เรื่องสุขภาพ ( ชุดที่2 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 06, 2024 5:35 pm

( 1 ).


มึงป่วย..เพราะมึงโง่ !

☀️เจอเภสัชกรคนหนึ่งหน้าตากวนตีนมาก
อายุน้อยกว่าผม..แต่กวนตีนมากกว่าผม

ผม : "ซื้อยาแก้กรดไหลย้อนครับ.."

เภสัชกร : "เอาเกรดไหน.? มี 3 เกรด..ถูก..กลาง..แพง"
"คุณภาพยาขึ้นกับราคา..ว่าไงหือ?"

มันถามแล้วมองหน้าผมแบบกวนตีน...

ผมกวนตีนกลับ : "เอาเกรดไหนก็ได้ ที่กินแล้วหายน่ะ."

เภสัชกร : "ไม่มีๆๆ !! โรคนี้ยาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้"
"ถ้าคุณรักษาด้วยยา..คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต"

ผมหันไปจ้องหน้ามัน เพราะสะดุดคำว่า..
"ถ้าคุณรักษาด้วยยา...คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต"

ผมถามว่า : "มันมีวิธีรักษาด้วยวิธีอื่นหรือ?"

มันค่อยๆ ชายตามามองผม ด้วยสายตาดูถูก...อย่างรุนแรง
แล้วพูดโดยไม่มองหน้าคนฟังว่า..
"คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เกิดจากนิสัยชั่ว 5 อย่าง..

1. กินข้าวไม่ตรงเวลา
2. กินอาหารรสจัดมาก ๆ โดยเฉพาะเผ็ดจัด
3. กินมากเกินไป
4. กินแล้ว...เข้านอนทันที
5. เครียดตลอดเวลา

ถ้าอยากหาย..ให้ไปเปลี่ยนนิสัย..ไม่ต้องกินยา"

ผมกัดฟันแน่น..จ้องหน้ามัน พร้อมกับนึกในใจ..
"ทำไมมึงถึงกวนตีนยังงี้ว่ะ?"

ผมคิดในใจ แล้วค่อยๆเปิดประตู..เดินออกจากร้านไป

10 วัน ผ่านไป..ผมไปบรรยายหลายงาน...หลายจังหวัด

คืนหนึ่งกลับเข้าบ้าน...ดึกแล้ว
ผ่านร้านขายยา...ไฟยังไม่ปิด..ผมรีบจอดรถ..เดินเข้าไปในร้าน
เจอไอ้เภสัชกวนตีน..คนเดิมเต็ม ๆ
มันหันมาเห็นผม และพูดกับผมว่า..
"อ้าวเป็นไง..โรคกรดไหลย้อน ?"

ผมปรี่เข้าประชิดตัว
แล้วยกมือ..พนม..พร้อมก้มหัว
"ขอบพระคุณมากครับ..หายแล้วครับ"

พูดได้แค่นั้น..แล้วก็จุกที่คอ พูดอะไรต่อไม่ได้อีก
แล้วรีบเดินออกจากร้าน..

เป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่ผมยกมือไหว้คนขายยา..ที่อายุน้อยกว่าผมมาก

ผมพูดอะไรไม่ออกแต่ผมเชื่อว่า..
ไอ้เภสัชหนุ่มนี่มันรู้..ว่าผมจะพูดอะไร?
มันสามารถสูบเงินจากผมได้เป็นหมื่น..
และทำกำไรมหาศาล..แต่มันไม่ทำ !!!

มันเลือกที่จะช่วยผม..ให้หายป่วย..โดยไม่ได้เงินสักบาท

☀️การดำเนินชีวิตของผมตอนนี้☀️
- กินข้าวตรงเวลา..ทุกมื้อ
- กินอาหารจืด..ไม่กินรสจัด..เผ็ดจัด
- กินแค่จานเดียวเลิก ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม..!!
- มื้อสุดท้าย.กินก่อน 6 โมงเย็น แล้วไม่กินอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม
- อารมณ์ดีตลอด..ยิ้ม..หัวเราะ ทำตัวให้มีความสุขทั้งวัน..

ผลที่เกิดตามมาคือ..
- พุงผมหายไป..ไม่มีหน้าท้อง..ไม่อึดอัด
- สุขภาพดีขึ้น.ไม่เป็นโรคอ้วน
- บุคลิกภาพดีขึ้น..ความมั่นใจเพิ่มขึ้นเวลาเข้าสังคม
- หายใจสะดวก..ไม่แน่นท้องเหมือนก่อน
- ไม่ง่วงนอน..ไม่อ่อนเพลียเวลาทำงาน..เหมือนก่อน
- การทำงาน และการเคลื่อนไหวร่างกาย..คล่องตัวขึ้น

ที่สำคัญคือ..ชีวิตผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย
นี่แหละ คือ เหตุผลที่ผมต้องไหว้..
และผมจะไหว้ไอ้เวรนี่ตลอดชีวิต..ไม่ว่ากูจะเจอมึงที่ไหน !!!

สิ่งมีค่าที่สุดที่มันมอบให้ผมก็คือ..
โรคภัยไข้เจ็บ 90 % ของมึงเนี่ย..
ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคแต่เกิดจากเชื้อเลวในการดำเนินชีวิตของมึงทั้งนั้นแหละ!!!

ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
- ตามธรรมชาติ..
- มีสุขนิสัยที่ดี..
- คุณจะไม่ป่วย..
- ไม่เป็นโรค..
- ไม่ต้องไปหาหมอ..

💥หมอและยา..เขามีไว้รักษาและขาย..ให้คนที่โง่ !!
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 06, 2024 5:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 06, 2024 5:38 pm

( 2 )

ด่วน...คู่มรณะ ผลการวิจัยล่าสุดของศาสตราจารย์ Mome Kaowa แห่งสถาบัน Manosatra พบว่า
...:
!!!อ า ห า ร ที่ กิ น คู่ กั น . . . อั น ต ร า ย ! !

1. 1. กินทุเรียนกับ น้ำอัดลม ให้พิษร้าย มากกว่าพิษงูเห่า!

2. 2. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง ห้ามรับประทานด้วย กันจะทำให้หูหนวก
...
3. 3. น้ำเต้าหู้ ห้ามใส่ น้ำตาลแดง จะทำให้ เสียวิตามิน

4. 4. มันฝรั่งกับกล้วย ทุกชนิด ห้าม รับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า

5. 5. หัวไชเท้ากับผลไม้ ทุกชนิด ห้าม รับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก

6. 6. กล้วยกับเผือก ห้ามรับประทานด้วย กัน จะทำให้ท้องอืด

7. 7. บวบ ซือกวย ไชเท้า ห้ามรับประทานวัน เดียวกัน จะทำให้เป็น เบาหวาน ทำให้เชื้อ
อสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

8. 8. กล้วย+มะละกอ +แตงโม ห้าม รับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน

9. 9. มังคุดกับน้ำตาล กินรวมกันจะทำให้เสียชีวิต

10. ผักป๋วยเล้ง ห้าม รับประทาน กับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง

11. น้ำผึ้ง ห้ามชงด้วย น้ำที่ร้อนจะทำให้เสีย วิตามิน

12. ส้มกับมะนาว ห้าม รับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ

13. ปลาทุกชนิด ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง

14. ขิงดอง ห้ามเข้า ตู้เย็น กินแล้วจะเป็น โรค มะเร็ง

15. น้ำข้าว ห้ามใส่กับ นม จะทำให้เสียวิตามิน

16.น้ำเต้าหู้กับนมสด ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำ ให้ท้องผูกและเส้นเลือดตีบ

17. ถั่วลิสงกับฟักทอง ห้ามรับประทานรวม กัน จะทำให้ทำร้าย ร่างกายและลำไส้ อักเสบ

18. มันเทศกับลูกพลับ ห้ามรับประทานรวม กัน จะทำให้เกิดนิ่ว ในกระเพาะอาหาร

19. เหล้าขาวกับลูก พลับ ห้ามรับประทาน ด้วยกันจะทำให้เป็นพิษ

20. เหล้าขาวกับเบียร์ ห้ามรับประทานด้วย กัน จะทำให้เส้นเลือด ในสมองแตก

21. หัวไชเท้ากับเห็ด หูหนู ทั้งดำและขาว ห้ามรับประทารด้วย กัน จะเป็นโรคผิวหนัง

* * * มีนักท่องเที่ยว ชาวจีนวัยเพียง28ปี รายหนึ่ง ตอนมาเที่ยว เมืองไทยได้รับประทาน
ทุเรียนไปจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำอัดลม สารคาเฟอินในน้ำ อัดลมก่อให้เกิดความ
ดันโลหิตสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว ทำให้หัวใจ วายอย่างเฉียบพลัน

+ + + ประเทศไทย ได้ออกกฎอย่าง ชัดเจนไว้ว่า ภายใน 8 ชั่วโมงหลังจาก การรับ
ประทานทุเรียน เป็นจำนวนมาก ห้ามดื่ม น้ำอัดลม เป็นอันขาด ! !

* * ทุเรียนก่อให้เกิด แก๊สในกระเพาะสูงเลยทีเดียว
...เพื่อชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
โปรดแชร์ด่วนเพื่อ ญาติมิตรและเพื่อนคนไทย

🎃🍊🍏🍋🍎🍅🍓🍑🍐🍌🍉🍈🌽🍠🍆
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 06, 2024 5:43 pm

( 3 )


สรุปสาระ ตากับสูงวัย
โดย พญ.เตือนใจ วงศ์วรเศรษฐ์ (จักษุแพทย์)​
18 เม.ย.66

โรคตาของ สว.

1. การหย่อนคล้อยรอบตา ถ้าหนังตาตกจนมาบังรูม่านตา อาจมีปัญหาเรื่องการมองเห็น
แก้ไขโดยผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตาที่เปลือกตา ไม่ใช่แค่ตัดหนังตาทำตา2ชั้น

2. ต้อกระจก (เลนส์ตาขุ่น)​ ทุกคนจะเป็นเพราะ ความเสื่อมของเซล (เริ่มเสื่อมอายุ 50-90 ขึ้นไป)
(*)การผ่าต้อกระจก คือ การใส่เลนส์เทียมแทนเลนส์ที่ขุ่น วิทยาการก้าวหน้าทุกวัน เลนส์มีหลาย
แบบควรปรึกษาหมอตา คนที่เปลี่ยนเลนส์ต้อกระจกแล้ว ต่อมาอาจมองไม่ชัด เพราะถุงรองรับ
เลนส์อาจขุ่น ไปให้หมอทำ Laser จะใสเป็นปกติ

3. ต้อหิน : การเสียของประสาทตาปัจจัยเสี่ยงคือความดันตาสูง แต่ก็มีต้อหินแบบความดันตาปกติ
คนที่มุมตาแคบอาจเป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน มีอาการปวด คลื่นไส้ มองไม่เห็น

การแก้ไข ต้องไปหาหมอตา

4. วุ้นนัยตาเสื่อม เกิดแทบทุกคน อายุมาก ของเหลวในวุ้นตาตกตะกอน
(*)วุ้นตาเสื่อม ถ้าพบแสงเหมือนแฟลช.. แว๊บ.. แว๊บ.. ต้องรีบพบหมอตาด่วน อาจต้องรักษา
โดยทำ Laserถ้ามีประสาทตาฉีกขาด

ถ้าไม่รักษาจะเป็นหายนะของตา น้ำในวุ้นตาจะเซาะไปทำให้ประสาทตาหลุดร่อน Laser
เอาไม่อยู่ การมองเห็นอาจเสียไป

5. ตาแห้ง (Dry eye)​ ใส่คอนแทคเลนส์นานมาก ไม่เปลี่ยนมาใส่แว่นตาเลย

อาการ : มีการระคายเคือง อักเสบ น้ำตาไหล
: รักษาไม่หายขาด เพียงชะลอ

6. เบาหวาน ตามองไม่เห็นเพราะเส้นเลือดที่ผิดปกติ แตกง่าย การมองเห็นเสีย

(*)เส้นเลือดผิดปกติที่ตา อาจมีที่ไต และหัวใจด้วย
(*)คนที่เป็นเบาหวานต้องคุมความดัน คลอเรสตอรอลด้วย

7. แว่นสายตา สำหรับสายตาสูงวัยปกติจะเริ่มใส่แว่นสายตาสูงวัยเมื่ออายุ 39-45 ปี
หลายคนมีแว่น 2 อัน สำหรับอ่านหนังสือ และดูไกล บางคนแก้ปัญหาโดยทำแว่น Progressive
เพื่อจะไม่ต้องใส่ ๆ ถอด ๆ แว่น บางคนใส่แว่น progressive ไม่ได้ ใส่แล้ว.. งง.. งง..
( ปจบ. เทคโนโลยี่พัฒนา.. ปัญหาใส่แว่นแล้ว.. งง.. งง.. ไม่ค่อยมีละ)

8. "แว่นกันแดด" สำคัญมาก ต้องเลือกที่กันแสง UV ได้ 100 % (ร้านแว่นจะมีเครื่องวัด )
แว่นกันแดดควรมีราคา 160 บาท หรือ 500 บาทขึ้นไป แว่นแบรนด์เนม เช่น Ray Ban และ
ยี่ห้ออื่น ๆ ผลิตเพื่อป้องกันสายตาอยู่แล้ว
(*)แว่นกันแดดปลอม คือ แว่นที่ย้อมสีดำ ใส่แล้ว ทำให้ม่านตาขยาย แสง UV เข้าตามากขึ้น
ทำให้เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก และตาแห้ง

"แว่นสายตา" สามารถทำเป็น "แว่นกันแดด" ได้การเคลือบสีเลนส์ เคลือบกัน UV
เพื่อความสบายตา
(*)แว่นสีเทา สบายตามาก
(*)แว่นสีเหลือง ใส่กลางคืนชัดเจนมาก เป็นแว่นส่องสัตว์

(*)ข้อควรระวัง
1. "การนวดตา".. ไม่ดี จะทำให้เลนส์ตาหลุด
2. การถูมือ 2 ข้างเร็ว ๆ แล้วเอามาอังที่ตา (แบบชี่กง).. ดี เป็นการเพิ่มๆพลังให้(ดวงตา)
3. คนที่มีลูกหลานเล่นแบตมินตัน หรือ กอล์ฟ ควรให้ใส่แว่นตา ป้องกันลูกแบตฯ หรือลูกกอล์ฟ
มาอัดตา ทำให้ตาแตก เลือดออกในตา เลนส์หลุด อาจเป็นต้อหินได้

"ดวงตา.. เปิดโลกกว้าง".. ตรวจตาอย่างน้อย 1 ปี/ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 06, 2024 5:51 pm

( 4 )


“เมื่อผ้าก๊อซหายไปหนึ่งชิ้น”

โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา อาจารย์หมอกำลังจะทำการผ่าตัดช่องท้องให้คนไข้
พยาบาลสาวที่มาใหม่ทำหน้าที่ส่งเครื่องมือให้อาจารย์หมอ

หลังผ่าตัดเสร็จเป็นเวลาที่กำลังจะเย็บแผล พยาบาลรีบบอกอาจารย์หมอว่า ”อย่าเพิ่งเย็บแผลค่ะ”

พยาบาลคนอื่นๆพากันแปลกใจ ระดับอาจารย์หมอจะทำความผิดพลาดได้ไง พยาบาลที่มาใหม่
อาจหาญชาญชัยขนาดไหนที่กล้าทำให้อาจารย์หมอหน้าแตก

สาเหตุทั้งหมดมาจากการตรวจเช็คเครื่องมือหลังผ่าตัดว่าครบทุกชิ้นหรือไม่ พยาบาลบอกอาจารย์
หมอว่า "ดิฉันเตรียมผ้าก๊อซไว้ 12 ชิ้น แต่ตอนนี้มันเหลือแค่ 11 ชิ้น น่าจะยังมีอีกชิ้นที่คาอยู่ในท้อง
ต้องหาให้เจอก่อนค่ะ"

แต่อาจารย์หมอก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า "หมอหยิบออกมาหมดแล้ว"

แต่พยาบาลก็ยังยืนกรานเช่นกัน "ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน ดิฉันเตรียมไว้ 12 ชิ้นไม่ขาดไม่เกิน"

แต่อาจารย์หมอกลับพูดว่า "หมอรับผิดชอบเอง เย็บแผลได้เลย"

"ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้" พยาบาลยืนกรานเสียงแข็ง

ถึงตอนนี้ อาจารย์หมอเงยหน้าขึ้น แล้วก็หยิบเอาผ้าก๊อซหนึ่งชิ้นที่ซ่อนไว้ออกมา ก่อนจะพูดว่า
"การรู้จักยืนกรานในสิ่งที่ตนมั่นใจ คนอย่างเธอจะทำอะไรก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เยี่ยมมาก"

************

ต้องยอมรับว่าสังคมทุกวันนี้ขาดแคลนคนคุณภาพอย่างพยาบาลสาวคนนี้
คนหนุ่มสาวสมัยนี้มักชอบทำอะไรแบบงูๆปลาๆ ขาดความใส่ใจ ขอให้มันผ่านๆไปก็พอใจแล้ว
"มุ่งมั่นตั้งใจ ยืนหยัดกันถึงที่สุด" จึงเป็นสิ่งที่หายากยิ่งกับคนส่วนใหญ่ในสังคมทุกวันนี้

ถ้าพยาบาลในเรื่องกลายเป็นตัวท่าน ท่านจะยืนกรานต่อสู้กันถึงที่สุดหรือไม่ ลองถามใจตัวเองดู

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 06, 2024 5:55 pm

( 5 )


งานวิจัยมหาวิทยาลัยเดนมาร์ก: ความมั่นใจในตนเองหลังวัยกลางคนไม่ได้อยู่ที่สมอง
แต่อยู่ที่ขา!

1. เมื่อคุณอายุมากขึ้น เท้าและขาของคุณจะต้องแข็งแรงอยู่เสมอ

2. เมื่ออายุมากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าผมหงอก ผิวหย่อนคล้อย หรือผิวหนังเหี่ยวย่น
คุณควรดูแลขาแทน

3. American Journal of Prevention สรุปสัญญาณของการมีอายุยืนยาว โดยกล้ามเนื้อขา
ที่แข็งแรงจัดเป็นกล้ามเนื้อที่สำคัญที่สุด

4. ถ้าคุณไม่ขยับขาภายในสองสัปดาห์ ความแข็งแรงของขาของคุณจะลดลงเป็นเวลา 10 ปี

5. การวิจัยพบว่าหากคนทุกวัยไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเวลาสองสัปดาห์ ความแข็งแรงของ
กล้ามเนื้อขาจะลดลง 1/4 ซึ่งเท่ากับอายุ 20 ถึง 30 ปี

6. ถ้ากล้ามเนื้อขาอ่อนแรงแม้เราจะทำการฟื้นฟูสมรรถภาพและออกกำลังกายก็ยังต้อง
ใช้เวลานานในการฟื้นตัว

7. การออกกำลังกายและการเดินเป็นประจำมีความสำคัญมาก

8. น้ำหนักตัวทั้งหมดอยู่ที่ขา

9. ร่างกายมนุษย์รับน้ำหนักของร่างกายไว้ที่เท้า 50% ของน้ำหนักร่างกายมนุษย์อยู่ในกระดูก
และ 50% ของกระดูกอยู่ที่ขา

10. ข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแรงที่สุดในร่างกายมนุษย์อยู่ที่ขา

11. กระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อที่แข็งแรง ก่อให้เกิด "สามเหลี่ยมเหล็ก" ซึ่งถือเป็นภาระ
ที่สำคัญที่สุดในร่างกายมนุษย์

12. 70% ของพลังงานในการทำกิจกรรมของคุณถูกเผาที่เท้า

13. ตอนเด็กๆ ต้นขาก็แข็งแรงพอที่จะยกรถได้!

14. ขาและเท้าเป็น "ศูนย์กลางการเคลื่อนไหว" ของร่างกาย

15. ขาประกอบด้วยเส้นประสาท 50% ของร่างกายมนุษย์ 50% ของหลอดเลือด
และ 50% ของเลือด

16. เครือข่ายการไหลเวียนโลหิตขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อขาเข้ากับร่างกาย

17. ผู้ที่มีเท้าและขาแข็งแรงจะมีเลือดไหลเวียนได้อย่างราบรื่น และผู้ที่มีกล้ามเนื้อขา
ที่พัฒนาดีจะมีหัวใจที่แข็งแรง

18. เมื่อคนเราแก่ตัวลงให้เริ่มจากเท้าแล้วเลื่อนขึ้นไป

19. เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความแม่นยำและความเร็วของสมองในการส่งคำสั่งไปยังขา
จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับคนหนุ่มสาว

20. เมื่อคนเราอายุมากขึ้น แคลเซียมในกระดูกจะหายไปไม่ช้าก็เร็ว ผู้สูงอายุจึงมีแนวโน้ม
ที่จะกระดูกหักได้ง่าย

21. กระดูกหักในผู้สูงอายุมักเกิดอาการแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะโรคร้ายแรง
เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ

22. ตามสถิติแล้ว 15% ของผู้สูงอายุเสียชีวิตภายในหนึ่งปีหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาหัก!

23. ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะออกกำลังกายขาสำหรับคนวัย 60 ปี

24. เท้าและขาจะแก่ชราไปตามกาลเวลา แต่การออกกำลังกายเท้าและขาเป็นงานตลอดชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 21, 2024 8:52 pm

( 6 )


ชีวิตติดเตียง 1 เดือนในโรงพยาบาลของหมอประเวศ วะสี ในวัย 91 ปี ที่ประสบความทุกข์สาหัส
ทั้งจากโรคหัวใจและโรคซึมเศร้า
ผม (ประเวศ) มีประสบการณ์ในการเป็นคนไข้อยู่ในไอซียูโรคหัวใจที่โรงพยาบาลศิริราช
เป็นเวลาเดือนกว่า ทำให้ได้พบบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยกำหนดสุขภาพ
ผมได้รับการรักษาจากแพทย์ที่เก่งที่สุด พยาบาลที่ดีที่สุด และด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุด
แต่การที่ผมถูกแยกตัวจากสภาวะเดิมที่คุ้นเคยมาอยู่ในห้องแยกคนเดียว นอนดูนาฬิกาและ
ฝาผนัง กินอาหารโรงพยาบาลที่ผมไม่คุ้นเคย ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่ทำให้การรักษาได้ผล
ไม่ตรงตามคาดหวัง
หมู่แพทย์เห็นกันว่า mood หรืออารมณ์น่าจะเป็นเหตุ จึงอนุญาตให้ภรรยาเข้ามาเยี่ยมคราวละ
หลายชั่วโมง จากตามปกติที่อนุญาตครั้งละ 10 นาที ... อารมณ์ก็ดีขึ้น
แต่อย่างไม่รู้ตัว เจ้าอารมณ์ที่ว่านี้ได้กลายเป็น “โรคซึมเศร้า” ที่ผมวินิจฉัยได้เอง
ตามปกติจิตใจผมไม่เคยซึมเศร้า มีจิตใจที่มีความสุข
ผมเริ่มสังเกตว่า ในตัวมี "ความทุกข์" ที่อธิบายไม่ได้กระจายอยู่ทั่วตัว และรุนแรงโดยปราศจากสาเหตุ
ผมจับได้ว่า... ผมไม่สามารถรวบรวมความคิดเป็นหนึ่งเดียว มันฟุ้งกระจาย
ถ้าเป็นคนปกติ คนผู้นั้นย่อมสามารถรวบรวมความคิดเป็นหนึ่ง หรือเป็น Harmony ของกระแส
ความคิด เหมือนวงดนตรีที่เครื่องเล่นทุกชิ้นเล่นเพลงเดียวกัน เป็นเพลงอันไพเราะ ทำให้คนฟังมีความสุข
แต่คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ... ความคิดจะฟุ้งกระจาย รวมความคิดไม่ได้ เป็นการสิ้นความสุขอย่าง
รุนแรงทั้งเนื้อทั้งตัว ... ความรุนแรงเช่นนั้นทำให้คนไข้ทนไม่ได้ และฆ่าตัวตาย
เราอาจเขียนเป็นภาพได้ว่าเป็น “การรวมตัวไม่ได้ของความคิดจากโรคซึมเศร้า” ที่ปลายข้างหนึ่ง
ซึ่งเป็นความทุกข์สุดๆ โดยมี “ความคิดของคนปกติธรรมดา” อยู่ตรงกลาง และมี “การมีสติและสมาธิตั้งมั่น”
อยู่อีกปลายอีกข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขสุดๆ
ภาพนี้จะช่วยให้เราเข้าใจสภาวะอารมณ์ของผู้ป่วย และลดอารมณ์ซึมเศร้ขาที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
และการรักษา
ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาในที่อันเป็นสัปปายะของเขา คือบ้าน ครอบครัว ชุมชน วัฒนธรรม การรักษา
จะง่าย หายเร็ว
ผมเคยพบคนไข้ในโรงพยาบาล ที่เป็นไข้โดยไม่รู้สาเหตุ แต่พอกลับบ้านไข้นั้นก็หายไป
ผมเคยพบคนไข้เด็กสาวคนหนึ่งเป็น acute asthma อาการหนัก ผมบอกคนไข้ว่า "หมอจะรับหนูไว้
ในโรงพยาบาล" แทนที่จะดีใจ เด็กสาวบอกว่า "คุณหมออย่าให้หนูอยู่โรงพยาบาลเลย เพราะตอนเป็นมาก
จะไม่มีใครช่วย ถ้าอยู่บ้าน แม่ยังกอดหนูไว้"
คุณหมออพภิวันท์ ภรรยาหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เคยเล่าถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจากภาคอีสาน
เธอเป็นมะเร็งมารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้รับเคมีบำบัดอย่างดี แต่ก็ไม่มีความสุข พอกลับไปอยู่
ในหมู่บ้าน มีผู้คนมาช่วยเหลือมากมายทั้งแพทย์ไทย จีน ชาวบ้าน พระที่วัดให้เธอบวชชี แล้วใช้การปฏิบัติ
ธรรมทำให้เธอมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม นี่คือการรักษาในฐานวัฒนธรรม
เราควรมีการศึกษาวิจัยการหายของโรค เทียบระหว่างเมื่อคนไข้อยู่ในสถานพยาบาลกับอยู่ในวัฒนธรรม
ของเขา ซึ่งอาจเกิดความรู้ที่นำมาสู่การรักษาแบบ “ใกล้บ้านใกล้ใจ” ซึ่งราคาถูกกว่า ได้ผลดีกว่า
ส่วนโรคซึมเศร้า อาจมีหลายดีกรีและสาเหตุหลากหลาย ถ้าผู้รักษาใส่ใจความรู้เรื่องนี้ จะช่วยแก้ทุกข์
ของผู้ป่วยได้อย่างสำคัญ

*******
ท่านอาจารย์หมอประเวศเป็นปูชนียบุคคลของสังคมไทย แม้ในวัยกว่าเก้าสิบท่านอาจารย์หมอ
ก็ยังอุตส่าห์แบ่งปันประสบการณ์ที่ท่านเผชิญกับอาการโรคซึมเศร้ามาให้สังคมได้รับรู้ เรียนรู้
เคสของท่านอาจารย์หมอประเวสน่าสนใจมาก เพราะที่ผ่านมาทั้งชีวิตกว่าเก้าสิบปี ท่านไม่เคยซึมเศร้า
และมีจิตใจที่มีความสุขตามมาตรฐานของคนทั่วไป
ถอดบทเรียนจากเคสของท่านอาจารย์หมอประเวศ

- ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน เราก็ถูก "โรคซึมเศร้า" จู่โจมอย่างคาดไม่ถึงได้เสมอ

- เมื่อใดก็ตามที่ "โรคซึมเศร้า" เข้ายึด "นครกาย" ของเราได้แล้วอย่างเบ็ดเสร็จ มันจะเป็น "อกุศลราชา"
ที่ทรงอำนาจมาก และขับไล่ออกไปได้ยากมาก ไม่ว่าจะใช้วิธีการรักษาทางโลกแบบไหนก็ตาม

- "โรคซึมเศร้า" น่าจะเกี่ยวโยงกับ "อนุสัย" (จิตใต้สำนึกฝังลึก) ของผู้นั้นไม่มากก็น้อย โรคซึมเศร้าจึง
สามารถ "บงการ" คนผู้นั้นจากข้างในสุด หรือจาก "ตัวตนด้านมืดหม่น" ซึ่งเป็นอีกตัวตนที่แฝงซ้อนอยู่ใน
"ตัวตนปกติ" ของคนผู้นั้น

- โรคซึมเศร้า สาเหตุอาจหลากหลายเช่น จากความไม่สมปรารถนาต่อความอยากได้ อยากมี หรือจาก
ความผิดหวังอย่างรุนแรง เก็บกด ระเบิดระบาย พอไม่ได้รับการสนองตอบ จะเก็บกดใหม่ที่มีพลังลบมาก
กว่าเดิม พอมีการระเบิดระบายออกใหม่ก็จะรุนแรงกว่าเดิม วนลูปแบบนี้ จนเกิดการปรับตัวเพื่อเซฟ
ร่างกาย เซฟพลังงาน คือเปลี่ยนจากพลังเก็บกด เพื่อระเบิด เป็นการยอมจำนน เลื่อนลอย สติจางลงทุกที
จนอารมณ์ หดหู่ครอบงำ ซึมเศร้า ไม่มีความสดชื่น หรืออารมณ์บวกอื่นๆ มาแทนที่

- ถ้ามองแบบบูรณาการ ตามโมเดลจตุรภาคของ Ken Wilber ใน Integral Theory ของเขา ... การกินยารักษา
โรคซึมเศร้าช่วยได้มากสุดแค่ 1/4 เท่านั้น ... การฝึกเจริญสติ ดูจิต ดูความคิดก็ช่วยได้มากสุดแค่ 1/4 เช่นกัน
... หรือปัจจัยแวดล้อมทางครอบครัว ชุมชน วัฒนธรรมก็ช่วยได้มากสุดแค่ 1/4 เท่านั้น ... หรือการปรับปรุง
โครงสร้างสังคมและระบบนิเวศที่เอื้อต่อ Wellness ก็ช่วยมากสุดได้แค่ 1/4 เท่านั้น ... จึงเห็นได้ว่าเราควร
เข้าใจ "โรคซึมเศร้า" ในทุกมิติและรักษามันจากทุกๆ มิติพร้อมกันไป ไม่ใช่รักษามันแค่มิติใดมิติหนึ่งมิติเดียว

ขอให้ท่านอาจารย์หมอประเวศจงกลับมามีสุขภาพดีแบบองค์รวมตามเดิมโดยเร็ววันด้วยเทอญ

ด้วยจิตคารวะยิ่ง

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 21, 2024 9:04 pm

( 7 )


¤¤¤¤¤¤¤
♥ โภชนาการบำบัด ♥
~~~~~~~~~~~~~~~
■ ใครที่มีเพื่อนรัก! ช่วยกันส่งกันต่อๆไป ความรู้ใหม่ โภชนาการบำบัดโรค

♥ 1. ดื่มน้ำร้อน ปลอดทุกโรค

♥ 2. กินไข่ลวกวันละ 2 ฟอง ใส่พริกไทยดำที่ตำเองหนึ่งช้อนชาจะห่างไกลจากอัลไซเมอร์
ไม่ต้องไปหาหมอ

♥ 3. หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุในการก่อให้เกิดโรคต่างๆ

♥ 4. กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า

♥ 5. กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้
สมรรถภาพทางเพศแข็งแรง

♥ 6. สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด

♥ 7. กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์)
ทำให้หน้าอกโตด้วย

♥ 8. กล้วยน้ำว้า นำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา อาการปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน

♥ 9. กล้วยหอม เด็กถ้ากินจะช่วยให้มีความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมน ให้กินกับ
น้ำมะพร้าวอ่อนจะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)

♥ 10. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กิน และนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษาฝ้า กระ
ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด

♥ 11. กินน้ำมันหมูดีที่สุด เพราะช่วยซ่อม สร้างเนื้อเยื่อ ที่เหลือขับทิ้งได้ ไม่เหมือนน้ำมันพืช
ที่ผ่าน กรรมวิธีที่มีสารเคมีตกค้างมากมาย เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวแน่นอน

♥ 12. กินหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม และตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก 2-3 ชิ้น
เพื่อดับกลิ่น เพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือด ดีกว่ากินยาลดไขมัน ซึ่งมีผลข้างเคียงที่อันตรายมาก
▪▪▪▪▪▪▪

จากเพื่อนในไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:09 pm

( 8 )


ความลับของความสุข

การยอมรับความจริง มันคือยาขมดีๆ นี่แหละ มันกลืนยากจริงๆ นะ แต่ช่วยเราได้จริง
ไม่ได้แปลว่าเราต้องลืมทุกอย่างให้ได้ก่อน ไม่จำเป็นว่าเราต้องเข้มแข็งทำใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์
แต่เราจะไม่ตอกย้ำตัวเองและจมอยู่กับความเสียใจ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มันคือการทำลายหัวใจตัวเองแบบผ่อนส่ง กลั้นใจ หลับตาลงสักสองวินาที
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ลืมตา แล้วออกไปใช้ชีวิตของเรา
ชีวิตที่เราคู่ควร และปล่อยให้มัน เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น

.Credit : Springbooks
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 25, 2024 8:45 pm

( 9 )

LINE กลุ่มคนแก่ชักสำคัญขึ้นมาแล้ว

แพทย์หลายท่านชี้ว่าคนวัยเกษียณ (ผู้สูงวัย) ควรจะพูดคุยให้มากขึ้น เพราะขณะนี้ยังไม่มีทางรักษา
และป้องกันรักษาโรคความจำเสื่อมได้เลย ทางเดียวที่ช่วยได้คือ การพูดคุยสนทนาให้มากขึ้น...

การพูดคุยมีประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างน้อย 3 ประการ

ประการแรก การพูดกระตุ้นและทำให้สมองมีความคล่องแคล่ว เพราะภาษากับการคิดจะสื่อสาร
ระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพูดเร็วซึ่งส่งผลโดยธรรมชาติให้เกิดปฏิกริยาการคิดที่เร็วขึ้น
และเพิ่มความจำ บรรดาผู้สูงวัยทั้งหลายที่ไม่พูดคุยมีแนวโน้มสมองเสื่อม

ประการที่สอง การพูดช่วยคลายความเครียดได้มากที่เดียว ช่วยไม่ให้เป็นโรคจิตและลดความเครียด
บ่อยครั้งเราไม่พูดแต่จะเก็บกดไว้ในใจเรา นี่เป็นความจริง ด้วยเหตุนี้จะเป็นการดีที่จะให้โอกาส
ผู้สูงวัยทั้งหลายได้พูดมากขึ้น

ประการที่สาม การพูดช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้า ทรวงอกได้ขยับตัวออกกำลังและเพิ่มสมรรถภาพ
ของปอด ในขณะเดียวกันการพูดลดความเสี่ยงของการเสื่อมในดวงตาและหู รวมถึงความเสี่ยงที่
แฝงมาเช่น ทำให้เวียนศรีษะและหูหนวก

สรุปสั้น ๆ ได้ว่าสำหรับ คนวัยเกษียณหรือบรรดาผู้สูงวัยทั้งหลาย ทางเดียวที่จะป้องกัน
โรคอัลไซเมอร์ |คือ การได้พูดคุยสนทนากับผู้คนเท่าที่จะมากได้ และสนทนาอย่างเป็นเรื่อง
เป็นราว ไม่มีวิธีอื่นใดจะรักษา โรคนี้ได้เท่ากับการพูดคุย

ดังนั้น ขอให้เราพูดคุยกันมากขึ้นและกระตุ้นให้ผู้สูงวัยท่านอื่น ๆ พูดคุยสนทนากับญาติมิตรและ
คนรอบข้างมากขึ้น

ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์และดีต่อสุขภาพ ส่งผลดีต่อชีวิตและคุณภาพประชากรสูงวัยของชาติต่อไป

กรุณาส่งให้ผู้สูงวัยท่านอื่น ๆ ด้วยจ้า

Cr : ขอขอบพระคุณ ดร.บรรจง ชมภูวงศ์

:s023:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 30, 2024 4:28 pm

( 10 )


💦 มนุษย์กับน้ำ
อุณหภูมิของน้ำเข้าสู่ * ร่างกายกำหนดอายุการใช้งานของบุคคล

การค้นพบทางการแพทย์ที่ทำให้โลกตะลึง: กระหายน้ำ! หมายถึงความเจ็บปวดและ
ความตายก่อนวัยอันควร?

ผู้แต่ง: ดร. เอฟ. เบทแมน

นักศึกษาของ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง-เพนิซิลลิน ผู้ค้นพบและผู้ได้รับรางวัลโนเบล
ดร. เบทแมน ได้อุทิศชีวิตของเขาให้กับการศึกษาคุณสมบัติการรักษาของน้ำ

น้ำอุ่น/น้ำร้อนเพียงสองแก้วเท่านั้นที่จะบรรเทาอาการปวดท้องอย่างรุนแรงที่เกิดจาก
แผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร

เขารักษาคนไข้มากกว่า 3,000 คนด้วยน้ำอุ่นเท่านั้นและไม่มียา

หนังสือเล่มนี้สรุปผลการวิจัยหลายสิบปีของผู้เขียน

1. เขาค้นพบว่าน้ำอุ่น/น้ำร้อนสามารถรักษาได้:

1. โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง: เพราะน้ำอุ่น/น้ำร้อนสามารถเจือจางเลือด จึงสามารถ
ป้องกัน การอุดตันของหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. โรคกระดูกพรุน: เพราะน้ำอุ่น/น้ำร้อนสามารถทำให้กระดูกที่กำลังเติบโตแข็งแรงขึ้น

3. มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง: เพราะน้ำอุ่น/ร้อนสามารถขนส่งออกซิเจน
ไปยัง เซลล์ได้ เซลล์มะเร็งจึงเป็นโรคกลัวน้ำ (anaerobic)

4. ความดันโลหิตสูง: เพราะน้ำอุ่น/น้ำร้อนเป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติที่ดีที่สุด

5. เบาหวาน: เพราะน้ำอุ่น/น้ำร้อนสามารถเพิ่มปริมาณไตรปโตฟานในร่างกายได้

6. โรคนอนไม่หลับ: เนื่องจากน้ำอุ่นสามารถทำให้เกิดการนอนหลับตามธรรมชาติซึ่ง
ควบคุม สาร - เม ลา โท นิน

7. ความซึมเศร้า: เพราะน้ำอุ่นทำให้ร่างกายสามารถเพิ่มปริมาณเซโรโทนินด้วยวิธีธรรมชาติ

ประการที่สอง แนะนำวิธีการดื่มน้ำอุ่น/น้ำร้อน:

1. ดื่มน้ำ ไม่ใช่ชา ดื่มน้ำวันละ 2~3 ลิตร ดื่มหลายครั้ง ไม่รอจนกว่าคุณจะกระหายน้ำ

(1) พยายามดื่มน้ำธรรมดาแทนเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนตและกาแฟ

(2) คนสมัยใหม่รวมทั้งแพทย์ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าบทบาทของ "น้ำ" ในร่างกายมนุษย์
มีความสำคัญอย่างไร

(3) ยาเสพติดสามารถบรรเทาอาการได้ แต่ไม่สามารถรักษาโรคชราของร่างกายมนุษย์ได้

(4) เราจะรู้ได้ทันทีว่าสาเหตุของโรคหลายชนิดเป็นเพียงการขาดน้ำในร่างกายเท่านั้น.

(5) การขาดน้ำในร่างกายทำให้เกิดความผิดปกติของระบบเมแทบอลิซึมของน้ำ และในที่สุดค
วามผิดปกติทางสรีรวิทยาได้นำไปสู่การเกิดโรคหลายอย่าง

2. น้ำเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต: เหตุผลที่คนสามารถเจริญเติบโตบนบกได้ก็เพราะมีระบบกัก
เก็บน้ำในร่างกายที่สมบูรณ์

(1) ระบบนี้เก็บน้ำจำนวนมากในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 75% ของน้ำหนักตัว

(2) เพราะเหตุนี้ ผู้คนจึงสามารถปรับตัวให้เข้ากับภาวะขาดแคลนน้ำชั่วคราวได้ในระยะเวลาอันสั้น

(3) ในขณะเดียวกันก็มีกลไกการจัดการภัยแล้งในร่างกายมนุษย์ คือ เมื่อร่างกายมนุษย์ขาดน้ำ
จะมีการจัดสรรน้ำที่เก็บไว้ในร่างกายอย่างเคร่งครัด และอวัยวะที่สำคัญที่สุดจะได้รับน้ำและสาร
อาหารที่จำเป็นต่อการขนส่งทางน้ำก่อน

(4) ในการกระจายตัวของน้ำ สมองอยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุด

(5) สมองคิดเป็น 1/50 ของน้ำหนักของร่างกายมนุษย์ แต่ได้รับ 18%-20% ของการไหลเวียน
โลหิตทั้งหมด และสัดส่วนของน้ำเท่ากัน

(6) เมื่อร่างกายขาดน้ำ กลไกการจัดการปัญหาภัยแล้งจะต้องทำให้อวัยวะสำคัญนั้นปลอดภัย
เสียก่อน ดังนั้นอวัยวะอื่น ๆ จึงจะไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ

(7) ในเวลานี้ พวกเขาจะส่งสัญญาณเตือนภัย แสดงให้เห็นว่าบางส่วนขาดน้ำ

3. ผู้เขียนได้ฝึกการแพทย์มาหลายปี และมักจะพบกับสถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณ
จากร่างกายที่ขาดน้ำ และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะเติมน้ำ แต่ผู้คนใช้สารเคมีในการจัดการกับสัญญาณ
ของการขาดแคลนน้ำเหล่านี้

น่าเสียดายยิ่งกว่านั้น ข้อผิดพลาดนี้ยังคงมีอยู่ สภาพร่างกายค่อย ๆ พัฒนาขึ้นและภาวะขาดน้ำ
เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ.

3. อย่าดื่มน้ำเย็น

1. คนจะเทน้ำที่ 0°C ลงในกระเพาะอาหารที่ 37cC แต่ปัสสาวะจะร้อน ซึ่งเป็นอุณหภูมิของ
ร่างกายมนุษย์ที่ 37cC

2. ใครสามารถเปลี่ยนน้ำแข็ง 0cC เป็นปัสสาวะ 37cC ได้บ้าง?

3. มันคือม้ามและกระเพาะอาหาร หลังจากดื่มเครื่องดื่มเย็นจัด ม้ามและกระเพาะอาหารจะทน
ไม่ไหว ดังนั้นพวกเขาจึงดึงแก่นแท้ของมนุษย์ (หรือพลังงานสำคัญ) จาก "ไต" และเปลี่ยนเป็น
ความร้อนเพื่อ 'ปรุง' เป็น 37 องศาเซลเซียส ดังนั้น การใช้ประโยชน์จากแก่นแท้ของมนุษย์จะ
ทำให้ไตของคุณอ่อนแอ.

4. ถ้าคุณรักน้ำเย็นเสมอ คุณจะต้องมีอาการขาดไต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความทรงจำของคุณ
และยังทำให้คุณต้องนั่งรถเข็นในปีต่อ ๆ ไป ด้วยกระดูกที่อ่อนแอ...

※อุณหภูมิน้ำที่ส่งเข้าไปในร่างกายของคุณเองกำหนดอายุการใช้งานของคุณ🌴
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ค. 02, 2024 10:46 pm

( 11 )


🌹ทะลวงหลอดเลือดด้วยภูมิปัญญาโบราณ เพียง 2 นาที

ทะลวงหลอดเลือดด้วยภูมิปัญญาโบราณ เพียง 2 นาที เป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่พ่อแม่
และเพื่อนๆ ของคุณ
📍ชายชาวลอนดอนคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อเขาไปประชุมที่ปากีสถาน เกิดมี
อาการเจ็บหน้าอกอย่างเฉียบพลัน แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดหัวใจของเขา 3 เส้นอุดตันอย่าง
รุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดทำบายพาส. กำหนดการผ่าตัดคืออีก 1 เดือน ในช่วงระหว่างนั้นเขาไป
พบหมอบำบัดมุสลิมโบราณ หมอบำบัดให้เขาทำยาทานเองที่บ้าน เมื่อทานครบ 1 เดือน ก็ไป
ตรวจที่โรงพยาบาลเดียวกันก่อนผ่าตัด พบว่าเส้นเลือดทั้ง 3 เส้นใสสะอาด ที่เคยอุดตันก็ถูกทะลวง
ออกหมด เพื่อช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์ เขาได้บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต
รวมทั้งโชว์ภาพถ่ายเส้นเลือดของเขาก่อนและหลัง เพื่อให้แสดงความแตกต่างก่อนและหลังทานยา
▪️วัตถุดิบที่ใช้ ...
- 1 น้ำมะนาว 1 ถ้วย
- 1 น้ำขิง 1 ถ้วย
- 1 น้ำคั้นกระเทียม 1 ถ้วย
- 1 น้ำส้มสายชูแอปเปิล 1 ถ้วย
▪️วิธีเตรียม..
1.ลอกเปลือกกระเทียมและขิง หั่นขิงเป็นชิ้นบางๆ นำทั้งสองอย่างใส่เครื่องปั่นเครื่องคั้นน้ำผลไม้
ปั่นละเอียดแล้วเทลงบนผ้ากรอง เพื่อบีบน้ำคั้นออกมา

2.นำน้ำคั้นกระเทียมและขิงลงไปในหม้อ เติมน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูแอปเปิลลงไป ต้มจนเดือด
แล้วค่อยๆเคี่ยวไปโดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำระเหยออก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะได้
ยาที่เคี่ยวแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณเริ่มต้น

3. ตั้งทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลง ก็ให้เติมน้ำผึ้งลงไปผสมเพื่อให้ทานได้ง่าย (ใส่มากเท่าที่รสชาดพอจะทานได้)

4.ใส่น้ำสมุนไพรนี้ในขวดแก้ว แช่ในตู้เย็นเก็บไว้

▪️วิธีรับประทาน :
ทาน 1 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้าทุกวัน สามารถขจัดโรคหัวใจและหลอดเลือดให้หายขาดได้ คนทั่วไป
ยังสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง รวมทั้งป้องกัน
โรคหวัดและโรคภัยอื่นๆ ได้อีกด้วย
เมื่อทานได้ 1 เดือน ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณจะพบหลอดเลือดสะอาด เส้นที่มีการอุดกั้นถูกทะลวงไปแล้ว

📍สูตรลับนี้จะต้องบันทึกเก็บไว้นะครับ...! และต้องเผยแพร่ส่งต่อให้คนที่ท่านรักและปรารถนาดี! ****

หมายเหตุ น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล มีจำหน่ายตามห้างต่างๆ

"ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืม
ส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ"
———————SK—————
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 05, 2024 4:10 pm

( 12 )


คนที่ชอบกินปาท่องโก๋ควรอ่านครับ

ปาท่องโก๋ หรือ อิ่วจาก๊วย ที่อร่อยมาก ต้องมีสีเหลืองงามภายนอก ขาวหนืดนุ่มภายใน คุณสมบัติที่
ชวนกินอย่างนี้ ได้มาจาก ส่วนประกอบที่เรียกว่า “เช้าก่า” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสีขาวคล้ายน้ำตาลทราย
มีกลิ่นฉุนกึกของแอมโมเนีย ภาษานักเคมีเรียกผงนี้ว่า เกลือแอมโมเนียม ไบคาร์บอเนต สูตรเคมี
เขียนหยาบๆ บน Line เป็น NH4.HCO3

คนทำเขาจะเอาผงชนิดนี้ละลายน้ำผสมลงไปในแป้ง จากนั้นนวด ให้โปรตีนจากแป้งสาลีรัดเกลือ
แอมโมเนียเข้าไว้ จนกระทั่งเอาไปทอด จะเกิดก๊าซแอมโมเนีย กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดันตัวหนี
ออกจากเนื้อแป้ง ทิ้งแป้งลอยบนน้ำมันและฟองก๊าซ อย่างเดิอดพล่าน
คนทอดปาถ่องโกที่เก่ง เขาจะสังเกตสีเหลืองพองาม กับฟองก๊าซรอบๆเปลือกเหลืองๆนั้นหายไปจน
หมดจึงตักขึ้นมา พักไล่น้ำมันจนหมด แล้วจึงหยิบขาย

ลำพังเช้าก่า หรือเกลือแอมโมเนีย หากไล่ออกหมดตั้งแต่ตอนทอดก็ไม่มีอะไรจะเป็นพิษเป็นภัยอะไรเลย
แต่ถ้าหากพ่อค้าเขาทอดด้วยไฟไม่แรงพอจะขับไล่ก๊าซแอมโมเนียไม่หมด จะทำให้ก๊าซนี้เหลืออยู่
คนกินจะได้กลิ่นแอมโมเนีย ซึ่งเป็นก๊าซที่โชยออกจากโถปัสสาวะชำระไม่สะอาดนั้นแหละ

อันที่จริง ก๊าซแอมโมเนียเพียงเล็กน้อยในปาท่องโก๋ ไม่เป็นอันตรายอะไรเลย ถ้าคนกินยังไม่อยู่ใน
วัยชรา เพราะก๊าซนี้ ร่างกายคนทั่วไปเขาไม่ชอบ ได้หากสูดดมก๊าซนี้ แม้จะไม่มากก็เร่งขับปัสสาวะแล้ว
ส่วนคนชรา ซึ่งตามปกติ ค่า eGfr หรือ glomerular filtration rate อัตราการกรองของหน่วยกรองของ
เซลล์ไต จะลดลงไปตามอายุขัยอยู่แล้ว การกินปาถ่องโก๋บ่อยๆ ของคนชราย่อมทำให้ค่า eGfr ลดลง
หมอเขาจะดุเอาว่า เราใช้ไตทำงานหนักเกินไป ด้งนั้น คนชราจึงต้องงดละ!

คนจีนเขาฉลาดนัก ในเรื่องรู้หลบเหมือนมีปีก รู้หลีกเหมือนมีหาง ดังนั้น ในประเทศจีน และฮ่องกง
ถ้าไปกินปาท่องโก๋ จะเห็นว่า มันยาวเท่าศอก เขามักไม่ใช่เช้าก่า แต่จะใช้ สารส้ม สูตรเคมีเป็น
KAl(SO4)2.12H2O นั่นหมายความว่า ไม่มีก๊าซแอมโมเนีย HN3 แต่จะมีน้ำระเหยออกมาจากแป้ง
ที่ทอด มิหนำซ้ำ อะลูมิเนียมที่เป็นส่วนประกอบของสารส้ม ยังทำให้เนื้อแป้งกรุบกรอบชวนเคี้ยว และ
คงความกรอบของปาท่องโก๋ไว้ได้นาน ซื้อมาตอนเช้ากรอบอย่างไร ตอนเย็นก็ยังกรอบอย่างนั้น

อ้าวก็ดีซิ!

ใช่! มันน่าจะดี แต่มันขัดกับความรู้สมัยปัจจุบันที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า อะลูมิเนียมนั้นแหละ เป็นสารมีพิษ
อะตอมของมันเล็กมากจนซึมผ่านไปสู่เซลล์ประสามและสมองได้ ทำให้เป็นอัลไซเมอร์ หลงๆลืมก่อน
วัยชรา

เท่านี้ ยังไม่พอนะ !

ใครที่ชอบกินโจ๊ก ข้าวต้ม หรือแม้แต่เต้าส่วน หรือเต้าฮวยร้อนๆ นั้น ตามร้านเขามักมีปาท่องโก๋
ทำพิเศษ แต่ขนาดตัวเล็กกว่า ขนาดประมาณนิ้วก้อยเด็กอนุบาล มันกรอบ เคี้ยวกลุบ มันเค็ม ผมไม่รู้
เขาเรียกว่า อะไร แต่รู้แน่เลยว่า ความกรุบกรอบของแป้งปาถ่องโก๋จิ๋วนี้ เกิดมาจาก ธาตุโบรอน Boron
ได้มาจากเกลือบอแรกซ์ Borax ที่พบได้มากตามชายหาดของทะเลสาบซึ่งเกิดจากปล่องภูเขาไฟ หรือ
น้ำพุร้อนในอดีตกาล

ผงบอแรกซ์ นี่มีคุณสมบัติมหัศจรรย์ มันสามารถใช้ทำให้โลหะ แม้แต่ทองคำหลอมเหลวได้ง่าย
เขาจึงนำมาใช้เป็น “น้ำประสานทอง”

แต่ถ้านำมาใส่ในแป้ง หรือเนื้อสัตว์ ที่ทำอาไม้ มันจะทำให้แป้งหรือเนื้อสัตว์นั้น เมื่อนำไปทอด
หรือดอง จะกรอบ น่ากิน แต่กินเข้าไปแล้ว อันตรายมาก หมอเขาดูที่ค่า eGfr เขาก็บอกได้ว่า
ควรฟอกไตได้หรือยัง

ไม่เป็นไรน่า นานๆกินที!
ผมก็นึกอย่างนี้เสมอ เมื่อเผชิญหน้ากับปาท่องโก๋ แต่พอนึกถึงหมอที่เขาต้องเยียวยารักษาเรา
ผมก็ตัดสินใจไม่กินปาท่องโก๋ในทุกรูปแบบครับ

Cr : เพื่อนในไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 19, 2024 7:27 pm

( 13 )

ครัวบำบัดโรค ตอนที่ ( 1 )

โดย เอมี่ ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2549
คัดจากหนังสือ “1001 ตำรับยาใกล้ตัว” ของบริษัทรีดเดอร์ส ไดเจสท์ (ประเทศไทย)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(1)* ขิง

มีการศึกษาเกี่ยวกับขิงและนำมาใช้ทางการแพทย์มากกว่า 5,000 ปี สารประกอบทางเคมีหลัก ๆ
ที่ทำให้เกิดรสเผ็ดในขิงมี 2 ชนิดคือสารจินเจอรอล (gingerol) และโชกาออล (shogaol) ช่วยลดการ
บีบตัวของลำไส้ ทำให้กรดในระบบย่อยอาหารมีฤทธิ์เป็นกลาง และยับยั้ง “ศูนย์อาเจียน” ในสมอง

ขิงใช้กินแก้เมารถเมาเรือ โดยกินขิงผง ¼ ช้อนชา หรือขิงสดหั่นเป็นแว่นหนา 1 เซนติเมตร
อย่างน้อยสัก 20 นาทีก่อนออกเดินทาง

หากกินขิงผงหรือขิงสด 1/3 ช้อนชาตั้งแต่เริ่มมีอาการเตือนว่าจะเป็นไมเกรนก็จะช่วยลดอาการได้
เพราะขิงจะไปสกัดกั้นสารเคมีพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ที่ทำให้หลอดเลือดในสมองเกิด
การอักเสบ

สารพรอสตาแกลนชนิดที่ทำให้ปวดไมเกรนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อบวมในผู้ที่ป่วย
เป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid) หรือข้อเสื่อมด้วยเช่นกัน

แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยกินยาแอสไพรินวันเว้นวันเพื่อช่วย “เจือจาง”เลือด ขิงก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ทำให้แสบท้องเหมือนกินแอสไพริน

ขิงช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายผลิตสารที่ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดลมและเป็นไข้ สารจินเจอรอล
ในขิงยังเป็นยาระงับอาการไอด้วย

ขนาดที่ได้ผล : เหง้าขิงสดแว่นขนาด 1 เซนติเมตรนำมาฝนเพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์มากขึ้น,
ขิงผง 1 ช้อนชา, ผลึกขิง 1-2 ก้อน, ชาขิง 1 ถ้วยโดยใช้ชาถุงหนึ่งซอง หรือขิงสดฝนครึ่งช้อนชา
ใส่ลงในน้ำร้อน 1 ถ้วย, เบียร์ขิง หรือจินเจอร์เอล 350 มิลลิลิตร (ผสมขิงแท้ ไม่ใช่แต่งกลิ่นอย่างเดียว)
สารออกฤทธิ์ในขิงยังคงอยู่ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการแปรรูปแบบใด บางคนชอบกินขิงแคปซูลมากกว่า
ขนาดปกติที่กินคือ 100-200 มิลลิกรัม (มก.) วันละ 3 ครั้ง

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 ) ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ ส.ค. 19, 2024 7:38 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 19, 2024 7:37 pm

ครัวบำบัดโรค ตอนที่ ( 2 )
โดย เอมี่ ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2549
คัดจากหนังสือ “1001 ตำรับยาใกล้ตัว” ของบริษัทรีดเดอร์ส ไดเจสท์ (ประเทศไทย)

รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(2) มะนาว
มะนาวแต่ละลูกมีวิตามินซี 40 มก. เท่ากับปริมาณที่แนะนำให้กินต่อวัน ร่างกายใช้วิตามินซี
ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันและผลิตคอลลาเจนที่เสริมสร้างเนื้อเยื่อ ช่วยรักษาแผล
ให้หายเร็วขึ้น

น้ำมะนาวอุดมด้วยกรดซิตริก (citric) สารเคมีที่ช่วยลดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย
และช่วยป้องกันการก่อตัวของก้อนนิ่ว

มะนาวรสเปรี้ยวปรี๊ดมีไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids : กลุ่มพฤกษเคมีต้านอนุมูลอิสระ)
ที่เรียกว่า “รูติน” (rutin) มาก ทำให้ผนังหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น บรรเทาอาการ
ปวดและลดการเกิดเส้นเลือดขอด เพียงแค่ใช้มะนาวในการปรุงอาหาร หรือเติมลงในชาที่ดื่ม

ถ้าใช้มะนาวทาบริเวณผิวที่ตกกระบ่อย ๆ จะช่วยให้รอยตกกระจางหายได้ในที่สุด หรือใช้แต้ม
บริเวณที่เป็นสิวก็จะช่วยให้หายเร็วขึ้น

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 19, 2024 7:41 pm

ครัวบำบัดโรค ตอนที่ ( 3 )
โดย เอมี่ ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2549
คัดจากหนังสือ “1001 ตำรับยาใกล้ตัว” ของบริษัทรีดเดอร์ส ไดเจสท์ (ประเทศไทย)

รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(3) กระเทียม
กระเทียมนอกจากนำมาปรุงเป็นอาหารแล้วยังเป็นยาสมุนไพรและในบางกรณียังอาจใช้ได้
ดีพอ ๆ กับยาที่แพทย์ใช้ กระเทียมมีสารประกอบทางเคมีที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งคือสารอัลลิอิน (alliin)
เมื่อกลีบกระเทียมถูกบดหรือเคี้ยว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารนี้ทำให้กระเทียมมีคุณสมบัติหยุดยั้ง
การเติบโตของเชื้อโรคพอ ๆ กับที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ในประเทศที่ประชาชนนิยมบริโภคกระเทียม
อัตราผู้ป่วยโรคหัวใจจะต่ำอย่างเห็นได้ชัด

ผลการศึกษาพบว่า อัตราการจับตัวกันเป็นก้อนของเกล็ดเลือดในผู้ชายที่ได้รับกระเทียม
สด 6 กลีบลดลง 10-58% รายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์แนะนำว่า หากกินกระเทียมทุกวัน
จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้ร้อยละ 9-12%

ผลการศึกษาพบด้วยว่า การกินกระทียมวันละไม่ถึง 1 กลีบลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อม
ลูกหมากลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง การศึกษาในสหรัฐฯพบว่าสตรีที่กินกระเทียมทุกสัปดาห์มีความเสี่ยงเป็น
โรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่น้อยกว่าผู้ที่ไม่กินเลยถึง 1/3 ส่วนการศึกษาในจีนพบว่า ผู้ที่กินกระเทียมมาก
(วันละ 1 หัวขึ้นไป) มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารเพียง 8% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินกระเทียมน้อย

กินกระเทียมสดหรือที่ปรุงไม่สุกวันละ 1-2 กลีบก็ได้รับคุณค่าการป้องกันและรักษาโรคเพียงพอแล้ว
ถ้าไม่อยากมี “ลมหายใจกลิ่นกระเทียม”ก็ให้เคี้ยวผักชีหรือใบฝรั่งตามสัก 1-2 ใบ

หากท่านทนรสกระเทียมไม่ได้จริง ๆ ก็กินแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดแทนก็ได้
แพทย์แนะนำขนาดวันละ 400-600 มก.วันละ 4 ครั้งเพื่อรักษาโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 19, 2024 8:13 pm

( 14 )

(ผัก) "จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ !
————————————

“ผม..นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคม ม.เกษตรฯ แห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่
เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็น กรณีศึกษาตัวอย่างและเป็นทางออกให้กับผู้ป่วย
โรคมะเร็งทั้งหลาย
ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N. Hollywood วันหนึ่งกลางปี 2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่
เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง, มะเร็งที่
ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งพี่น้องญาติอีก 8 คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา 5 ปี
ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร ? 
วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า "ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ใน
แกงจืดให้ลูก ๆ กินเป็นประจำ เพราะคนจีนบอกต่อ ๆ กันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือดและขับสารพิษ
ออกจากร่างกายทำ ให้ลูก ๆ ไม่ค่อยเป็นอะไร
วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจกับหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก 2 เดือนต้องไปฉายแสง ฉันจึงลองเอา
จิงจูฉ่าย 1 กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว (เล็ก) หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน 2 เดือนถัดมา ไปตรวจ
หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว"
หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน 8 คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฉ่าย 2-3 เดือน
ทุกคนหายหมด (ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย) ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง    
ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน (ปี 2006) เป็นมะเร็งที่เต้านม, มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี "นั่งสมาธิ"
ทุกวัน 8 เดือน หายเป็นปกติ
ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา 1 ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี 2008 ผมได้รู้ว่า
แม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้น 3 หน้าคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่อง
จิงจูฉ่ายให้ฟังและเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป
หายเป็นปลิดทิ้ง (ผมให้เขาไปเพียง 1 ต้นไปปลูก และเด็ดใบทานเลยวันละ 1 ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล)
ปี 2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้นและแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคน
อาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ ผมแนะนำวิธีนี้ ถ้าคุณ
ต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่าย และนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย        
ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพทย์จีนโบราณเรียกว่า "ยาเย็น" เป็น "หยิน" ช่วยฟอกเลือด
, ขับสารพิษ..ฆ่าเชื้อ ไวรัสทุกชนิด..
เพื่อน KU 37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง เนื่องจากที่ LA เรามีน้อยมาก ถ้าเกิดใครต้องการ
มาก ๆ (จริง ๆ ต้องทานวันละ 1 กำ) ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย จ.เชียงใหม่
เขาขาย กก.ละ 35 บาท ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่ คุณมีโอกาสหายครับ
ใครที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเราจะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง
ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม คึ่นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร
แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ
เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซอเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพรชนิดหนึ่ง
ของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้ายใบบัวบก สามารถ
เจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน คุณค่า
ทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392 กิโลแคลอรี
ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส,
วิตามินเอ, วิตามินบี 6, วิตามินซี และวิตามินอี
มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดนความร้อน
จะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในลำต้น
และใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่งสารเหล่านี้มีสรรพคุณ
ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
และลำไส้ได้ด้วย
ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต
นอกจากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด เลือดลมหมุน
เวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว เพื่อช่วยในเรื่องการ
ไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย"
มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมู
เท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภทแกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัว
น่ารับประทานไม่แพ้กัน จิงจูฉ่ายในรูปแบบชา  คัดวัตถุดิบใบจิงจูฉ่ายคุณภาพ  ปลอดสาร ผ่านกระบวนการ
ผลิตที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน รสชาติหอมหวานไม่ขม ดื่มง่าย โดยกระบวนการหมัก
นวดอย่างพิถีพิถัน และอบด้วยไฟอ่อนเพื่อให้คงคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา  ชาจิงจูฉ่ายจึงมี
ประโยชน์มากมาย  และเนื่องจากเป็นสมุนไพรจึงไม่มีผลข้างเคียง
มะเร็งระยะสุดท้าย 2 ปี ไม่เข้ารับรักษา ค่ามะเร็งลดได้…

: https://youtu.be/uITAm2Gi5mQ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 21, 2024 1:48 pm

( (15 )

ครัวบำบัดโรค ตอนที่ ( 5 )(ตอนจบ)

โดย เอมี่ ชัตเตอร์แลนด์ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2549
คัดจากหนังสือ “1001 ตำรับยาใกล้ตัว” ของบริษัทรีดเดอร์ส ไดเจสท์ (ประเทศไทย)

รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(5)ว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้อุดมด้วยสารประกอบที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และมีสารเคมีชื่อบราดิไคนิน
(bradykinin) ซึ่งทำหน้าที่ระงับปวดเฉพาะที่ วิธีใช้ให้ตัดว่านใบใหญ่ ๆ ผ่าตามยาวและขูดเนื้อว่าน
นำมาพอกลงบนแผลวันละ 2-3 ครั้งจะช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้ แผลถูกบาด ริดสีดวงทวาร
หรือแผลไหม้เล็กน้อย

(6) บัวบก
ต้นและใบของบัวบกมีสารไตรเทอร์ปีน (triterpene) หลายชนิดซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเนื้อ
เยื่อและยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการอักเสบจึงมีประโยชน์ในการักษาบาดแผลเล็ก ๆ โดยใช้ต้น
และใบตำพอแหลกนำมาพอกแผลจะช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้นและยังมีสรรพคุณในการรักษาอาการ
ช้ำในหรือฟกช้ำจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในบริเวณนั้น จากนั้นใช้บัวบก 1 กำมือ ล้างให้สะอาด
ตำคั้นเอาแต่น้ำทาแผลบ่อย ๆ วันละ 1 ครั้ง
สำหรับแผลอักเสบเรื้อรัง ใช้บัวสด 1 กำมือตำคั้นเอาแต่น้ำทาบริเวณที่เป็นแผล หรือใช้ครีม
บัวบกชนิด 1% ทาแผลวันละครั้งจะช่วยลดการอักเสบและการเกิดแผลเป็น

แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ใช้ต้นและใบบัวบกสด 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอา
น้ำมาชะโลมแผลให้ชุ่ม 1 ชั่วโมงแรก และอาจใช้กากพอกแผลด้วยก็ได้ จากนั้นใช้น้ำคั้นจากบัวบกทา
วันละ 3-4 ครั้งจนกว่าแผลหาย แต่ถ้าแผลมีจุดที่ผิวหนังเปิดไม่ควรใช้วิธีนี้

น้ำใบบัวบกคั้นหรือปั่นแล้วคั้นช่วยให้รู้สึกสดชื่นและบรรเทาอาการเพลียได้ดี การกินบัวบกสด ๆ
ยังช่วยบรรเทาแผลในกระเพาะและลำไส้ แก้ร้อนในและบรรเทาท้องผูกด้วย

********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ส.ค. 24, 2024 7:46 pm

( 16 )

(#)เรื่องสั้น

ห้องนอนสมบูรณ์แบบ โดย Dr. James Maas จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

การนอนหลับที่มีคุณภาพควรเป็นการนอนอย่างต่อเนื่อง การนอนติดต่อกัน 6 ชั่วโมงจะทำ
ให้เรารู้สึกดีกว่านอนแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ 8 ชั่วโมง ข้อมูลต่อไปนี้อาจช่วยให้เราจัดห้องนอนเพื่อ
จะได้นอนหลับฝันดี

เสียงรบกวน : คงไม่ถึงกับต้องทำห้องนอนเป็นห้องเก็บเสียง แต่ควรลดเสียงรบกวนต่าง ๆ
ให้เหลือน้อยที่สุด

แสงสว่าง : ใช้ผ้าม่านทึบแสงกับหน้าต่าง หรือใช้ที่ปิดตาก็ช่วยลดแสงได้

อุณหภูมิ : ห้องนอนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวอาจรบกวนการนอนและทำให้ฝันร้าย

การตกแต่งห้องนอน : วางนาฬิกาปลุกเรืองแสงให้พ้นสายตาจะได้ไม่ต้องคอยดูเวลาบ่อย ๆ
และจัดห้อง ให้โล่งปราศจากของรกหูรกตา บางทีกระดาษกองเดียวก็อาจทำให้เครียดขึ้นได้

หมอน : การนอนคว่ำทั้งคืนอาจทำให้ปวดหลัง ควรเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงและนอนหงายบ้าง หากชอบ
นอนตะแคง หมอนของเราควรจะหนุนทั้งส่วนศีรษะและหลังเพื่อไม่ให้กระดูกและข้อต่อเสียการทรงตัว
สำหรับผู้ที่ชอบนอนหงาย หมอนควรหนุนบริเวณคอเป็นหลัก ให้ศีรษะอยู่ในระนาบที่ดีคือแทบสัมผัส
กับที่นอน

ที่นอน :หากมีเพื่อนร่วมเรียงเคียงหมอน ไม่ควรใช้ที่นอนขนาดเล็กกว่าควีนไซส์ (5 ฟุต) คนเรา
โดยปกตินอนพลิกตัวไปมา 40-70 ครั้งต่อคืน จึงควรมีที่ว่างเผื่อไว้ให้เคลื่อนไหวได้สบาย ๆ

***********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2024 7:25 pm

( 17 )


(*)เรื่องสั้น (*)

งานแรกในชีวิต โดย รักขิต รัตจุมพฏ และ จงจิตร บิวแคนแนน จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนเมษายน 2545 และจากวิกิปีเดีย 2566 : รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

-----> พ่อค้าขนมเค้ก : ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฏาวงศ์

พ่อผมอพยพมาจาประเทศจีน ส่วนแม่เป็นคนไทย ท่านทั้งสองช่วยกันทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูผม
กับน้องสาว โดยพ่อเป็นเสมียนทำบัญชีอยู่สำเพ็ง เงินเดือนไม่กี่พันบาท ส่วนแม่เปิดร้านขายข้าวแกง
กับขนมหวานอยู่ที่บ้านย่างฝั่งธนบุรี

พออายุย่าง 18 ปี เรียนสำเร็จระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง
ไม่มีคุณค่าและละอายใจ อยากช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่บ้าง จึงตัดสินใจทำขนมอบประเภทเค้กเพราะ
ไม่มีร้านขายขนมแบบนี้ในละแวกบ้าน ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะประสบความสำเร็จและยึดเป็นอาชีพ
เพียงแค่นึกอยากลองทำดู

แต่การทำขนมเค้กไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาจากโรงเรียนสอนทำขนมซึ่งสมัยก่อน
ยังไม่แพร่หลายและค่าเรียนแพงมาก พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุนเลยเพราะค่านิยมของคนจีนถือว่าลูกผู้ชายชอบ
ทำอาหารเป็นเรื่องน่าอับอาย ผมไปหาซื้อตำราเก่า ๆ จากแผงหนังสือแถวสนามหลวงมาศึกษาด้วยตนเอง
และหัดทำเรื่อยมาจนหมดแป้งไปหลายสิบกิโลกรัม หลายครั้งต้องเทส่วนผสมทิ้งท่อระบายน้ำจนขาวไปหมด
บางครั้งท่อระบายไม่ทันหลายวันเข้าก็ส่งกลิ่นเหม็นบูดถูกเพื่อนบ้านต่อว่า แต่ก็ลองผิดลองถูกกระทั่งได้เค้ก
ครึ่งปอนด์จำนวน 3 ก้อนที่นุ่มฟูแบบที่ขายตามร้าน ขนมเค้กพอทำเสร็จก็นำมาวางขายที่ร้านของแม่
เพื่อนบ้านผ่านมาเห็นก็ซื้อ ซึ่งเท่ากับจุดประกายความมั่นใจให้ผมทันที
จากนั้นผมก็หารายได้เพิ่มด้วยการใช้เวลาหลังเลิกเรียนตอน 3 ทุ่มมาทำขนมเค้กกล้วยหอมขนาดพอคำไป
ฝากขายที่ร้านกาแฟตรงป้ายรถเมล์ตอนเช้า วนเวียนอย่างนี้จันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปซื้ออุปกรณ์
และแป้งหรือส่วนผสมอื่น ๆ ช่วงปีใหม่ลูกค้าสั่งเค้กจนผมต้องทำถึงเช้า รายได้จากการขายขนมทำให้ผม
เรียนสำเร็จปริญญาตรีโดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่

ผมรู้ซึ้งว่าบทเรียนที่ได้มาด้วยความยากลำบากจากประสบการณ์จะติดตัวเราตลอดไป ทั้งนี้ต้องอาศัย
ความพยายามประกอบกับการขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมจึงจะค้นพบด้วยตัวเองและประสบความสำเร็จได้

หมายเหตุ : ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ เริ่มทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนอินทรอาชีวะศึกษา
และสอนการทำอาหารไทยและขนมไทยที่โรงเรียน Smiling Orchid ประเทศสิงคโปร์ก่อนศึกษาหลักสูตร
การทำอาหารนานาชาติ จากสถาบันต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ

ปัจจุบัน มีตำแหน่งบริหารด้วยการเป็นคณบดีคณะศิลปศาสตร์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม

************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2024 7:40 pm

( 18 )


(#)เรื่องสั้น

ห้องนอนสมบูรณ์แบบ โดย Dr. James Maas จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

การนอนหลับที่มีคุณภาพควรเป็นการนอนอย่างต่อเนื่อง การนอนติดต่อกัน 6 ชั่วโมงจะทำให้เรา
รู้สึกดีกว่านอนแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ 8 ชั่วโมง ข้อมูลต่อไปนี้อาจช่วยให้เราจัดห้องนอนเพื่อจะได้นอนหลับฝันดี

เสียงรบกวน : คงไม่ถึงกับต้องทำห้องนอนเป็นห้องเก็บเสียง แต่ควรลดเสียงรบกวนต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด

แสงสว่าง : ใช้ผ้าม่านทึบแสงกับหน้าต่าง หรือใช้ที่ปิดตาก็ช่วยลดแสงได้

อุณหภูมิ : ห้องนอนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวอาจรบกวนการนอนและทำให้ฝันร้าย

การตกแต่งห้องนอน : วางนาฬิกาปลุกเรืองแสงให้พ้นสายตาจะได้ไม่ต้องคอยดูเวลาบ่อย ๆ และจัดห้อง
ให้โล่งปราศจากของรกหูรกตา บางทีกระดาษกองเดียวก็อาจทำให้เครียดขึ้นได้

หมอน : การนอนคว่ำทั้งคืนอาจทำให้ปวดหลัง ควรเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงและนอนหงายบ้าง หากชอบ
นอนตะแคง หมอนของเราควรจะหนุนทั้งส่วนศีรษะและหลังเพื่อไม่ให้กระดูกและข้อต่อเสียการทรงตัว
สำหรับผู้ที่ชอบนอนหงาย หมอนควรหนุนบริเวณคอเป็นหลัก ให้ศีรษะอยู่ในระนาบที่ดีคือแทบสัมผัส
กับที่นอน

ที่นอน :หากมีเพื่อนร่วมเรียงเคียงหมอน ไม่ควรใช้ที่นอนขนาดเล็กกว่าควีนไซส์ (5 ฟุต) คนเราโดยปกติ
นอนพลิกตัวไปมา 40-70 ครั้งต่อคืน จึงควรมีที่ว่างเผื่อไว้ให้เคลื่อนไหวได้สบาย ๆ

***********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ต.ค. 22, 2024 12:02 am

( 19 )

ดร. นพ. ฮิเดกิ วาดะ แนะนำ ให้ผู้ที่มีอายุ 70 ขึ้นไป มีพฤติกรรมดังนี้ จะมีอายุยืนยาวเกิน 90 ปีแน่ๆ คือ

1. ต้องเดินทุกวัน พยายามเดินให้ได้วันละ ไม่น้อยกว่า 15 นาที

2. เมื่อนึกขึ้นได้เมื่อไร ให้หายใจยาวๆลึกๆ ให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

3. พยายามยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อ บิดเนื้อ บิดตัวเป็นครั้งคราว

4. จิบน้ำบ่อยๆ แม้จะไม่กระหายน้ำก็ตาม พยายามจิบน้ำให้ได้มากขึ้น

5. อายุมากแล้ว อย่าปล่อยให้ท้องผูก กินอาหารมีกากใย ลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง

6. พยายามขยับปาก จะเคี้ยว จะพูด จะร้องเพลง เป็นสิ่งที่ควรทำ

7. ความจำเสื่อมไม่ใช่เพราะอายุมาก แต่ เพราะไม่ใช้สมองเลยนั่นเอง

8. ไม่ต้องกินยาเยอะ กินเท่าที่จำเป็น

9. พยายามวัดความดันเลือดบ่อยๆ เพื่อคุมไม่ให้ความดันสวิง

10. ทำอารมณ์ให้แจ่มใสเป็นนิจ

11. พบปะ สังสรรค์กับเพื่อนผู้รู้ใจอยู่เนืองๆ

12. ท่องเที่ยวอย่างสบายๆ ไม่โลดโผนตามโอกาส

13. ทำในสิ่งที่ชอบ ปิดหู ปิดตา ไม่รับรู้สิ่งที่ไม่ชอบ หรือปัดทิ้งให้มากขึ้น

14. ฝึกร้องเพลงจากระดับอนุบาล จนเข้าขั้นมหาลัย….ปอดจะแข็งแรงจนน่าทึ่ง
ลดอาการเหนื่อยง่ายลงได้อย่างน่าแปลกใจ

15.อย่านั่งนอนตลอดเวลา ให้ขยับตัวลุกเดินให้บ่อยขึ้น

16. กินอะไรก็ได้ ที่ชอบ แต่ อย่าให้เกิดโทษต่อร่างกายนัก

17. ทำทุกอย่าง ที่ทำให้ใจสบาย มีความสุข

18. ปล่อยวาง ให้อภัยให้มากขึ้น

19. รู้จักการแบ่งปันให้ผู้ขาดแคลน ด้อยโอกาส

20. เป็นโรคอะไรอยู่ก็ตาม เรียนรู้ที่อยู่กับมัน จนคุ้นเคยจักดีกว่า

21. มองสิ่งรอบตัวในแง่บวกเข้าไว้ เห็นอะไร ก็ดีนะ ดีที่มี ดีที่เป็น

22. ลดความริษยา อาฆาต มาดร้าย ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ เด๋วก็ตายจากกันแล้วววววว

23. เคยไม่ชอบหน้าใคร ให้ลดละเลิก โดยเฉพาะเรื่องหนักๆของนักการเมืองที่ไม่ถูกใจเรา
เด๋วกรรมจะจัดการมันเอง อย่าไปเครียด ประเทศไม่ใช่ของเราคนเดียว อย่าไปแบกไว้บนบ่า มันหนัก

24. ถ้าเผลอหลับ ห้ามฝืน งีบเลย

25.เห็นสิ่งใดดี ทำเลย สิ่งใดไม่ดี เลิกทำ ช่วยใครได้ ช่วยเลย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สลึงเดียว

26. ให้อยู่ท่ามกลางคนดี มีจิตสาธารณะ จะมองโลกสวยงามขึ้น

27. หา "หมอครอบครัว" อย่าเชื่อหมอที่โรงพยาบาลมากนัก

28. อย่าบังคับตัวเองมากเกินไป ทำสิ่งที่สบายใจก่อนดีกว่า

29.แก่แล้ว ไม่ต้องโลภ ตายแล้ว เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ พอใจในสิ่งที่มี มีแล้วรู้จักการแบ่งปัน

30. สิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อผู้อิ่น ถ้าทำได้ ให้ทำทันที

31.มองสิ่งรอบตัว ให้มีความสุข จิตเบิกบาน

32.มีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลคน หรือ สัตว์ใดก็ได้ ให้ทำทันที

33. มีอะไรที่เกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง

34. พยายามช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น

35. ยอมรับความจริงว่า เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น มันจะอยู่ไม่นาน จะเป็นอยู่ชั่วคราว
แล้วก็เปลี่ยนไป ในที่สุด ก็จะหมดไป ดับไป เป็นธรรมดา !!!!!

ใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้…..มีอายุยืนกว่า 90 ปี เป็นอย่างน้อย……แน่นอนค่ะ ❣️❣️❣️❣️❣️
ตอบกลับโพส