( 1 )
ละเลยบูชา มิใช่เพียงพลาดพลั้ง แต่เสี่ยงต่อดวงวิญญาณ:
สิ่งที่คุณสูญเสียเมื่อขาดมิสซาศักดิ์สิทธิ์
๑. มิสซา คือ การจำลองกัลวารีโอ
ในทุกมิสซาศักดิ์สิทธิ์ การถวายบูชาอันเป็นหนึ่งเดียวและชั่วนิรันดรของพระคริสต์บน
กางเขน ได้ถูกนำมาปรากฏอีกครั้ง มิใช่การทำซ้ำ แต่เป็นการทำให้ปัจจุบัน
ดังที่สภาสังคายนาแห่งเทรนต์สอนว่า มิสซาคือ “บูชาเดียวกัน” กับบูชาบนไม้กางเขน
(Session XXII, Chapter 2) แต่เป็นการถวายบูชาในรูปแบบที่ไม่ต้องหลั่งพระโลหิต
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“เพราะพระคริสต์มิได้เสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นเพียงภาพจำลอง
ของสถานศักดิ์สิทธิ์แท้จริง แต่พระองค์เสด็จเข้าไปในสวรรค์เอง เพื่อปรากฏเฉพาะพระพักตร์
พระเจ้าเพื่อเรา... พระองค์ได้ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวในวาระสุดท้ายของโลก เพื่อกำจัดบาป
โดยการถวายพระองค์เองเป็นบูชา” (ฮีบรู ๙:๒๔-๒๖)
การละเลยมิสซา คือ การหันหลังให้กับบูชาที่ช่วยกู้ดวงวิญญาณของคุณ
๒. คุณค่าอนันต์ของแต่ละมิสซา
แต่ละมิสซามีค่าเท่ากับชีวิต ความทุกข์ทรมาน และความตายของพระคริสต์ เพราะนั่นคือ
การถวายบูชาเดียวกัน ที่ถูกนำมาปรากฏอย่างลึกลับและเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์
คุณยืนอยู่ภายใต้ร่มเงาของกางเขน ไม่ว่าคุณจะตระหนักหรือไม่ก็ตาม
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“นี่คือร่างกายของเรา ซึ่งมอบให้เพื่อท่านทั้งหลาย จงกระทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเรา”
(ลูกา ๒๒:๑๙) การมองว่ามิสซาเป็นทางเลือก คือ การมองว่ากัลวารีโอเป็นทางเลือก
๓. การชดเชยบาปอันทรงพลัง
ทุกมิสซาศักดิ์สิทธิ์ชดเชยบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาปเบา แม้ว่าบาปหนักจะต้องได้รับการอภัยโทษ
ผ่านการสารภาพบาป แต่บาปเบาจะถูกชำระล้างผ่านการมีส่วนร่วมในมิสซาด้วยความศรัทธา
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“พระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระองค์ทรงชำระล้างเราให้พ้นจากบาปทั้งสิ้น” (๑ ยอห์น ๑:๗)
“จงถวายบูชาแห่งการขอบพระคุณแด่พระเจ้า” (สดุดี ๕๐:๑๔)
คุณอาจใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามแก้ไขสิ่งที่การถวายบูชาของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถลบล้างได้
ซึ่งมีอยู่ ณ แท่นบูชาทุกแห่ง
๔. มิสซาจะปลอบประโลมคุณในวาระสุดท้าย
มิสซาที่คุณเคยเข้าร่วมจะอยู่เคียงข้างคุณในเวลาที่ไม่มีใครสามารถทำได้ นั่นคือ ในช่วงเวลา
แห่งความตายและการพิพากษา พระหรรษทานที่คุณได้รับจะกลายเป็นความปลอบประโลม
และการปกป้องของคุณ
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“ความสุขมีแก่ผู้ตายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้า... กิจการของเขาทั้งหลายติดตามเขาไป”
(วิวรณ์ ๑๔:๑๓) หากคุณละเลยมิสซาในชีวิต ใครเล่าจะยืนเคียงข้างคุณในวาระสุดท้าย?
๕. มิสซาวิงวอนเพื่อคุณในการพิพากษา
ทุกมิสซาที่คุณเคยฟังจะกลายเป็นเสียงวิงวอนต่อหน้าบัลลังก์พระเจ้าเพื่อความเมตตาต่อ
ดวงวิญญาณของคุณ
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“เรามีผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรม” (๑ ยอห์น ๒:๑)
ในศาลแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า มิสซาคือทนายความที่ดังที่สุดของคุณ
๖. การลดโทษทัณฑ์ทางโลก
การเข้าร่วมมิสซาด้วยความศรัทธาจะช่วยลดระยะเวลาในไฟชำระ โดยการรับพระคุณการุณย์
และนำพระหรรษทานมาประยุกต์ใช้กับความผิดในอดีต ความกระตือรือร้นและความรักของคุณ
ระหว่างมิสซามีผลกระทบชั่วนิรันดร
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“ความรักย่อมปกปิดความผิดมากมาย” (๑ เปโตร ๔:๘)
คุณกำลังชดใช้หนี้สินของคุณในขณะนี้ผ่านพระหรรษทาน หรือในภายหลังผ่านเปลวเพลิง
(เทียบ ๑ โครินธ์ ๓:๑๕)
๗. คุณถวายความเคารพแด่พระเจ้าผู้ทรงรับสภาพมนุษย์
โดยการเข้าร่วมมิสซา คุณถวายการสักการะแด่ความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ ผู้ทรงรับ
สภาพมนุษย์เพื่อความรอดของคุณ
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“เพื่อในพระนามของพระเยซู ทุกเข่าจะย่อลง” (ฟิลิปปี ๒:๑๐)
การละเลยมิสซา มิใช่เพียงการละเลย แต่เป็นการงดเว้นการถวายความเคารพแด่พระผู้ไถ่ของคุณ
๘. พระเยซูทรงชดเชยความล้มเหลวของคุณ
ด้วยอำนาจของศีลมหาสนิท พระคริสต์ทรงชดเชยความเกียจคร้านทางจิตวิญญาณ ความฟุ้งซ่าน
และโอกาสที่คุณพลาดไป
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“พระหรรษทานของเราเพียงพอสำหรับท่านแล้ว เพราะฤทธิ์อำนาจของเราปรากฏเต็มที่ใน
ความอ่อนแอ” (๒ โครินธ์ ๑๒:๙) ทำไมต้องพึ่งพาความเข้มแข็งของคุณ ในเมื่อความเข้มแข็ง
ของพระองค์ทรงมอบให้ทุกวันที่แท่นบูชา?
๙. บาปเบาได้รับการอภัยโทษ อำนาจของซาตานอ่อนกำลัง
ระหว่างมิสซา ดวงวิญญาณของคุณได้รับการชำระล้าง และอำนาจของซาตานอ่อนกำลังลง
ศีลมหาสนิทคือโล่ของคุณ
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“จงต่อต้านมาร แล้วมันจะหนีท่านไป” (ยากอบ ๔:๗)
“ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มโลหิตของเรา ย่อมดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา”
(ยอห์น ๖:๕๖) คุณไม่มีโอกาสในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณหากปราศจากอาหารทิพย์
๑๐. การบรรเทาสำหรับวิญญาณในไฟชำระ
มิสซาคือคำภาวนาที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับผู้ล่วงลับ เมื่อคุณเข้าร่วมมิสซาและถวาย
เพื่อวิญญาณในไฟชำระ คุณจะเปิดประตูแห่งพระเมตตา
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“การอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ตาย เป็นความคิดที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นประโยชน์” (๒ มัคคาบี ๑๒:๔๖)
เมื่อคุณละเลยมิสซา คุณปล่อยให้พวกเขาต้องรอคอยด้วยความเจ็บปวด
๑๑. มิสซาเดียวในวันนี้มีค่ามากกว่ามากมายในภายหลัง
มิสซาเดียวที่คุณฟังในชีวิตนี้มีพลังมากกว่าสำหรับดวงวิญญาณของคุณ มากกว่ามิสซามากมายที่
กล่าวหลังจากที่คุณเสียชีวิต นั่นคือระบบแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า พระหรรษทานจะได้รับการ
รับอย่างดีที่สุดในขณะที่หัวใจยังคงเต้นอยู่
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“จงบากบั่นเพื่อความรอดของตนด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น” (ฟิลิปปี ๒:๑๒)
ทำไมต้องรอเก็บเกี่ยวพระหรรษทานในหลุมศพ ในเมื่อคุณสามารถรับได้ในขณะนี้?
๑๒. การปกป้องจากอันตรายและเคราะห์ร้าย
การเข้าร่วมมิสซาเป็นประจำนำมาซึ่งการปกป้องที่มองไม่เห็น ทั้งทางจิตวิญญาณและทางร่างกาย
นักบุญหลายท่านเป็นพยานถึงปาฏิหาริย์ การช่วยเหลือ และการแทรกแซงจากสวรรค์ที่เกี่ยวข้อง
กับศีลมหาสนิท
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ตั้งค่ายล้อมรอบผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และช่วยกู้พวกเขาไว้” (สดุดี ๓๔:๗)
ทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ของคุณเดินไปกับคุณสู่มิสซา แล้วคุณจะเดินไปกับเขาหรือไม่?
๑๓. ไฟชำระสั้นลง
ทุกช่วงเวลาที่ใช้ในมิสซาคือช่วงเวลาที่น้อยลงในไฟชำระ เปลวเพลิงที่คุณหลีกหนีได้ในขณะนี้
คือเปลวเพลิงที่คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญในภายหลัง
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“เขาก็จะรอด แต่เหมือนรอดจากไฟ” (๑ โครินธ์ ๓:๑๕)
ทำไมไม่ทนทุกข์น้อยลงในภายหลังด้วยการรักมากขึ้นในขณะนี้?
๑๔. ความรุ่งเรืองในสวรรค์เพิ่มพูน
แต่ละมิสซาสมควรได้รับความรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่กว่าในสวรรค์ พระเจ้าทรงตอบแทนแม้แต่
การกระทำเล็กน้อยแห่งความรักด้วยน้ำหนักแห่งนิรันดร
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“รัศมีของดาวแต่ละดวงก็แตกต่างกันไป” (๑ โครินธ์ ๑๕:๔๑)
คุณกำลังสร้างมงกุฎแบบไหนสำหรับนิรันดร?
๑๕. พรของพระสงฆ์ ได้รับการรับรองโดยพระคริสต์
พรสุดท้ายในมิสซา มิใช่เพียงพิธีการ แต่คือพระคริสต์เองที่ทรงยืนยันพรของพระสงฆ์ในสวรรค์
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา” (มัทธิว ๑๐:๔๐)
การละเลยพรนั้นคือการปฏิเสธพระหรรษทานจากสวรรค์
๑๖. บรรดาทูตสวรรค์และนักบุญสถิตอยู่
คุณคุกเข่าท่ามกลางผู้คนมากมายที่มองไม่เห็น ทั้งนักบุญและทูตสวรรค์ในทุกมิสซา ทุกคน
กำลังนมัสการพระลูกแกะของพระเจ้า
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“ท่านทั้งหลายได้เข้ามาถึง... นครเยรูซาเล็มบนสวรรค์... และถึงทูตสวรรค์นับหมื่นนับแสน
ที่มาชุมนุมกัน” (ฮีบรู ๑๒:๒๒)
การพลาดมิสซา คือ การละทิ้งครอบครัวที่แท้จริงและบ้านเกิดนิรันดรของคุณ
๑๗. กิจการทางโลกได้รับพระพร
พระเจ้าทรงเทพระพรลงในกิจการประจำวันของคุณ เมื่อคุณให้ความสำคัญกับมิสซาเป็น
อันดับแรก เพราะคุณได้ให้ความสำคัญกับพระองค์เป็นอันดับแรก
รากฐานจากพระคัมภีร์:
“แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้จะประทานแก่ท่านด้วย” (มัทธิว ๖:๓๓)
หากชีวิตของคุณขาดสันติสุข บางทีอาจเป็นเพราะขาดแท่นบูชา
เสียงเรียกร้องสุดท้าย:
จงมามิสซาในวันอาทิตย์นี้ พาเพื่อนมาด้วย พาความกังวลของคุณมาด้วย พาจิตวิญญาณ
ของคุณมาด้วย จงมาและรับสิ่งที่อำนาจทางโลกใด ๆ ก็ให้ไม่ได้
นักบุญปีโอแห่งปีเอเตรลชีนา กล่าวว่า:
“ขณะเข้าร่วมมิสซาศักดิ์สิทธิ์ จงฟื้นฟูความเชื่อของคุณ จงยกระดับจิตใจของคุณให้เข้าถึง
ธรรมล้ำลึกที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาคุณ”
สวรรค์สัมผัสแผ่นดินโลก กางเขนสัมผัสหัวใจของคุณ นิรันดรสัมผัสเวลา คุณจะอยู่ที่นั่นหรือไม่?
Catholic Christianity
CR. : FrPongsak Od-Od
https://www.facebook.com/share/p/19jrLh ... tid=wwXIfr
เรื่องความรู้เสริมศรัทธา
( 2 )
#คณะออกัสติเนียนกับการปฏิรูปศาสนา
เพื่อจะเข้าใจ “คณะออกัสติเนียน” ขอนำกลับไปที่ยุคกลางของยุโรป ที่เป็น
“จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” (The Holy Roman Empire) ที่ส่วนใหญ่เป็นนครรัฐ เป็นเครือข่าย
คล้ายสหพันธ์นครรัฐ อยู่ใต้อำนาจ “ทางโลก” ของจักรพรรดิหรือกษัตริย์ และ “ทางธรรม” ของ
พระสันตะปาปา (ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐของตนเองเริ่มจากโรมไปถึงภาคกลางของอิตาลีด้วย)
ศตวรรษที่ 12-13 เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงสำคัญ หนึ่ง สงครามครูเสด (1096-1291
) สอง การเกิด “มหาวิทยาลัย” แห่งแรกๆ ที่โบโลญา ปารีส ออกซ์ฟอร์ด แคมบริดจ์ ซาลามังกา
และอื่นๆ และสาม คือ กำเนิดคณะนักบวชจาริก
(mendicant monks ที่ไม่อยากแปลว่า นักบวชขอทาน)
สามคณะสำคัญ คือ ฟรันซิสกัน โดมินิกัน และออกัสติเนียน เป็นขบวนการปฏิรูปภายในศาสนจักร
คาทอลิก ที่ทรงพลัง ซึ่งตอบสนองต่อวิกฤตทางจิตวิญญาณ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยุคนั้น
จุดกำเนิดและเป้าหมายการปฏิรูป เป็นการตอบโต้ต่อความมั่งคั่งและการทุจริตของศาสนจักร ที่ผู้คน
จำนวนมากมองว่าศาสนจักรเต็มไปด้วยความมั่งคั่งและอำนาจทางโลกมากเกินไป นักบวชจาริกเหล่านี้
ปฏิเสธการถือครองทรัพย์สินหรือที่ดิน และเลือกดำเนินชีวิตแบบ “จนอย่างอัครสาวก” (apostolic poverty)
คือไม่มีทรัพย์สิน ท่องไปเพื่อเทศนาและรับใช้คนยากจน
คณะฟรันซิสกัน ก่อตั้งโดยนักบุญฟรันซิสแห่งอัสซีซี ปี 1209 เน้นความยากจนอย่างที่สุด ความเรียบง่าย
ความถ่อมตน และการช่วยเหลือดูแลผู้ถูกทอดทิ้ง เช่น คนโรคเรื้อน พยายามปฏิรูปศาสนจักรโดยเป็น
ตัวอย่างการใช้ชีวิตตามพระวรสาร แทนที่จะต่อต้านอย่างเปิดเผย
คณะโดมินิกัน ก่อตั้งโดยนักบุญโดมินิก ปี 1216 มีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับลัทธินอกรีต ด้วยการเทศนา
และการถกเถียงทางเทววิทยา เน้นการศึกษาและความถูกต้องของหลักคำสอน มีบทบาทสำคัญใน
มหาวิทยาลัย เช่น ปารีสและโบโลญา นักปราชญ์ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนจักรของคณะนี้
คือ นักบุญโทมัส อไควนัส
คณะออกัสติน จัดตั้งอย่างเป็นทางการปี 1244 รวมกลุ่มนักบวชนักพรต (monks) ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ภายใต้กฎของนักบุญออกัสติน เน้นชีวิตสมดุลระหว่างการภาวนาและการทำงานอภิบาล โดยเฉพาะ
ในเมือง
คณะนักบวชจาริกในศตวรรษที่ 13 เป็นขบวนการปฏิรูปศาสนจักรคาทอลิกจากภายใน พวกเขาตอบ
สนองต่อปัญหาทางจิตวิญญาณและสังคมด้วยการกลับไปสู่การดำเนินชีวิตแบบพระเยซู แม้จะถูกท้า
ทายและบั่นทอนโดยอำนาจของชนชั้นสูงและโครงสร้างศาสนจักร แต่พวกเขาได้วางรากฐานชีวิต
จิตวิญญาณสำคัญในประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการปฏิรูป
ในยุคต่อ ๆ มา
#ความร่ำรวยของศาสนจักร
บริบททางสังคมก่อนการก่อเกิดคณะนักบวชจาริกทั้งสาม (ฟรานซิสกัน โดมินิกัน ออกัสติเนียน)
ในศตวรรษที่ 13 ศาสนจักรคาทอลิกมีความมั่งคั่งอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในรูปของที่ดิน ปราสาท
โบสถ์ และทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากสงครามครูเสด
โดยการถวายที่ดินจากอัศวินและชนชั้นสูง ที่ก่อนจะออกไปรบในสงครามครูเสด อัศวินจำนวนมาก
จะทำการ บนบานหรืออุทิศทรัพย์สินให้แก่ศาสนจักร เพื่อขอให้พระเจ้าคุ้มครอง
บางคนกลัวว่าจะเสียชีวิตในสงคราม จึงเขียนพินัยกรรมยกที่ดินหรือทรัพย์สินให้ศาสนจักร
เพื่อหวังว่าวิญญาณของตนจะได้ไปสวรรค์
การบริจาคเพื่อไถ่บาป (indulgences) คนในยุคนั้นเชื่อว่าการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินแก่ศาสนจักร
จะช่วยลดเวลาหรือหลีกเลี่ยงการชำระบาปในนรกหรือไฟชำระ ทำให้มีการบริจาคอย่างมหาศาลเพื่อ
"ซื้อบุญ"
ศาสนจักรกลายเป็น เจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีอำนาจเทียบเท่าหรือสูงกว่ากษัตริย์หรือ
เจ้าขุนมูลนายบางคน ที่ดินเหล่านี้ให้รายได้อย่างต่อเนื่องจากการเก็บภาษีที่ดิน เก็บผลผลิตจากชาวนา ฯลฯ
นอกนั้น ยังมีการสะสมศิลปะและทรัพย์สินล้ำค่า โบสถ์และวัดในยุโรปเต็มไปด้วยเครื่องทอง อัญมณี
ภาพเขียน ฯลฯ ที่แสดงถึงความร่ำรวยและความศักดิ์สิทธิ์
ความมั่งคั่งนี้ทำให้ศาสนจักรถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือนเบี่ยงเบนจากหลักธรรมและคำสอนของพระเยซู
ที่ยากจน ถ่อมตนและรับใช้ ชาวบ้านและนักบวชบางกลุ่มเริ่มไม่พอใจและเรียกร้องให้ศาสนจักรกลับ
คืนสู่ความเรียบง่ายและบริสุทธิ์
นี่คือบริบทที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของคณะนักบวชจาริก ที่ปฏิเสธทรัพย์สินและชีวิตหรูหราโดยสิ้นเชิง
เพื่อเรียกร้องให้ศาสนจักรกลับสู่หลักของพระวรสาร
ศาสนจักรโรมันคาทอลิกทั้งวาติกันและทั่วโลกวันนี้ยังมีภาพของความมั่งคั่งรวมทั้งความฉ้อฉล
(อย่างในวาติกันที่เป็นคดีความ) อาจฉาวโฉ่น้อยกว่ายุคกลาง แต่ก็ต้องการ "การปฏิรูป" .
อยากเพื่อจิตวิญญาณใหม่
การที่มีพระสันตะปาปาที่ชื่อว่า “ฟรันซิส” และต่อมาเป็นพระสันตะปาปาที่เป็น “ออกัสติเนียน”
ทั่วไปอาจคิดว่าเป็นความบังเอิญ แต่ชาวคริสต์เชื่อว่า เป็น “divine providence” ลิขิตสวรรค์ !
เสรี พพ 10 พ.ค. 2025
#คณะออกัสติเนียนกับการปฏิรูปศาสนา
เพื่อจะเข้าใจ “คณะออกัสติเนียน” ขอนำกลับไปที่ยุคกลางของยุโรป ที่เป็น
“จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” (The Holy Roman Empire) ที่ส่วนใหญ่เป็นนครรัฐ เป็นเครือข่าย
คล้ายสหพันธ์นครรัฐ อยู่ใต้อำนาจ “ทางโลก” ของจักรพรรดิหรือกษัตริย์ และ “ทางธรรม” ของ
พระสันตะปาปา (ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐของตนเองเริ่มจากโรมไปถึงภาคกลางของอิตาลีด้วย)
ศตวรรษที่ 12-13 เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงสำคัญ หนึ่ง สงครามครูเสด (1096-1291
) สอง การเกิด “มหาวิทยาลัย” แห่งแรกๆ ที่โบโลญา ปารีส ออกซ์ฟอร์ด แคมบริดจ์ ซาลามังกา
และอื่นๆ และสาม คือ กำเนิดคณะนักบวชจาริก
(mendicant monks ที่ไม่อยากแปลว่า นักบวชขอทาน)
สามคณะสำคัญ คือ ฟรันซิสกัน โดมินิกัน และออกัสติเนียน เป็นขบวนการปฏิรูปภายในศาสนจักร
คาทอลิก ที่ทรงพลัง ซึ่งตอบสนองต่อวิกฤตทางจิตวิญญาณ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยุคนั้น
จุดกำเนิดและเป้าหมายการปฏิรูป เป็นการตอบโต้ต่อความมั่งคั่งและการทุจริตของศาสนจักร ที่ผู้คน
จำนวนมากมองว่าศาสนจักรเต็มไปด้วยความมั่งคั่งและอำนาจทางโลกมากเกินไป นักบวชจาริกเหล่านี้
ปฏิเสธการถือครองทรัพย์สินหรือที่ดิน และเลือกดำเนินชีวิตแบบ “จนอย่างอัครสาวก” (apostolic poverty)
คือไม่มีทรัพย์สิน ท่องไปเพื่อเทศนาและรับใช้คนยากจน
คณะฟรันซิสกัน ก่อตั้งโดยนักบุญฟรันซิสแห่งอัสซีซี ปี 1209 เน้นความยากจนอย่างที่สุด ความเรียบง่าย
ความถ่อมตน และการช่วยเหลือดูแลผู้ถูกทอดทิ้ง เช่น คนโรคเรื้อน พยายามปฏิรูปศาสนจักรโดยเป็น
ตัวอย่างการใช้ชีวิตตามพระวรสาร แทนที่จะต่อต้านอย่างเปิดเผย
คณะโดมินิกัน ก่อตั้งโดยนักบุญโดมินิก ปี 1216 มีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับลัทธินอกรีต ด้วยการเทศนา
และการถกเถียงทางเทววิทยา เน้นการศึกษาและความถูกต้องของหลักคำสอน มีบทบาทสำคัญใน
มหาวิทยาลัย เช่น ปารีสและโบโลญา นักปราชญ์ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนจักรของคณะนี้
คือ นักบุญโทมัส อไควนัส
คณะออกัสติน จัดตั้งอย่างเป็นทางการปี 1244 รวมกลุ่มนักบวชนักพรต (monks) ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ภายใต้กฎของนักบุญออกัสติน เน้นชีวิตสมดุลระหว่างการภาวนาและการทำงานอภิบาล โดยเฉพาะ
ในเมือง
คณะนักบวชจาริกในศตวรรษที่ 13 เป็นขบวนการปฏิรูปศาสนจักรคาทอลิกจากภายใน พวกเขาตอบ
สนองต่อปัญหาทางจิตวิญญาณและสังคมด้วยการกลับไปสู่การดำเนินชีวิตแบบพระเยซู แม้จะถูกท้า
ทายและบั่นทอนโดยอำนาจของชนชั้นสูงและโครงสร้างศาสนจักร แต่พวกเขาได้วางรากฐานชีวิต
จิตวิญญาณสำคัญในประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการปฏิรูป
ในยุคต่อ ๆ มา
#ความร่ำรวยของศาสนจักร
บริบททางสังคมก่อนการก่อเกิดคณะนักบวชจาริกทั้งสาม (ฟรานซิสกัน โดมินิกัน ออกัสติเนียน)
ในศตวรรษที่ 13 ศาสนจักรคาทอลิกมีความมั่งคั่งอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในรูปของที่ดิน ปราสาท
โบสถ์ และทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากสงครามครูเสด
โดยการถวายที่ดินจากอัศวินและชนชั้นสูง ที่ก่อนจะออกไปรบในสงครามครูเสด อัศวินจำนวนมาก
จะทำการ บนบานหรืออุทิศทรัพย์สินให้แก่ศาสนจักร เพื่อขอให้พระเจ้าคุ้มครอง
บางคนกลัวว่าจะเสียชีวิตในสงคราม จึงเขียนพินัยกรรมยกที่ดินหรือทรัพย์สินให้ศาสนจักร
เพื่อหวังว่าวิญญาณของตนจะได้ไปสวรรค์
การบริจาคเพื่อไถ่บาป (indulgences) คนในยุคนั้นเชื่อว่าการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินแก่ศาสนจักร
จะช่วยลดเวลาหรือหลีกเลี่ยงการชำระบาปในนรกหรือไฟชำระ ทำให้มีการบริจาคอย่างมหาศาลเพื่อ
"ซื้อบุญ"
ศาสนจักรกลายเป็น เจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีอำนาจเทียบเท่าหรือสูงกว่ากษัตริย์หรือ
เจ้าขุนมูลนายบางคน ที่ดินเหล่านี้ให้รายได้อย่างต่อเนื่องจากการเก็บภาษีที่ดิน เก็บผลผลิตจากชาวนา ฯลฯ
นอกนั้น ยังมีการสะสมศิลปะและทรัพย์สินล้ำค่า โบสถ์และวัดในยุโรปเต็มไปด้วยเครื่องทอง อัญมณี
ภาพเขียน ฯลฯ ที่แสดงถึงความร่ำรวยและความศักดิ์สิทธิ์
ความมั่งคั่งนี้ทำให้ศาสนจักรถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือนเบี่ยงเบนจากหลักธรรมและคำสอนของพระเยซู
ที่ยากจน ถ่อมตนและรับใช้ ชาวบ้านและนักบวชบางกลุ่มเริ่มไม่พอใจและเรียกร้องให้ศาสนจักรกลับ
คืนสู่ความเรียบง่ายและบริสุทธิ์
นี่คือบริบทที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของคณะนักบวชจาริก ที่ปฏิเสธทรัพย์สินและชีวิตหรูหราโดยสิ้นเชิง
เพื่อเรียกร้องให้ศาสนจักรกลับสู่หลักของพระวรสาร
ศาสนจักรโรมันคาทอลิกทั้งวาติกันและทั่วโลกวันนี้ยังมีภาพของความมั่งคั่งรวมทั้งความฉ้อฉล
(อย่างในวาติกันที่เป็นคดีความ) อาจฉาวโฉ่น้อยกว่ายุคกลาง แต่ก็ต้องการ "การปฏิรูป" .
อยากเพื่อจิตวิญญาณใหม่
การที่มีพระสันตะปาปาที่ชื่อว่า “ฟรันซิส” และต่อมาเป็นพระสันตะปาปาที่เป็น “ออกัสติเนียน”
ทั่วไปอาจคิดว่าเป็นความบังเอิญ แต่ชาวคริสต์เชื่อว่า เป็น “divine providence” ลิขิตสวรรค์ !
เสรี พพ 10 พ.ค. 2025
( 3 )
ขออนุญาตแบ่งปัน:
บาทหลวงคนนั้นได้คิดว่าเขาล้มเหลว
บาทหลวงประจำเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ได้มาถึงวัด และประกาศว่าจะมีมิสซาเย็น แต่ถึงเวลานัด
ชาวบ้านก็ยังไม่มา รออีก 15 นาที มีเด็กๆ 3 คน รออีก 20 นาที มีชายหนุ่ม 2 คนเข้ามา
ดังนั้นบาทหลวงจึงตัดสินใจเริ่มพิธีมิสซา กับสัตบุรุษ 5 คน ระหว่างพิธีมิสซา สามีภรรยาคู่หนึ่ง
ได้เข้านั่งม้านั่งสุดท้ายของวัด
เมื่อคุณพ่อได้เทศน์ และได้อธิบายพระวารสาร มีคนหนึ่งแต่งตัวไม่ค่อยสะอาด ได้เข้ามาพร้อม
กับเชือกเส้นหนึ่งในมือ คุณพ่อองค์นี้ได้ทำพิธีมิสซาด้วยความรัก และได้เทศน์ด้วยความกระตือรือร้น
รู้สึกผิดหวัง และไม่เข้าใจสาเหตุที่สัตบุรุษมาร่วมพิธีไม่มากนัก
ระหว่างทางกลับบ้านพัก ขโมยสองคน มาทุบตีคุณพ่อ เอากระเป๋าใส่พระคัมภีร์ และของมี
ค่าอื่นๆไป เมื่อถึงบ้านพัก และทำแผล เขาได้เขียนบันทึกไว้ว่า
"วันนี้เป็นวันเศร้าที่สุดในชีวิต ทำงานล้มเหลว ไม่เกิดผลที่สุดในหน้าที่ แต่...ไม่เป็นไร ผมทำทุกสิ่ง
กับพระเจ้า และสำหรับพระองค์"
หลังจากนั้น 5 ปี บาทหลวงได้แบ่งปันเรื่องนี้แก่บรรดาสัตบุรุษที่วัด เมื่อคุณพ่อเล่าเรื่องนั้นเสร็จ
มีคู่หนึ่งในวัด ได้ขอคุณพ่อพูดว่า "คุณพ่อ สามีภรรยาในเรื่องที่นั่งม้านั่งสุดท้ายนั้นคือเราเอง
เราเกือบจะแยกทางกันเพราะหลายปัญหา และทะเลาะกันที่บ้าน คืนนั้น เราตัดสินใจจะหย่า
แต่ก่อนอื่น เราขอมาเข้าวัดอีก ครั้งสุดท้าย ในฐานะสามีภรรยา แล้วจะแยกทางกันไป แต่หลังจาก
ได้ฟังบทเทศน์ของคุณพ่อในคืนนั้น เรายกเลิกความคิดที่จะหย่า ผลคือ วันนี้เราอยู่ที่นี่กับครอบครัว
และบ้านของเรา”
พอคู่นี้ได้กล่าวจบ คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และได้ช่วยให้ชาวบ้านในเขตวัดให้มีชีวิตชีวา
ได้ขออนุญาตแบ่งปันบ้าง เขากล่าวว่า "คุณพ่อครับ ผม คือคนแต่งตัวไม่ค่อยสะอาด มือถือเชือก
ผมล้มละลาย ติดยาเสพติด ภรรยาและลูกๆ หนีออกจากบ้าน เพราะความประพฤติของผม คืนนั้น
ผมได้พยายามฆ่าตัวตาย แต่เชือกขาด ผมจึงต้องออกจากบ้านไปซื้อเชือกเส้นใหม่ ระหว่างทาง
ผมเห็นวัดเปิด จึงตัดสินใจเข้าวัด ถึงแม้ผมสกปรกจริงๆ และถือเชือกในมือ คืนนั้น บทเทศน์ของ
พ่อแทงใจผม ผมเดินออกไปและตัดสินใจใหม่ วันนี้ ผมเลิกยาเสพติด ครอบครัวกลับมาบ้าน
และผมกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในหมู่บ้านนี้
ที่ประตูทางเข้าห้องซาคริสเตีย สังฆานุกร ได้ร้องเสียงดังว่า "คุณพ่อครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ปล้น
ของของพ่อไปเอง อีกคนได้ตายในคืนนั้น ขณะที่เราจะไปขโมยอีกครั้ง ในกระเป๋าของเขามีพระคัมภีร์
ผมอ่านพระคัมภีร์ทุกเช้า เมื่อตื่นนอน เมื่ออ่านแล้ว ผมพยายามประยุกต์กับชีวิต และมาร่วมงานในวัดนี้
คุณพ่อตกใจ และน้ำตาเริ่มไหลต่อหน้าสัตบุรุษ ในที่สุดคืนที่คุณพ่อคิดว่าล้มเหลว กลับเป็นผลมาก
ที่สุดในศาสนบริการ
ข้อคิดจากเรื่องนี้
- จงปฏิบัติหน้าที่ตามกระแสเรียก (งาน/พันธกิจ) ด้วยการอุทิศตน และกระตือรือร้น
- แต่ละวันจงทำให้ดีที่สุด เพราะคุณเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับชีวิตของบางคน
- พระเจ้าสามารถใช้ “ สถานการณ์แย่ๆ” ในชีวิต ให้เกิดผลดีมากสำหรับผู้อื่น
ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
แปลจาก The Australian Catholics Page 19/11/2023
ขออนุญาตแบ่งปัน:
บาทหลวงคนนั้นได้คิดว่าเขาล้มเหลว
บาทหลวงประจำเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ได้มาถึงวัด และประกาศว่าจะมีมิสซาเย็น แต่ถึงเวลานัด
ชาวบ้านก็ยังไม่มา รออีก 15 นาที มีเด็กๆ 3 คน รออีก 20 นาที มีชายหนุ่ม 2 คนเข้ามา
ดังนั้นบาทหลวงจึงตัดสินใจเริ่มพิธีมิสซา กับสัตบุรุษ 5 คน ระหว่างพิธีมิสซา สามีภรรยาคู่หนึ่ง
ได้เข้านั่งม้านั่งสุดท้ายของวัด
เมื่อคุณพ่อได้เทศน์ และได้อธิบายพระวารสาร มีคนหนึ่งแต่งตัวไม่ค่อยสะอาด ได้เข้ามาพร้อม
กับเชือกเส้นหนึ่งในมือ คุณพ่อองค์นี้ได้ทำพิธีมิสซาด้วยความรัก และได้เทศน์ด้วยความกระตือรือร้น
รู้สึกผิดหวัง และไม่เข้าใจสาเหตุที่สัตบุรุษมาร่วมพิธีไม่มากนัก
ระหว่างทางกลับบ้านพัก ขโมยสองคน มาทุบตีคุณพ่อ เอากระเป๋าใส่พระคัมภีร์ และของมี
ค่าอื่นๆไป เมื่อถึงบ้านพัก และทำแผล เขาได้เขียนบันทึกไว้ว่า
"วันนี้เป็นวันเศร้าที่สุดในชีวิต ทำงานล้มเหลว ไม่เกิดผลที่สุดในหน้าที่ แต่...ไม่เป็นไร ผมทำทุกสิ่ง
กับพระเจ้า และสำหรับพระองค์"
หลังจากนั้น 5 ปี บาทหลวงได้แบ่งปันเรื่องนี้แก่บรรดาสัตบุรุษที่วัด เมื่อคุณพ่อเล่าเรื่องนั้นเสร็จ
มีคู่หนึ่งในวัด ได้ขอคุณพ่อพูดว่า "คุณพ่อ สามีภรรยาในเรื่องที่นั่งม้านั่งสุดท้ายนั้นคือเราเอง
เราเกือบจะแยกทางกันเพราะหลายปัญหา และทะเลาะกันที่บ้าน คืนนั้น เราตัดสินใจจะหย่า
แต่ก่อนอื่น เราขอมาเข้าวัดอีก ครั้งสุดท้าย ในฐานะสามีภรรยา แล้วจะแยกทางกันไป แต่หลังจาก
ได้ฟังบทเทศน์ของคุณพ่อในคืนนั้น เรายกเลิกความคิดที่จะหย่า ผลคือ วันนี้เราอยู่ที่นี่กับครอบครัว
และบ้านของเรา”
พอคู่นี้ได้กล่าวจบ คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และได้ช่วยให้ชาวบ้านในเขตวัดให้มีชีวิตชีวา
ได้ขออนุญาตแบ่งปันบ้าง เขากล่าวว่า "คุณพ่อครับ ผม คือคนแต่งตัวไม่ค่อยสะอาด มือถือเชือก
ผมล้มละลาย ติดยาเสพติด ภรรยาและลูกๆ หนีออกจากบ้าน เพราะความประพฤติของผม คืนนั้น
ผมได้พยายามฆ่าตัวตาย แต่เชือกขาด ผมจึงต้องออกจากบ้านไปซื้อเชือกเส้นใหม่ ระหว่างทาง
ผมเห็นวัดเปิด จึงตัดสินใจเข้าวัด ถึงแม้ผมสกปรกจริงๆ และถือเชือกในมือ คืนนั้น บทเทศน์ของ
พ่อแทงใจผม ผมเดินออกไปและตัดสินใจใหม่ วันนี้ ผมเลิกยาเสพติด ครอบครัวกลับมาบ้าน
และผมกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในหมู่บ้านนี้
ที่ประตูทางเข้าห้องซาคริสเตีย สังฆานุกร ได้ร้องเสียงดังว่า "คุณพ่อครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ปล้น
ของของพ่อไปเอง อีกคนได้ตายในคืนนั้น ขณะที่เราจะไปขโมยอีกครั้ง ในกระเป๋าของเขามีพระคัมภีร์
ผมอ่านพระคัมภีร์ทุกเช้า เมื่อตื่นนอน เมื่ออ่านแล้ว ผมพยายามประยุกต์กับชีวิต และมาร่วมงานในวัดนี้
คุณพ่อตกใจ และน้ำตาเริ่มไหลต่อหน้าสัตบุรุษ ในที่สุดคืนที่คุณพ่อคิดว่าล้มเหลว กลับเป็นผลมาก
ที่สุดในศาสนบริการ
ข้อคิดจากเรื่องนี้
- จงปฏิบัติหน้าที่ตามกระแสเรียก (งาน/พันธกิจ) ด้วยการอุทิศตน และกระตือรือร้น
- แต่ละวันจงทำให้ดีที่สุด เพราะคุณเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับชีวิตของบางคน
- พระเจ้าสามารถใช้ “ สถานการณ์แย่ๆ” ในชีวิต ให้เกิดผลดีมากสำหรับผู้อื่น
ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
แปลจาก The Australian Catholics Page 19/11/2023
( 4 )
หลักคำสอนเรื่องการอธิษฐานของนักบุญ
นักบุญผู้ล่วงลับอยู่ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า (beatific vision) และยังคงมีความสัมพันธ์
ในพระคริสต์กับผู้มีชีวิตอยู่
พวกท่านสามารถทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อเรา เหมือนกับที่เราขอให้ เพื่อนหรือญาติ อธิษฐานภาวนา
ให้เรา (เทียบ ฮีบรู 12:1)
การขอให้พระแม่มารีย์และนักบุญอื่น ๆ ช่วยวิงวอนพระเจ้าให้เราด้วยเทอญ มิได้เท่ากับกราบไหว้
หรือนมัสการ (worship) ท่านเหล้่านั้น แต่เป็นการขอร้อง อย่างเคารพและให้เกียรติ(veneration)
ที่นักบุญในสวรรค์ช่วยนำคำอธิษฐานของเราไปทูลถวายแด่พระเจ้า
"คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย" (ยก. 5:16)
หลักฐานสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการขอนักบุญช่วยวิงวอนอธิษฐานเพื่อเราในคริสตชนยุคแรก
1. บันทึกของ นักบุญ จัสติน มรณสักขี (Justin Martyr) ราวปี ค.ศ. 155
ใน Dialogue with Trypho (บทที่ 141) น.จัสตินได้กล่าวถึงการปฏิบัติของชาวคริสต์ในเวลานั้นที่
“เข้าไปที่หลุมฝังศพของบรรดามรณสักขี และทูลขอให้พวกเขา (ไม่ใช่เป็นเทพเจ้า แต่ในฐานะ—
มรณสักขีผู้บริสุทธิ์) ช่วยนำคำอธิษฐานของเราไปยังพระเจ้า” “You fall upon the graves of those
who died long ago… and call upon them… and ask them for help.”
2. จารึกบนฝาผนังใน Catacombs กรุงโรม (ปลายศตวรรษที่ 2–ต้นศตวรรษที่ 3)
นักโบราณคดีได้พบ จารึกสั้นๆ ในสุสานใต้ดิน (catacombs) ใกล้หลุมศพของมรณสักขีบางท่านว่า
“ขอให้นักบุญ... ทูลขอพระเมตตาให้ข้าพเจ้า”
คริสตชนผู้กล้าหาญในอดีตพบความแข็งแกร่งและการช่วยเหลือในการเผชิญกับการทดสอบและ
การข่มเหง โดยอธิษฐานต่อพระเจ้าผ่านคำวิงวอนของเหล่าผู้พลีชีพในสุสานใต้ดินแห่งนี้
3. บทอธิษฐาน “Sub tuum praesidium” (ค.ศ. 250–350)
บทอธิษฐานโบราณที่สุดที่ร้องขอการคุ้มครองจากพระแม่มารีย์ มีหลักฐานจารึกในกระดาษปาปิรุส
ใน Papyrus Rylands ซึ่งเขียนด้วยภาษากรีก และค้นพบในอียิปต์ เขียนราวปีค.ศ. 250–350
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คริสตศาสนาถูกเบียดเบียนอย่างรุนแรง
“Sub tuum praesidium confugimus, Sancta Dei Genetrix.
Nostras deprecationes ne despicias in necessitatibus,
sed a periculis cunctis libera nos semper,
Virgo gloriosa et benedicta.”
"ข้าแต่พระชนนีของพระเจ้า ลูกทั้งหลายหลบภัยมาพึ่งพระแม่ โปรดอย่าเมินเฉยต่อคำวอนขอในยาม
ทุกข์ร้อนของลูก แต่โปรดช่วยลูกให้พ้นภัยทั้งสิ้นเสมอเถิด พระมารดาพรหมจารีผู้ทรงได้รับพระพร อาแมน"
หลักฐานนี้นับเป็นบทอธิษฐานร้องขอการอุปถัมภ์จากนักบุญ ของคริสตชนยุคแรก ที่รอดมาจนปัจจุบัน
นักบุญเยโรมปิตาจารย์ของพระศาสนจักร ผู้จัดสาระบบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่คริสตชนทุกนิกายใช้กันอยู่
ทุกวันนี้ (ค.ศ. 347- 420) สอนว่า
"การให้เกียรติพวกท่าน(นักบุญ) ไม่ใช่การนมัสการรูปเคารพ เพราะไม่เคยมีคริสตชนคนไหนเห็นนักบุญ
เป็นพระเจ้า ในทางกลับกัน เราขอให้ท่านเหล่านั้น วิงวอนพระเจ้าเพื่อเรา เพราะว่า หากเมื่อเหล่านักบุญ
อัครสาวก และบรรดามรณสักขี ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ท่านยังสามารถอธิษฐานภาวนาเพื่อมนุษย์คนอื่นได้
ภายหลังจากที่ท่านชนะโลกนี้(ไปสวรรค์)แล้ว พวกท่านจะมีพลังอธิษฐานมากกว่าสักเพียงไร พวกท่าน
เหล่านั้นจะมีพลังอธิษฐานน้อยลงหรือ ในเมื่อขณะนี้พวกท่านกำลังอยู่กับพระเยซูคริสตเจ้า?"
นักบุญทั้งหลายของพระเจ้า
ช่วยวิงวอนเทอญ
ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนและผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็กราบลงเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ต่างถือพิณและผอบทองคำ
มีกำยานใส่เต็ม ซึ่งหมายถึงคำอธิษฐานภาวนาของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
(วิวรณ์ 5:8)
the four beasts and four and twenty elders fell down before the Lamb, having every one
of them harps, and golden vials full of odours, which are the prayers of saints. (Revelation 5:8)
นักบุญผู้ล่วงลับอยู่ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า (beatific vision) และยังคงมีความสัมพันธ์
ในพระคริสต์กับผู้มีชีวิตอยู่
พวกท่านสามารถทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อเรา เหมือนกับที่เราขอให้ เพื่อนหรือญาติ อธิษฐานภาวนา
ให้เรา (เทียบ ฮีบรู 12:1)
การขอให้พระแม่มารีย์และนักบุญอื่น ๆ ช่วยวิงวอนพระเจ้าให้เราด้วยเทอญ มิได้เท่ากับกราบไหว้
หรือนมัสการ (worship) ท่านเหล้่านั้น แต่เป็นการขอร้อง อย่างเคารพและให้เกียรติ(veneration)
ที่นักบุญในสวรรค์ช่วยนำคำอธิษฐานของเราไปทูลถวายแด่พระเจ้า
"คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย" (ยก. 5:16)
1. บันทึกของ นักบุญ จัสติน มรณสักขี (Justin Martyr) ราวปี ค.ศ. 155
ใน Dialogue with Trypho (บทที่ 141) น.จัสตินได้กล่าวถึงการปฏิบัติของชาวคริสต์ในเวลานั้นที่
“เข้าไปที่หลุมฝังศพของบรรดามรณสักขี และทูลขอให้พวกเขา (ไม่ใช่เป็นเทพเจ้า แต่ในฐานะ—
มรณสักขีผู้บริสุทธิ์) ช่วยนำคำอธิษฐานของเราไปยังพระเจ้า” “You fall upon the graves of those
who died long ago… and call upon them… and ask them for help.”
2. จารึกบนฝาผนังใน Catacombs กรุงโรม (ปลายศตวรรษที่ 2–ต้นศตวรรษที่ 3)
นักโบราณคดีได้พบ จารึกสั้นๆ ในสุสานใต้ดิน (catacombs) ใกล้หลุมศพของมรณสักขีบางท่านว่า
“ขอให้นักบุญ... ทูลขอพระเมตตาให้ข้าพเจ้า”
คริสตชนผู้กล้าหาญในอดีตพบความแข็งแกร่งและการช่วยเหลือในการเผชิญกับการทดสอบและ
การข่มเหง โดยอธิษฐานต่อพระเจ้าผ่านคำวิงวอนของเหล่าผู้พลีชีพในสุสานใต้ดินแห่งนี้
3. บทอธิษฐาน “Sub tuum praesidium” (ค.ศ. 250–350)
บทอธิษฐานโบราณที่สุดที่ร้องขอการคุ้มครองจากพระแม่มารีย์ มีหลักฐานจารึกในกระดาษปาปิรุส
ใน Papyrus Rylands ซึ่งเขียนด้วยภาษากรีก และค้นพบในอียิปต์ เขียนราวปีค.ศ. 250–350
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คริสตศาสนาถูกเบียดเบียนอย่างรุนแรง
“Sub tuum praesidium confugimus, Sancta Dei Genetrix.
Nostras deprecationes ne despicias in necessitatibus,
sed a periculis cunctis libera nos semper,
Virgo gloriosa et benedicta.”
"ข้าแต่พระชนนีของพระเจ้า ลูกทั้งหลายหลบภัยมาพึ่งพระแม่ โปรดอย่าเมินเฉยต่อคำวอนขอในยาม
ทุกข์ร้อนของลูก แต่โปรดช่วยลูกให้พ้นภัยทั้งสิ้นเสมอเถิด พระมารดาพรหมจารีผู้ทรงได้รับพระพร อาแมน"
หลักฐานนี้นับเป็นบทอธิษฐานร้องขอการอุปถัมภ์จากนักบุญ ของคริสตชนยุคแรก ที่รอดมาจนปัจจุบัน
นักบุญเยโรมปิตาจารย์ของพระศาสนจักร ผู้จัดสาระบบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่คริสตชนทุกนิกายใช้กันอยู่
ทุกวันนี้ (ค.ศ. 347- 420) สอนว่า
"การให้เกียรติพวกท่าน(นักบุญ) ไม่ใช่การนมัสการรูปเคารพ เพราะไม่เคยมีคริสตชนคนไหนเห็นนักบุญ
เป็นพระเจ้า ในทางกลับกัน เราขอให้ท่านเหล่านั้น วิงวอนพระเจ้าเพื่อเรา เพราะว่า หากเมื่อเหล่านักบุญ
อัครสาวก และบรรดามรณสักขี ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ท่านยังสามารถอธิษฐานภาวนาเพื่อมนุษย์คนอื่นได้
ภายหลังจากที่ท่านชนะโลกนี้(ไปสวรรค์)แล้ว พวกท่านจะมีพลังอธิษฐานมากกว่าสักเพียงไร พวกท่าน
เหล่านั้นจะมีพลังอธิษฐานน้อยลงหรือ ในเมื่อขณะนี้พวกท่านกำลังอยู่กับพระเยซูคริสตเจ้า?"
นักบุญทั้งหลายของพระเจ้า
ช่วยวิงวอนเทอญ
ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนและผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็กราบลงเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ต่างถือพิณและผอบทองคำ
มีกำยานใส่เต็ม ซึ่งหมายถึงคำอธิษฐานภาวนาของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
(วิวรณ์ 5:8)
the four beasts and four and twenty elders fell down before the Lamb, having every one
of them harps, and golden vials full of odours, which are the prayers of saints. (Revelation 5:8)
( 5 )
ผ้าคอร์ปอรอล (Corporal)
คุณเคยเห็นผ้าสีขาวที่ใช้บนพระแท่นบูชาในช่วงการเสก และสงสัยไหมว่าแท้จริงแล้วมันมี
ความหมายว่าอย่างไร?
มันไม่ได้วางอยู่ตรงนั้นแค่เพื่อให้ดูเรียบร้อย มันมี เรื่องราว ความลึกลับ และ ปาฏิหาริย์
มันถูกเรียกว่า ผ้าคอร์ปอรอล (Corporal) มาจากภาษาละติน "corpus" ซึ่งหมายถึง พระกาย
เพราะมันเป็นที่รองรับพระกายของพระคริสต์ ใช่แล้ว ผ้าที่ดูเรียบง่ายผืนนั้นคือที่ที่สวรรค์สัมผัส
กับโลก แต่เรื่องราวของมันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น…
ครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงถูกห่อด้วยผ้าลินินและวางไว้ในรางหญ้า
ต่อมา พระองค์ก็ถูกห่อด้วยผ้าลินินอีกครั้งและวางไว้ในอุโมงค์ และบัดนี้ พระองค์ทรงประทับ
พักผ่อนอีกครั้งบนผ้าคอร์ปอรอล ในพิธีมิสซาทุกครั้ง
ตอนนี้คุณเห็นแล้วใช่ไหม?
และใครเป็นผู้แบกรับพระกายของพระองค์เป็นคนแรก?
ไม่ใช่ผ้า แต่เป็น ผู้หญิง พระแม่มารีย์
พระนางคือ คอร์ปอรอลที่มีชีวิต คือ ศีลมหาสนิทแรก ผู้ที่ห่อหุ้มพระบุตรของพระเจ้า
ด้วยเนื้อหนังและผ้าอ้อม บัดนี้ พระศาสนจักรก็เช่นเดียวกับพระแม่มารีย์ วางผ้าคอร์ปอรอล
ลงด้วยความรัก พร้อมกล่าวว่า: “จงรับพระองค์ จงนมัสการพระองค์ จงรักพระองค์”
ทำไมต้องพับ?
เพราะแม้แต่เศษเล็ก ๆ ของศีลมหาสนิทที่เสกแล้วก็คือพระเยซูทั้งองค์ พระองค์ไม่ทรงถูกแบ่งแยก
พระองค์ทรงครบถ้วน แม้ในอนุภาคที่เล็กที่สุด ดังนั้น ผ้าคอร์ปอรอลจึงถูกพับอย่างประณีต
เหมือนมือศักดิ์สิทธิ์ที่พับผ้าแห่งเบธเลเฮมและคัลวารี
บางคนพับเป็นเก้าช่อง—สามคูณสาม—เป็นเครื่องหมายของ พระตรีเอกภาพ
และการแสดงความเคารพอย่างสมบูรณ์ต่อพระมหาราชา
มันไม่ใช่แค่ผ้าลินิน มันคือ ความรักในผืนผ้า มันคือ สวรรค์ที่ห่อหุ้มด้วยความถ่อมตน
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเห็นผ้าคอร์ปอรอล…
อย่าเพียงแค่ดู จงทึ่ง ผ้าสีขาวผืนเล็ก ๆ นั้นคือ: เปลของพระกุมารคริสต์
พระแท่นบูชาของพระเมษโปดกผู้ถวายบูชา ผ้าลินินแห่งการกลับคืนพระชนม์
และ อ้อมแขนของพระแม่มารีย์… ที่ยื่นพระเยซูออกไปให้คุณ ขอให้หัวใจของคุณ
คุกเข่าลง ขอให้วิญญาณของคุณกระซิบว่า: “ขอบพระคุณพระเจ้า”
เพราะพระองค์ยังคงเสด็จมา พระองค์ยังคงประทับอยู่ท่ามกลางเรา
และพระองค์ยังคงรอคอยให้เรานมัสการ
Catholic Christianity
ผ้าคอร์ปอรอล (Corporal)
คุณเคยเห็นผ้าสีขาวที่ใช้บนพระแท่นบูชาในช่วงการเสก และสงสัยไหมว่าแท้จริงแล้วมันมี
ความหมายว่าอย่างไร?
มันไม่ได้วางอยู่ตรงนั้นแค่เพื่อให้ดูเรียบร้อย มันมี เรื่องราว ความลึกลับ และ ปาฏิหาริย์
มันถูกเรียกว่า ผ้าคอร์ปอรอล (Corporal) มาจากภาษาละติน "corpus" ซึ่งหมายถึง พระกาย
เพราะมันเป็นที่รองรับพระกายของพระคริสต์ ใช่แล้ว ผ้าที่ดูเรียบง่ายผืนนั้นคือที่ที่สวรรค์สัมผัส
กับโลก แต่เรื่องราวของมันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น…
ครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงถูกห่อด้วยผ้าลินินและวางไว้ในรางหญ้า
ต่อมา พระองค์ก็ถูกห่อด้วยผ้าลินินอีกครั้งและวางไว้ในอุโมงค์ และบัดนี้ พระองค์ทรงประทับ
พักผ่อนอีกครั้งบนผ้าคอร์ปอรอล ในพิธีมิสซาทุกครั้ง
ตอนนี้คุณเห็นแล้วใช่ไหม?
ไม่ใช่ผ้า แต่เป็น ผู้หญิง พระแม่มารีย์
พระนางคือ คอร์ปอรอลที่มีชีวิต คือ ศีลมหาสนิทแรก ผู้ที่ห่อหุ้มพระบุตรของพระเจ้า
ด้วยเนื้อหนังและผ้าอ้อม บัดนี้ พระศาสนจักรก็เช่นเดียวกับพระแม่มารีย์ วางผ้าคอร์ปอรอล
ลงด้วยความรัก พร้อมกล่าวว่า: “จงรับพระองค์ จงนมัสการพระองค์ จงรักพระองค์”
เพราะแม้แต่เศษเล็ก ๆ ของศีลมหาสนิทที่เสกแล้วก็คือพระเยซูทั้งองค์ พระองค์ไม่ทรงถูกแบ่งแยก
พระองค์ทรงครบถ้วน แม้ในอนุภาคที่เล็กที่สุด ดังนั้น ผ้าคอร์ปอรอลจึงถูกพับอย่างประณีต
เหมือนมือศักดิ์สิทธิ์ที่พับผ้าแห่งเบธเลเฮมและคัลวารี
บางคนพับเป็นเก้าช่อง—สามคูณสาม—เป็นเครื่องหมายของ พระตรีเอกภาพ
และการแสดงความเคารพอย่างสมบูรณ์ต่อพระมหาราชา
มันไม่ใช่แค่ผ้าลินิน มันคือ ความรักในผืนผ้า มันคือ สวรรค์ที่ห่อหุ้มด้วยความถ่อมตน
อย่าเพียงแค่ดู จงทึ่ง ผ้าสีขาวผืนเล็ก ๆ นั้นคือ: เปลของพระกุมารคริสต์
พระแท่นบูชาของพระเมษโปดกผู้ถวายบูชา ผ้าลินินแห่งการกลับคืนพระชนม์
และ อ้อมแขนของพระแม่มารีย์… ที่ยื่นพระเยซูออกไปให้คุณ ขอให้หัวใจของคุณ
คุกเข่าลง ขอให้วิญญาณของคุณกระซิบว่า: “ขอบพระคุณพระเจ้า”
เพราะพระองค์ยังคงเสด็จมา พระองค์ยังคงประทับอยู่ท่ามกลางเรา
และพระองค์ยังคงรอคอยให้เรานมัสการ
Catholic Christianity
( 6 )
ขนลุก! ต่อหน้าแพทย์ หญิงเสียชีวิต 27 นาที จู่ๆ ฟื้นจากความตาย ตัวสั่นเขียนข้อความนี้
หญิงอเมริกันฟื้นจากภาวะหัวใจหยุดเต้น 27 นาที ข้อความแรกหลังกลับมาจากความตาย
“It’s real” ยืนยันว่าเห็นพระเยซูและสวรรค์
เรื่องราวปาฏิหาริย์ของ ทีนา ไฮน์ส กลายเป็นแรงบันดาลใจระดับโลก เมื่อเธอฟื้นจากภาวะหัวใจ
หยุดเต้นนานเกือบครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีอาการสมองเสียหาย พร้อมข้อความเขียนด้วยมือสั่นๆ
ที่สร้างความประหลาดใจไปทั่ว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2018 กลายเป็นวันเปลี่ยนชีวิตของ "ทีนา ไฮน์ส" (Tina Hines)
หญิงชาวรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา อย่างสิ้นเชิง เธอล้มลงกะทันหันจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
และหัวใจหยุดเต้นนานถึง 27 นาที
สามีของเธอ "ไบรอัน ไฮน์ส" (Brian Hines) ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ร่างกายภรรยากลายเป็นสีม่วง
ตาเหลือกขาว และไม่มีสัญญาณชีวิต เพื่อนบ้านรีบเข้าช่วยทำ CPR ก่อนที่เขาจะรับช่วงต่อและโทรขอรถ
พยาบาล ทีมกู้ชีพเร่งช็อกไฟฟ้าหัวใจถึง 3 ครั้ง และฉีดยากระตุ้นหัวใจ 2 เข็ม แต่ Tina ก็ยังไม่ตอบสนองใดๆ
ฟื้นจากความตายแบบไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล Deer Valley แพทย์ระบุว่า ทีนาอยู่ในภาวะหัวใจหยุดเต้นสมบูรณ์ ไม่มีชีพจร ไม่มี
การหายใจ และสมองขาดออกซิเจนมานานเกิน 20 นาที ซึ่งตามหลักการแพทย์แล้ว แทบไม่มีโอกาสรอด
หรือหากรอดก็มีแนวโน้มสมองเสียหายถาวร
แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ทีนากลับมามีสัญญาณชีพ แพทย์จึงตัดสินใจให้เธออยู่ในสภาพหลับลึก
เพื่อประเมินอาการต่อไป กระทั่งหนึ่งวันถัดมา ทีนาเริ่มฟื้นตัวอย่างน่าทึ่ง หายใจได้ด้วยตัวเอง และไม่มีอาการ
บ่งชี้ถึงความเสียหายของสมอง
ข้อความแรกหลังฟื้น “สวรรค์มีจริง” ปาฏิหาริย์ที่ลืมไม่ลง
ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา แม้ยังพูดไม่ได้เนื่องจากท่อช่วยหายใจ แต่ทีนากลับขอปากกาและกระดาษทันทีที่รู้สึกตัว
เธอเขียนประโยคสั้น ๆ ว่า “It’s real” (“มันมีจริง”) เมื่อครอบครัวถามว่า “อะไรที่มีจริง?” เธอตอบด้วยการ
พยักหน้าเมื่อพูดถึง “พระเยซู” และ “สวรรค์”
ในเวลาต่อมา ทีนาเล่าว่าขณะอยู่ในภาวะใกล้ตาย เธอได้เห็นพระเยซูคริสต์ยืนรอรับด้วยแสงสีทองที่สว่าง
และบริสุทธิ์ พร้อมอ้อมแขนเปิดกว้าง เธออธิบายความรู้สึกในช่วงเวลานั้นว่า “สงบสุขอย่างไม่อาจบรรยายได้”
และย้ำว่า “มันไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริง”
และเพียง 4 วันหลังเกิดเหตุ ทีนาก็สามารถออกจากโรงพยาบาล โดยมีสุขภาพสมบูรณ์ และไม่มีร่องรอยของ
ความเสียหายทางสมอง นับเป็นกรณีหายากมากในทางการแพทย์
ประสบการณ์เฉียดตายของทีนา ถูกถ่ายทอดผ่านหนังสือที่เธอเขียนเองชื่อ
“Heaven... It’s Real: How Dying Changes Living” (สวรรค์มีจริง: ความตายเปลี่ยนชีวิตได้อย่างไร)
เนื้อหาในเล่มไม่เพียงบอกเล่าการเดินทางกลับจากความตาย แต่ยังมุ่งปลุกพลังศรัทธาและความหวัง
ให้กับผู้ที่กำลัง เผชิญความกลัวหรือสูญเสีย
ทีนากล่าวถึงจุดประสงค์ของการเขียนหนังสือว่า “พระเจ้าสามารถใช้ทุกสถานการณ์ แม้แต่สิ่งที่มืดมนที่สุด
เพื่อนำเราเข้าใกล้พระองค์ และทำให้เราใช้ชีวิตตามแบบที่พระองค์ตั้งใจไว้”
สำหรับ ทีนา ไฮน์ส การหยุดเต้นของหัวใจไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตที่เต็มไปด้วย
ความหมาย และภารกิจในการแบ่งปันความหวังจากโลกที่เธอเชื่อว่ามีอยู่จริง
ขนลุก! ต่อหน้าแพทย์ หญิงเสียชีวิต 27 นาที จู่ๆ ฟื้นจากความตาย ตัวสั่นเขียนข้อความนี้
หญิงอเมริกันฟื้นจากภาวะหัวใจหยุดเต้น 27 นาที ข้อความแรกหลังกลับมาจากความตาย
“It’s real” ยืนยันว่าเห็นพระเยซูและสวรรค์
เรื่องราวปาฏิหาริย์ของ ทีนา ไฮน์ส กลายเป็นแรงบันดาลใจระดับโลก เมื่อเธอฟื้นจากภาวะหัวใจ
หยุดเต้นนานเกือบครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีอาการสมองเสียหาย พร้อมข้อความเขียนด้วยมือสั่นๆ
ที่สร้างความประหลาดใจไปทั่ว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2018 กลายเป็นวันเปลี่ยนชีวิตของ "ทีนา ไฮน์ส" (Tina Hines)
หญิงชาวรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา อย่างสิ้นเชิง เธอล้มลงกะทันหันจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
และหัวใจหยุดเต้นนานถึง 27 นาที
สามีของเธอ "ไบรอัน ไฮน์ส" (Brian Hines) ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ร่างกายภรรยากลายเป็นสีม่วง
ตาเหลือกขาว และไม่มีสัญญาณชีวิต เพื่อนบ้านรีบเข้าช่วยทำ CPR ก่อนที่เขาจะรับช่วงต่อและโทรขอรถ
พยาบาล ทีมกู้ชีพเร่งช็อกไฟฟ้าหัวใจถึง 3 ครั้ง และฉีดยากระตุ้นหัวใจ 2 เข็ม แต่ Tina ก็ยังไม่ตอบสนองใดๆ
ฟื้นจากความตายแบบไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล Deer Valley แพทย์ระบุว่า ทีนาอยู่ในภาวะหัวใจหยุดเต้นสมบูรณ์ ไม่มีชีพจร ไม่มี
การหายใจ และสมองขาดออกซิเจนมานานเกิน 20 นาที ซึ่งตามหลักการแพทย์แล้ว แทบไม่มีโอกาสรอด
หรือหากรอดก็มีแนวโน้มสมองเสียหายถาวร
แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ทีนากลับมามีสัญญาณชีพ แพทย์จึงตัดสินใจให้เธออยู่ในสภาพหลับลึก
เพื่อประเมินอาการต่อไป กระทั่งหนึ่งวันถัดมา ทีนาเริ่มฟื้นตัวอย่างน่าทึ่ง หายใจได้ด้วยตัวเอง และไม่มีอาการ
บ่งชี้ถึงความเสียหายของสมอง
ข้อความแรกหลังฟื้น “สวรรค์มีจริง” ปาฏิหาริย์ที่ลืมไม่ลง
ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา แม้ยังพูดไม่ได้เนื่องจากท่อช่วยหายใจ แต่ทีนากลับขอปากกาและกระดาษทันทีที่รู้สึกตัว
เธอเขียนประโยคสั้น ๆ ว่า “It’s real” (“มันมีจริง”) เมื่อครอบครัวถามว่า “อะไรที่มีจริง?” เธอตอบด้วยการ
พยักหน้าเมื่อพูดถึง “พระเยซู” และ “สวรรค์”
ในเวลาต่อมา ทีนาเล่าว่าขณะอยู่ในภาวะใกล้ตาย เธอได้เห็นพระเยซูคริสต์ยืนรอรับด้วยแสงสีทองที่สว่าง
และบริสุทธิ์ พร้อมอ้อมแขนเปิดกว้าง เธออธิบายความรู้สึกในช่วงเวลานั้นว่า “สงบสุขอย่างไม่อาจบรรยายได้”
และย้ำว่า “มันไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริง”
และเพียง 4 วันหลังเกิดเหตุ ทีนาก็สามารถออกจากโรงพยาบาล โดยมีสุขภาพสมบูรณ์ และไม่มีร่องรอยของ
ความเสียหายทางสมอง นับเป็นกรณีหายากมากในทางการแพทย์
ประสบการณ์เฉียดตายของทีนา ถูกถ่ายทอดผ่านหนังสือที่เธอเขียนเองชื่อ
“Heaven... It’s Real: How Dying Changes Living” (สวรรค์มีจริง: ความตายเปลี่ยนชีวิตได้อย่างไร)
เนื้อหาในเล่มไม่เพียงบอกเล่าการเดินทางกลับจากความตาย แต่ยังมุ่งปลุกพลังศรัทธาและความหวัง
ให้กับผู้ที่กำลัง เผชิญความกลัวหรือสูญเสีย
ทีนากล่าวถึงจุดประสงค์ของการเขียนหนังสือว่า “พระเจ้าสามารถใช้ทุกสถานการณ์ แม้แต่สิ่งที่มืดมนที่สุด
เพื่อนำเราเข้าใกล้พระองค์ และทำให้เราใช้ชีวิตตามแบบที่พระองค์ตั้งใจไว้”
สำหรับ ทีนา ไฮน์ส การหยุดเต้นของหัวใจไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตที่เต็มไปด้วย
ความหมาย และภารกิจในการแบ่งปันความหวังจากโลกที่เธอเชื่อว่ามีอยู่จริง
( 7 )
พระสงฆ์ที่ละจากชีวิตสงฆ์ จะสามารถกลับมารับใช้ในงานอภิบาลอีกได้หรือไม่?


⸻
คำถามนี้มีหลายท่านสอบถามเข้ามาหลังจากที่เราได้โพสต์ข้อความว่า “พระสงฆ์คือพระสงฆ์
ตลอดนิรันดร” เราจึงขออธิบายให้ชัดเจน โดยอิงจากคำสอนของพระศาสนจักร กฎหมาย
พระศาสนจักร และด้วยความเคารพต่อธรรมล้ำลึกแห่งศีลบรรพชา
เริ่มจากหลักเทววิทยาก่อน:
แม้ชายคนหนึ่งจะละจากชีวิตสงฆ์…
แม้เขาจะได้รับการผ่อนผันจากภารกิจสงฆ์…
แม้เขาจะไม่ถูกเรียกว่า “คุณพ่อ” อีกต่อไป…
แต่เขายังคงเป็นพระสงฆ์ตลอดไป
เพราะเหตุใดหรือ?
เพราะศีลบรรพชาประทับตราแห่งพระหรรษทานไว้ในจิตวิญญาณ เป็นตราฝังลึกทางจิตที่ไม่มี
วันลบเลือนได้ เช่นเดียวกับศีลล้างบาปและศีลกำลัง ศีลบรรพชาได้เปลี่ยนแปลงภายในจิตวิญญาณ
ของเขาให้สอดรับกับองค์พระคริสตเจ้าตลอดนิรันดร
พระคัมภีร์กล่าวว่า:
“ท่านเป็นสมณะตลอดไป ตามแบบเมลคีเซเดค” (ฮีบรู 7:17)
หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกยืนยันว่า:
“ศีลบรรพชาประทานตราฝังลึกทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่อาจลบเลือนได้ และไม่อาจประกอบซ้ำ
หรือประกอบชั่วคราวได้” (CCC 1582)
แม้พระสงฆ์จะถูกลดฐานะกลับเป็นฆราวาส หรือถูกพักจากหน้าที่ทางอภิบาล
เขาก็ยังเป็นพระสงฆ์ในฐานะความเป็นจริงทางเทววิทยา
แม้จะไม่สามารถสวมชุดสงฆ์หรือเทศน์ในที่สาธารณะได้
แต่ในกรณีฉุกเฉินเมื่อมีผู้ใกล้สิ้นใจ เขายังสามารถให้การอภัยบาปได้อย่างถูกต้อง
(ตาม ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร มาตรา 976)
ตราสัญลักษณ์แห่งพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้าจะยังคงอยู่กับเขาตลอดไป
แล้วเขาจะกลับมารับใช้ในพันธกิจสงฆ์ได้หรือไม่?
คำตอบคือ: ได้
กฎหมายพระศาสนจักรอนุญาตให้เป็นไปได้
ขออธิบายให้เข้าใจง่ายดังนี้:
ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร มาตรา 293 ระบุว่า:
“พระสงฆ์ที่ได้สูญเสียฐานะสงฆ์ไปแล้ว จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ฐานะสงฆ์ได้อีก เว้นแต่,
โดยการตัดสินของสันตะสำนัก”
กล่าวคือ พระสงฆ์สามารถกลับมารับใช้ในงานอภิบาลได้ แต่ต้องได้รับอนุมัติจากวาติกัน
โดยผ่านทางสมณกระทรวงเพื่อบรรพชิต (เดิมคือคณะสมณเณรฝ่ายพระสงฆ์)
กระบวนการนี้ประกอบด้วย:
1. การยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อสันตะสำนัก
2. การรับรองจากพระสังฆราช หรือผู้ใหญ่ในคณะนักบวช
3. การไตร่ตรองอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้เขาเคยละจากชีวิตสงฆ์
4. การพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับประโยชน์ของพระศาสนจักร และความพร้อม
ของพระสงฆ์ผู้นั้น
แม้การกลับมาจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้จริง
พระศาสนจักรเปรียบเสมือนพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาในเรื่องลูกหลงหาย ที่เปิดประตูรอเสมอ
แต่พร้อมด้วยปรีชาญาณ และความรับผิดชอบทางจิตวิญญาณ
ข้อพึงรู้เพิ่มเติม:
• มาตรา 290: “ศีลบรรพชาที่ได้รับอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมไม่อาจเป็นโมฆะได้”
• มาตรา 291: การลดฐานะสงฆ์มักรวมถึงการผ่อนผันจากการถือพรหมจรรย์
แต่หากกลับมาใหม่ การผ่อนผันนี้จะถูกเพิกถอน
• มาตรา 976: ในกรณีฉุกเฉินหรือใกล้ตาย พระสงฆ์ใด ๆ แม้จะถูกพักงานหรือลดฐานะ
ก็ยังสามารถอภัยบาปได้อย่างถูกต้อง
สรุปคือ:
ใช่—พระสงฆ์ที่ละจากพันธกิจสงฆ์สามารถกลับมาได้ แต่ต้องผ่านการอนุมัติจากสันตะสำนัก
เพราะแม้เขาจะหยุดทำหน้าที่สงฆ์ไปแล้ว เขายังแบกรับตราแห่งพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้า
ยังเป็น Alter Christus — เป็นดังพระคริสตเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง
เป็นเครื่องหมายแห่งพระสงฆ์สูงสุดขององค์พระคริสต์ที่ดำรงอยู่อย่างมีชีวิต
ขอภาวนาเพื่อพระสงฆ์ทั้งปวง:
ผู้ที่ยังคงปฏิบัติศาสนกิจ
ผู้ที่ได้วางภารกิจลงไว้
และผู้ที่กำลังพิจารณากลับมาอีกครั้ง
พวกเขาแบกภาระแห่งธรรมล้ำลึกที่โลกไม่เข้าใจ
ธรรมล้ำลึกที่ไม่เคยเลือนหายไป
ขอพระเจ้าโปรดอวยพรท่านทุกคน
#CatholicsOnlineClass
พระสงฆ์ที่ละจากชีวิตสงฆ์ จะสามารถกลับมารับใช้ในงานอภิบาลอีกได้หรือไม่?
⸻
คำถามนี้มีหลายท่านสอบถามเข้ามาหลังจากที่เราได้โพสต์ข้อความว่า “พระสงฆ์คือพระสงฆ์
ตลอดนิรันดร” เราจึงขออธิบายให้ชัดเจน โดยอิงจากคำสอนของพระศาสนจักร กฎหมาย
พระศาสนจักร และด้วยความเคารพต่อธรรมล้ำลึกแห่งศีลบรรพชา
แม้ชายคนหนึ่งจะละจากชีวิตสงฆ์…
แม้เขาจะได้รับการผ่อนผันจากภารกิจสงฆ์…
แม้เขาจะไม่ถูกเรียกว่า “คุณพ่อ” อีกต่อไป…
เพราะเหตุใดหรือ?
เพราะศีลบรรพชาประทับตราแห่งพระหรรษทานไว้ในจิตวิญญาณ เป็นตราฝังลึกทางจิตที่ไม่มี
วันลบเลือนได้ เช่นเดียวกับศีลล้างบาปและศีลกำลัง ศีลบรรพชาได้เปลี่ยนแปลงภายในจิตวิญญาณ
ของเขาให้สอดรับกับองค์พระคริสตเจ้าตลอดนิรันดร
“ท่านเป็นสมณะตลอดไป ตามแบบเมลคีเซเดค” (ฮีบรู 7:17)
“ศีลบรรพชาประทานตราฝังลึกทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่อาจลบเลือนได้ และไม่อาจประกอบซ้ำ
หรือประกอบชั่วคราวได้” (CCC 1582)
แม้พระสงฆ์จะถูกลดฐานะกลับเป็นฆราวาส หรือถูกพักจากหน้าที่ทางอภิบาล
เขาก็ยังเป็นพระสงฆ์ในฐานะความเป็นจริงทางเทววิทยา
แม้จะไม่สามารถสวมชุดสงฆ์หรือเทศน์ในที่สาธารณะได้
แต่ในกรณีฉุกเฉินเมื่อมีผู้ใกล้สิ้นใจ เขายังสามารถให้การอภัยบาปได้อย่างถูกต้อง
(ตาม ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร มาตรา 976)
ตราสัญลักษณ์แห่งพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้าจะยังคงอยู่กับเขาตลอดไป
คำตอบคือ: ได้
กฎหมายพระศาสนจักรอนุญาตให้เป็นไปได้
ขออธิบายให้เข้าใจง่ายดังนี้:
“พระสงฆ์ที่ได้สูญเสียฐานะสงฆ์ไปแล้ว จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ฐานะสงฆ์ได้อีก เว้นแต่,
โดยการตัดสินของสันตะสำนัก”
โดยผ่านทางสมณกระทรวงเพื่อบรรพชิต (เดิมคือคณะสมณเณรฝ่ายพระสงฆ์)
กระบวนการนี้ประกอบด้วย:
1. การยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อสันตะสำนัก
2. การรับรองจากพระสังฆราช หรือผู้ใหญ่ในคณะนักบวช
3. การไตร่ตรองอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้เขาเคยละจากชีวิตสงฆ์
4. การพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับประโยชน์ของพระศาสนจักร และความพร้อม
ของพระสงฆ์ผู้นั้น
แม้การกลับมาจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้จริง
พระศาสนจักรเปรียบเสมือนพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาในเรื่องลูกหลงหาย ที่เปิดประตูรอเสมอ
แต่พร้อมด้วยปรีชาญาณ และความรับผิดชอบทางจิตวิญญาณ
• มาตรา 290: “ศีลบรรพชาที่ได้รับอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมไม่อาจเป็นโมฆะได้”
• มาตรา 291: การลดฐานะสงฆ์มักรวมถึงการผ่อนผันจากการถือพรหมจรรย์
แต่หากกลับมาใหม่ การผ่อนผันนี้จะถูกเพิกถอน
• มาตรา 976: ในกรณีฉุกเฉินหรือใกล้ตาย พระสงฆ์ใด ๆ แม้จะถูกพักงานหรือลดฐานะ
ก็ยังสามารถอภัยบาปได้อย่างถูกต้อง
ใช่—พระสงฆ์ที่ละจากพันธกิจสงฆ์สามารถกลับมาได้ แต่ต้องผ่านการอนุมัติจากสันตะสำนัก
เพราะแม้เขาจะหยุดทำหน้าที่สงฆ์ไปแล้ว เขายังแบกรับตราแห่งพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้า
ยังเป็น Alter Christus — เป็นดังพระคริสตเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง
เป็นเครื่องหมายแห่งพระสงฆ์สูงสุดขององค์พระคริสต์ที่ดำรงอยู่อย่างมีชีวิต
ขอภาวนาเพื่อพระสงฆ์ทั้งปวง:
พวกเขาแบกภาระแห่งธรรมล้ำลึกที่โลกไม่เข้าใจ
ธรรมล้ำลึกที่ไม่เคยเลือนหายไป
ขอพระเจ้าโปรดอวยพรท่านทุกคน
#CatholicsOnlineClass
( 8 )
มาเรียนรู้จากแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์กันเถอะ! ชีวิตให้ตัวอย่างมากมายแก่เราจาก
พระวาจาของพระเจ้าถึงชายและหญิงที่ก้าวข้ามอุปสรรค ความเจ็บปวด ความล่าช้า ความอับอาย
และความกลัว เพราะพวกเขาเลือกที่จะวางใจในความเชื่อ การเชื่อฟัง และจุดมุ่งหมายของคุณเอง
ก็สามารถจารึกชื่อลง ในเรื่องราวของพระเจ้าได้เช่นกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ในจุดที่คุณอยู่ จงเรียนรู้ เติบโต
อธิษฐาน ยืนหยัด และวางใจต่อไป การเปลี่ยนแปลงของคุณจะมาถึง!
ต่อไปนี้คือบทเรียนจากบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์
ยาเบส: เราเรียนรู้จากยาเบส ผู้ซึ่งเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์อันยากลำบากของตน
และอธิษฐาน ขอการเปลี่ยนแปลง และพระเจ้าก็ทรงทำให้เขามีเกียรติยิ่งกว่าพี่น้องของตน
เอสเธอร์: เราเรียนรู้จากเอสเธอร์ เธอได้ลุกขึ้นต่อหน้าการกดขี่ และใช้ตำแหน่งของตนอย่าง
ชาญฉลาด เพื่อช่วยผู้ถูกกดขี่ให้พ้นจากอันตราย
โยเซฟ: เราเรียนรู้จากโยเซฟ ผู้ซึ่งยังคงซื่อสัตย์ทั้งในบ่อและในวัง และพระเจ้าทรงยกย่องเขา
ในเวลาอันสมควร
รูธ: เราเรียนรู้จากรูธ เธอคงความภักดีแม้จะมีเหตุผลทุกประการที่จะเดินจากไป
และนั่นนำไปสู่โชคชะตาของเธอ
ฮันนาห์: เราเรียนรู้จากฮันนาห์ เธอเปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นการอธิษฐาน และพระเจ้าทรง
เปลี่ยนการเป็นหมันของเธอให้เกิดผล
ดาวิด: เราเรียนรู้จากดาวิด เขาไม่ได้บังคับทางของตนสู่บัลลังก์ แต่รอคอยอย่างอดทน
โดยวางใจในเวลาของพระเจ้า
ดาเนียล: เราเรียนรู้จากดาเนียล เขายืนหยัดเพื่อความชอบธรรมในระบบที่เสื่อมทราม
และพระเจ้าทรงทำให้เขาโดดเด่น
โยบ: เราเรียนรู้จากโยบ เขาสูญเสียทุกสิ่งแต่ไม่เคยสูญเสียความเชื่อ และพระเจ้าทรง
ฟื้นฟูเขาให้ได้รับเป็นสองเท่า
พระแม่มารีย์: เราเรียนรู้จากพระแม่มารีย์ เธอได้น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า
แม้ว่าจะเกินความเข้าใจของตนก็ตาม
เปาโล: เราเรียนรู้จากเปาโล เขาเปลี่ยนความหลงใหลในการทำลายล้าง
ให้เป็นจุดมุ่งหมายเพื่อความรอด

เปโตร: เราเรียนรู้จากเปโตร เขาผิดพลาดแต่ไม่ยอมแพ้ และต่อมาได้กลายเป็น
เสาหลักของพระศาสนจักร

อับราฮัม: เราเรียนรู้จากอับราฮัม เขาเชื่อฟังโดยที่ไม่มีรายละเอียดทั้งหมด
และพระเจ้าทรงทำให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จ

โมเสส: เราเรียนรู้จากโมเสส เขาได้นำผู้คนซึ่งเขาเคยหนีมา แสดงให้เห็นว่าพระเจ้า
ทรงสามารถใช้เรื่องราวในอดีตของเราเพื่อจุดประสงค์ที่ดีได้

เดโบราห์: เราเรียนรู้จากเดโบราห์ เธอได้ลุกขึ้นเป็นผู้นำในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่
และนำมาซึ่งการช่วยกู้

โนอาห์: เราเรียนรู้จากโนอาห์ เขาเชื่อฟังพระเจ้าแม้จะถูกเยาะเย้ย
และได้ช่วยรักษาชนรุ่นหนึ่งไว้

เอลียาห์: เราเรียนรู้จากเอลียาห์ เขาได้ท้าทายบรรดาประกาศกเทียมเท็จด้วย
ความเชื่อที่กล้าหาญ และเห็นไฟจากสวรรค์ตกลงมา

เอลีชา: เราเรียนรู้จากเอลีชา ผู้ซึ่งติดตามอย่างขยันขันแข็งและได้รับส่วนสองเท่า

เนหะมีย์: เราเรียนรู้จากเนหะมีย์ ผู้ซึ่งเห็นซากปรักหักพังและได้นำการฟื้นฟูด้วย
การอธิษฐานและการกระทำ

หญิงม่ายชาวศาเรฟัท: เราเรียนรู้จากหญิงม่ายชาวศาเรฟัท เธอได้ถวายสิ่งสุดท้ายที่ตนมี
และไม่เคยขาดแคลน

ศักเคียส: เราเรียนรู้จากศักเคียส เขาพยายามที่จะพบพระเยซู และชีวิตของเขาก็
เปลี่ยนไปตลอดกาล

หญิงที่ป่วยเป็นโรคตกโลหิต: เราเรียนรู้จากหญิงที่ป่วยเป็นโรคตกโลหิต
เธอเบียดเสียดฝูงชนเข้าไปและได้รับการรักษาให้หาย

ผู้บังคับบัญชาร้อยคน: เราเรียนรู้จากผู้บังคับบัญชาร้อยคน ผู้ซึ่งมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่
ที่แม้แต่พระเยซูยังทรงทึ่ง

มารีย์ชาวมักดาลา: เราเรียนรู้จากมารีย์ชาวมักดาลา เธอได้รับการปลดปล่อยจากสิ่งต่างๆ
มากมายและติดตามพระคริสต์อย่างซื่อสัตย์

โยชูวา: เราเรียนรู้จากโยชูวา เขาติดตามโมเสสและนำด้วยความกล้าหาญเข้าสู่แผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาไว้

บุตรที่หลงหาย: เราเรียนรู้จากบุตรที่หลงหาย เขาได้กลับมาและยังคงได้รับการ
ต้อนรับด้วยความรัก

ชาวสะมาเรียใจดี: เราเรียนรู้จากชาวสะมาเรียใจดี เขาเห็นความต้องการและลงมือทำ
แสดงให้เห็นถึงความรักที่แท้จริง

เอโนค: เราเรียนรู้จากเอโนค เขาดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนไม่เห็นความตาย

กิเดโอน: เราเรียนรู้จากกิเดโอน ผู้ซึ่งรู้สึกไม่เพียงพอแต่ก็วางใจในพระเจ้าและ
นำไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่

ชาดรัค เมชาค และอาเบดเนโก: เราเรียนรู้จากชาดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ผู้
ซึ่งเลือกความเชื่อแทนความกลัว และได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

พระเยซู: เราเรียนรู้จากพระเยซู ผู้ทรงเป็นแบบอย่างสูงสุดแห่งความรัก การเสียสละ
ความอ่อนน้อมถ่อมตน และชัยชนะ
ขอให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ความหวัง
และความรักในทุกสถานการณ์!
Catholic Christianity
มาเรียนรู้จากแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์กันเถอะ! ชีวิตให้ตัวอย่างมากมายแก่เราจาก
พระวาจาของพระเจ้าถึงชายและหญิงที่ก้าวข้ามอุปสรรค ความเจ็บปวด ความล่าช้า ความอับอาย
และความกลัว เพราะพวกเขาเลือกที่จะวางใจในความเชื่อ การเชื่อฟัง และจุดมุ่งหมายของคุณเอง
ก็สามารถจารึกชื่อลง ในเรื่องราวของพระเจ้าได้เช่นกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ในจุดที่คุณอยู่ จงเรียนรู้ เติบโต
อธิษฐาน ยืนหยัด และวางใจต่อไป การเปลี่ยนแปลงของคุณจะมาถึง!
ต่อไปนี้คือบทเรียนจากบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์
และอธิษฐาน ขอการเปลี่ยนแปลง และพระเจ้าก็ทรงทำให้เขามีเกียรติยิ่งกว่าพี่น้องของตน
ชาญฉลาด เพื่อช่วยผู้ถูกกดขี่ให้พ้นจากอันตราย
ในเวลาอันสมควร
และนั่นนำไปสู่โชคชะตาของเธอ
เปลี่ยนการเป็นหมันของเธอให้เกิดผล
โดยวางใจในเวลาของพระเจ้า
และพระเจ้าทรงทำให้เขาโดดเด่น
ฟื้นฟูเขาให้ได้รับเป็นสองเท่า
แม้ว่าจะเกินความเข้าใจของตนก็ตาม
ให้เป็นจุดมุ่งหมายเพื่อความรอด
เสาหลักของพระศาสนจักร
และพระเจ้าทรงทำให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จ
ทรงสามารถใช้เรื่องราวในอดีตของเราเพื่อจุดประสงค์ที่ดีได้
และนำมาซึ่งการช่วยกู้
และได้ช่วยรักษาชนรุ่นหนึ่งไว้
ความเชื่อที่กล้าหาญ และเห็นไฟจากสวรรค์ตกลงมา
การอธิษฐานและการกระทำ
และไม่เคยขาดแคลน
เปลี่ยนไปตลอดกาล
เธอเบียดเสียดฝูงชนเข้าไปและได้รับการรักษาให้หาย
ที่แม้แต่พระเยซูยังทรงทึ่ง
มากมายและติดตามพระคริสต์อย่างซื่อสัตย์
ที่ทรงสัญญาไว้
ต้อนรับด้วยความรัก
แสดงให้เห็นถึงความรักที่แท้จริง
นำไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่
ซึ่งเลือกความเชื่อแทนความกลัว และได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
ความอ่อนน้อมถ่อมตน และชัยชนะ
ขอให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ความหวัง
และความรักในทุกสถานการณ์!
Catholic Christianity
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 21, 2025 8:52 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 9 )
ศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ ในพระคัมภีร์
1. ศีลล้างบาป
ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขา
เดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต
The - มัทธิว 28:19 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์ในแคว้นกาลิลี ทรงส่งบรรดาอัครสาวกไปทั่วโลก



2. ศีลมหาสนิท
พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า
“นี่เป็นกายของเราที่ถูกมอบเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ในทำนองเดียวกัน เมื่อการเลี้ยงอาหารเสร็จสิ้นแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยตรัสว่า ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเราที่หลั่งเพื่อท่านทั้งหลาย
- ลูกา 22:19-20 การตั้งศีลมหาสนิท
ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น
- ยอห์น 6:56-57 พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม



3. ศีลอภัยบาป
ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลาย
อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้น
ก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย
- ยอห์น 20:22-23 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์
ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กัน เพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของ
ผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
- ยากอบ 5:16 การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า



4. ศีลกำลัง
พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด
เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า
จงรับพระจิตเจ้าเถิด
- ยอห์น 20:21-22 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์
เปโตรและยอห์นจึงปกมือเหนือเขาทั้งหลาย และเขาเหล่านั้นก็ได้รับพระจิตเจ้า เมื่อซีโมนเห็นว่า
อัครสาวกทั้งสองคนปกมือเหนือผู้ใด ผู้นั้นก็ได้รับพระจิตเจ้า เขาจึงนำเงินมาให้ กล่าวว่า จงให้อำนาจนี้
แก่ข้าพเจ้าด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะปกมือเหนือผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระจิตเจ้า แต่เปโตรตอบว่า ท่านและเงิน
ของท่านจงพินาศ เพราะท่านคิดว่าท่านใช้เงินซื้อของประทานของพระเจ้าได้ ท่านไม่มีส่วนร่วมกับเรา
ในเรื่องนี้เลย เพราะจิตใจของท่านไม่ซื่อตรงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จงสำนึกผิดกลับใจจากความชั่ว
ร้ายนี้ และจงอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด บางทีพระองค์จะทรงอภัยเจตนาที่อยู่ในใจของท่าน
ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจมอยู่ในความชั่วและถูกจองจำอยู่ในความอธรรม ซีโมนจึงตอบว่า ท่านทั้งสอง
จงอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อข้าพเจ้าเถิด สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นจะได้ไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
- กิจการ 8:17-24 ซีโมนผู้วิเศษ



5. ศีลสมรส
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างเขาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า
พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพรเขาทั้งสองคนและตรัสว่า จงมีลูกมาก และทวี
จำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิด
ที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน
- ปฐมกาล 1:27-28 การเนรมิตสร้างโลก
พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวนั้นไม่ดีเลย เราจะสร้างผู้ช่วยlที่เหมาะสมให้เขา
พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงเอาดินมาปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดและนกทุกชนิดในท้องฟ้า ทรงนำสัตว์เหล่านี้มา
ให้มนุษย์ เพื่อดูว่าเขาจะตั้งชื่อมันว่าอย่างไร สัตว์แต่ละตัวจะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ มนุษย์จึงตั้งชื่อให้
สัตว์เลี้ยง นกในอากาศ และสัตว์ป่าทั้งหมด แต่มนุษย์ยังไม่พบผู้ช่วยที่เหมาะกับตน ดังนั้น พระยาห์เวห์
พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์หลับสนิท และขณะที่เขากำลังนอนหลับ ก็ทรงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่
และทรงบันดาลให้เนื้อปิดสนิท พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเอาซี่โครงนั้นมาสร้างหญิง แล้วทรงนำมาให้มนุษย์
มนุษย์จึงพูดว่า นี่คือกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน นางจะมีชื่อว่าหญิง เพราะนางมาจ
ากชาย เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองคนจะเป็นเนื้อเดียวกัน
- ปฐมกาล 2:18-24 สวนอุทยานและการทดสอบอิสรภาพ
และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย
- มัทธิว 19:5-6 คำถามเรื่องการหย่าร้าง



6. ศีลบวช
อัครสาวกสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์มาประชุม กล่าวว่า ไม่สมควรที่เราจะละทิ้งการประกาศ
พระวาจาของพระเจ้าเพื่อไปแจกอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จงเลือกบุรุษเจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย
เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำหน้าที่นี้ ส่วนเรา
จะอุทิศตนอธิษฐานภาวนาและประกาศพระวาจา ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ จึงเลือก
สเทเฟนบุรุษผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และนิโคลัส
ชาวอันทิโอกผู้กลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำคนทั้งเจ็ดคนมาอยู่ต่อหน้าบรรดาอัครสาวกซึ่งอธิษฐาน
ภาวนาและปกมือเหนือเขา
- กิจการ 6:2-6 การเลือกตั้งสังฆานุกร
โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นพยานถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า และมีส่วนจะรับ
พระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลาย จงเลี้ยง
ดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน จงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่
ดูแลด้วยความจำใจ จงดูแลด้วยความสมัครใจ มิใช่ดูแลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง จงเป็นแบบอย่างแก่
ฝูงแกะ มิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง
- 1 เปโตร 5:1-3 คำแนะนำสำหรับผู้อาวุโส
ข้าพเจ้าทิ้งท่านไว้ที่เกาะครีต เพื่อท่านจะได้จัดการเรื่องที่ยังค้างอยู่ให้เรียบร้อย และเพื่อแต่งตั้งกลุ่ม
ผู้อาวุโสทุกเมืองตามวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้ ผู้อาวุโสแต่ละคนจะต้องประพฤติดีไม่มีที่ตำหนิ ต้องแต่งงาน
เพียงครั้งเดียว และบุตรของเขาก็ต้องมีความเชื่อ ไม่ถูกครหาว่าประพฤติเสเพลและดื้อรั้น ส่วนผู้ปกครอง
ดูแลต้องประพฤติดี ไม่มีที่ตำหนิ เพราะเขาเป็นผู้ดูแลบ้านของพระเจ้า ต้องไม่หยิ่งยโส ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์
ไม่เป็นนักดื่ม ไม่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่โลภ แต่ต้องมีอัธยาศัยไมตรี รักคุณงามความดี มีเหตุผล เที่ยงตรง
ศักดิ์สิทธิ์และรู้จักบังคับตนเอง เขายังต้องยึดมั่นในหลักคำสอนที่ถูกต้องตามที่ได้รับสืบทอดต่อกันมา เพื่อ
เขาจะตักเตือนผู้อื่นได้ ทั้งให้คำแนะนำด้วยคำสอนที่ถูกต้อง ตอบโต้ผู้ที่คัดค้านคำสอนนั้นได้
- ทิตัส 1:5-9 การแต่งตั้งผู้อาวุโส



7. ศีลเจิมคนไข้
ท่านใดเจ็บป่วย จงเชิญบรรดาผู้อาวุโสของพระศาสนจักรให้มาอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ป่วย เจิมน้ำมัน
ผู้นั้น ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำอธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต
องค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยทำบาป เขาก็จะได้รับการอภัย
- ยากอบ 5:14-15 การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/14Lmne ... tid=wwXIfr
1. ศีลล้างบาป
เดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต
The - มัทธิว 28:19 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์ในแคว้นกาลิลี ทรงส่งบรรดาอัครสาวกไปทั่วโลก
2. ศีลมหาสนิท
“นี่เป็นกายของเราที่ถูกมอบเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ในทำนองเดียวกัน เมื่อการเลี้ยงอาหารเสร็จสิ้นแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยตรัสว่า ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเราที่หลั่งเพื่อท่านทั้งหลาย
- ลูกา 22:19-20 การตั้งศีลมหาสนิท
- ยอห์น 6:56-57 พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม
3. ศีลอภัยบาป
อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้น
ก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย
- ยอห์น 20:22-23 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์
ผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
- ยากอบ 5:16 การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
4. ศีลกำลัง
เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า
จงรับพระจิตเจ้าเถิด
- ยอห์น 20:21-22 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับบรรดาศิษย์
อัครสาวกทั้งสองคนปกมือเหนือผู้ใด ผู้นั้นก็ได้รับพระจิตเจ้า เขาจึงนำเงินมาให้ กล่าวว่า จงให้อำนาจนี้
แก่ข้าพเจ้าด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะปกมือเหนือผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระจิตเจ้า แต่เปโตรตอบว่า ท่านและเงิน
ของท่านจงพินาศ เพราะท่านคิดว่าท่านใช้เงินซื้อของประทานของพระเจ้าได้ ท่านไม่มีส่วนร่วมกับเรา
ในเรื่องนี้เลย เพราะจิตใจของท่านไม่ซื่อตรงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จงสำนึกผิดกลับใจจากความชั่ว
ร้ายนี้ และจงอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด บางทีพระองค์จะทรงอภัยเจตนาที่อยู่ในใจของท่าน
ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจมอยู่ในความชั่วและถูกจองจำอยู่ในความอธรรม ซีโมนจึงตอบว่า ท่านทั้งสอง
จงอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อข้าพเจ้าเถิด สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นจะได้ไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
- กิจการ 8:17-24 ซีโมนผู้วิเศษ
5. ศีลสมรส
พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพรเขาทั้งสองคนและตรัสว่า จงมีลูกมาก และทวี
จำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิด
ที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน
- ปฐมกาล 1:27-28 การเนรมิตสร้างโลก
พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงเอาดินมาปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดและนกทุกชนิดในท้องฟ้า ทรงนำสัตว์เหล่านี้มา
ให้มนุษย์ เพื่อดูว่าเขาจะตั้งชื่อมันว่าอย่างไร สัตว์แต่ละตัวจะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ มนุษย์จึงตั้งชื่อให้
สัตว์เลี้ยง นกในอากาศ และสัตว์ป่าทั้งหมด แต่มนุษย์ยังไม่พบผู้ช่วยที่เหมาะกับตน ดังนั้น พระยาห์เวห์
พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์หลับสนิท และขณะที่เขากำลังนอนหลับ ก็ทรงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่
และทรงบันดาลให้เนื้อปิดสนิท พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเอาซี่โครงนั้นมาสร้างหญิง แล้วทรงนำมาให้มนุษย์
มนุษย์จึงพูดว่า นี่คือกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน นางจะมีชื่อว่าหญิง เพราะนางมาจ
ากชาย เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองคนจะเป็นเนื้อเดียวกัน
- ปฐมกาล 2:18-24 สวนอุทยานและการทดสอบอิสรภาพ
เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย
- มัทธิว 19:5-6 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
6. ศีลบวช
พระวาจาของพระเจ้าเพื่อไปแจกอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จงเลือกบุรุษเจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย
เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำหน้าที่นี้ ส่วนเรา
จะอุทิศตนอธิษฐานภาวนาและประกาศพระวาจา ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ จึงเลือก
สเทเฟนบุรุษผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และนิโคลัส
ชาวอันทิโอกผู้กลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำคนทั้งเจ็ดคนมาอยู่ต่อหน้าบรรดาอัครสาวกซึ่งอธิษฐาน
ภาวนาและปกมือเหนือเขา
- กิจการ 6:2-6 การเลือกตั้งสังฆานุกร
พระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลาย จงเลี้ยง
ดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน จงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่
ดูแลด้วยความจำใจ จงดูแลด้วยความสมัครใจ มิใช่ดูแลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง จงเป็นแบบอย่างแก่
ฝูงแกะ มิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง
- 1 เปโตร 5:1-3 คำแนะนำสำหรับผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสทุกเมืองตามวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้ ผู้อาวุโสแต่ละคนจะต้องประพฤติดีไม่มีที่ตำหนิ ต้องแต่งงาน
เพียงครั้งเดียว และบุตรของเขาก็ต้องมีความเชื่อ ไม่ถูกครหาว่าประพฤติเสเพลและดื้อรั้น ส่วนผู้ปกครอง
ดูแลต้องประพฤติดี ไม่มีที่ตำหนิ เพราะเขาเป็นผู้ดูแลบ้านของพระเจ้า ต้องไม่หยิ่งยโส ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์
ไม่เป็นนักดื่ม ไม่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่โลภ แต่ต้องมีอัธยาศัยไมตรี รักคุณงามความดี มีเหตุผล เที่ยงตรง
ศักดิ์สิทธิ์และรู้จักบังคับตนเอง เขายังต้องยึดมั่นในหลักคำสอนที่ถูกต้องตามที่ได้รับสืบทอดต่อกันมา เพื่อ
เขาจะตักเตือนผู้อื่นได้ ทั้งให้คำแนะนำด้วยคำสอนที่ถูกต้อง ตอบโต้ผู้ที่คัดค้านคำสอนนั้นได้
- ทิตัส 1:5-9 การแต่งตั้งผู้อาวุโส
7. ศีลเจิมคนไข้
ผู้นั้น ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำอธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต
องค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยทำบาป เขาก็จะได้รับการอภัย
- ยากอบ 5:14-15 การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/14Lmne ... tid=wwXIfr
( 10 )
ไม่มีคำภาวนาใดที่ไร้ผล...
เรื่องมีดังนี้....
หมอผ่าตัดที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมการประชุมระดับโลกเพื่อเข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติ
สำหรับผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา เขาไปยังสนามบินเพื่อขึ้นเครื่อง ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากเครื่องบิน
ขึ้นสู่ท้องฟ้า เครื่องเกิดขัดข้องและต้องนำลงจอดฉุกเฉิน
คุณหมอไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสอบถามเที่ยวบินต่อไปและได้รับคำตอบว่าต้องรออีก 15 ชั่วโมง เขาหัวเสียหนัก
พูดกับตัวเองว่า....แม้แต่เครื่องบินก็เลือกที่จะมาเสียในวันที่ฉันได้รับเกียรติ...
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสนอให้เขาเช่ารถไปเพราะเมืองที่เขาจะไปนั้นเพียงแค่ขับไป 3 ชั่วโมงเท่านั้น...
คุณหมอเห็นด้วย จึงเริ่มออกเดินทางโดยเช่ารถขับไป... ระหว่างทาง เกิดฝนตกหนักและฟ้าผ่ารุนแรงมาก
จนทำให้เขาต้องจอดรถชั่วครู่ แต่คุณหมอตัดสินใจเดินทางต่อแม้ต้องขับฝ่าสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
และน้ำท่วมนองถนนเต็มพื้นที่
...หลังขับรถอย่างระวังมาสักระยะหนึ่งก็หลงทาง .. เขาเริ่มรู้สึกได้ว่าน่าจะไปเข้าร่วมประชุมไม่ทันเวลา...
เขามองเห็นบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ข้างหน้า จึงเดินไปเคาะประตู...
มีเสียงหญิงชราตอบมาจากข้างในว่า ประตูเปิดอยู่ค่ะ... คุณหมอจึงเดินเข้าไปพร้อมถามว่า
ขออนุญาตชาร์ตแบตมือถือได้ไหม.. หญิงชรายิ้มและตอบอย่างเศร้า ๆ ว่า ...กำลังจะขอคุณ
ใช้โทรศัพท์อยู่พอดี เราไม่มีไฟฟ้าใช้หลายปีแล้ว... ยายขอโทษ ยายมีแค่อาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...
คุณทานอะไรสักหน่อยเพื่อจะได้มีแรงเดินทางต่อเถิด... คุณหมอนั่งลงและสังเกตเห็นว่า
หญิงชราสวดตลอดเวลา ข้าง ๆ ตัวมีเด็กน้อยนอนอยู่ ...
หญิงชราจับมือหนูน้อยพร้อมอ่านแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ... คุณหมอพูดอย่างอ่อนโยนว่า สวดอย่างเดียว
ไม่น่าพอ เด็กคนนี้ต้องไปโรงพยาบาล... หญิงชราตอบว่า ยายจะพาไปค่ะ แต่ขอโทรศัพท์ไปหาผู้หนึ่งก่อน....
เด็กคนนี้เป็นหลานยายเอง พ่อแม่เขาตายไปนานแล้ว เขาเดินไม่ได้เนื่องจากมีก้อนเนื้อใหญ่ที่ไขสันหลัง
มีคนบอกยายว่ามี หมอผ่าตัดเก่งมากคนหนึ่งที่เมืองไกลออกไป เป็นคนเดียวที่สามารถผ่าตัดเคสยาก ๆ
แบบนี้ได้ แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก และยายมีแค่บ้านเล็ก ๆ หลังนี้เท่านั้น...
เมื่อวานมีผู้หญิงใจดีคนหนึ่งแวะมาและเมื่อเธอทราบเรื่องหลาน เธอได้ให้กระดาษแผ่นหนึ่งกับยาย
มีเบอร์โทรของหมอท่านนั้นเขียนไว้ เราพยายามโทรหาคุณหมอแต่ติดต่อไม่ได้...
ยายไม่มีอะไรเหลืออีกนอกจากคำภาวนา... ยายวิงวอนขอพระให้ส่งคนมาช่วย หากติดต่อคุณหมอได้
บางทียายจะยกบ้านหลังนี้ให้คุณหมอเป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด คุณหมอรู้สึกสะเทือนใจมาก จึงขอให้
ยายเขียนเบอร์โทรของคุณหมอท่านนั้นให้ บางทีเขาจะลองโทรหา หญิงชราเขียนเบอร์ให้ด้วยความดีใจ
และส่งให้คุณหมอ คุณหมอมองดูที่กระดาษ ก็รู้สึกตัวเย็นเฉียบขึ้นมา แล้วก็เริ่มร้องไห้ ...(crying Moon)
หมายเลขโทรศัพท์บนกระดาษนั้นเป็นเบอร์โทรของเขาเอง นาทีนั้นเองเขาตระหนักได้ว่าคำภาวนาของ
คุณยายได้ทำให้เครื่องบินของเขาล่าช้า ทำให้เกิดฟ้าผ่าและทำให้เขาหลงทาง แน่ทีเดียวเป็นพระที่ทรง
นำทางเขามายังบ้านหลังนี้ พระองค์ทรงจัดทุกอย่างสำหรับข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ข้ารับใช้ที่
สัตย์ซื่อในการภาวนา ข้ารับใช้ที่เชื่อว่าพระทรงฟังคำภาวนาของเขา แม้ว่าคำวอนขอนั้นดูเหมือนจะเป็น
ไปไม่ได้ก็ตาม สำหรับคำภาวนาที่ออกมาจากดวงใจที่เปี่ยมด้วยความเชื่อศรัทธา พระองค์จะทรงจัด
เตรียมทุกอย่างให้ ดังนั้น จงวางใจในพระ
...ไม่มีคำภาวนาใดไร้ผลสำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ ....จบ
ไม่มีคำภาวนาใดที่ไร้ผล...
เรื่องมีดังนี้....
หมอผ่าตัดที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมการประชุมระดับโลกเพื่อเข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติ
สำหรับผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา เขาไปยังสนามบินเพื่อขึ้นเครื่อง ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากเครื่องบิน
ขึ้นสู่ท้องฟ้า เครื่องเกิดขัดข้องและต้องนำลงจอดฉุกเฉิน
คุณหมอไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสอบถามเที่ยวบินต่อไปและได้รับคำตอบว่าต้องรออีก 15 ชั่วโมง เขาหัวเสียหนัก
พูดกับตัวเองว่า....แม้แต่เครื่องบินก็เลือกที่จะมาเสียในวันที่ฉันได้รับเกียรติ...
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสนอให้เขาเช่ารถไปเพราะเมืองที่เขาจะไปนั้นเพียงแค่ขับไป 3 ชั่วโมงเท่านั้น...
คุณหมอเห็นด้วย จึงเริ่มออกเดินทางโดยเช่ารถขับไป... ระหว่างทาง เกิดฝนตกหนักและฟ้าผ่ารุนแรงมาก
จนทำให้เขาต้องจอดรถชั่วครู่ แต่คุณหมอตัดสินใจเดินทางต่อแม้ต้องขับฝ่าสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
และน้ำท่วมนองถนนเต็มพื้นที่
...หลังขับรถอย่างระวังมาสักระยะหนึ่งก็หลงทาง .. เขาเริ่มรู้สึกได้ว่าน่าจะไปเข้าร่วมประชุมไม่ทันเวลา...
เขามองเห็นบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ข้างหน้า จึงเดินไปเคาะประตู...
มีเสียงหญิงชราตอบมาจากข้างในว่า ประตูเปิดอยู่ค่ะ... คุณหมอจึงเดินเข้าไปพร้อมถามว่า
ขออนุญาตชาร์ตแบตมือถือได้ไหม.. หญิงชรายิ้มและตอบอย่างเศร้า ๆ ว่า ...กำลังจะขอคุณ
ใช้โทรศัพท์อยู่พอดี เราไม่มีไฟฟ้าใช้หลายปีแล้ว... ยายขอโทษ ยายมีแค่อาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...
คุณทานอะไรสักหน่อยเพื่อจะได้มีแรงเดินทางต่อเถิด... คุณหมอนั่งลงและสังเกตเห็นว่า
หญิงชราสวดตลอดเวลา ข้าง ๆ ตัวมีเด็กน้อยนอนอยู่ ...
หญิงชราจับมือหนูน้อยพร้อมอ่านแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ... คุณหมอพูดอย่างอ่อนโยนว่า สวดอย่างเดียว
ไม่น่าพอ เด็กคนนี้ต้องไปโรงพยาบาล... หญิงชราตอบว่า ยายจะพาไปค่ะ แต่ขอโทรศัพท์ไปหาผู้หนึ่งก่อน....
เด็กคนนี้เป็นหลานยายเอง พ่อแม่เขาตายไปนานแล้ว เขาเดินไม่ได้เนื่องจากมีก้อนเนื้อใหญ่ที่ไขสันหลัง
มีคนบอกยายว่ามี หมอผ่าตัดเก่งมากคนหนึ่งที่เมืองไกลออกไป เป็นคนเดียวที่สามารถผ่าตัดเคสยาก ๆ
แบบนี้ได้ แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก และยายมีแค่บ้านเล็ก ๆ หลังนี้เท่านั้น...
เมื่อวานมีผู้หญิงใจดีคนหนึ่งแวะมาและเมื่อเธอทราบเรื่องหลาน เธอได้ให้กระดาษแผ่นหนึ่งกับยาย
มีเบอร์โทรของหมอท่านนั้นเขียนไว้ เราพยายามโทรหาคุณหมอแต่ติดต่อไม่ได้...
ยายไม่มีอะไรเหลืออีกนอกจากคำภาวนา... ยายวิงวอนขอพระให้ส่งคนมาช่วย หากติดต่อคุณหมอได้
บางทียายจะยกบ้านหลังนี้ให้คุณหมอเป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด คุณหมอรู้สึกสะเทือนใจมาก จึงขอให้
ยายเขียนเบอร์โทรของคุณหมอท่านนั้นให้ บางทีเขาจะลองโทรหา หญิงชราเขียนเบอร์ให้ด้วยความดีใจ
และส่งให้คุณหมอ คุณหมอมองดูที่กระดาษ ก็รู้สึกตัวเย็นเฉียบขึ้นมา แล้วก็เริ่มร้องไห้ ...(crying Moon)
หมายเลขโทรศัพท์บนกระดาษนั้นเป็นเบอร์โทรของเขาเอง นาทีนั้นเองเขาตระหนักได้ว่าคำภาวนาของ
คุณยายได้ทำให้เครื่องบินของเขาล่าช้า ทำให้เกิดฟ้าผ่าและทำให้เขาหลงทาง แน่ทีเดียวเป็นพระที่ทรง
นำทางเขามายังบ้านหลังนี้ พระองค์ทรงจัดทุกอย่างสำหรับข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ข้ารับใช้ที่
สัตย์ซื่อในการภาวนา ข้ารับใช้ที่เชื่อว่าพระทรงฟังคำภาวนาของเขา แม้ว่าคำวอนขอนั้นดูเหมือนจะเป็น
ไปไม่ได้ก็ตาม สำหรับคำภาวนาที่ออกมาจากดวงใจที่เปี่ยมด้วยความเชื่อศรัทธา พระองค์จะทรงจัด
เตรียมทุกอย่างให้ ดังนั้น จงวางใจในพระ
...ไม่มีคำภาวนาใดไร้ผลสำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ ....จบ