ตอนที่ ( 21 )
ระหว่างที่ท่านนักบุญดอมินิกกำลังเทศน์เรื่องสายประคำที่เมืองการกาสโซเนอยู่นั้น มีชาวเฮเรติก
คนหนึ่งเยาะเย้ยถากถางมหัศจรรย์และข้อลึกลับ 15 ประการของการสวดสายประคำ (มงกุฎกุหลาบ)
ก็เลยเป็นการกีดกันเฮเรติกคนอื่นมิให้กลับใจด้วย เพื่อเป็นการลงโทษเขา พระเป็นเจ้าปล่อยให้ปีศาจ
15,000 ตัว เข้าไปสิงอยู่ในร่างกายของเขา
พ่อแม่ของเขาก็พาเขาไปหาคุณพ่อดอมินิกให้ไล่ผีออก ท่านนักบุญเริ่มงานโดยสวดภาวนาและ
ขอทุกคนที่อยู่ที่นั่นให้สวดลูกประคำดัง ๆ พร้อมกับท่าน และเมื่อสวดบทวันทามารีย์บทหนึ่ง ก็มีปีศาจ
หนึ่งร้อยตัวออกจากเขา และพวกมันออกมาเป็นร่างของถ่านไฟแดง
เมื่อปีศาจออกหมดแล้ว เขาก็สาปแช่งความผิดหลงของตน กลับใจ และเข้าร่วมในสมาคมคณะ
ภราดรภาพแห่งสายประคำ เพื่อน ร่วมลัทธิของเขาสะเทือนใจในการลงโทษของพระเจ้า และครั่นคร้าม
ในอานุภาพของสายประคำ ก็กลับใจเช่นเดียวกัน
ส่วนท่านการ์ทาเยนาซึ่งเป็นปราชญ์และสงฆ์ชาวฟรังซิสกัน และนักเขียนคนอื่นอีกหลายคนบอกว่า
มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในปี 1452 คือท่านผู้นับถือ (ยศแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรกของผู้ที่จะถูก
ประกาศว่าเป็นนักบุญ) เจมส์ สเปรนเจอร์ (Sprenger) และนักบวชคนอื่นอีกในคณะของท่านกำลัง
ทำงานอย่างร้อนรนเพื่อจะฟื้นฟูความศรัทธาต่อการสวดลูกประคำ และตั้งคณะภราดรภาพ
ในเมืองโคโลญ (Cologne)
แต่น่าเสียดาย ที่มีพระสงฆ์สององค์ที่เป็นนักเทศน์ที่เก่ง แต่อิจฉาในความสำเร็จของท่านผู้น่านับถือ
ที่เทศน์ถึงการสวดลูกประคำนี้ พระสงฆ์สององค์นี้จึงพูดต่อต้านความศรัทธานี้ในทุกโอกาส แต่เนื่อง
จากว่าทั้งสองเป็นนักเทศน์แบบสาลิกาลิ้นทอง จึงมีคนหลงเชื่อมาก และไม่ยอมเข้าร่วมคณะ
ภราดรภาพของสายประคำ
และองค์หนึ่ง ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะบรรลุผลสำเร็จในเจตนาร้ายนี้ โดยเขียนบทเทศน์พิเศษต่อต้าน
การสวดลูกประคำ และวางแผนไว้ว่าวันอาทิตย์ต่อไปจะเอาไปเทศน์ให้ได้ แต่เมื่อถึงเวลาเทศน์ ก็ไม่เห็น
มาปรากฏกาย ผู้ที่รอฟังบางคนก็ออกไปตามดู ก็พบว่าท่านตายไปเสียแล้ว แน่นอนท่านตายคนเดียว
ไม่มีใครช่วย และไม่ได้พบพระสงฆ์
ส่วนเพื่อนพระสงฆ์อีกคนหนึ่งนั้น ก็เชื่อว่าสหายผู้หลงผิดของตนตายด้วยมรณภาพธรรมดา ก็เลย
คิดว่าต้องทำตามแผนการเพื่อนให้เสร็จไป ก็วางแผนที่จะเทศน์ในอาทิตย์ต่อไป คิดว่าการทำเช่นนี้
จะทำให้คณะศรัทธานี่ต้องพังลงไปในที่สุด แต่นั่นแหละ พอถึงเวลาที่เขาต้องออกไปเทศน์ พระเป็นเจ้า
ก็ทำให้เขาเป็นอัมพาต แขนขาก็เคลื่อนไม่ได้ ปากก็พูดไม่ได้
ที่สุดเขายอมรับบาปของตน รวมทั้งบาปของเพื่อนของตนที่ตายแล้ว และทันใดนั้น โดยความจริงใจ
ของเขา เขาวอนขอพระแม่ช่วย และสัญญากับพระแม่ว่าหากพระแม่ช่วยตนให้หาย ตนก็จะออกไปเทศน์
เรื่องการสวดลูกประคำด้วยความร้อนรนเท่า ๆ กับที่แต่ก่อนได้เคยต่อต้านความศรัทธานี้ เขาได้ขอพระนาง
ได้คืนสุขภาพและความสามารถพูดแก่ตน และพระแม่ก็อนุโลมให้ตามคำขอ เมื่อรู้สึกว่าตัวหายจากโรคภัย
อย่างทันทีเช่นนี้ ก็รีบลุกขึ้น เหมือนเซาโล ศัตรูผู้ต่อต้านลูกประคำ บัดนี้กลายเป็นทนายความเพื่อลูกประคำ
ไปแล้ว เขาสารภาพความผิดของตนอย่างเปิดเผย และเป็นผู้เทศน์ถึงความมหัศจรรย์แห่งสายประคำด้วย
ความร้อนรนและฝีปากเอกนับแต่นั้นมา
ข้าพเจ้าแน่ใจว่านักคิดเสรีและนักวิจารณ์คงสงสัยว่าเรื่องที่เล่ามานี้จะจริงเท็จอย่างใจ แต่ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้า
ได้ทำก็คือลอกจากหนังสือของนักเขียนร่วมสมัย และบางส่วนก็คัดจากหนังสือซึ่งเขียนแล้วไม่นาน ชื่อว่า
“ต้นกุหลาบมหัศจรรย์” โดยคุณพ่อ อันโตนิน โทมัส โอ.พี.
เราทุกคนคงทราบดีว่ามีความเชื่อถืออยู่หลายอย่างซึ่งทำให้เราเชื่อเรื่องราวหรือนิทานต่าง ๆ
เรื่องราวของพระคัมภีร์นั้น เราได้มา โดยความเชื่อจากพระเจ้า
เรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องราวทางศาสนา แต่ไม่ขัดกับสามัญสำนึก และถูกเขียนโดยนักเขียนที่เชื่อถือได้
เราเชื่อถือเรื่องเหล่านี้ตามแบบภาษามนุษย์เท่านั้น (human faith)
ส่วนเรื่องราวศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าโดยผู้แต่งที่ดีไม่ขัดกับเหตุผลแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อบ้าง
เกี่ยวกับศีลธรรมบ้าง (แม้บางครั้งอาจเกี่ยวกับเรื่องผิดปรกติสักหน่อย) เราเรียกว่า ความเชื่อแบบศรัทธา
ข้าพเจ้าเห็นว่าเราไม่ควรเชื่อง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ควรเป็นคนขี้สงสัยเกินไป คิดว่าควรเดินสายกลางดีกว่า
แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า ความรักย่อมทำให้เราเชื่อในทุกอย่างว่าไม่ขัดต่อความเชื่อหรือศีลธรรม
ตามที่นักบุญเปาโลพูดถึงชาวโครินท์ (1 คร 13:7) “ความรัก...เชื่อในทุกสิ่ง” และตรงข้ามความจองหอง
จะทำให้เราสงสัยแม้ในเรื่องที่น่าเชื่อถือได้ โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์ เป็นต้น
นี่เป็นกับดักอันหนึ่งของปีศาจ ซึ่งชาวเฮเรติกในอดีตผู้ปฏิเสธพระวาจาพระเจ้าได้ตกลงไปแล้ว
และทุกวันนี้ นักวิจารณ์เกินไปก็กำลังถลำลงไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
คนเหล่านี้ไม่เชื่อสิ่งที่ตนไม่ชอบหรือไม่เข้าใจ เพราะชอบความเป็นอิสระทางใจ
หรืออยากเกาะแน่นกับความจองหองของตน


