เรื่องสั้นสอนใจ ( ชุดที่ 13 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 12:15 pm

( 1 )

มี 2 ตอนจบ

ผีเสื้อสามพี่น้อง ตอนที่ ( 1 )จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Three Butterflies”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

มีผีเสื้อสามพี่น้องที่สวยงามและรักกันมากด้วย แม่สอนลูกทั้งสามว่า“จงจำไว้เสมอว่าพวกลูก
จะต้องพึ่งพาอาศัยกันและช่วยเหลือกันเสมอ แม้ว่าปีกของพวกเราจะบอบบางแต่ถ้าผนึกกำลังกัน
เราก็จะแข็งแกร่งกว่าดวงอาทิตย์ ลมและฝนรวมกัน ดังนั้นถ้าเราไม่สามัคคีกัน เราก็จะเป็น
เพียงผีเสื้อ ธรรมดาที่อ่อนแอเท่านั้น”

ลูกทั้งสามเชื่อฟังแเม่เป็นอย่างดีและให้สัญญาว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกันตลอดไป

เมื่อลูกผีเสื้อทั้งสามเติบโตขึ้น พวกเธอก็อยากออกเดินทางไปเที่ยวรอบโลกเพื่อจะมีประสบการณ์
ที่สนุกตื่นเต้น จะได้พบกับต้นไม้ ดอกไม้และผลไม้ที่แปลกหูแปลกตาไปจากที่พบเห็นในท้องถิ่น
นอกจากนั้น ยังจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในถิ่นที่อยู่เป็นประจำอีกด้วย และอยู่มาวันหนึ่ง
พวกเธอก็บอกลาแม่พร้อมกับบินร่อนออกไป ต่างมีความสุขและส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้
หลังจากพวกเธอพากันบินไปได้ราวครึ่งวันและกำลังจะบินผ่านเมฆใหญ่ก้อนหนึ่งที่เฝ้ามองพวกเธอ
อยู่ตั้งแต่ต้น เมฆอิจฉาความสุขของพวกเธอที่เกาะกลุ่มบินกันอย่างร่าเริงตลอดเวลา เมฆจึงนึกสนุก
ขึ้นมาบ้างและพูดกับตัวเองว่า “ฉันอยากจะทดสอบความรักความสามัคคีของพวกเธอว่าจะจีรังยั่งยืน
มากน้อยเพียงใด” และไม่นานต่อมา เมฆใหญ่ก้อนนั้นก็เปลี่ยนสภาพเป็นเมฆฝนสีดำ และครู่ต่อมา
ฝนก็เริ่มตกหนัก

เมื่อต้องบินขณะฝนตก ตอนแรกทั้งสามก็ช่วยกันบินโดยผลัดกันบินซ้อนตัวอยู่ในแนวเดียวกันเพื่อให้
ตัวที่อยู่ข้างล่างเปียกฝนน้อยที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผีเสื้อน้องเล็กสีแดงก็สารภาพกับพี่ทั้งสองว่า
เธอคงจะอดทนบินต่อไปอีกได้ไม่นาน ผีเสื้อผู้พี่จึงพูดว่า "เราคงต้องหาที่หลบฝนกันก่อนที่ปีกของเรา
จะต้านน้ำฝนไม่ไหว" จากนั้นผีเสื้อพี่ใหญ่สีน้ำเงินก็บินนำไปที่แปลงต้นดอกกุหลาบสีแดง และเมื่อบินไป
ถึง พี่ใหญ่สีน้ำเงินก็พูดกับต้นกุหลาบสีแดงว่า “คุณกุหลาบผู้ใจดีคะ ขอความกรุณาให้พวกเราสามพี่น้อง
ได้หลบฝนอยู่ใต้ดอกกุหลาบสีแดงของคุณจนกว่าฝนจะหยุดตกได้ไหมคะ”
……………………………………………………………………………………………………………………

ผีเสื้อสามพี่น้อง ตอนที่ ( 2 ) จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Three Butterflies” แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ต้นกุหลาบแดงตอบว่า “ไม่มีปัญหาหรอกสำหรับผีเสื้อสีแดง แต่ผีเสื้อสีอื่นห้ามเข้า เพราะพวกเรา
ดอกไม้ที่นี่เป็นดอกไม้สีแดง ดังนั้นผู้ที่มีสีแดงเท่านั้นจึงเป็นพวกเดียวกันกับเรา”

ทันใดนั้นผีเสื้อสีแดงผู้เป็นน้องเล็กก็พูดตอบต้นกุหลาบแดงว่า “ถ้าคุณไม่รับพี่ทั้งสองของฉัน
ฉันก็จะ ไม่ขอหลบฝนอยู่ที่นี่เพียงลำพังค่ะ”

พี่ผีเสื้อทั้งสองเมื่อได้ยินน้องปฏิเสธต้นกุหลาบแดง ต่างก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้น้องเล็กเปลี่ยนใจ
แต่น้องเล็กยืนยันความตั้งใจของเธอ และที่สุดทั้งสามก็พากันบินต่อไปจนไปถึงแปลงดอกไม้สีม่วง
ซึ่งเป็นสีเหมือนกับผีเสื้อที่เป็นน้องกลาง และเหตุการณ์ก็ดำเนินไปในลักษณะเดิม คือผีเสื้อน้องกลาง
ปฏิเสธที่จะรับไมตรีของต้นดอกไม้สีม่วง แล้วทั้งสามก็ออกเดินบินด้วยกันอย่างเหนียวแน่นต่อไป

เมฆฝนรู้สึกหงุดหงิดที่แผนการของเขาล้มเหลวถึงสองครั้งจึงเร่งทำให้ฝนตกหนักขึ้นอีก ผีเสื้อพี่น้อง
ทั้งสามอดทนบินต่อไปได้ครู่หนึ่งก็มาถึงแปลงดอกไม้สีน้ำเงิน และครั้งนี้ผีเสื้อสีน้ำเงินซึ่งเป็นพี่คนโต
ประกาศก้องไปทั่วแปลงดอกไม้สีน้ำเงินว่า “ฉันยอมตายดีกว่าจะทิ้งน้องสุดที่รักทั้งสองของฉันไป”

ในที่สุด เมื่อความรักความสามัคคีของผีเสื้อสามพี่น้องเป็นที่ประจักษ์ชัด เมฆฝนผู้ทดสอบก็รู้สึก
ละอายใจที่ได้พยายามทำร้ายพวกเธอทั้งสามให้แตกสามัคคีกันไม่สำเร็จ และไม่นานหลังจากนั้น
เมฆฝนก็เปิดทางให้ดวงอาทิตย์ฉายแสงผ่านและเปลี่ยนตัวเองเป็นเมฆสีขาวนวลพร้อมกับอากาศ
ที่แจ่มใสท่ามกลางความปีติยินดีของผีเสื้อสามพี่น้องที่บินท่องเที่ยวสำรวจโลกต่อไปด้วยกัน
อย่างมีความสุข

ข้อคิด :
ความสามัคคีเป็นlสิ่งที่ทรงพลังที่สุดสำหรับผู้ที่ทำงานร่วมกัน เราไม่สามารถประสบความสำเร็จ
ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง : Unity is the most powerful force for individuals who work together;
you can't achieve everything by yourself alone.

-----------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 12:40 pm

( 2 )

นิทาน เรื่อง เมื่อแม่ประกาศอิสรภาพ

แม่ของฉันไม่เคยนอนหลับสนิท
เธอเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย ขี้หงุดหงิด และเต็มไปด้วยความขมขื่น เธอป่วยอยู่เสมอ
จนกระทั่งวันหนึ่ง... เธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

วันหนึ่ง พ่อของฉันพูดกับแม่ว่า – ผมหางานมา 3 เดือนแล้ว
ยังไม่ได้เลย เดี๋ยวผมจะออกไปดื่มเบียร์กับเพื่อนนะ แม่ตอบว่า: – ได้สิ

พี่ชายฉันพูดว่า
– แม่ครับ ผมเรียนตกทุกวิชา ที่มหาวิทยาลัยเลย
แม่ตอบว่า:
– โอเค ลูกก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมานะ ถ้าฟื้นไม่ได้ก็ซ้ำเทอมนะ
แต่ลูกต้องเป็นคนจ่ายค่าเรียนเองนะ

น้องสาวฉันพูดว่า
– แม่ หนูขับรถชนค่ะ
แม่ตอบว่า:
– โอเคลูก พารถไปเข้าอู่ แล้วหาวิธีจ่ายค่าเสียหาย ระหว่างนี้ก็ขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้าไปก่อนนะ

สะใภ้ของแม่พูดว่า
– แม่คะ หนูจะมาพักอยู่กับแม่สักสองสามเดือน
แม่ตอบว่า
– ได้เลยลูก ไปนอนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น แล้วไปหยิบผ้าห่มในตู้เอาเองนะ

พวกเราทั้งบ้านเริ่มรู้สึกเป็นห่วงกับท่าทีของแม่ที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ เราสงสัยว่าแม่ไปหาหมอ
แล้วหมอสั่งยาอะไรบางอย่างให้แม่กิน บางทีแม่อาจจะกินยาเกินขนาด
ยาชื่อว่า "ช่างแม่มันเถอะ" ก็ได้!

พวกเราจึงคิดว่าจะทำ “การแทรกแซง” กับแม่เพื่อให้แม่เลิกติดยาต้านอารมณ์เสียอะไรนั่น
แต่แล้ว... แม่ก็เรียกพวกเรามานั่งรวมกัน แล้วแม่ก็พูดว่า

"แม่ใช้เวลานานมาก กว่าจะเข้าใจว่า แต่ละคน ต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง
แม่ใช้เวลาหลายปีในการค้นพบ ว่า ความกังวล ความเครียด
ความเศร้า ความกลัว การนอนไม่หลับ หรือแม้แต่ความโกรธของแม่...มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา
ของพวกเธอเลย

แต่กลับทำให้ชีวิตแม่ย่ำแย่ลง แม่ไม่ใช่คนที่ต้องรับผิดชอบ กับการกระทำของใครทั้งนั้น
และหน้าที่ของแม่ ไม่ใช่การทำให้พวกเธอมีความสุข สิ่งที่แม่ควรรับผิดชอบ
คือปฏิกิริยาและการตอบสนอง ของตัวแม่เองต่างหาก

เพราะฉะนั้น แม่จึงตัดสินใจว่า
หน้าที่ของแม่ต่อแม่เองคือการรักษาความสงบในใจ และปล่อยให้แต่ละคนแก้ไขปัญหา
ของตัวเอง แม่ไปเรียนมาเยอะนะ ทั้งโยคะ สมาธิ การพัฒนาศักยภาพมนุษย์ สุขภาพจิต
การสั่นสะเทือนภายในและ NLP (การโปรแกรมภาษาสื่อประสาท)
และในทุกหลักสูตร แม่พบว่า ‘สิ่งเดียวที่แม่ควบคุมได้คือ...ตัวเอง’

พวกเธอล้วนมีทรัพยากรในตัว พอที่จะจัดการกับปัญหาของตัวเอง แม้มันจะยากก็ตาม
หน้าที่ของแม่คือ อธิษฐานเพื่อพวกเธอ รักพวกเธอ และให้กำลังใจพวกเธอ ส่วนการแก้ปัญหา
และหาความสุข... เป็นเรื่องของพวกเธอเอง
แม่จะให้คำแนะนำได้ ก็ต่อเมื่อมีคนถาม และการจะฟังหรือไม่ฟัง
ก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอ การตัดสินใจของแต่ละคนมีผลตามมาเสมอ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย และคนที่ต้อง
อยู่กับผลลัพธ์ก็คือ...ตัวเธอเอง

เพราะฉะนั้น นับจากนี้ไป แม่จะไม่เป็นที่ระบายความผิด ไม่เป็นถังรองรับความรู้สึกผิด
ไม่ใช่คนซักผ้าความเสียใจของเธอ ไม่ใช่ทนายความแก้ตัวแทนเธอ ไม่ใช่กำแพงน้ำตา
ไม่ใช่ผู้รับภาระหน้าที่ของเธอ และไม่ใช่ยางอะไหล่ในชีวิตของเธออีกต่อไป จากนี้ไป
แม่ขอประกาศว่า... พวกเธอทุกคนคือผู้ใหญ่ที่มีอิสรภาพ และสามารถพึ่งพาตนเองได้แล้ว"

ทุกคนในบ้านนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรเลย... แต่จากวันนั้นเป็นต้นมา... ครอบครัวของเรา
ก็เริ่มมีระเบียบ และทำงานได้ดีขึ้น เพราะทุกคนรู้ว่า อะไรคือหน้าที่ของตัวเอง สำหรับบางคน
เรื่องนี้อาจฟังดูยาก เพราะเราโตมากับบทบาทของ “ผู้ดูแล” และรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบคนอื่น
ในฐานะแม่และภรรยา เรามักจะเป็น “คนแก้ทุกอย่าง” เราไม่อยากให้คนที่เรารัก
ต้องเจ็บปวดหรือเผชิญความลำบาก เราอยากให้ทุกคนมีความสุขเสมอ แต่ยิ่งเราปลดภาระนี้
ลงจากบ่า และส่งต่อให้แต่ละคนรับผิดชอบชีวิตตัวเองเร็วเท่าไรเราก็ยิ่งช่วยเตรียมให้พวกเขา
"รับผิดชอบตนเอง" ได้ดีเท่านั้น

เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกสิ่ง
ของทุกคน หยุดกดดันตัวเองแบบนั้นเถอะ ด้วยความรักอย่างลึกซึ้ง

Charlyn

ผ่านทาง The Soul Journey with Sarah Moussa
อ้างอิง This Will Knock Your Socks Off
เจาะเวลาหาอดีต ถอดความ
Cr : Fw Line
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
นิทานเรื่องนี้ต้องโดนใจ คนหลายคนทีเดียว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะ แม่ หรือภรรยา พ่อ หรือสามี

หากถอดบทเรียนกลับไปหาที่รากของปัญหาที่แท้จริง
คุณผู้อ่านอ่านคิดว่า คืออะไรคะ ?
ราก ของปัญหา คือ เราไป..แบกรับทุกสิ่ง..ไว้เอง ! เราโตมาแบบนั้น
ผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูเราก็ทำแบบนั้น และเราก็คิดว่าวิธีนี้ถูกต้อง เป็นความรับผิดชอบ
ที่ต้องมี ให้กับคนในครอบครัว

แต่ ! นิทานเรื่องนี้มาสอนให้ปล่อยวาง ! แล้วกลับไปที่..ความจริงแท้
ของการเติบโต และการใช้ชีวิต !
ทุกคนเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง จึงต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง 100% จะสุข จะทุกข์
จะสำเร็จ จะล้มเหลวทุกอย่างต้องเรียนรู้เอง และแก้ไขด้วยตัวเองให้ได้
จึงจะยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป แม้ในวันที่เหลือแต่ตัวเองคนเดียว ไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตใคร
ได้ตลอดไป เพราะอีกไม่นานคนที่รับผิดชอบก็ต้องจากไปอยู่ดี และหากไม่เคยปล่อย
ให้เจ้าของชีวิตเขารับผิดชอบตัวเองวันที่เขาไม่มีเราแล้ว เขาจะอยู่อย่างไร

วาง !!!!
ความเชื่อที่ยึดถือมาตลอด ลงเสีย
》》มอบ "อิสรภาพ" ในการตัดสิน ในชีวิตของเจ้าตัวเอง กลับคืนให้เขา
นอกจากตัวเรา จะเบาสบาย ได้ดูแลชีวิตตัวเองมากขึ้น
นอกจากตัวเขา จะรู้สึกเบาสบายขึ้นที่ได้รับอิสรภาพในการดูแลชีวิตตัวเอง เราทั้งสอง
จะได้สร้างความพร้อมที่จะรับมือกับ...
ความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จ ความล้มเหลวที่...เกิดขึ้น
ภายใต้ความรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ใครที่ยังแบก..ชีวิตคนอื่นไว้
ถึงเวลา 》》วางลงแล้วนะคะ

#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 12:43 pm

( 3 )

----->เรื่องสั้น
กบสองตัว จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Two Frogs”

แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ขณะที่กบฝูงหนึ่งกำลังกระโดดไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปในป่าแห่งหนี่งอยู่นั้น มีกบ 2 ตัวในฝูง
กระโดดพลาดตกลงไปในหลุมลึก พวกเพื่อนกบต่างบอกกบทั้งสองที่อยู่ในหลุมว่า ทั้งสองไม่มี
ทางรอดแล้วเพราะหลุมนั้นลึกมาก อย่างไรก็ตามกบทั้งสองไม่สนใจคำพูดของเพื่อนกบที่อยู่รอบ
บ่อ ที่พร่ำบอกให้ทั้งสองหยุดกระโดดและให้ตั้งสติเตรียมตัวตายอย่างสงบเพราะยังไงก็จะต้องตาย

หลังจากที่ทั้งสองกระโดดอยู่ต่อไปได้พักหนึ่ง กบตัวหนึ่งก็ยอมแพ้เลิกกระโดดและปล่อยตัวนอน
ลงตายไป ขณะที่กบอีกตัวหนึ่งยังคงกระโดดต่อไปและกระโดดสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนที่สุดก็ออกมาอยู่นอก
หลุมได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อเพื่อนกบถามมันว่า “แกไม่ได้ยินเสียงตะโกนให้เลิกกระโดดของพวกเราหรือ”

กบที่รอดชีวิตมาได้ไม่ได้ตอบอะไร มันยังคงนิ่งเฉย และท้ายที่สุดเพื่อนกบทั้งหลายก็ทราบว่า มันเป็น
กบหูหนวกนั่นเอง เมื่อตอนที่มันกระโดดอยู่ในหลุมนั้น มันสังเกตเห็นเพื่อนกบทุกตัวที่อยู่รอบหลุมส่ง
เสียงร้องตะโกนอยู่ มันจึงเข้าใจว่าเพื่อนกบทั้งหลายกำลังส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจมันกระโดดต่อไป
อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด!

ข้อคิด : ลิ้นมีทั้งพลังให้ชีวิตและความตาย คำพูดที่ไพเราะกับผู้ที่ซึมเศร้าอาจช่วยให้ผู้นั้นเข้มแข็ง
และผ่านพ้นวันที่มีปัญหาไปได้ : The tongue has both life and death power. A kind word
to a depressed person might boost them up and help them get through the day.

--------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 12:46 pm

( 4 )

------->เรื่องสั้น
ช้างกับหนู จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Story of the Elephants and the Mice”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่ง มีหนูฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าอย่างสงบสุขพร้อมกับราชาหนู ต่อมามีช้างโขลงหนึ่ง
ผ่านเข้ามาและทำลายโพรงที่อยู่ของหนูทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีหนูหลายตัวที่วิ่งหนีไม่ทันถูกช้าง
เหยียบตายอีกด้วย

ราชาหนูจึงตัดสินใจไปเจรจากับช้างที่เป็นจ่าโขลง และขอร้องให้เขาพาช้างในโขลงไปหากินที่อื่น

ช้างจ่าโขลงเข้าใจปัญหาของพวกหนูและมีความเห็นอกเห็นใจจึงพาช้างในโขลงของตนไปหากิน
ที่อื่น ส่วนพวกหนูก็ช่วยกันขุดรูทำโพรงใหม่ใกล้บริเวณเดิมและอาศัยอยู่ในป่านั้นต่อไปด้วยความสงบสุข

อยู่มาวันหนึ่ง ช้างโขลงนี้ติดอยู่ในตาข่ายใหญ่ของนายพรานกลุ่มหนึ่ง พวกมันพยายามหาทางออก
จากตาข่ายที่ทำด้วยเชือกที่เหนียวมากแต่ไม่สำเร็จ ทันใดนั้นช้างจ่าโขลงก็นึกถึงราชาหนูที่มันเคยให้
ความช่วยเหลือ ช้างจ่าโขลงให้พวกช้างทุกตัวช่วยกันปลดตาข่ายให้ช้างเพียงตัวเดียวเป็นอิสระให้ได้
และไม่นานต่อมาพวกมันก็ทำได้สำเร็จ จากนั้นช้างจ่าโขลงก็ส่งช้างตัวนี้ไปพบราชาหนูในบริเวณที่พวกเขา
เคยทำลายโพรงของพวกมันมาก่อนเพื่อแจ้งข่าวร้ายที่พวกช้างกำลังประสบอยู่

เมื่อราชาหนูรับทราบถึงเหตุร้ายที่เกิดกับโขลงช้าง ราชาหนูก็ให้หนูในฝูงทุกตัววิ่งแข่งกันไปให้
ความช่วยเหลือ และเมื่อพวกมันมาถึง ต่างก็ใช้ฟันที่แหลมคมกัดตาข่ายเชือกจนขาดกระจุยได้ในเวลา
ไม่นาน และช้างทั้งโขลงก็รอดพ้นจากตาข่ายของพวกนายพรานได้โดยสวัสดิภาพ

ข้อคิด : เพื่อนแท้คือเพื่อนที่ให้ความช่วยเหลือในยามยาก : A friend in need is a friend indeed.

---------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 12:53 pm

( 5 )

มี 2 ตอนจบ

เจ้าหญิงเบลล์ ตอนที่ ( 1 )) จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Princess Belle”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่ง มีเจ้าชายองค์หนึ่งอาศัยอยู่ในปราสาทในเขตชานเมือง เจ้าชายมีนิสัยหยาบคาย
และเห็นแก่ตัว วันหนึ่งมีแม่มดมาปรากฏตัวขึ้นและร่ายมนตร์เปลี่ยนเจ้าชายเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัว
จากนั้นแม่มดก็วางกุหลาบทิพย์ดอกหนึ่งไว้ข้างสัตว์ร้ายตัวนั้นพร้อมกับพูดว่า ถ้าเขาไม่พบรักแท้
ก่อนที่ดอกกุหลาบกลีบสุดท้ายร่วง เขาจะต้องเป็นสัตว์ร้ายเช่นนั้นตลอดไป

ใกล้กับปราสาทของเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาป มีครอบครัวหนึ่ง ผู้เป็นบิดาชื่อโมริซ (Maurice)
กับลูกสาวชื่อเบลล์อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน เบลล์เป็นหญิงสาวที่น่ารักและรักการอ่านหนังสือ เธออยาก
เป็นนักผจญภัยเหมือนกับพระเอกนักผจญภัยในหนังสือเล่มโปรดของเธอ ในหมู่บ้านนั้นมีเด็กหนุ่ม
คนหนึ่งชื่อแกสตัน (Gaston) เขาเป็นผู้กว้างขวางมีอิทธิพลในหมู่บ้านและหลงรักเบลล์ แกสตันเคย
ขอเธอแต่งงาน แต่เธอปฏิเสธ แกสตันรู้สึกแปลกใจกับนิสัยรักการอ่านหนังสือของเบลล์ และกล่าวว่า
"การอ่านหนังสือไม่เหมาะกับผู้หญิง"

โมริซ บิดาของเบลล์เป็นนักประดิษฐ์เครื่องไม้ใช้สอย เขาชอบประดิษฐ์อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วย
ให้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้นและมักเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว ผลงานล่าสุดของเขาที่ได้รับรางวัล
คือเครื่องตัดไม้อัตโนมัติ และขณะที่เจ้าชายถูกแปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายอยู่นั้น โมริซก็กำลังจะเข้าร่วม
การแข่งขันของนักประดิษฐ์ครั้งสำคัญซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองที่อยู่ห่างไกล

เบลล์พูดกับบิดาที่รักว่า “พ่อจะชนะเลิศการแข่งขันครั้งนี้อย่างแน่นอน” ก่อนถึงวันแข่งขัน 2 วัน
โมริซขึ้นหลังม้าออกเดินทางจากบ้านเพื่อไปเข้าร่วมการแข่งขัน ขณะเดินทางผ่านป่าใหญ่ที่หนาทึบ
โมริซเกิดหลงอยู่ในป่าและถูกหมาป่าฝูงหนึ่งไล่กัด เขารีบควบม้าเตลิดหนีจนเข้ามาใกล้ปราสาทของ
เจ้าชายที่เปลี่ยนสภาพเป็นสัตว์ร้าย และโดยไม่คาดคิด ก่อนที่โมริซจะหาที่ซ่อนได้ในปราสาท เขาก็เ
ผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายขนาดมหึมาอยู่เบื้องหน้า สัตว์ร้ายโกรธมากเพราะ คิดว่าโมริซจะมาก่อเรื่องทำ
ความเดือดร้อนในปราสาทของเขา สัตว์ร้ายจึงคว้าตัวเขาลงจากหลังม้าและจับโมริซขังคุกในปราสาทนั้น

ม้าของโมริซเมื่อไม่มีผู้ขี่อยู่บนหลังก็วิ่งกลับบ้านตามลำพัง เบลล์ที่พบว่าม้ากลับมาโดยไม่มีบิดาด้วย
เธอจึงขึ้นขี่ม้าของบิดาซึ่งพาเธอกลับไปที่ปราสาทที่บิดาถูกขังอยู่อีกครั้งหนึ่ง และเบลล์ก็ได้เผชิญหน้า
กับสัตว์ร้ายซึ่งบอกเธอว่า มันเป็นผู้ขังบิดาของเธอเอง หลังจากการเจรจาต่อรองอยู่พักหนึ่ง ที่สุดเธอ
ขอให้สัตว์ร้ายปล่อยบิดาของเธอ และให้จับตัวเธอไปขังแทนจนตลอดชีวิตซึ่งสัตว์ร้ายก็ยอมตกลงด้วยดี

เจ้าหญิงเบลล์ ตอนที่ ( 2 ) ตอนจบ
Inspirational Moral Stories เรื่อง “Princess Belle”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันแรกที่เบลล์ถูกขังอยู่นั้น เธอได้พบกับบรรดาคนรับใช้ของเจ้าชายที่ถูกเวทมนตร์ของแม่มดเปลี่ยนส
ภาพเป็นถ้วยชามที่ใส่อาหารและน้ำดื่มของเธอ พวกเขาเป็นคนใจดีมีน้ำใจและให้การต้อนรับเบลล์
ในฐานะแขกรับเชิญพิเศษเป็นอย่างดี จากนั้นพวกเขาก็พาเธอไปที่โต๊ะอาหาร แต่เมื่อเธอทราบว่าผู้ที่
จะร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเธอคือสัตว์ร้ายที่ขังเธอนั่นเอง เธอจึงปฏิเสธไม่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย
สัตว์ร้ายโกรธและส่งเสียงคำรามดังไปทั่วปราสาท เพราะมันรอโอกาสด้วยความหวังว่าเบลล์จะมอบ
ความรักแท้ให้กับมันเพื่อที่มันจะได้หลุดพ้นจากคำสาปก่อนที่กลีบดอกกุหลาบสุดท้ายจะร่วงหล่น
ขณะเดียวกันเบลล์ก็เหลือบไปเห็นดอกกุหลาบทิพย์วางอยู่ใกล้ตัวเธอ เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบแต่
สัตว์ร้ายคว้าดอกกุหลาบทิพย์ได้ก่อนและไล่เธอออกจากปราสาทไป

ขณะที่เธอเริ่มเดินออกจากปราสาท เธอก็พบหมาป่าฝูงที่เคยไล่ล่าบิดาของเธอ สัตว์ร้ายที่ไล่เธอ
ออกจากปราสาทเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า จึงเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้อย่างดุเดือดกับพวกหมาป่า
จนที่สุดพวกหมาป่าเตลิดหนีไป

เบลล์ประทับใจการเอาชีวิตเข้าแลกของสัตว์ร้ายจากหมาป่า เธอจึงตอบรับคำเชิญร่วมรับประทาน
อาหารค่ำมื้อนั้นกับสัตว์ร้าย อีกทั้งยังได้เต้นรำด้วยกันด้วย หลังจากพักอยู่ที่ปราสาทต่อไปได้ไม่กี่วัน
เบลล์ก็คิดถึงบิดาของเธอและขอให้สัตว์ร้ายอนุญาตให้เธอไปเยี่ยมบิดาที่หมู่บ้าน ซึ่งสัตว์ร้าย
ก็ให้อนุญาตโดยไม่มีเงื่อนไขใด

เบลล์มีความสุขมากเมื่อกลับถึงบ้าน เธอพูดถึงคุณความดีของสัตว์ร้ายต่อหน้าบิดาและแกสตัน
ซึ่งผ่านมาเยี่ยมบิดาของเธอพอดี เมื่อแกสตันทราบว่าเบลล์ชื่นชมสัตว์ร้ายก็รู้สึกโกรธจัด และตรงไป
ที่ปราสาทเพื่อจะฆ่าสัตว์ร้าย

เมื่อมาถึงปราสาท แกสตันก็ใช้มีดแทงสัตว์ร้ายจนล้มลงบนพื้น แต่เบลล์ซึ่งตามมาด้วยช่วยลาก
สัตว์ร้ายที่บาดเจ็บไปอยู่ในมุมที่ปลอดภัย เธอร้องไห้พร้อมกับประกาศว่า เธอรักสัตว์ร้าย และสิ่งที่
ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นโดยพลันขณะที่เธอประกาศว่าเธอรักสัตว์ร้ายอยู่นั้น เพราะกลีบกุหลาบสุดท้าย
ก็ร่วงหล่นพอดีและดังนั้นสัตว์ร้ายจึงกลายร่างกลับเป็นเจ้าชายงามสง่า ทั้งสองต่างรักกันโดยไม่
เสแสร้งและไม่กี่วันต่อมาก็ได้แต่งงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกันในปราสาทหลังนั้น

---------------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 12:59 pm

( 6 )

นิทานเรื่องนี้น่าสนใจและน่าคิดสำหรับผู้ชายทั้งปวง หากคุณเป็นชาย จงอ่านแล้วไตร่ตรอง..
หากคุณเป็นหญิงก็เชิญเพลิดเพลินในการอ่านครับ..

กาลครั้งหนึ่งเมื่อคิงอาเธอร์ยังหนุ่มแน่น พระองค์พลาดท่าถูกกษัตริย์ของอาณาจักรข้างเคียงซุ่ม
โจมตี และจับตัวเป็นเชลยและจะถูกประหาร..แต่เนื่องจากประทับใจในความมีอุดมการณ์ และเห็นว่า
ยังหนุ่มนัก กษัตริย์ผู้พิชิตจึงคิดปล่อยตัวให้เป็นอิสระแต่มีเงื่อนไขว่า ภายในเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่
ถูกปล่อยตัวไป คิงอาเธอร์ต้องตอบปัญหาที่แสนยากคำถามหนึ่งให้ใด้ หากตอบปัญหานั้นไม่ได้
คิงอาเธอร์จะต้องตาย..

ปัญหานั้นคือ: "แท้จริงแล้วผู้หญิงต้องการอะไรที่สุด?"

คำถามนี้แม้แต่ผู้ทรงความรู้ที่สุดก็ยังต้องถึงกับงงงวยและสำหรับคิงอาเธอร์ที่ยังหนุ่มแน่นมันเป็น
คำถาม ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบถูก.. แต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องตายลงในตอนนี้ เขาจึงรับว่าจะตอบให้ใด้
ภายในเวลาหนึ่งปี.

เมื่อกลับถึงอาณาจักรของตน
อาเธอร์กษัตริย์หนุ่มก็เริ่มสอบถามไปทั่วเพื่อหาคำตอบ ไม่ว่าจะจากเจ้าหญิงทั้งหลาย พวกนักบวช
นักปราชญ์แม้แต่พวกตลกหลวง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจเสียที.

ในที่สุดหลายๆคนก็แนะนำว่าควรไปปรึกษาแม่มดเฒ่าผู้ทรงเวทย์ แต่ทว่าปัญหาก็คือ ราคาค่าตอบ
ปัญหาของแม่มดนั้นก็มักจะแรงและสูงมาก เป็นที่รับรู้กันทั่วแผ่นดิน...

จนกระทั่งวันสิ้นสุดของหนึ่งปีใกล้จะมาถึง คิงอาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียแต่ว่าเขาต้องขอคำ
ปรึกษาจากแม่มดเฒ่าเท่านั้น..

แม่มดตกลงช่วยแต่ก่อนที่จะตอบคำถาม เขาต้องยอมรับราคาค่างวดของแม่มดเสียก่อน และนั่นก็คือ...

เธอต้องการแต่งงานกับเซอร์ลาซ์ลอต อัศวินโต๊ะกลมผู้ทรงเกียรติและยังเป็นมิตรสนิทของคิงอาเธอร์
อีกด้วย กษัตริย์หนุ่มตระหนกตกใจมาก...ก็ยายแม่มดหลังโกงและน่าเกลียดน่ากลัว ฟันก็มีเพียงซี่เดียว
กลิ่นตัวเหม็นเหมือนท่อน้ำทิ้ง เสียงก็สุดอัปลักษณ์ เขาไม่เคยเข้าใกล้ๆใครที่เหม็นสาบเช่นนี้มาก่อนเลย
เขาทำไม่ได้ที่จะให้เพื่อนรักต้องมารับภาระเช่นนี้เพื่อตน...

แต่ทว่า เมื่อเซอร์ลานซ์ลอตทราบถึงเรื่องข้อเสนอของแม่มดนี้ เขาจึงกล่าวว่าเพื่อปกป้องชีวิตของ
คิงอาเธอร์เพื่อนรักนั้นไม่มีอะไรที่เขาจะสละไม่ได้ และดังนั้นการแต่งงานระหว่างแม่มดและ
เซอร์ลานซ์ลอตจึงได้ประกาศขึ้น และแม่มดก็ยอมตอบคำถาม....

คำถามของคิงอาเธอร์ : "แท้จริงแล้วผู้หญิงต้องการอะไรที่สุด?"

แม่มดตอบว่า "ผู้หญิงต้องการจะเป็นผู้ควบคุมชีวิตของตนเอง"

ทุกๆคนในอาณาจักรเมื่อได้ยินคำตอบนี้ต่างก็เห็นว่าที่แม่มดตอบมานั้นเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่และ
คิงอาเธอร์จะได้รับการไว้ชีวิต และการก็เป็นไปตามนั้น กษัตริย์แห่งอาณาจักรข้างเคียงเจ้าของคำถาม
องค์นั้นก็พอใจในคำตอบ....แล้วงานแต่งงานแสนอัศจรรย์ระหว่างเซอร์ลานซ์ลอตและแม่มดก็เกิดขึ้น....

...เมื่อชั่วโมงแห่งน้ำผึ้งพระจันทร์ใกล้เข้ามาเซอร์ลานซ์ลอตก็เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับประสพการณ์อัน
น่าสยองที่จะเกิดขึ้น..เขาก้าวเข้าไปยังห้องนอน แต่....ภาพที่รอปรากฏต่อสายตาของเขานั้น คือภาพ
ของหญิงสาวที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบเจอ ด้วยความงุนงง เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น? สาวสวยตอบว่า เนื่อง
จากเธอเห็นในความมีจิตใจที่มีเมตตาไม่รังเกียจ ยอมรับเธอได้เมื่อเธออยู่ในรูปโฉมอันน่าเกลียด

ดังนั้นนับจากนี้ไปเธอจะมีรูปโฉมอันสวยงามเช่นนี้ครึ่งหนึ่งของวันและอีกครึ่งวันนั้นเธอจะมีรูปโฉมของแม่มด..

เธอต้องการแบบไหน? แม่มดในร่างสาวสวยถาม “สวยกลางวัน หรือว่าสวยกลางคืน?"

ช่างเป็นปัญหาที่แสนยากยิ่ง ลาซ์ลอตคิด..หากเป็นสวยกลางวันเขาก็สามารถอวดเพื่อนๆได้แต่กลางคืน
อยู่ในรโหฐานเพียงลำพัง หล่อนเป็นแม่มดน่าเกลียด..

หรือว่า

เขาจะเจอแม่มดอัปลักษณ์ในเวลากลางวันแต่พอกลางคืนเขาจะมีสาวแสนสวยน่าภิรมย์ไว้เชยชม...

(ถ้าหากคุณเป็นชายและกำลังอ่านอยู่ คุณจะเลือกแบบไหน????)

(ถ้าหากคุณเป็นผู้หญิงและกำลังอ่านอยู่คุณคิดว่าคำตอบจากผู้ชายของคุณคืออะไร????)

คำตอบของเซอร์ลานซ์ลอตอยู่ข้างล่างครับ แต่กรุณาเลือกคำตอบของคุณในใจก่อนจะเลื่อน
ลงไปอ่านนะครับ....

เพราะเซอร์ลานซ์ลอตรู้คำตอบของคิงอาเธอร์มาก่อนแล้วเขาจึงฉลาดที่จะตอบแม่มดว่า เขาให้เธอ
เป็นคนเลือกเองดีกว่าว่าเธอต้องการจะสวยเวลาใดเขายอมรับได้ทั้งนั้น....เมื่อได้ยินดังนั้นแม่มดจึง
ตอบท่านเซอร์ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอจะเป็นคนสวยของเขาตลอดเวลา ด้วยเหตุผลว่าเขาให้เกียรติที่
ให้ผู้หญิงเป็นผู้ตัดสินชีวิตด้วยตนเอง ไม่ทำตัวเป็นผู้บงการชีวิตเธอนั่นเอง...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1.ในตัวผู้หญิงทุกคนมีแม่มดซุกซ่อนอยู่ ไม่ว่าเธอจะสวยงามเพียงใด มันแล้วแต่กรรมว่าคุณผู้ชาย
จะจัดการอย่างไร..
2.หากคุณยอมให้ผู้หญิงตัดสินใจด้วยตนเอง คุณย่อมจะได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด แต่หากคุณบังคับฝืนใจ
หล่อนจะให้ใด้ดังใจละก็ เธอจะกลายเป็นแม่มดโดยพลัน...
สรุปใครเชื่อเมีย
ได้ดีทุกคน
5 5 5 ห้าห้าห้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ขอให้โชคดีครับผม
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่คุณมีภรรยาคนใหม่ คุณจะต้องพบกับแม่มดตลอดชีวิต ระวังตัวดีๆ

ขอบคุณ @นิทาน..ท่าน เซอร์ลานซ์ลอต..
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2025 3:01 pm

( 7 )


#เรื่องสั้น การผจญภัยของหอยทากน้อย จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Adventure of a Tiny Snail from the Garden to a Salad Bowl”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เช้าที่สดใสวันหนึ่ง คุณบิ๊กสวมถุงมือ หยิบแว่นขยายและถังน้ำก่อนจะเดินไปที่สวนของเขา
เขามองหาหอยทากไปทั่ว เมื่อพบก็จับแต่ละตัวใส่ถังน้ำอย่างเบามือเพื่อไม่ให้มีตัวใดบาดเจ็บ จากนั้น
เขาก็บอกพวกมันว่า
“เข้าไปอยู่ในป่ากันให้สบายนะและอย่ากลับเข้ามาในสวนของฉันอีก” เมื่อพูดเสร็จคุณบิ๊กก็คว่ำถัง
ปล่อยพวกมันไว้นอกรั้วบ้าน พร้อมกับติดป้ายที่กำแพงบ้านบริเวณสวนของเขามีข้อความว่า
“ห้ามเข้า : หอยทาก”
อย่างไรก็ตาม มีหอยทากเล็กตัวหนึ่งชื่อ “เจ้าจิ๋ว” มันเป็นหอยทากเพียงตัวเดียวที่รอดสายตาคุณบิ๊ก
เนื่องจากตัวของมันเล็กมากและขดตัวซ่อนอยู่ใต้ใบผักโขม
หลังจากวันนั้น เจ้าจิ๋วก็อาศัยอยู่ในสวนของคุณบิ๊กเพียงลำพัง แม้ว่ามันรู้สึกเสียใจกับเพื่อน ๆ
ที่ถูกจับไปอยู่ที่อื่นและคิดถึงพวกเขามาก แต่มันก็ดีใจที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินในการกินผัก ใบไม้
และผลไม้แสนอร่อยในสวน มันกินสตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักกาดหอม และผักโขมจนอิ่มแปล้ทุกวัน
ร่างกายของมันจึงโตขึ้นมากในเวลาอันสั้น และที่สุดการใช้ชีวิตราวกับเจ้าชายน้อยก็จบลงในบ่ายวันหนึ่ง
เมื่อคุณบิ๊กอยากจะทำซุปผักโขมและสลัดผักเป็นอาหารมื้อเย็นสำหรับทุกคนในครอบครัว

คุณบิ๊กเดินไปที่สวนพร้อมกับตะกร้าใส่ต้นผัก เขาริ่มเก็บพืชผักต่าง ๆ ที่จะใช้ทำอาหารเย็นวันนั้น
ครั้งนี้เจ้าจิ๋วก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ใบผักโขมเหมือนเดิม แต่ก็ไม่พ้นมือคุณบิ๊กที่เก็บใบโขมไปโดยไม่รู้ว่ามี
เจ้าจิ๋วซ่อนอยู่ใต้ใบผักโขมด้วย คุณบิ๊กนำตะกร้าผักไปที่ห้องครัวและล้างผักในตะกร้าขณะที่เจ้าจิ๋วดีดตัว
กระโดดหลบหนีไปได้ทีละใบ ที่สุดมันก็ถูกล้างทำความสะอาดไปพร้อมกับผักใบหนึ่งทั้งที่มันไม่ชอบอาบน้ำ
และรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยังหวังว่าจะสามารถหนีกลับไปอยู่ในสวนได้อีกครั้งหนึ่ง

คุณบิ๊กเตรียมอาหารเย็นโดยเริ่มจากหั่นผักทำสลัด จากนั้นคุณบิ๊กก็ตั้งน้ำให้เดือดเตรียมทำซุปผักโขม
เจ้าจิ๋วรู้สึกจวนตัวก็ดีดตัวกระโดดหนีไปซ่อนตัวอยู่ในชามสลัดผัก แล้วคุณบิ๊กก็หยิบชามสลัดไปวางลงบน
โต๊ะอาหาร
ลูก ๆ ของคุณบิ๊กรีบวิ่งไปที่โต๊ะอาหารทันทีที่เขาวางชามสลัด จากนั้นเด็ก ๆ ก็พร้อมจะเสียบส้อมลง
ในชามสลัดและเริ่มกิน แต่จู่ ๆ เด็กคนหนึ่งก็ร้องขึ้นว่า
“เฮ้ ดูสิ! มีหอยทากตัวใหญ่อยู่ในชามสลัดด้วย!”
คุณบิ๊กจึงบอกให้ลูก ๆ ของเขาเอาหอยทากไปปล่อยที่นอกบ้านในป่าที่เขาได้ปล่อยพวกหอยทากที่เขาจับ
ในวันก่อน เจ้าจิ๋วจึงรอดตายอย่างฉิวเฉียด มันรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่ในสวนของคุณบิ๊กอีกต่อไป แต่ก็ดีใ
จที่ได้กลับมาอยู่กับเพื่อนพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมาก่อนและพามันไปอยู่ในบ้านใหม่ที่มีพืชผักและ
ผลไม้ป่ามากมาย

------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ต.ค. 29, 2025 6:07 pm

( 8 )

เจ้าชายกบกับเจ้าหญิง ตอนที่ ( 1 ) 2 ตอนจบ จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Frog Prince : The Princess and The Frog”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง เมื่อถึงเวลาเลือกคู่ครอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายวังได้จัดหาชายหนุ่ม
ที่เห็นว่าเหมาะสมมาให้เธอเลือกหลายคน เมื่อเจ้าหญิงพิจารณาพวกเขาแต่ละคนแล้ว เธอพูดกับ
ตัวเองว่า “จุดประสงค์แท้จริงของพวกเจ้าชายเหล่านี้ที่มาให้เธอเลือกเป็นคู่ครองคือมงกุฎและ
เสื้อคลุมประดับอัญมณีที่งดงามของฉันเท่านั้น”

หลังจากการเลือกคู่ครองที่เจ้าหญิงไม่สามารถเลือกผู้ที่เหมาะสมได้แล้ว เธอก็หวนคิดถึง
ชีวิตเมื่อเธอยังเป็นเด็กและเคยเล่นลูกบอลอย่างสนุกสนาน เธออยากจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง
และที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปเล่นลูกบอลจริง ๆ ในลานพระราชวัง ลูกบอลเปล่งประกายทุกครั้งที่เธอ
โยนมันสูงขึ้นไปในท้องฟ้า เธอโยนลูกบอลสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และไม่นานต่อมาเธอก็เกิดสะดุดเข้ากับ
ตอไม้ขณะกระโดดขึ้นรับลูกบอลที่กำลังลอยลงมา ลูกบอลกระดอนไปไกลและตกลงไปในสระน้ำข้าง
ลานพระราชวัง! เธอรีบวิ่งตามไปหาลูกบอลที่สระน้ำ แต่เมื่อมาถึงสระน้ำ เธอกลับไม่เห็นลูกบอล

"อะไรกันนี่! ลูกบอลหายไปไหนหรือ" เธอพึมพำ

ทันใดนั้นเธอก็เห็นกบใหญ่ตัวหนึ่งโผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำพูดกับเธอว่า “บางทีผมอาจ
ช่วยคุณหาลูกบอลให้ก็ได้นะ”

“ตกลง ช่วยหาลูกบอลให้ด้วยค่ะ” เจ้าหญิงตอบ

“ไม่มีปัญหา” กบตอบ “แต่ผมมีเงื่อนไขอย่างหนึ่งก่อนจะช่วยหาลูกบอลนะครับ”

"เงื่อนไขอะไรหรือคะ" เจ้าหญิงกล่าว

“เมื่อผมหาลูกบอลให้คุณได้แล้ว ช่วงเวลากลางวันวันนี้คุณจะต้องอยู่คุยกับผมนะ
ตกลงไหมครับ” กบอธิบาย

“ฉันไม่แน่ใจว่าคุณหมายถึงอะไร แต่ตกลงก็ได้ ตอนนี้ไปหาลูกบอลให้ฉันได้แล้ว”
เจ้าหญิงกล่าวตอบ

“รอเดี๋ยวนะ ผมจะรีบไปหามาให้” พูดเสร็จ กบก็ดำลงไปที่ก้นสระ ชั่วอึดใจต่อมา
กบก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับลูกบอลและส่งคืนให้เจ้าหญิง

“ขอบคุณค่ะ” เจ้าหญิงตอบขณะเอื้อมมือไปคว้าลูกบอลจากมือกบ แล้วก็หันหลังเดินจากไป

กบจึงร้องขึ้นว่า "เดี๋ยวก่อน ๆ เมื่อครู่นี้คุณสัญญาว่าจะใช้เวลาวันนี้กับผมไงล่ะ!”

เจ้าหญิงยักไหล่พูดว่า “ก็คุยกับคุณไปแล้วไม่ใช่หรือคะ” แล้วเจ้าหญิงก็เดินกลับเข้าวัง
พร้อมกับลูกบอลในมือ

เย็นวันนั้นมีเสียงเคาะประตูหน้าห้องเสวยระหว่างที่เจ้าหญิงกำลังรับประทานอาหารกับ
ครอบครัวและคณะที่ปรึกษาของราชวงศ์ เมื่อคนรับใช้เปิดประตูก็ไม่เห็นใคร แต่ทันใดนั้น
ก็มีเสียงกระแอมในคอของกบที่พื้นหน้าห้อง

“วันนี้ เจ้าหญิงสัญญาว่าจะใช้เวลาอยู่กับผม” กบพูดเสียงดังก้อง "และตอนนี้ผมมาทวงสัญญาครับ"

………………………………………………………………………………………

เจ้าชายกบกับเจ้าหญิง ตอนที่ ( 2 )) (ตอนจบ) จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Frog Prince : The Princess and The Frog”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

"ลูกพ่อ!" พระราชาตรัสจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะอาหาร “ที่กบพูดมาว่าลูกได้ให้สัญญาว่าจะ
ใช้เวลากับเขา เป็นความจริงหรือเปล่า”

“มันก็ไม่เชิงนะคะคุณพ่อ แต่จะว่าลูกให้สัญญาก็ได้” เจ้าหญิงกล่าว “

ตกลง... เชิญเข้ามาได้” เธอพูดต่อหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

กบกระโดดขึ้นไปที่โต๊ะอาหารหลังจากคนรับใช้จัดที่นั่งเพิ่มให้

หัวข้อที่สนทนากันที่โต๊ะอาหารเป็นเรื่องการแก้ปัญหาบางอย่างที่ค่อนข้างซับซ้อน
ในราชอาณาจักรโดยเฉพาะปัญหาเรื่องการหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับเจ้าหญิง และที่ปรึกษา
หลวงก็ไม่รู้ว่าจะจัดการได้อย่างไร

“ท่านพ่อคะ “บางทีเราอาจจะ...” เจ้าหญิงกล่าว

"หยุดได้เลย ลูกพ่อ!" พระราชาตรัส “พ่อมีที่ปรึกษามากเกินพอแล้ว”

“ข้าแต่พระราชา” กบซึ่งพูดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากนั่งที่โต๊ะเสวย

“เจ้าหญิงมีความสำคัญมากกว่ามงกุฎและเสื้อคลุมประดับอัญมณีที่งดงามของเธอครับ”

เจ้าหญิงสบตากับกบ และรู้สึกสับสนเพราะไม่เข้าใจว่า ทำไมกบตัวนี้จึงเข้าใจเธอมากกว่า
ที่ปรึกษาทั้งคณะ

กบคำนับเจ้าหญิงหลังอาหารเย็นกล่าวว่า “คุณได้ทำตามเสียงร้องของหัวใจที่ถูกต้องแล้ว
เอาละถึงเวลาที่ผมจะต้องจากไปแล้วครับ”

“อย่าเพิ่งไป ตอนนี้ยังไม่ค่ำเลย เราไปเดินเล่นในสวนกันก่อนดีไหมคะ”

กบมีความยินดีเป็นอย่างมากกับข้อเสนอของเธอ และทั้งสองก็คุยกันโดยกบใช้วิธีกระโดด
ไปตามกำแพงหินเคียงคู่ไปกับเจ้าหญิงที่เดินตามสบายบนทางเดินข้างกำแพง และทั้งสองก็คุยกัน
ไปหัวเราะกันไปอยู่จนดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าสีแดงอมชมพูที่สดใส

“คุณรู้ไหม การได้คุยกับคุณเย็นวันนี้สนุกกว่าที่ฉันคาดไว้มากจริง ๆ” เจ้าหญิงกล่าว

“ผมก็สนุกไม่น้อยกว่าคุณเหมือนกันครับ” กบพูดตอบ

“ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่” เจ้าหญิงพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ ว่าแล้วเธอก็ก้ม
ศีรษะลงจูบที่แก้มของกบเบา ๆ

ทันใดนั้น เกิดมีกลุ่มเมฆฟุ้งกระจายรอบตัวกบ และกบก็แปลงร่างเป็นเจ้าชายร่างงาม!

เจ้าหญิงถึงกับผงะถอยหลังด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันเจ้าชายก็รีบยื่นแขนออกรับหลัง
ของเธอก่อนที่เธอจะหงายหลังก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาว่า “เมื่อหลายปีก่อน มีแม่มดชั่วร้าย
ตนหนึ่งร่ายมนตร์สาปผมให้เป็นกบ และบอกว่ามนตร์จะเสื่อมสลายไปเมื่อมีเจ้าหญิงจุมพิตผม
ในร่างของกบ”

หลังจากนั้นเจ้าชายและเจ้าหญิงก็ใช้เวลาเรียนรู้จักกันมากขึ้น และได้แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน
อย่างมีความสุขจนตลอดชีวิต

ข้อคิด : เราไม่ควรตัดสินผู้ใดเมื่อแรกเห็น แต่พยายามเข้าใจสถานการณ์ในขณะนั้นและปฏิบัติตน
ตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ : You should never judge anyone at first glance. Instead,
try to understand the current situation and act accordingly.

-----------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 02, 2025 8:06 pm

( 9 )

เรื่องสั้น --------> ชายชราและชายฉกรรจ์ 3 คน จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง“The Old Man Meets the Three Young Men”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายฉกรรจ์ผู้เกียจคร้าน 3 คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกเขานอก
จากไม่ชอบทำงานใด ๆ แล้วยังชอบล้อเลียนคนอื่นที่ทำงานหนักอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยฟังคำเตือน
ของผู้ใด ผู้คนในหมู่บ้านรู้สึกรำคาญทั้งสามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับพวกเขา ทั้งวันพวกเขา
ได้แต่นั่งเฉย ๆ และพูดจาหยอกล้อกันโดยไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสามตระเวนเที่ยวไปในหมู่บ้านและสังเกตเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังขุดดินในสวน
อย่างหนักเพื่อปลูกต้นไม้ ทั้งสามประหลาดใจมากที่เห็นชายชรามุ่งมั่นในการทำงานอย่างหนักและ
เริ่มล้อเลียนชายชรา หนึ่งในนั้นพูดว่า

“ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย อายุก็ปานนี้แล้วยังมาขุดดินปลูกต้นไม้อีกหรือ ท่านไม่ฉลาดเลย ไม่รู้หรือว่าจะต้อง
ตายจากไปก่อนที่ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกออกผล?”

แต่ชายชราไม่สนใจฟังคำพูดของเขาและทำงานต่อไป

ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้างว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่จะปลูกต้นไม้ตอนนี้ในเมื่อท่านจะไม่ได้ลิ้มรสผลไม้
จากต้นไม้ที่อุตส่าห์ลงแรงปลูก” ชายชรายังคงเพิกเฉยต่อคำพูดของเขาและทำงานปลูกต้นไม้ต่อไป
เพราะชายชราเข้าใจดีว่าคนขี้เกียจเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนักและการฝากผลงาน
ไว้ให้ผู้อื่นในอนาคต

คนขี้เกียจคนที่สามพูดว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ต้นไม้ผลยืนต้นกว่าจะออกดอกออกผลต้องใช้เวลา
หลายปี และเมื่อถึงตอนนั้นท่านจะไม่ได้อยู่ดูโลกแล้ว”

หลังจากชายชราได้ยินคำพูดจากชายขี้เกียจทั้งสามมามากพอแล้ว ชายชราก็หันหน้าไปยิ้มให้พวกเขา
พูดตอบว่า “ฉันรู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานก่อนที่ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกออกผล แต่ฉันไม่ได้ปลูก
ต้นไม้เหล่านี้ไว้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนรุ่นหลังที่ตามมาในอนาคต”

เมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่พูด ท่านจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “คนรุ่นหลังที่ตามมาจะได้ลิ้มรสผลไม้
หวานอร่อยจากต้นไม้ผลเหล่านี้ แล้วพวกเขาก็จะระลึกถึงตัวฉันและสิ่งที่ฉันได้ทำเพื่อพวกเขา และดังนั้น
การทำงานหนักของฉันก็จะเกิดผลอย่างแน่นอน และผลดีที่เกิดจากตัวฉันก็จะอยู่ในความคิดและหัวใจ
ของพวกเขา. พวกเขาจะขอบคุณสำหรับผลไม้ที่ฉันเป็นคนปลูก แต่พวกคุณทั้งสามที่ยังแข็งแรงกันอยู่
กลับไม่คิดจะทำอะไรกันบ้างเลย แล้วผู้คนจะคิดถึงพวกคุณในแง่ดีกันได้อย่างไรไม่ทราบ”

ในที่สุด ชายฉกรรจ์ทั้งสามก็เข้าใจวัตถุประสงค์การทำงานหนักของชายชราแล้ว จากนั้นทั้งสามก็
ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนและไม่เกียจคร้านอีกต่อไป เพราะ “การทำความดีเพื่อผู้อื่น
จะเกิดผลดีเสมอ” : Doing good for others will always end up being fruitful.

------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 04, 2025 6:26 pm

( 10 )

เรื่องสั้น -----> เรื่องสุนัขกับแกะ จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Dog and the Sheep Story”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่ง ชาวนาคนหนึ่งเป็นเจ้าของแกะฝูงหนึ่งโดยมีสุนัขเลี้ยงแกะชื่อโทนี่ทำหน้าที่เฝ้าดูแล
ปกติตลอดทั้งวัน โทนี่แทบไม่ได้ทำอะไรเลย มันชอบนอนอาบแดดและเคี้ยวกระดูกชิ้นโตเล่น แกะใน
ฝูงบางตัวรู้สึกไม่พอใจที่ไม่เคยเห็นโทนี่ทำงานเลยขณะที่พวกมันต้องทำงานหนักทุกวัน หลังจากนั้น
พวกแกะก็ซุบซิบกันถึงเรื่องนี้และที่สุดแกะทุกตัวก็พูดว่า “ใช่แล้ว เราต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ
เรื่องนี้” ที่สุดก็มีแกะตัวหนึ่งในฝูงกล่าวว่า “เราต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้ชาวนาทราบ"

เมื่อแกะกลับเข้าคอกในตอนเย็น แกะทุกตัวก็ส่งตัวแทนแกะร้องเรียนกับชาวนาว่า “ท่านให้กระดูก
ชิ้นโตเป็นรางวัลกับโทนี่ทุกวันโดยที่พวกเราไม่เห็นเขาทำอะไรเลยนอกจากนอนอาบแดดเคี้ยวกระดูกเล่น
ขณะที่พวกเราต้องเลือกกินหญ้าต้นงาม ๆ เพื่อจะได้มีขนแกะคุณภาพดีและให้น้ำนมมากโดยที่พวกเรา
ไม่เคยได้รับรางวัลจากท่านเลย”

ชาวนารับฟังคำร้องเรียนและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “แน่นอน ฉันเข้าใจความกังวลใจ
ของพวกเธอ แล้วฉันจะจัดการแก้ไขปรับปรุงให้”

พวกแกะดีใจมากและนอนหลับอย่างเป็นสุข

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกมันตั้งตารอว่าจะได้รับรางวัลบางอย่างเป็นพิเศษ แต่ก็ประหลาดใจเพราะเช้าวันนั้น
หลังจากชาวนาพาฝูงแกะไปที่ทุ่งหญ้าแล้ว ชาวนาก็พาโทนี่ออกไปจากฟาร์มหายหน้าทั้งวัน จนใกล้ค่ำ
แล้วทั้งสองก็ยังไม่กลับมาปล่อยให้พวกมันอยู่กันตามลำพัง และไม่นานต่อมาพวกแกะก็ได้ยินเสียงเ
ห่าหอนของหมาป่า พวกมันรู้สึกหวาดกลัวมากเพราะเป็นเวลาที่หมาป่ากำลังจะออกหากิน

ทันใดนั้น โทนี่ก็ปรากฏตัวจากที่ไหนสักแห่งใกล้ฝูงแกะและเห่าคำรามด้วยเสียงดังน่ากลัว
หมาป่าที่กำลังบุกเข้ามารีบวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวน หลังจากเหตุการณ์ค่ำวันนั้น แกะทุกตัว
ขอบคุณโทนี่ที่ช่วยชีวิตพวกมันและเข้าใจวิธีการทำงานของโทนี่โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ

------------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6845
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 06, 2025 11:24 am

(. 11. )

เรื่องสั้น -----> เพื่อนคู่หู : ลิงกับช้างในป่า จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “Story of Two Friends - Monkey and the Elephant in a Jungle”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในป่าแห่งหนึ่ง มีลิงกับช้างเป็นเพื่อนคู่หูกัน วันหนึ่งทั้งสองเกิดเถียงกันว่าใครจะเก่งกว่ากัน
--- ช้างอ้างว่าตนแข็งแรงและเก่งกว่า ส่วนลิงก็แย้งว่าตนว่องไวปราดเปรียวกว่า หลังจากโต้เถียงกัน
อยู่ครู่ใหญ่จนเหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองจึงตกลงจะไปให้นกฮูกผู้ชาญฉลาดเป็นกรรมการตัดสิน

เมื่อทั้งสองไปถึงนกฮูกและขอให้นกฮูกช่วยตัดสินปัญหาที่ทั้งสองโต้เถียงกันอยู่ นกฮูกตอบว่า
จะให้คำตอบได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองจะต้องแข่งกันไปเก็บผลไม้ที่หายากมากชนิดหนึ่ง ผู้แข่งขันทั้งสอง
จะต้องเผชิญความท้าทายที่ยากลำบากมาก เริ่มจากการข้ามแม่น้ำใหญ่ที่น้ำไหลเชี่ยว หลังจากนั้น
จะต้องบุกป่าฝ่าดงอีกไกลก่อนจะถึงต้นไม้ที่สูงใหญ่และเก็บผลไม้สีทองจากต้นไม้ต้นนี้ ผู้ชนะจะได้แก่
ผู้ที่สามารถนำผลไม้สีทองมาให้นกฮูกได้ก่อน

หลังจากนั้นลิงและช้างก็เริ่มแข่งขันกันทันที ลิงมาถึงแม่น้ำก่อนแต่ไม่สามารถข้ามแม่น้ำได้
เมื่อช้างไปถึงแม่น้ำก็เห็นลิงผู้เป็นเพื่อนคู่หูมีสีหน้าเศร้าสลดก็รู้สึกเห็นใจและยอมให้ลิงกระโดดขึ้น
ไปอยู่หลัง แล้วทั้งสองก็ข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน

ทั้งสองเริ่มแข่งกันกันต่อหลังจากข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแล้ว ช้างซึ่งวิ่งเร็วกว่าลิงไปถึง
ต้นไม้หายากก่อน แต่แล้วช้างก็ยอมจำนนเพราะไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้หรือชูงวงได้สูงจนเก็บผลไม้ที่
ห้อยอยู่ได้ และดังนั้นเมื่อลิงมาถึงต้นไม้ก็ปีนขึ้นไปต้นไม้อย่างรวดเร็วและเด็ดผลไม้ได้สำเร็จ อย่างไร
ก็ตาม เมื่อลิงมาถึงแม่น้ำเพื่อจะข้ามกลับไปหานกฮูก มันก็พบอุปสรรคจากแม่น้ำอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุด
ก็ต้องอาศัยหลังช้าง และที่สุดทั้งสองก็นำผลไม้สีทองมาให้นกฮูกพร้อมกัน

นกฮูกถามทั้งสองว่า "ใครเป็นคนนำผลไม้มาให้ฉัน"

ลิงซึ่งเป็นผู้เก็บผลไม้สีทองบอกนกฮูกว่าเป็นฝีมือของมัน พอลิงพูดจบ ช้างก็แย้งว่า ถ้ามันไม่
ช่วยเพื่อนลิงข้ามแม่น้ำ ลิงก็ไม่มีทางไปถึงต้นไม้นั้นได้

หลังจากฟังเหตุผลของทั้งสองฝ่ายแล้ว นกฮูกผู้ชาญฉลาดก็ตัดสินอย่างเที่ยงธรรมว่า
"คุณทั้งสองต่างก็มีความสามารถและมีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ผมจึงตัดสินให้คุณ
ทั้งสองเสมอกัน และขอให้คุณทั้งสองเป็นเพื่อนคูหูที่รักกันตลอดไป”

---------------------------------------
ตอบกลับโพส