็นเสบียงอาหารเราเห็นชัดเจนในการโปรดศีลเจิมคนไข้พระสงฆ์จะนำศีล
มหาสนิทไปส่งให้ผู้ป่วยด้วยซึ่งเราเรียกว่า “ศีลเสบียง” เพื่อเป็นเสบียงอาหารในการเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร
“ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็จะมีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย”(ยน.6:54)
ศีลมหาสนิทยังเป็นยาที่เยียวยารักษาเราให้พ้นจากพิษร้ายของบาป ในบทเสกศีลมหาสนิทพระสงฆ์ภาวนาว่า
“โลหิตซึ่งจะหลั่งออกเพื่อยกบาปสำหรับท่าน และมนุษย์ทั้งหลาย” แสดงว่าศีลมหาสนิทเป็นโอสถทิพย์ที่ให้ชีวิต
อมตะและสามารถเยียวยารักษาพิษร้ายของบาป
ข้อสังเกตจากการถูกประจญของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์เอาชนะการประจญเหล่านี้ด้วยพระวาจาของพระเจ้า
“พระองค์ตรัสตอบว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า....”(มธ.4:3,6,7,10) นอกนั้นโดยอาศัยศีลศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่
เราไปรับด้วยความศรัทธา เราจะได้รับพระหรรษทานเฉพาะศีลซึ่งเป็นเหมือนยา อาวุธ และพลังที่ทำให้เรา
สามารถต่อสู้กับศัตรูความชั่วร้ายได้ทั้งสิ้น พระเยซูคริสตเจ้าประทานพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา เพราะ
ปรารถนาให้พวกเราเดินทางชีวิตจนบรรลุเป้าหมายปลายทาง นั่นคือชีวิตนิรันดรมีความสุขกับพระองค์ในเมือ
งสวรรค์ ขอให้เราได้ใช้ของประทานอันประเสริฐนี้อย่างคุ้มค่าและมีความหมายต่อชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้
สามารถกลับบ้านแท้ไปพบพระบิดาของเราสักวันหนึ่ง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
การเดินทางชีวิตคริสตชน
ชีวิตคริสตชนเป็นการเดินทางเรากำลังเดินทางกลับบ้านแท้ของเราคือเมืองสรรค์ พระเยซูคริสตเจ้า
ทรงบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า หนทางนี้มีความยากลำบากเป็นหนทางแห่งไม้กางเขน และเป็นหนทาง
ที่เราต้องติดตามพระองค์ไปจึงจะสามารถถึงเป้าหมาย “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง
จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา”(มธ.16:24) บนหนทางไกลและผจญภัยเช่นนี้พวกเราคง
ทราบดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่จำเป็นที่ต้องนำติดตัวไปก็คือ เข้มทิศหรือสิ่งที่บ่งชี้เป้าหมายที่ชัดเจน อาหาร
ยารักษาโรค และอาวุธ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงประทานพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ
การเดินทางชีวิตคริสตชนให้กับเรา เพื่อเราจะได้สามารถเดินทางจนบรรลุเป้าหมายปลายทางแห่งชีวิต
พระวาจาของพระเจ้า เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเป็นดั่งเข้มทิศที่ชี้บอกทาง ให้เราทราบว่าเราต้อง
เดินไปทางไหนและต้องเดินทางอย่างไร ในการดำเนินชีวิตของเราพระวาจาของพระเจ้าจะทำให้เราทราบว่า
เราต้องดำเนินชีวิตอย่างไรต้องปฏิบัติอะไรซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และอะไรต้องหลีกเลี่ยงเพราะจะ
นำเราไปสู่ความหายนะ “ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์
ก็มาหาเรา”(ยน.6:45) พระวาจาของพระเจ้ายังเป็นดั่งอาหารที่ทำให้เราชุ่มชื่นใจมีปีติภายใน มีกำลังใจ
ในการเดินทางต่อไป “มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจาก
พระโอษฐ์ของพระเจ้า”(มธ.4:4)
ศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นดังอาหารและยารักษาโรค เป็นต้นศีลมหาสนิทพระเยซูคริสตเจ้าตรัสว่า “เราเป็นปังแห่ง
ชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย....เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์
ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”(ยน.6:34,51)
ภาพพจน์ของศีลมหาสนิทที่เป็นเสบียงอาหารเราเห็นชัดเจนในการโปรดศีลเจิมคนไข้พระสงฆ์จะนำศีล
มหาสนิทไปส่งให้ผู้ป่วยด้วยซึ่งเราเรียกว่า “ศีลเสบียง” เพื่อเป็นเสบียงอาหารในการเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร
“ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็จะมีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย”(ยน.6:54)
ศีลมหาสนิทยังเป็นยาที่เยียวยารักษาเราให้พ้นจากพิษร้ายของบาป ในบทเสกศีลมหาสนิทพระสงฆ์ภาวนาว่า
“โลหิตซึ่งจะหลั่งออกเพื่อยกบาปสำหรับท่าน และมนุษย์ทั้งหลาย” แสดงว่าศีลมหาสนิทเป็นโอสถทิพย์ที่ให้ชีวิต
อมตะและสามารถเยียวยารักษาพิษร้ายของบาป
ข้อสังเกตจากการถูกประจญของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์เอาชนะการประจญเหล่านี้ด้วยพระวาจาของพระเจ้า
“พระองค์ตรัสตอบว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า....”(มธ.4:3,6,7,10) นอกนั้นโดยอาศัยศีลศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่
เราไปรับด้วยความศรัทธา เราจะได้รับพระหรรษทานเฉพาะศีลซึ่งเป็นเหมือนยา อาวุธ และพลังที่ทำให้เรา
สามารถต่อสู้กับศัตรูความชั่วร้ายได้ทั้งสิ้น พระเยซูคริสตเจ้าประทานพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา เพราะ
ปรารถนาให้พวกเราเดินทางชีวิตจนบรรลุเป้าหมายปลายทาง นั่นคือชีวิตนิรันดรมีความสุขกับพระองค์ในเมือ
งสวรรค์ ขอให้เราได้ใช้ของประทานอันประเสริฐนี้อย่างคุ้มค่าและมีความหมายต่อชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้
สามารถกลับบ้านแท้ไปพบพระบิดาของเราสักวันหนึ่ง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 9 )
“เป็นคนดีจริงหรือเปล่า”
คนจะดี ดีน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวย สายจรรยาใช่ตาหวาน บทประพันธ์บทนี้แสดงให้เห็นว่า
“ความดีมาจากภายใน” การตัดสินคนเพียงภายนอก อาทิ หน้าตา ผิวพรรณ การแต่งกาย ฯลฯ จึงเป็น
มาตรการที่ใช้ไม่ได้ ในพระวรสารพระเยซูเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน “ชาวฟารีสีชอบแต่งกาย
มีพู่ห้อยลุงลัง ขยายกลักพระคัมภีร์คาดหัวให้ใหญ่ ชอบเดินสวดภาวนาตามลานสาธารณะ ฯลฯ” พระองค์
ทรงเตือนอัครสาวกของพระองค์ว่า “จงระวังเชื่อแป้งของฟารีสี” อย่าดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพวกเขา
หลายปีก่อนเคยทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์เวลาทำงานจะต้องใส่เสื้อที่เรียกว่า “เคอร์จี่แมน (clergyman)
เป็นเสื้อที่พระสงฆ์นักบวชและสามเณรใหญ่ใส่คอตั้งและมีแผ่นพลาสติกสีขาวกว้างประมาณ 2 ซ.ม.ครึ่ง
(คอลลาร์ collar) ยาวพอสมควรเสียบอยู่ตรงกลาง เป็นเสื้อใส่เวลาทำงานหรือเสื้อลำลองไม่เป็นทางการนัก
ของนักบวชพระสงฆ์ในปัจจุบัน ผู้เขียนใส่ชุดดังกล่าวไปธุระที่วัดเซนต์หลุยส์เดินไปใกล้จะถึงบ้านพักพระสงฆ์
อยู่แล้ว บังเอิญพบคนสองคนๆหนึ่งทักท้ายยกมือไหว้ (สวัสดีคะคุณพ่อ) อีกคนหนึ่งพูดว่า “ไปสวัสดีไหว้เขา
ทำไมเขาไม่ได้ใส่เสื้อหล่อ” คนที่ทักท้ายพูดกับเพื่อนว่า “จำไม่ได้เหรอ คุณพ่อ...ไง” ผู้เขียนหยุดและหันไปบอก
กับคนที่ไม่ได้ทักทายว่า “ขอโทษครับ ผมใส่เสื้อเครื่องแบบของพระสงฆ์แล้วนะครับแม้ไม่ใช่เสื้อหล่อ คุณทักทาย
ยกมือไหว้พระสงฆ์ที่เสื้อหล่อเหรอครับ ถ้าเช่นนั้นคุณก็ไม่สั่งตัดเสื้อหล่อสักตัวหนึ่งที่อารามพระหฤทัยฯคลองเตย
มาแขวนไว้ไหว้ก็แล้วกันนะ แต่ตอนนี้คุณต้องขอโทษผมก่อนครับ เพราะคุณลดคุณค่าความเป็นคนของผมลง
เหลือเพียงแค่เสื้อผ้าที่ใส่ ขนาดคนยากจนมาขอความช่วยเหลือจากผมถ้าเขาอายุมากกว่า ผมยังต้องยกมือไหว้
สวัสดีเขาเลยไม่ว่าเขาจะแต่งตัวแบบไหนอย่างไร “สวัสดีครับคุณลุง” เขาไม่ยอมขอโทษจนเพื่อนต้องขอโทษ
แทนแล้วดึงมือเขาเดินจากไป เคยกลับไปที่วัดๆหนึ่งสัตบุรุษที่รู้จักทักทายว่า “สวัสดีคุณพ่อ” วันหลังพ่อต้อง
ใส่เสื้อหล่อหน่อยนะ คุณพ่อเจ้าอาวาสของเราใส่เสื้อหล่อทั้งวันเลยดูดีดูศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว หลายเดือนผ่านไป
ได้กลับไปที่วัดนั้นอีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้คำทักทายเปลี่ยนไป “สวัสดีคุณพ่อ คุณพ่อไม่ต้องใส่เสื้อหล่อทั้งวันก็ได้นะ
แต่งตัวแบบนี้แหละดีแล้ว ใส่เสื้อหล่อดูดีดูศักดิ์สิทธ์แต่ชีวิตไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย ไม่รู้อะไรเกิดขึ้น” เคยได้ยิน
ชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษเรียกโจรแต่งตัวดีว่า “ไว้ส์ดอลลาร์ (white collar)” นักบวชนักพรตใส่เครื่องแบบ
แต่เบื้องหลังชีวิตมีแต่เรื่องเละเทะผิดศีลธรรมตกเป็นข่าว ได้ยินได้พบได้เห็นแล้วเสื่อมศรัทธาบางคนเลิกนับถือ
ศาสนาไปเลยก็มี เพราะแยกแยะไม่เป็นระหว่างเรื่องศาสนา ศาสนบริกร ศาสนิกชน และ การปฏิบัติศาสนกิจ
คิดปนเปมั่วกันไปหมดจึงคิดว่าศาสนาไม่ดี เลิกนับถือศาสนาไม่ไปปฏิบัติศาสนกิจ การแต่งตัวดูดีหน้าไหว้
หลังหลอกตบตาคนได้ไม่นานอยู่กันไปนานๆแล้วจะรู้เอง การพิจารณาอย่างลึกซึ้งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญในการ
รับรู้ความจริง อย่าตัดสินคนเพียงภายนอกฉาบฉวยการตัดสินแบบนี้สมัยโบราณเขาเรียกว่า “การตัดสินผู้อื่น
โดยเบาความ” มันเป็นบาปชนิดหนึ่ง เราจึงต้องสำรวจตนเองบ่อยๆว่า “เราเป็นคนแบบไหน เป็นคนอย่างไร
และเป็นคนดีจริงหรือเปล่า” เดี๋ยวจะมีพวกฟารีสีหน้าซื่อใจคดเดินกันเพ่นพ่านทั่วไปหมด
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
“เป็นคนดีจริงหรือเปล่า”
คนจะดี ดีน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวย สายจรรยาใช่ตาหวาน บทประพันธ์บทนี้แสดงให้เห็นว่า
“ความดีมาจากภายใน” การตัดสินคนเพียงภายนอก อาทิ หน้าตา ผิวพรรณ การแต่งกาย ฯลฯ จึงเป็น
มาตรการที่ใช้ไม่ได้ ในพระวรสารพระเยซูเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน “ชาวฟารีสีชอบแต่งกาย
มีพู่ห้อยลุงลัง ขยายกลักพระคัมภีร์คาดหัวให้ใหญ่ ชอบเดินสวดภาวนาตามลานสาธารณะ ฯลฯ” พระองค์
ทรงเตือนอัครสาวกของพระองค์ว่า “จงระวังเชื่อแป้งของฟารีสี” อย่าดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพวกเขา
หลายปีก่อนเคยทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์เวลาทำงานจะต้องใส่เสื้อที่เรียกว่า “เคอร์จี่แมน (clergyman)
เป็นเสื้อที่พระสงฆ์นักบวชและสามเณรใหญ่ใส่คอตั้งและมีแผ่นพลาสติกสีขาวกว้างประมาณ 2 ซ.ม.ครึ่ง
(คอลลาร์ collar) ยาวพอสมควรเสียบอยู่ตรงกลาง เป็นเสื้อใส่เวลาทำงานหรือเสื้อลำลองไม่เป็นทางการนัก
ของนักบวชพระสงฆ์ในปัจจุบัน ผู้เขียนใส่ชุดดังกล่าวไปธุระที่วัดเซนต์หลุยส์เดินไปใกล้จะถึงบ้านพักพระสงฆ์
อยู่แล้ว บังเอิญพบคนสองคนๆหนึ่งทักท้ายยกมือไหว้ (สวัสดีคะคุณพ่อ) อีกคนหนึ่งพูดว่า “ไปสวัสดีไหว้เขา
ทำไมเขาไม่ได้ใส่เสื้อหล่อ” คนที่ทักท้ายพูดกับเพื่อนว่า “จำไม่ได้เหรอ คุณพ่อ...ไง” ผู้เขียนหยุดและหันไปบอก
กับคนที่ไม่ได้ทักทายว่า “ขอโทษครับ ผมใส่เสื้อเครื่องแบบของพระสงฆ์แล้วนะครับแม้ไม่ใช่เสื้อหล่อ คุณทักทาย
ยกมือไหว้พระสงฆ์ที่เสื้อหล่อเหรอครับ ถ้าเช่นนั้นคุณก็ไม่สั่งตัดเสื้อหล่อสักตัวหนึ่งที่อารามพระหฤทัยฯคลองเตย
มาแขวนไว้ไหว้ก็แล้วกันนะ แต่ตอนนี้คุณต้องขอโทษผมก่อนครับ เพราะคุณลดคุณค่าความเป็นคนของผมลง
เหลือเพียงแค่เสื้อผ้าที่ใส่ ขนาดคนยากจนมาขอความช่วยเหลือจากผมถ้าเขาอายุมากกว่า ผมยังต้องยกมือไหว้
สวัสดีเขาเลยไม่ว่าเขาจะแต่งตัวแบบไหนอย่างไร “สวัสดีครับคุณลุง” เขาไม่ยอมขอโทษจนเพื่อนต้องขอโทษ
แทนแล้วดึงมือเขาเดินจากไป เคยกลับไปที่วัดๆหนึ่งสัตบุรุษที่รู้จักทักทายว่า “สวัสดีคุณพ่อ” วันหลังพ่อต้อง
ใส่เสื้อหล่อหน่อยนะ คุณพ่อเจ้าอาวาสของเราใส่เสื้อหล่อทั้งวันเลยดูดีดูศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว หลายเดือนผ่านไป
ได้กลับไปที่วัดนั้นอีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้คำทักทายเปลี่ยนไป “สวัสดีคุณพ่อ คุณพ่อไม่ต้องใส่เสื้อหล่อทั้งวันก็ได้นะ
แต่งตัวแบบนี้แหละดีแล้ว ใส่เสื้อหล่อดูดีดูศักดิ์สิทธ์แต่ชีวิตไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย ไม่รู้อะไรเกิดขึ้น” เคยได้ยิน
ชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษเรียกโจรแต่งตัวดีว่า “ไว้ส์ดอลลาร์ (white collar)” นักบวชนักพรตใส่เครื่องแบบ
แต่เบื้องหลังชีวิตมีแต่เรื่องเละเทะผิดศีลธรรมตกเป็นข่าว ได้ยินได้พบได้เห็นแล้วเสื่อมศรัทธาบางคนเลิกนับถือ
ศาสนาไปเลยก็มี เพราะแยกแยะไม่เป็นระหว่างเรื่องศาสนา ศาสนบริกร ศาสนิกชน และ การปฏิบัติศาสนกิจ
คิดปนเปมั่วกันไปหมดจึงคิดว่าศาสนาไม่ดี เลิกนับถือศาสนาไม่ไปปฏิบัติศาสนกิจ การแต่งตัวดูดีหน้าไหว้
หลังหลอกตบตาคนได้ไม่นานอยู่กันไปนานๆแล้วจะรู้เอง การพิจารณาอย่างลึกซึ้งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญในการ
รับรู้ความจริง อย่าตัดสินคนเพียงภายนอกฉาบฉวยการตัดสินแบบนี้สมัยโบราณเขาเรียกว่า “การตัดสินผู้อื่น
โดยเบาความ” มันเป็นบาปชนิดหนึ่ง เราจึงต้องสำรวจตนเองบ่อยๆว่า “เราเป็นคนแบบไหน เป็นคนอย่างไร
และเป็นคนดีจริงหรือเปล่า” เดี๋ยวจะมีพวกฟารีสีหน้าซื่อใจคดเดินกันเพ่นพ่านทั่วไปหมด
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
( 10 )
บทสรุปชีวิตของแม่พระบทเรียนชีวิตของเรา
บทมักญีฟิกัตที่นักบุญลูกาได้บันทึกไว้ในตอนแม่พระเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ แสดงให้เห็นความ
ยิ่งใหญ่ และความงดงามของชีวิตของแม่พระอย่างชัดเจน แม่พระเป็นผู้น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า
“ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”(ลก.1:38) การน้อมรับ
พระประสงค์ ของพระเจ้าคือการน้อมรับพระวาจาด้วยความเชื่อ และทำให้พระวจนาตถ์ทรงรับเอากาย
บังเกิดเป็นมนุษย์ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 จึงทรงยกย่องพระนางว่า “พระนางเป็นศูนย์รวมของ
พระวาจาของพระเจ้า และความเชื่อที่สมบูรณ์แบบที่สุด” เราคริสตชนจึงต้องเลียนแบบพระนางในการน้อม
รับฟังพระวาจาของพระเจ้า และนำไปปฏิบัติเพื่อพระวจนาตถ์จะได้ทรงรับเอากายมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา
ทำให้คนทั้งหลาย รู้ว่าคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า ไม่ได้เป็นเพียงอุดมการณ์ที่เลื่อนลอยแต่สามารถปฏิบัติ
ได้จริง การเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธของพระนางแสดงถึงคุณธรรมแห่งความรัก ทั้งๆที่แม่พระยังอยู่
ในสถานการณ์ ที่อันตราย และน่ากังวลใจอยู่ไม่น้อยเพราะในเวลานั้นพระนางคงยังไม่ทราบว่าพระเจ้ามี
แผนการอย่างไร จะบอกกับนักบุญโยเซฟคู่หมั้นว่าอย่างไรในเรื่องการทรงครรภ์ พระนางไม่ได้คำนึงถึง
ปัญหาของตนเอง เป็นเบื้องต้น แต่กลับคิดถึงความยากลำบากของผู้อื่นก่อน จึงรีบเร่งเดินทางเสด็จเยี่ยม
นางเอลีซาเบธญาติของพระนางที่ตั้งครรภ์ในขณะที่มีอายุมากแล้ว ถ้าเราลองย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์
ที่ดีงามน่าประทับใจเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เราจะพบว่าเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเพราะมีใครคนใดคนหนึ่ง
ยอมสละตนเอง คิดถึงประโยชน์สุขของส่วนรวมและของผู้อื่นเสมอ ความรักแท้ทุกรูปแบบจึงไม่ใช่การกระทำ
เพื่อตนเอง แต่เป็นการกระทำเพื่อส่วนรวมและผู้อื่น
ฤทธิ์กุศลความสุภาพถ่อมตน ซึ่งเป็นรากฐานก่อให้เกิดฤทธิ์กุศลทั้งหลายปรากฏเด่นชัดในบทมักญีฟิกัต
เมื่อพบแม่พระนางเอลีซาเบธกล่าวสรรเสริญพระนาง แต่พระนางไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้
เป็นเพราะความดีความเหมาะสมของพระนาง แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงพระกรุณาผู้ต่ำต้อย
“เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์”(ลก.1:48) แล้วพระนางกล่าวสรรเสริญขอบ
พระคุณความเมตตากรุณาและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในบทมักญีฟิกัตที่พระนางกล่าวสรรเสริญพระเจ้า
ยังทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยคนใจสุภาพถ่อมตน คุณธรรมประการนี้จะทำให้เราเป็นที่พอ
พระทัยพระเจ้า และได้รับความรอดพ้น “ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจายไป ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจ
จากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น”(ลก.1:51-52) และแม่พระสามารถเป็นพยานที่เป็นรูปธรรม
ชัดเจนเด่นชัดที่สุดในเรื่องนี้
ด้วยเหตุนี้เองพระศาสนจักรจึงสอนว่าความศรัทธาภักดีต่อแม่พระที่ถูกต้อง คือการดำเนินชีวิตเลียนแบบ
คุณธรรมต่างๆที่พระนางบำเพ็ญมา เพราะพระนางเป็นผลงานแห่งความรอดพ้นชิ้นโบแดงของพระเจ้า
“ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของ
พระเจ้า....และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์”(วว.12:10) และแบบอย่างแห่งคุณธรรมทั้งปวง
เราจึงต้องพยายามดำเนินชีวิตเลียนแบบชีวิตของพระนาง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
บทสรุปชีวิตของแม่พระบทเรียนชีวิตของเรา
บทมักญีฟิกัตที่นักบุญลูกาได้บันทึกไว้ในตอนแม่พระเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ แสดงให้เห็นความ
ยิ่งใหญ่ และความงดงามของชีวิตของแม่พระอย่างชัดเจน แม่พระเป็นผู้น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า
“ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”(ลก.1:38) การน้อมรับ
พระประสงค์ ของพระเจ้าคือการน้อมรับพระวาจาด้วยความเชื่อ และทำให้พระวจนาตถ์ทรงรับเอากาย
บังเกิดเป็นมนุษย์ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 จึงทรงยกย่องพระนางว่า “พระนางเป็นศูนย์รวมของ
พระวาจาของพระเจ้า และความเชื่อที่สมบูรณ์แบบที่สุด” เราคริสตชนจึงต้องเลียนแบบพระนางในการน้อม
รับฟังพระวาจาของพระเจ้า และนำไปปฏิบัติเพื่อพระวจนาตถ์จะได้ทรงรับเอากายมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา
ทำให้คนทั้งหลาย รู้ว่าคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า ไม่ได้เป็นเพียงอุดมการณ์ที่เลื่อนลอยแต่สามารถปฏิบัติ
ได้จริง การเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธของพระนางแสดงถึงคุณธรรมแห่งความรัก ทั้งๆที่แม่พระยังอยู่
ในสถานการณ์ ที่อันตราย และน่ากังวลใจอยู่ไม่น้อยเพราะในเวลานั้นพระนางคงยังไม่ทราบว่าพระเจ้ามี
แผนการอย่างไร จะบอกกับนักบุญโยเซฟคู่หมั้นว่าอย่างไรในเรื่องการทรงครรภ์ พระนางไม่ได้คำนึงถึง
ปัญหาของตนเอง เป็นเบื้องต้น แต่กลับคิดถึงความยากลำบากของผู้อื่นก่อน จึงรีบเร่งเดินทางเสด็จเยี่ยม
นางเอลีซาเบธญาติของพระนางที่ตั้งครรภ์ในขณะที่มีอายุมากแล้ว ถ้าเราลองย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์
ที่ดีงามน่าประทับใจเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เราจะพบว่าเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเพราะมีใครคนใดคนหนึ่ง
ยอมสละตนเอง คิดถึงประโยชน์สุขของส่วนรวมและของผู้อื่นเสมอ ความรักแท้ทุกรูปแบบจึงไม่ใช่การกระทำ
เพื่อตนเอง แต่เป็นการกระทำเพื่อส่วนรวมและผู้อื่น
ฤทธิ์กุศลความสุภาพถ่อมตน ซึ่งเป็นรากฐานก่อให้เกิดฤทธิ์กุศลทั้งหลายปรากฏเด่นชัดในบทมักญีฟิกัต
เมื่อพบแม่พระนางเอลีซาเบธกล่าวสรรเสริญพระนาง แต่พระนางไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้
เป็นเพราะความดีความเหมาะสมของพระนาง แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงพระกรุณาผู้ต่ำต้อย
“เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์”(ลก.1:48) แล้วพระนางกล่าวสรรเสริญขอบ
พระคุณความเมตตากรุณาและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในบทมักญีฟิกัตที่พระนางกล่าวสรรเสริญพระเจ้า
ยังทำให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยคนใจสุภาพถ่อมตน คุณธรรมประการนี้จะทำให้เราเป็นที่พอ
พระทัยพระเจ้า และได้รับความรอดพ้น “ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจายไป ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจ
จากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น”(ลก.1:51-52) และแม่พระสามารถเป็นพยานที่เป็นรูปธรรม
ชัดเจนเด่นชัดที่สุดในเรื่องนี้
ด้วยเหตุนี้เองพระศาสนจักรจึงสอนว่าความศรัทธาภักดีต่อแม่พระที่ถูกต้อง คือการดำเนินชีวิตเลียนแบบ
คุณธรรมต่างๆที่พระนางบำเพ็ญมา เพราะพระนางเป็นผลงานแห่งความรอดพ้นชิ้นโบแดงของพระเจ้า
“ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของ
พระเจ้า....และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์”(วว.12:10) และแบบอย่างแห่งคุณธรรมทั้งปวง
เราจึงต้องพยายามดำเนินชีวิตเลียนแบบชีวิตของพระนาง
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์