พี่น้อง นัท ครับ ผมพึ่งกลับมาจากกาลหวาร์ ครับ ปี่นี้ก็เช่นเดียวกันกับทุกปี มีการแห่พระศพ พระเยซู แต่ปีนี้ เปลี่ยน บุษบกใหม่ ไม่มีหลังคา เพราะ เน้นให้ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน ผมเอาประวัติจาก สารวัดที่คุณพ่อเจ้าวัดเขียน มาให้อ่านนะครับ คุณพี่น้องนัท เคยไปกาลหวาร์คงรู้จัก คุณพ่อมาแชล เปเรย์นะครับ ท่านเสียแล้ว เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง :-\ ทุกคนโศกเศร้า และ อาลัยท่านมากๆ
เอาหละครับต่อจากนี้เป็นข้อความคัดมาจากสารวัดนะครับ
สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน
วันนี้พ่อขอพูดถึง "รูปพระตาย" อันเป็นรูปแกะสลักอันทรงคุณค่าฝ่ายวิญญาณของเราคริสตชนวัดกาลหว่าร์ และอันเป็นที่มาของชื่อวัด "กาลหว่าร์" ซึ่งเป็ฯชื่อเนินเขาที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์บนกางเขนนั่นเอง
รูปนี้ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อีกด้วย เพราะตามบันทึกไว้ในประวัติของวัด รูปนี้เป็นหนึ่งในสองรูปที่ชาวโปรตุเกตุเอามาด้วย เมื่อพากันหนีมาจากกรุงศรีอยุธยา มาอยู่กรุงเทพฯ ครั้งเมื่อเราเสียกรุงให้พม่า นั้นเมื่อ สองร้อยกว่าปีมาแล้ว
ในหนังสือ 100ปีศรีกาลหว่าร์ ผู้ใช้นามปากกาว่า "เบนยามิน" ได้พูดถึงรูปพระตายนี้ อยู่บ้าง ผู้เขียนได้ยอมรับว่า ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ารูปนี้มามีต้นเดิมจากไหน แต่มีคำล่ำลือกันว่า รูปนี้ลอยน้ำมาตั้งนานแล้ว สมัยเมื่อพระสงฆ์ โปรตุเกตุยังดูแลวัดนี้อยู่ ก่อนสร้างวัดปัจจุบันเสียอีก แต่ผู้เขียนเองก็ไม่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พ่อเองเห็นว่าเรื่องราวรูปพระตายลอยน้ำมานี้ มีข้อสังเกตุ ที่ขัดแย้งกับประวัติศาสตร์อยู่บ้าง นั้นคือ ประวัติบอกว่า ชาวโปรตุเกตุเป็นผู้นำพระรูปนี้มาจากอยุธยา จึงไม่ใช่รูปที่ลอยน้ำมาเองอย่างอัศจรรย์จากไหนไม่รู้ และวัดนี้ก็ไม่เคยมีพระสงฆ์ชาวโปรตุเกตุดูแลเลย มีแต่ชาวโปรตุเกตุที่อพยพมา และคอยดูแลรูปพระตายนี้เท่านั้น เนื่องจากไม่มีพระสงฆ์ชาวโปรตุเกตุดูแลนั้นเอง ส่วนรูปนี้มาจากไหนเป็นของใคร ความเห็นของพ่อก็คือ เป็นรูปที่มาจากวัดคาทอลิคที่อยู่ในความดูแลของพระสงฆ์ชาวโปรตุเกตุใน กรุงศรีอยุธยา ฉะนั้น รูปนี้จึงเป็นของพระศาสนจักรตั้งแต่แรก ต่อมา เมื่อต้องหนีจากอยุธยา ไม่มีพระสงฆ์มาด้วย มีแต่ชาวโปรตุเกตุกลุ่มนึง ซึ่งกลายเป็นผู้ดูแลรักษา ในขณะที่ยังไม่มีพระสงฆ์ และยังไม่มีวัดเป็นกิจจะลักษณะนั่นเอง
คำร่ำลือ หรือ ตำนานเรื่องรูปพระตายลอยน้ำมา หากเกิดขึ้นจริงก็ไม่ใช่ที่วัดกาลหว่าร์ แต่น่าจะเป็นที่วัดเดิมที่อยุธยา อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครหรือหลักฐานใดที่ยืนยันได้เลย กระนั้นก็ตาม คำร่ำลือนี้ก็เรียกศรัทธาจากสัตบุรุษให้มาชมและแสวงบุญกันจากรูปนี้อย่างมากมายจนถึงทุกวันนี้เพียงแพ่อไม่ต้องการให้พี่น้องติดยึดอยู่กับคำร่ำลือ แต่ควรให้ศิลปะของรูปพระตายนี้เองสะท้อนให้เห็น ผลร้ายแห่งบาปของเรามากกว่า อันที่จริง รูปที่เรียกอารมณ์ สะเทือนใจได้เช่นนี้ในตัวของมันเอง ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยตำนานอะไรมาเป็นเครื่องช่วยดึงดูดจิตใจของเราอีกแล้ว พ่อยอมรับว่ารูปพระตายนี้เป็นรูปที่เตือนความเชื่อความศรัทธาของเราได้เป็นอย่างดี คุณค่าแท้จริงก็อยู่ที่เรื่องนี้ เมื่อเราได้มาเห็นมาสวด มาให้เกรียติด้วยการแห่ บุญก็เกิดในใจแล้ว ส่วนการเชื่อถือหรือการปฏิบัติอื่นๆก็ไม่ควรจะเลยเถิดเกินไป
แต่ก่อน เมื่อเสร็จพิธีแห่ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราจะนำรูปพระตายนี้เก็บในลังไม้จนกว่าจะถึงวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์อีกปีนึง พ่อเองเห็นว่า คงจะดีกว่าหากเราเชิญพระรูปนี้ให้อยู่ประจำในที่เหมาะสม เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมาเยี่ยมชมและสวดได้ตลอดเวลา ซึ่งก็ได้ทำเช่นนี้มาปีนึงแล้ว มีพี่น้องคริสตชนแคนต่างศาสนามาชมและสวดพอสมควรทีเดียว พ่อจึงถือโอกาสนี้เชิญชวนพี่น้องด้วย พระรูปน้ จะอยู่ในวัดน้อยของวัด คืออยู่ในบริเวณหลังวัดนั่นเอง
อ่าน เพิ่มเติม ในLink นี้ได้ครับ
http://www.catholic.or.th/document/chom ... index.html