ทางโปรเตสแตนท์ให้ทำอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับเทพ ต่างๆเพื่ออะไรครับ
สงสัยจังฮับว่าทำไม ทางโปรเตสแตนท์ ถึงต้องให้ทำอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับเทพ ต่างๆ ในเมื่อ ทางคริสต์เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวอยู่แล้วไม่ใช้หรือ แล้วจะอธิษฐานดังกล่าวเพื่ออะไรหละครับ และการกระทำอย่างงี้ไม่ถือเป็นการยอมรับว่ามีเทพต่างๆเหล่านั้นอยู่จริงหรือ: xemo028 :
พี่คะ ในบทจดหมายของนักบุญเปาโล(อาจารย์เปาโลของพี่น้องโปรเตสแตนท์) ถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 6 ข้อที่ 12 มีเขียนไว้ว่าmind เขียน: สงสัยจังฮับว่าทำไม ทางโปรเตสแตนท์ ถึงต้องให้ทำอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับเทพ ต่างๆ ในเมื่อ ทางคริสต์เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวอยู่แล้วไม่ใช้หรือ แล้วจะอธิษฐานดังกล่าวเพื่ออะไรหละครับ และการกระทำอย่างงี้ไม่ถือเป็นการยอมรับว่ามีเทพต่างๆเหล่านั้นอยู่จริงหรือ: xemo028 :
เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
นี่แหละค่ะ คือเทพที่พี่น้องโปรเตสแตนท์อธิษฐานตัดสัมพันธ์ เพราะหลายครั้งมนุษย์เราได้ปล่อยตัวปล่อยใจตกเป็นทาสของเทพเหล่านี้ค่ะพี่
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พี่มายดาลิ่งขอรับ มาฟังน้องเจี๊ยบ คริสเตียนเจ้าเก่า ดังนี้ ฮะmind เขียน: สงสัยจังฮับว่าทำไม ทางโปรเตสแตนท์ ถึงต้องให้ทำอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับเทพ ต่างๆ ในเมื่อ ทางคริสต์เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวอยู่แล้วไม่ใช้หรือ แล้วจะอธิษฐานดังกล่าวเพื่ออะไรหละครับ และการกระทำอย่างงี้ไม่ถือเป็นการยอมรับว่ามีเทพต่างๆเหล่านั้นอยู่จริงหรือ: xemo028 :
1. คำตอบ พี่บิกเบลใช้ได้ทีเดียว แต่ไม่ทั้งหมด
2. คำตอบพี่โจเซฟ แค่ออกมาเกี้ยวสาว กลางอากาศ เชื่อว่าพี่บิกเบล อาจจะพิ'ณา
3. คำตอบน้องเจี๊ยบแท้ๆ คือ
-ในด้านตีความของคริสเตียน มี หลายๆแบบ เรื่องการตัดความสัมพันธ์ คริสตจักรเก่าๆ ไม่ทำ แต่คริสตจักร กลุ่มใหม่จะทำ
-เพราะอยู่ที่พื้นฐาน ว่า คนที่มารับเชื่อพระเจ้า โดยเฉพาะคน รุ่นแรก พวกเขาไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวคริสตชนตั้งแต่แรก
ดังนั้น ก่อนที่เขาจะมาเป็นคริสต์ พวกเขาได้ บนบาน สารกล่าว ยกให้เป็นลูกเป็นหลาน เจ้าพ่อนั้น เจ้าพ่อนี้ เจ้าแม่องค์นั้น ร่างทรงองค์นี้ มีลูกกรอก มีกุมารทอง มีองค์ มียันต์ มีคาถาอาคม มีรอยสัก ลงไสย ลง ณ หน้าทอง สาลิกาลิ้นห้อย เฮ้ยลิ้นทองฯลฯ เมื่อคนเหล่านี้ มารับเชื่อเป็นลูกพระเจ้า โดยพระโลหิตของพระเยซูเจ้า บรรดาพวก เจ้า พวกองค์ พวกพระ พวกคาถาอาคม ฯลฯ ที่พวกเขาเคยเซ่นไหว้ บูชา จะตามมารบกวน ทั้งทางกาย จิตใจ จิตวิญญาณ เพราะว่าเมื่อคนๆนั้น ที่ประกาศตัวเป็นคริสต์ ในวินาทีนั้น เขาก็ประกาศตัว เป็นศัตรู กับ สิ่งที่หนูได้กล่าวมาแล้ว
-พวกศาสนาจารย์/ศิษยาภิบาล ที่มีพรพิเศษ ( ของประทานฝ่ายพระจิต ) จะสัมผัสกับการถูกรบกวนจากวิญญาณเหล่านั้น ดังนั้น การอธิษฐานวางมือ ( ปรกมือ ) ตัดความสัมพันธ์ นั้นสำคัญมาก เพื่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของผู้เชื่อจะไม่ต้องถูกรบกวน
-ขอแถมอีกนิด หนึ่ง แม้แต่คริสตชนเอง เกิดในครอบครัวคริสต์ แต่มีชีวิตห่างจาก วัด จากโบสถ์ ไปเสเพล ติดอบายมุข ผู้หญิงยิงเรือ ติดผู้ชายพายเรือ ทำการลามก นาๆ เมื่อกลับมาโบสถ์ แบบลูกล้างผลาญ ศิษยาภิบาล รุ่นใหม่ ต้องช่วยคนเหล่านั้น โดยอธิษฐานตัดความสัมพันธ์ กับ วิญญาณ แห่งการโสโครก ทั้งปวง ฮะพี่มายดาลิ่ง เพื่อว่าจะช่วยให้คนที่กลับมาหาพระเจ้า
ไม่หวนไปหาชีวิตเก่า
แค่นี้ก่อน ฮะ
หนูมายกข้อความจากพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงเทพเพิ่มเติมให้พี่เจ้าของกระทู้ เพื่อความกระจ่างค่ะ
จากพระวาจาในจดหมายนักบุญเปาโล อัครสาวกถึงชาวโคโลสี บทที่ 2 ข้อ 8 - 15 นะคะ
จงระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงอันเหลวไหลตามตำนานของมนุษย์ ตามภูติผีปีศาจของจักรวาล ไม่ใช่ตามพระคริสต์ เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ และท่านได้บรรลุถึงความครบบริบูรณ์ในพระองค์ผู้เป็นศีรษะแห่งปวงเทพผู้ครองและศักดิเทพ ในพระองค์นั้นท่านได้รับพิธีเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์มิได้กระทำโดยที่ท่านได้สละกายเนื้อหนังเสียในการเข้าสุหนัตแห่งพระคริสต์ และได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัปติศมาแล้ว และในพิธีนั้นท่านได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายกับพระองค์ด้วยโดยเชื่อในการกระทำของพระเจ้าผู้ได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมา และท่านที่ตายแล้วด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่านและด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระองค์ และทรงโปรดยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราไว้ด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งได้ขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขาและชนะเขาโดยกางเขนนั้น
อย่างที่พี่เจี๊ยบว่ามานะคะ แม้พระโลหิตของพระคริสตเจ้าจะช่วยปลดเปลื้องเราจากเทพทั้งหลาย โดยนำกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ไปตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว และทรงมีชัยเหนือเทพทั้งหลายโดยพระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพแล้ว แต่ถ้าใครก็ตามไปสร้างสัมพันธ์กับเทพเหล่านั้นอีก เทพเหล่านั้นก็จะยังมีอิทธิพลเหนือเขาอยู่ การอธิษฐานตัดสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งยวดค่ะ
ในสังคมไทยนี้ น่าเป็นห่วง เพราะเรื่อง"พระ"นี่ คนไม่ค่อยสนใจ จะไปสนใจเรื่อง"ผี"เสียส่วนใหญ่ ขนาดหนัง"โกยเถอะโยม" ยังเอา"พระ"มาผูกกับ"ผี"เลย แถมให้"ผี"หลอก"พระ"หัวโกร๋น วิ่งหนีกันป่าช้าราบเสียอีก
ในฐานะที่เป็นคริสตชนที่อยู่ในสังคมไทยแบบนี้ เรากล้าเป็นพยานในเรื่องนี้ไหมคะ เรากล้าบอกเพื่อนไหมว่า ต่อให้เราทุกข์ใจมากมาย แต่เราก็จะไม่ไปพึ่งหมอดู เราปฏิเสธเรื่องการนั่งทางใน เราเชื่อแต่ในพระเจ้าหนึ่งเดียว เรากล้ากันไหมเอ่ย
จากพระวาจาในจดหมายนักบุญเปาโล อัครสาวกถึงชาวโคโลสี บทที่ 2 ข้อ 8 - 15 นะคะ
จงระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงอันเหลวไหลตามตำนานของมนุษย์ ตามภูติผีปีศาจของจักรวาล ไม่ใช่ตามพระคริสต์ เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ และท่านได้บรรลุถึงความครบบริบูรณ์ในพระองค์ผู้เป็นศีรษะแห่งปวงเทพผู้ครองและศักดิเทพ ในพระองค์นั้นท่านได้รับพิธีเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์มิได้กระทำโดยที่ท่านได้สละกายเนื้อหนังเสียในการเข้าสุหนัตแห่งพระคริสต์ และได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัปติศมาแล้ว และในพิธีนั้นท่านได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายกับพระองค์ด้วยโดยเชื่อในการกระทำของพระเจ้าผู้ได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมา และท่านที่ตายแล้วด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่านและด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระองค์ และทรงโปรดยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราไว้ด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งได้ขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขาและชนะเขาโดยกางเขนนั้น
อย่างที่พี่เจี๊ยบว่ามานะคะ แม้พระโลหิตของพระคริสตเจ้าจะช่วยปลดเปลื้องเราจากเทพทั้งหลาย โดยนำกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ไปตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว และทรงมีชัยเหนือเทพทั้งหลายโดยพระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพแล้ว แต่ถ้าใครก็ตามไปสร้างสัมพันธ์กับเทพเหล่านั้นอีก เทพเหล่านั้นก็จะยังมีอิทธิพลเหนือเขาอยู่ การอธิษฐานตัดสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งยวดค่ะ
ในสังคมไทยนี้ น่าเป็นห่วง เพราะเรื่อง"พระ"นี่ คนไม่ค่อยสนใจ จะไปสนใจเรื่อง"ผี"เสียส่วนใหญ่ ขนาดหนัง"โกยเถอะโยม" ยังเอา"พระ"มาผูกกับ"ผี"เลย แถมให้"ผี"หลอก"พระ"หัวโกร๋น วิ่งหนีกันป่าช้าราบเสียอีก
ในฐานะที่เป็นคริสตชนที่อยู่ในสังคมไทยแบบนี้ เรากล้าเป็นพยานในเรื่องนี้ไหมคะ เรากล้าบอกเพื่อนไหมว่า ต่อให้เราทุกข์ใจมากมาย แต่เราก็จะไม่ไปพึ่งหมอดู เราปฏิเสธเรื่องการนั่งทางใน เราเชื่อแต่ในพระเจ้าหนึ่งเดียว เรากล้ากันไหมเอ่ย
แก้ไขล่าสุดโดย sabachthani เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 14, 2006 8:52 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
สงสัยจะใช่Joseph เขียน: เยี่ยมเลย พระคัมภีร์ คำสอน เพลงเก่า หนังเก่า ประวัติศาสตร์ ความรู้รอบตัว เก่งไปหมด สงสัยเป็นเนื้อคู่พี่หรือเปล่าน้องรัก
แต่อีกฝ่ายไม่ยอมพูดถึงแฮะ ปิดข่าว ๆ
ในความคิดของผมนะครับ ไม่ใช่ว่าเรายอมรับว่ามีเทพต่าง ๆ อยู่จริงหรอกครับ
แต่มันคือความคิดของคนก่อนที่จะมาเป็นคริสตชนว่า มีเทพต่าง ๆ อยู่
ดังนั้นการอธิษฐานน่าจะเป็นลักษณะการให้เราได้ยืนยันว่าเราเชื่อว่าไม่มีเทพต่าง ๆ อยู่จริง ๆ
การตัดสัมพันธ์ น่าจะหมายถึงการให้เรายืนยันว่าเราจะไม่เชื่อในเรื่องนี้น่ะครับ
เป็นความคิดโดยส่วนตัวของผมนะครับ
แต่มันคือความคิดของคนก่อนที่จะมาเป็นคริสตชนว่า มีเทพต่าง ๆ อยู่
ดังนั้นการอธิษฐานน่าจะเป็นลักษณะการให้เราได้ยืนยันว่าเราเชื่อว่าไม่มีเทพต่าง ๆ อยู่จริง ๆ
การตัดสัมพันธ์ น่าจะหมายถึงการให้เรายืนยันว่าเราจะไม่เชื่อในเรื่องนี้น่ะครับ
เป็นความคิดโดยส่วนตัวของผมนะครับ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Joseph เขียน: เยี่ยมเลย พระคัมภีร์ คำสอน เพลงเก่า หนังเก่า ประวัติศาสตร์ ความรู้รอบตัว เก่งไปหมด สงสัยเป็นเนื้อคู่พี่หรือเปล่าน้องรัก
ขออนุญาต จขก. อืมม์...ไม่ได้เข้ามาป่วนนะ แต่เข้ามาเชียร์เฮีย
ปายทาเลกานดีกั่ว ป่อยจายให้สูกสานนน ปายโต้ลมเล่นคลื่น:+: seraphim :+: เขียน:Joseph เขียน: เยี่ยมเลย พระคัมภีร์ คำสอน เพลงเก่า หนังเก่า ประวัติศาสตร์ ความรู้รอบตัว เก่งไปหมด สงสัยเป็นเนื้อคู่พี่หรือเปล่าน้องรัก
ขออนุญาต จขก. อืมม์...ไม่ได้เข้ามาป่วนนะ แต่เข้ามาเชียร์เฮีย
ขอบคุณใน ข้อมูลและ ความเห็น ทุกท่านฮับ
สรุปว่า เทพเท็จเทียมเหล่านั้น(ไม่ว่าจะลิ้นห้อย หรือ ไม่ห้อย ก็ตาม)เรายอมรับกันว่ามีอยู่จริง เพียงแต่เราตัดสัมพันธ์ โดยไม่ยอมรับว่าเค้าเหล่านั้นเป็น เทพอีกต่อไปใช้ไหม ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ว่าเค้าเหล่านั้นไม่มีตัวตน
ผมเข้าใจถูกไหมครับ
แต่โดยส่วนตัว(เน้นนะครับ ส่วนตัว)ผมกลับเชื่อมาตลอดว่า เทพอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะหมอดู ร่างทรง หรือ พระในศาสนาอื่น เป็นสิ่งซึ่งเข้าใจผิดกันไปเองของคนเรา (ผมจะไม่ใช้คำว่าหลอกลวง ซึ่งบางกรณีอาจจะใช้ก็ตามเพราะก็มีหลายกรณีที่ไม่เข้าข่าย และก็ไม่มีการบังคับหรือหลอกล่อให้คนไปเชื่อแต่ก็ไปเชื่อกันเอง)
และยังคิดว่าเค้าเหล่านั้นไม่มีตัวตนอยู่ แสดงว่าผมเข้าใจผิดมาตลอดหนะสิครับ
สรุปว่า เทพเท็จเทียมเหล่านั้น(ไม่ว่าจะลิ้นห้อย หรือ ไม่ห้อย ก็ตาม)เรายอมรับกันว่ามีอยู่จริง เพียงแต่เราตัดสัมพันธ์ โดยไม่ยอมรับว่าเค้าเหล่านั้นเป็น เทพอีกต่อไปใช้ไหม ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ว่าเค้าเหล่านั้นไม่มีตัวตน
ผมเข้าใจถูกไหมครับ
แต่โดยส่วนตัว(เน้นนะครับ ส่วนตัว)ผมกลับเชื่อมาตลอดว่า เทพอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะหมอดู ร่างทรง หรือ พระในศาสนาอื่น เป็นสิ่งซึ่งเข้าใจผิดกันไปเองของคนเรา (ผมจะไม่ใช้คำว่าหลอกลวง ซึ่งบางกรณีอาจจะใช้ก็ตามเพราะก็มีหลายกรณีที่ไม่เข้าข่าย และก็ไม่มีการบังคับหรือหลอกล่อให้คนไปเชื่อแต่ก็ไปเชื่อกันเอง)
และยังคิดว่าเค้าเหล่านั้นไม่มีตัวตนอยู่ แสดงว่าผมเข้าใจผิดมาตลอดหนะสิครับ
เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
เทพAngels มีอยู่จริงๆ ครับในความคิดของผมนะครับ ไม่ใช่ว่าเรายอมรับว่ามีเทพต่าง ๆ อยู่จริงหรอกครับ
แต่มันคือความคิดของคนก่อนที่จะมาเป็นคริสตชนว่า มีเทพต่าง ๆ อยู่
ดังนั้นการอธิษฐานน่าจะเป็นลักษณะการให้เราได้ยืนยันว่าเราเชื่อว่าไม่มีเทพต่าง ๆ อยู่จริง ๆ
การตัดสัมพันธ์ น่าจะหมายถึงการให้เรายืนยันว่าเราจะไม่เชื่อในเรื่องนี้น่ะครับ
เป็นความคิดโดยส่วนตัวของผมนะครับ
"16เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเทพอาณาจักรหรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิ์เทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อนพระองค์" (คส.1 : 16)
เทพมี 2 พวก คือฝ่ายพระเจ้า แล้วก็ฝ่ายซาตาล นะครับ ข้อพระคัมภีร์ที่น้องบิ๊ก โพสให้ดู นักบุญเปาโลหมายถึง ทูตสวรรค์ครับ หมายถึงพวกเทพทีเป็นกบฎกับพระเจ้าบนสวรรค์คือพวกสมุนของซาตาล
ปีศาจเองมีหลายตำแหน่ง หลายชั้นนะครับ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้(เจ้าแห่งความมืดเลย) ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ จะเห็นว่าไม่เพี่ยงแต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าเท่านั้น พวกซาตาล ก็มีหลายตำแหน่งในการปกครอง ในการทำงาน มันมีหลายหน้าที่ช่วยกันนำวิญญาณคนไปนรกครับ
มนุษย์ทุกคนต้องการที่พึ่งทางใจอยู่แล้วครับ ถ้าเขาไม่รู้จักพระเจ้าก็ก็บูชาเทพต่างๆ หรือผีต่างๆ เช่น เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผีฟ้า ผีบ้าน อะไรอย่างนี้ บางทีก็เล่นของ เล่นอาคมซึ่งอำนาจต่างๆ เหล่านี้มาจากซาตาล ถึงลูกหลานไม่ได้เล่นไม่ได้บูชา แต่ ปู่ ย่า ตา ยายเขาก็เล่น ก็บูชา ซึ่งผีเหล่านี้ถ้าเราบูชามันแล้ว มันจะมีสายสัมพันธ์ไปถึงลูกหลาน นะครับ มันเป็นเหมือนทำสัญญาต่อกัน คนที่เลี้ยงพวกลูกกรอก กุมารทอง ถ้าเราไม่เลี้ยงต่อมันก็จะมีอันเป็นไป ก็เช่นเดียวกับบาปกำเนิดของอาดัมละครับ ตกทอดกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
มีครอบครัวหนึ่งอยู่ราชบุรีเป็นลาว ปู่เขาเลี้ยงผี แล้วพ่อเขาไม่ยอมเลี้ยงก็เลยถูกรถชนตาย แล้วผีมันก็มาบีบคอลูกชายให้เลี้ยงมันบอกว่าถ้าไม่ยอมมันจะฆ่า แม่เขาก็กลัว พอดีพวกพี่ไปก็เลยชวนเขาเป็นคริสต์ครับ ให้เขาตัดสัมพันธ์กับวิญญาณชั่ว ถ้าเขาเชื่อพระเยซูพระโรหิตพระองค์ก็ชำระล้างอำนาจปีศาจ จากปู่ ย่า ตา ยาย จนหมด (นึกได้แก้ไขใหม่ครับ)
ดังนั้นคนที่มาเป็นคริสต์จึงต้องตัดสัมพันธ์กับปีศาจครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 14, 2006 9:17 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
เราคงไม่ได้ยอมรับว่ามีอยู่จริง เราไม่เชื่อว่ามีพระอื่นอยู่จริง แต่พิธีกรรมที่ว่า เป็นเหมือนเครื่องมือช่วย เตือนสติ ผุ้เชื่อใหม่มากกว่า ว่าต่อแต่นี้ จะละทิ้งความเชื่อ หรือพฤติกรรมเดิม ทั้งหมด อย่างคาทอลิก ก็ประกาศละทิ้งปิศาจ หรือละทิ้งบาป
อย่างที่เจ้า จะเบี๊ยบเล่าเร้วนี้ เพิ่งเรียนมา ว่า เมื่อช่วงศต. ที่ 19 ได้มีนักวิชาการศึกษา รายงานของมิชชั่นนารีที่เข้าไป เผยแผ่ศาสนาในแอฟริกา ที่โยรูบัน พบว่า ความเชื่อ ของในเทพเจ้าของศาสนาเดิมนั้นเข้มข้นมาก ความกลัวเทพเจ้าลงโทษเมื่อละทิ้งศาสนามีสูง เคยมีคนเปลี่ยนศาสนามาคริสต์ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะอิทธิพลความเชื่อมีสูงมาก เขาป่วยหนัก ทุกคนในชุมชนเชื่อว่าเทพเจ้าลงโทษ เพราะคิดละทิ้งศาสนา
ดังนั้นพิธีกรรมละทิ้งปิศาจหรือตัดขาดจากเทพเดิม จึงเป้นกลยุทธ์ ทางจิตวิทยาที่โดยความเชื่อ เพื่อให้ผุ้เชื่อใหม่ มีจิตใจตั้งมั่น ในพระเป้นเจ้าได้
เอ่อ ไม่รู้ว่าเขียนว่ากลยุทธ์ทางจิตวิทยาจะถูกป่าวไม่รู้ เพราะคิดคำอื่นไม่ออก แต่มันมีผลทางจิตใจแน่นอน การพูดอะไรอย่างใด อย่างหนึ่ง เป้นการกระตุ้นเตือนความคิด และจิตใจของเรา เหมือนกับให้คำสัญญา แต่ในบางกรณี อย่างที่แอฟริกา มีผล ในเรื่องของการเสริมความกล้าหาญในการที่คนหนึ่งจะหันมาพึ่งพาพระเจ้าด้วย ซึ่งการทำแบบนี้ ไม่ได้หมายถึงการยอมรับว่ามีเทพเจ้าอื่น แต่เป้นการทำเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เชื่ออย่างอื่นมาก่อนมากกว่า พูดง่าย ๆว่า เรายอมรับในสิ่งที่เขาเป้น แต่ไม่ได้เชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่น
อย่างที่เจ้า จะเบี๊ยบเล่าเร้วนี้ เพิ่งเรียนมา ว่า เมื่อช่วงศต. ที่ 19 ได้มีนักวิชาการศึกษา รายงานของมิชชั่นนารีที่เข้าไป เผยแผ่ศาสนาในแอฟริกา ที่โยรูบัน พบว่า ความเชื่อ ของในเทพเจ้าของศาสนาเดิมนั้นเข้มข้นมาก ความกลัวเทพเจ้าลงโทษเมื่อละทิ้งศาสนามีสูง เคยมีคนเปลี่ยนศาสนามาคริสต์ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะอิทธิพลความเชื่อมีสูงมาก เขาป่วยหนัก ทุกคนในชุมชนเชื่อว่าเทพเจ้าลงโทษ เพราะคิดละทิ้งศาสนา
ดังนั้นพิธีกรรมละทิ้งปิศาจหรือตัดขาดจากเทพเดิม จึงเป้นกลยุทธ์ ทางจิตวิทยาที่โดยความเชื่อ เพื่อให้ผุ้เชื่อใหม่ มีจิตใจตั้งมั่น ในพระเป้นเจ้าได้
เอ่อ ไม่รู้ว่าเขียนว่ากลยุทธ์ทางจิตวิทยาจะถูกป่าวไม่รู้ เพราะคิดคำอื่นไม่ออก แต่มันมีผลทางจิตใจแน่นอน การพูดอะไรอย่างใด อย่างหนึ่ง เป้นการกระตุ้นเตือนความคิด และจิตใจของเรา เหมือนกับให้คำสัญญา แต่ในบางกรณี อย่างที่แอฟริกา มีผล ในเรื่องของการเสริมความกล้าหาญในการที่คนหนึ่งจะหันมาพึ่งพาพระเจ้าด้วย ซึ่งการทำแบบนี้ ไม่ได้หมายถึงการยอมรับว่ามีเทพเจ้าอื่น แต่เป้นการทำเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เชื่ออย่างอื่นมาก่อนมากกว่า พูดง่าย ๆว่า เรายอมรับในสิ่งที่เขาเป้น แต่ไม่ได้เชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่น
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 14, 2006 7:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พี่คะ จากประสบการณ์ของคนจำนวนมากมาย พระเท็จเทียมนั้นมีอยู่จริงค่ะ เพียงแต่ถ้าใครก็ตามเชื่อในพระเจ้า พระองค์จะทำให้เขาหลุดจากการเป็นทาสมาสู่ความเป็นไทในพระเจ้าน่ะค่ะจอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน: เราคงไม่ได้ยอมรับว่ามีอยู่จริง เราไม่เชื่อว่ามีพระอื่นอยู่จริง แต่พิธีกรรมที่ว่า เป็นเหมือนเครื่องมือช่วย เตือนสติ ผุ้เชื่อใหม่มากกว่า ว่าต่อแต่นี้ จะละทิ้งความเชื่อ หรือพฤติกรรมเดิม ทั้งหมด อย่างคาทอลิก ก็ประกาศละทิ้งปิศาจ หรือละทิ้งบาป
อย่างที่เจ้า จะเบี๊ยบเล่าเร้วนี้ เพิ่งเรียนมา ว่า เมื่อช่วงศต. ที่ 19 ได้มีนักวิชาการศึกษา รายงานของมิชชั่นนารีที่เข้าไป เผยแผ่ศาสนาในแอฟริกา ที่โยรูบัน พบว่า ความเชื่อ ของในเทพเจ้าของศาสนาเดิมนั้นเข้มข้นมาก ความกลัวเทพเจ้าลงโทษเมื่อละทิ้งศาสนามีสูง เคยมีคนเปลี่ยนศาสนามาคริสต์ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะอิทธิพลความเชื่อมีสูงมาก เขาป่วยหนัก ทุกคนในชุมชนเชื่อว่าเทพเจ้าลงโทษ เพราะคิดละทิ้งศาสนา
ดังนั้นพิธีกรรมละทิ้งปิศาจหรือตัดขาดจากเทพเดิม จึงเป้นกลยุทธ์ ทางจิตวิทยาที่โดยความเชื่อ เพื่อให้ผุ้เชื่อใหม่ มีจิตใจตั้งมั่น ในพระเป้นเจ้าได้
เอ่อ ไม่รู้ว่าเขียนว่ากลยุทธ์ทางจิตวิทยาจะถูกป่าวไม่รู้ เพราะคิดคำอื่นไม่ออก แต่มันมีผลทางจิตใจแน่นอน การพูดอะไรอย่างใด อย่างหนึ่ง เป้นการกระตุ้นเตือนความคิด และจิตใจของเรา เหมือนกับให้คำสัญญา แต่ในบางกรณี อย่างที่แอฟริกา มีผล ในเรื่องของการเสริมความกล้าหาญในการที่คนหนึ่งจะหันมาพึ่งพาพระเจ้าด้วย ซึ่งการทำแบบนี้ ไม่ได้หมายถึงการยอมรับว่ามีเทพเจ้าอื่น แต่เป้นการทำเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เชื่ออย่างอื่นมาก่อนมากกว่า พูดง่าย ๆว่า เรายอมรับในสิ่งที่เขาเป้น แต่ไม่ได้เชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่น
ฉะนั้น ในบางกรณี หนูว่าอาจเป็นเหตุผลทางจิตใจอย่างที่พี่ว่ามา แต่ในบางกรณีก็เป็นอิทธิพลของ"เทพผู้ครอง"จริงๆนะคะ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความจริงค่ะ
ลองอ่านพระวาจาดังต่อไปนี้สิคะ
เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ ( โรม 8 : 38 - 39 )
พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวงและฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ ( 1 ทิโมธี 4 : 1 )
หรือแม้แต่เหตุการณ์ไล่จิตโสโครกในพระวรสารก็เป็นตัวอย่างของการมีอยู่จริงของผีปีศาจนะคะ (แม้จะมีบางคนตีความว่าเป็นเพียงอาการผิดปกติทางจิตเท่านั้น) แต่หนูขี้เกียจพิมพ์อะ อิ อิ
ถ้า"เทพผู้ครอง"ไม่มีอยู่จริง ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 6 นักบุญเปาโลจะเตือนให้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดในการต่อสู้กับพญามารทำไมล่ะคะ
สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว ทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้น ท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้
แต่ที่สุดก็ไม่ต้องหวาดกลัวค่ะ ขอเพียงเราดำเนินชีวิตในหนทางของพระเจ้า โดยไม่ไปพึ่งพา"เทพผู้ครอง" เราก็จะปลอดภัยค่ะ
เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้ เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ( 2 โครินธ์ 5 : 8 - 9 )
เพราะเราอย่าลืมสิคะว่า พระเยซูเจ้าทรงไถ่เราแล้ว และเราก็อยู่กับพระองค์ตลอดกาล
ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง ( 1 เปโตร 1 : 18 - 19 )
แม้"เทพผู้ครอง"จะมีอยู่จริง แต่เรามีพระเจ้าผู้ดูแลเราดีกว่าดอกไม้ในทุ่งนา นกในอากาศ แล้วเราจะกลัวอะไรเล่า จริงไหมคะ
เสนอให้อธิษฐานสานสัมพันธ์ค่ะStephen เขียน: แล้วถ้ามีเพื่อนชื่อเทพแล้วทำไง? ::011:: ::011::
จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองไงคะ อิ อิ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะครับJoseph เขียน: น้องบิ๊ก ยกนิ้วให้เลยถูกต้อง
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Batholomew เขียน:เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะครับJoseph เขียน: น้องบิ๊ก ยกนิ้วให้เลยถูกต้อง
ปี่ขลุ่ยหน่ะขวัญเรียมเกินไป เหมือนเทพอุ้มสมดูจะเหมาะกว่านะมิวนะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เอ๊า...ก็เพิ่งอธิษฐานตัดตวามสัมพันธ์กับเทพไม่ใช่รึ
แล้วเทพจะมาอุ้มสมให้เหรอ
แล้วเทพจะมาอุ้มสมให้เหรอ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
นั่นดิ ผมว่าพระองค์จัดให้แล้วไงครับ~@Little lamb@~ เขียน: เอ๊า...ก็เพิ่งอธิษฐานตัดตวามสัมพันธ์กับเทพไม่ใช่รึ
แล้วเทพจะมาอุ้มสมให้เหรอ
Ms.BIG เขียน:พี่คะ จากประสบการณ์ของคนจำนวนมากมาย พระเท็จเทียมนั้นมีอยู่จริงค่ะ เพียงแต่ถ้าใครก็ตามเชื่อในพระเจ้า พระองค์จะทำให้เขาหลุดจากการเป็นทาสมาสู่ความเป็นไทในพระเจ้าน่ะค่ะจอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน: เราคงไม่ได้ยอมรับว่ามีอยู่จริง เราไม่เชื่อว่ามีพระอื่นอยู่จริง แต่พิธีกรรมที่ว่า เป็นเหมือนเครื่องมือช่วย เตือนสติ ผุ้เชื่อใหม่มากกว่า ว่าต่อแต่นี้ จะละทิ้งความเชื่อ หรือพฤติกรรมเดิม ทั้งหมด อย่างคาทอลิก ก็ประกาศละทิ้งปิศาจ หรือละทิ้งบาป
เรายอมรับในสิ่งที่เขาเป้น แต่ไม่ได้เชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่น
ฉะนั้น ในบางกรณี หนูว่าอาจเป็นเหตุผลทางจิตใจอย่างที่พี่ว่ามา แต่ในบางกรณีก็เป็นอิทธิพลของ"เทพผู้ครอง"จริงๆนะคะ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความจริงค่ะ
ลองอ่านพระวาจาดังต่อไปนี้สิคะ
เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ ( โรม 8 : 38 - 39 )
พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวงและฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ ( 1 ทิโมธี 4 : 1 )
หรือแม้แต่เหตุการณ์ไล่จิตโสโครกในพระวรสารก็เป็นตัวอย่างของการมีอยู่จริงของผีปีศาจนะคะ (แม้จะมีบางคนตีความว่าเป็นเพียงอาการผิดปกติทางจิตเท่านั้น) แต่หนูขี้เกียจพิมพ์อะ อิ อิ
ถ้า"เทพผู้ครอง"ไม่มีอยู่จริง ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 6 นักบุญเปาโลจะเตือนให้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดในการต่อสู้กับพญามารทำไมล่ะคะ
สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ แม้"เทพผู้ครอง"จะมีอยู่จริง แต่เรามีพระเจ้าผู้ดูแลเราดีกว่าดอกไม้ในทุ่งนา นกในอากาศ แล้วเราจะกลัวอะไรเล่า จริงไหมคะ
ขออกความเห็นด้วยคนจ้า
พี่คิดว่า เทพในความหมายของพี่ คือผู้ที่พระสร้างมาในรูปของเทพ
ต่อมา มีเทพพวกหนึ่งซึ่งเป็นกบฏต่อพระ เทพที่ไม่ทำความดี
เทพที่ชักชวนให้เราทำชั่ว พวกนี้มีฤทธิ์อำนาจ เสมือนเทพ หรือเทวดาทุกประการ
แต่เทพพวกนี้ทำบาป
และพี่ถูกสอนมาว่าให้เรียกเทพที่ทำบาปพวกนี้ว่า ซาตาน
หรือผีปีศาจนั่นเอง
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
ดูแล้ว คำว่า เทพ ที่ โควตมา น่าจะหมายถึง ความชั่วร้าย ความบาป หรือแม้กระทั่งความไม่รู้ เข้าไม่ถึงความจริง หรือความหลงผิดก็ยังได้นะ ไม่ได้หมายความถึงเทพที่เป็นตัว ๆ หรือมีลักษณะเป็นบุคคล แต่การใช้ภาษาในพระคัมภีร์ ต้องการจะสื่อสารในเชิงสัญลักษณะ ก็เลยใช้คำที่ให้ภาพที่เหมิอนมีตัวบุคคลMs.BIG เขียน:พี่คะ จากประสบการณ์ของคนจำนวนมากมาย พระเท็จเทียมนั้นมีอยู่จริงค่ะ เพียงแต่ถ้าใครก็ตามเชื่อในพระเจ้า พระองค์จะทำให้เขาหลุดจากการเป็นทาสมาสู่ความเป็นไทในพระเจ้าน่ะค่ะจอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน: เราคงไม่ได้ยอมรับว่ามีอยู่จริง เราไม่เชื่อว่ามีพระอื่นอยู่จริง แต่พิธีกรรมที่ว่า เป็นเหมือนเครื่องมือช่วย เตือนสติ ผุ้เชื่อใหม่มากกว่า ว่าต่อแต่นี้ จะละทิ้งความเชื่อ หรือพฤติกรรมเดิม ทั้งหมด อย่างคาทอลิก ก็ประกาศละทิ้งปิศาจ หรือละทิ้งบาป
อย่างที่เจ้า จะเบี๊ยบเล่าเร้วนี้ เพิ่งเรียนมา ว่า เมื่อช่วงศต. ที่ 19 ได้มีนักวิชาการศึกษา รายงานของมิชชั่นนารีที่เข้าไป เผยแผ่ศาสนาในแอฟริกา ที่โยรูบัน พบว่า ความเชื่อ ของในเทพเจ้าของศาสนาเดิมนั้นเข้มข้นมาก ความกลัวเทพเจ้าลงโทษเมื่อละทิ้งศาสนามีสูง เคยมีคนเปลี่ยนศาสนามาคริสต์ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะอิทธิพลความเชื่อมีสูงมาก เขาป่วยหนัก ทุกคนในชุมชนเชื่อว่าเทพเจ้าลงโทษ เพราะคิดละทิ้งศาสนา
ดังนั้นพิธีกรรมละทิ้งปิศาจหรือตัดขาดจากเทพเดิม จึงเป้นกลยุทธ์ ทางจิตวิทยาที่โดยความเชื่อ เพื่อให้ผุ้เชื่อใหม่ มีจิตใจตั้งมั่น ในพระเป้นเจ้าได้
เอ่อ ไม่รู้ว่าเขียนว่ากลยุทธ์ทางจิตวิทยาจะถูกป่าวไม่รู้ เพราะคิดคำอื่นไม่ออก แต่มันมีผลทางจิตใจแน่นอน การพูดอะไรอย่างใด อย่างหนึ่ง เป้นการกระตุ้นเตือนความคิด และจิตใจของเรา เหมือนกับให้คำสัญญา แต่ในบางกรณี อย่างที่แอฟริกา มีผล ในเรื่องของการเสริมความกล้าหาญในการที่คนหนึ่งจะหันมาพึ่งพาพระเจ้าด้วย ซึ่งการทำแบบนี้ ไม่ได้หมายถึงการยอมรับว่ามีเทพเจ้าอื่น แต่เป้นการทำเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เชื่ออย่างอื่นมาก่อนมากกว่า พูดง่าย ๆว่า เรายอมรับในสิ่งที่เขาเป้น แต่ไม่ได้เชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่น
ฉะนั้น ในบางกรณี หนูว่าอาจเป็นเหตุผลทางจิตใจอย่างที่พี่ว่ามา แต่ในบางกรณีก็เป็นอิทธิพลของ"เทพผู้ครอง"จริงๆนะคะ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความจริงค่ะ
ลองอ่านพระวาจาดังต่อไปนี้สิคะ
เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ ( โรม 8 : 38 - 39 )
พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวงและฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ ( 1 ทิโมธี 4 : 1 )
หรือแม้แต่เหตุการณ์ไล่จิตโสโครกในพระวรสารก็เป็นตัวอย่างของการมีอยู่จริงของผีปีศาจนะคะ (แม้จะมีบางคนตีความว่าเป็นเพียงอาการผิดปกติทางจิตเท่านั้น) แต่หนูขี้เกียจพิมพ์อะ อิ อิ
ถ้า"เทพผู้ครอง"ไม่มีอยู่จริง ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 6 นักบุญเปาโลจะเตือนให้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดในการต่อสู้กับพญามารทำไมล่ะคะ
สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว ทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้น ท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้
แต่ที่สุดก็ไม่ต้องหวาดกลัวค่ะ ขอเพียงเราดำเนินชีวิตในหนทางของพระเจ้า โดยไม่ไปพึ่งพา"เทพผู้ครอง" เราก็จะปลอดภัยค่ะ
เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้ เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ( 2 โครินธ์ 5 : 8 - 9 )
เพราะเราอย่าลืมสิคะว่า พระเยซูเจ้าทรงไถ่เราแล้ว และเราก็อยู่กับพระองค์ตลอดกาล
ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง ( 1 เปโตร 1 : 18 - 19 )
แม้"เทพผู้ครอง"จะมีอยู่จริง แต่เรามีพระเจ้าผู้ดูแลเราดีกว่าดอกไม้ในทุ่งนา นกในอากาศ แล้วเราจะกลัวอะไรเล่า จริงไหมคะ
ดูแล้ว คำว่า เทพ ที่ โควตมา น่าจะหมายถึง ความชั่วร้าย ความบาป หรือแม้กระทั่งความไม่รู้ เข้าไม่ถึงความจริง หรือความหลงผิดก็ยังได้นะ ไม่ได้หมายความถึงเทพที่เป็นตัว ๆ หรือมีลักษณะเป็นบุคคล แต่การใช้ภาษาในพระคัมภีร์ ต้องการจะสื่อสารในเชิงสัญลักษณะ ก็เลยใช้คำที่ให้ภาพที่เหมิอนมีตัวบุคคล
ที่น้องตอบมาไม่ใช้ความเชื่อของศาสนาคริสต์เราเลยนะครับ ถ้าน้องคิดยังนี้ก็จะถือว่าเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงไม่ได้ น้องยังมีบางอย่างที่ไม่เชื่อในศาสนาคริสต์เราอยู่ โดยเฉพาะเรื่อง ซาตาล กับ ปีศาจ ซึ่งสองอย่างนี้เป็นจุดเริ่มตนของความบาปนะครับ
บาป(sin) ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่บาปมีมาก่อนแล้ว บาปนั้นมาจากซาตาล ถ้าน้องเรียนคำสอนคงรู้ ซาตาลเป็นที่มาทั้งหมดของบาป
ข้างล่างนี้ผมตอบที่พันทิปไว้อ่านดูครับ
มนุษย์ต้องการหลักยึดเหนียว หลายคนก็แสวงหาหลักยึดเหนี่ยวตามที่ตนคิดว่าดีแล้วถูกต้อง มนุษย์10 คนยังคิดต่างกันเลย ยิ่งร้อยคนก็ยิ่งต่างกันไปอีก ดังนั้นศาสนาจึงมีหลายศาสนาต่างกันมากมาย
แต่ความเชื่อของคริสต์ พระเจ้าไม่ใช้ศาสนาหรือลัทธิ แต่พระองค์เป็นในสิ่งที่พระองค์เป็นและมีมาก่อนมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ส่วนพวกซาตาล กับทูตสวรรค์หรือที่แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่าเทวดา ก็มีมาก่อนมนุษย์ใดจะเกิดขึ้น นั่นก็ไม่ใช้ศาสนาแต่เป็นวิญญาณ
ถ้าพูดถึง "บาป"(sin) ตามความเชื่อของศาสนาอื่นคือกฎที่ตั้งขึ้นมิให้มนุษย์เอาเปรียบทำร้ายซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับกฏหมาย(Lan) แต่ความเชื่อของศาสนาคริสต์ เชื่อว่าบาป เป็นวิญญาณไม่ใช้แค่การกระทำเท่านั้น เป็นวิญญาณของสิ่งไม่ดี ส่งชั่วร้ายที่เรียกว่า "ซาตาล" วิญญาณที่ไม่มีความรัก มีแต่ความเกียดชัง เป็นต้นเหตุทำให้มนุษย์ทำร้ายกัน
ซึ่งเดิมทีบาปนี้ไม่ใช้ของมนูษย์ มาจากซาตาลผู้เดียว พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มีบาป แต่มนุษย์รับบาปนั้นมาจาก "ซาตาล" ดังนั้นศาสนาคริสต์จึงามิได้ตัดสินตายตัวว่าการกระทำใดเป็นบาป แต่ตัดสินที่จิตใจของเราเป็นหลักว่ามีความรักหรือความเกียดชัง
ถ้ามนุษย์มีความรักในเพื่อนมนุษย์น้อนก็แสดงว่าจิตวิญญาณเขาเป็นเหมือนซาตาล เขารับจิตชั่วนั้นมาจากซาตาลซึ่งเป็นเหมือนบิดาของเขา วิญญาณเขาเป็นทาสของซาตาล เมื่อเขาตายซาตาลจะทวงสิทธิ์นี้จากพระเจ้า จิตชั่วนี้มนุษย์ทุกคนได้รับมาจากซาตาลตั้งแต่ อาดัมและอีฟ มนุษย์คู่แรกที่เชื่อฟั้งซาตาล ขายสิทธิ์ให้กับซาตาล ศาสนาคริสต์เรียกว่า "บาปกำเนิด"
ส่านพระเจ้าเป็นความรัก พระองค์สามารถส่งความรักของพระองค์เขามาในจิตใจมนุษย์ทางพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นมนุษย์เหมือนกับเราแล้วก็เป็นพระเจ้าด้วย แล้วเมื่อเรารับเชื่อในพระองค์ จิตแห่งพระเจ้าหรือจิตแห่งความรักก็จะเขามาสู่เรา ทำให้เรามีความรักเพื่อนมนุษย์ แล้วเมื่อเราเข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าไรจิตแห่งความรักก็เข้ามาอยู่ในเรามากเท่านั้นทำให้เราเป็นคนที่รักเพื่อนมนุษย์ทุกคนได้โดยธรรมชาติ แล้วเมื่อเราไม่มีความเกียดในมนุษย์ผู้ใดเราจะไปสวรรค์
ส่วนคนที่ไม่มีความรักต่อให้ถือบัญญัติมากมายก็ไปสวรรค์ไม่ได้ เหมือนอย่างพวกฟาริสี(ผู้นำศาสนายิวในพระคัมภีร์) เขาถือบัญญัติได้ทุกข้อแต่เขาไม่รอดเพราะเขาไม่มีความรัก เขาถือศีลอดเพื่ออวดกัน ยิ่งคนถือศีลมากกว่าก็จะมีตำแหน่งพระที่ใหญ่กว่า ทำให้พระเยซุต่อว่าหลายครั้ง
จิตแห่งพระเจ้าหรือจิตแห่งรักนี้ ศาสนาคริสต์เรียกว่า "พระจิต" หรือ "พระวิญญาณบริสุทธิ์"
http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 81953.html
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ เสาร์ ก.ย. 16, 2006 3:46 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พี่จอมนางฯคะ ที่พี่โจเซฟกับน้าPhulassoว่ามานั้นถูกต้องแล้วค่ะ สิ่งที่พระคัมภีร์ได้พูดถึงในตอนดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่"สัญลักษณ์"เท่านั้นนะคะ แต่เป็น"สิ่งที่มีอยู่จริง"ค่ะ มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้ประจักษ์ว่า "เทพ"ที่ว่านี้ไม่ได้เป็นเพียง"สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม"ของความชั่วน่ะค่ะ
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
เออ สงสัยจะไม่ใช่คริสต์จริงๆ แล้วแฮะเรา แค่ใช้แว่นขยายมากไปหน่อย เลยเห็นที่เฉพาะจุดที่ที่เพ่ง มองไม่เห้นบริบท เพราะแว่นขยายไปไม่ถึง ขออภัย
งั้นคงต้องมานิยามกันใหม่ ว่าอะไรเรียกว่าคริสต์หรือไม่คริสต์ กันแล้วล่ะ เพราะรีบสรุปเหลือเกิน
งั้นคงต้องมานิยามกันใหม่ ว่าอะไรเรียกว่าคริสต์หรือไม่คริสต์ กันแล้วล่ะ เพราะรีบสรุปเหลือเกิน
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ก.ย. 16, 2006 12:07 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
อย่าเอามาปะปนกันสิจ๊ะ น้องหนูนี่.................จอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน: เออ สงสัยจะไม่ใช่คริสต์จริงๆ แล้วแฮะเรา แค่ใช้แว่นขยายมากไปหน่อย เลยเห็นที่เฉพาะจุดที่ที่เพ่ง มองไม่เห้นบริบท เพราะแว่นขยายไปไม่ถึง ขออภัย
งั้นคงต้องมานิยามกันใหม่ ว่าอะไรเรียกว่าคริสต์หรือไม่คริสต์ กันแล้วล่ะ เพราะรีบสรุปเหลือเกิน
น้องเข้าใจบริบทก็ดีแล้วครับ อาจใช้คำตอบที่รุนแรงไปต้องขออภัยจอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน: เออ สงสัยจะไม่ใช่คริสต์จริงๆ แล้วแฮะเรา แค่ใช้แว่นขยายมากไปหน่อย เลยเห็นที่เฉพาะจุดที่ที่เพ่ง มองไม่เห้นบริบท เพราะแว่นขยายไปไม่ถึง ขออภัย
งั้นคงต้องมานิยามกันใหม่ ว่าอะไรเรียกว่าคริสต์หรือไม่คริสต์ กันแล้วล่ะ เพราะรีบสรุปเหลือเกิน
นิยามของความเขื่อ(Faith) หมายถึง การพึ่งพาอาศัย การไว้วางใจในพระเจ้า เมื่อเราเข้ามาพึ่งและไว้วางใจในพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
ส่วนเรื่องของซาตาล เป็นหลักข้อเชื่อ และเป็นสาเหตุหลักที่เราต้องมาเชื่อในพระองค์ ถ้าซาตาลไม่มี ก็ไม่มีบาป(sin) ถ้าซาตาลไม่หลอกลวงมนุษย์คู่แรกให้ทำบาป มนุษย์ก็ไม่มีบาป มนุษย์ก็ไม่ต้องถูดขับไปอยู่ในดินแดนของความบาป แล้วต้องทนทรมานจากโรงภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมไปถึงความทนทุกข์ยากลำบากต่างๆ นอกจากนั้นมนุษย์ยังถูกผจัญล่อลวงทุกวัน แล้วถูกบังคับให้กราบไหว้บูชาในอำนาจชั่วร้ายที่มองไมเห็น แต่พระเจ้าทรงเข้ามาในโลกเพื่อให้มนุษย์ที่เชื่อและวางใจในพระองค์แล้วจะพ้นภัย
ถ้าไม่มีซาตาล หรือเทวดาลูซีเฟอร์ไม่กบฎ พระเยซูคริสต์ก็คงไม่ต้องมาเกิด พระองค์ก็ไม่ต้องทรมานแล้วตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปเรา ให้กลับมาเป็นลูกของพระองค์ แล้วให้เรา เชื่อ(Faith)ในพระอวค์เพียงผู้เดียว ดังนั้นเราจึงละทิ้งหลักข้อเชื่อเรื่อง ซาตาล(satan) กับ ปีศาจ(demons)ไม่ได้ครับ เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญในศาสนาคริสต์
ที่พี่อาจจะใช้คำตอบรุ่นแรงเพราะพี่วิตกว่าน้องกับชาวคาทอลิกสมัยใหม่จะติดเหตุผลนิยมมากเกินไป ทำให้เราปฏิเสธหลายอย่างที่เรามองไม่เห็น
แม่พระก็เคยมาเตือนเราทีหนึ่งแล้ว จนถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism of Emily Rose เนื่องจากว่าคนสมัยใหม่ไม่เชื่อว่า ปีศาจกับซาตาลมีจริง
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ จันทร์ ก.ย. 18, 2006 3:15 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พี่มั่นใจว่าความเชื่อของน้องจอมนางฯไม่ได้แกว่งไกวไปไหนหรอกจอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน:Ms.BIG เขียน:ดูแล้ว คำว่า เทพ ที่ โควตมา น่าจะหมายถึง ความชั่วร้าย ความบาป หรือแม้กระทั่งความไม่รู้ เข้าไม่ถึงความจริง หรือความหลงผิดก็ยังได้นะ ไม่ได้หมายความถึงเทพที่เป็นตัว ๆ หรือมีลักษณะเป็นบุคคล แต่การใช้ภาษาในพระคัมภีร์ ต้องการจะสื่อสารในเชิงสัญลักษณะ ก็เลยใช้คำที่ให้ภาพที่เหมิอนมีตัวบุคคลจอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน:
แม้"เทพผู้ครอง"จะมีอยู่จริง แต่เรามีพระเจ้าผู้ดูแลเราดีกว่าดอกไม้ในทุ่งนา นกในอากาศ แล้วเราจะกลัวอะไรเล่า จริงไหมคะ
เพียงแต่เมื่ออ่านข้อความของจดหมาย น.ทิโมที น,เปาโล แล้ว
มีความเห็นว่า การเอ่ยถึงเทพ ในจดหมายเป็นการเอ่ยถึงในเชิงสัญญลักษณ์ได้ไหม
ไม่มีตรงไหนที่น้องจอมนางฯ ปฏิเสธความเชื่อเรื่องซาตานแม้แต่น้อย
พี่ชอบแนวคิดของทุกท่าน โดยเฉพาะของน้องจอมนางฯ ทำให้เกิดศรัทธา
และการค้นคว้าเพื่อหาความเข้าใจในศาสนามากขึ้น น้องศึกษามากๆๆๆๆ
เผยแผ่ความรู้แก่คนทั่วไป คิดต่อไปน้อง ขอพระจิตส่องสว่างทุกๆท่าน
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
-ไม่ทราบว่าพี่Phulasso จะตอบอะไรเหรอ ฮะ
-ส่วนพี่ โจ นะ ยังเขียนผิด อีกเยอะ ช่วย คัดคำว่า
ซาตาน ( ไม่ใช่ ซาตาล สงสัยชอบกินขนมตาล 555 ) 50 ครั้ง
ความเชื่อ น่าจะเป็น Faith นะ ใช่ป่าว พวก พี่ๆที่ต่างแดน
-ส่วนพี่ โจ นะ ยังเขียนผิด อีกเยอะ ช่วย คัดคำว่า
ซาตาน ( ไม่ใช่ ซาตาล สงสัยชอบกินขนมตาล 555 ) 50 ครั้ง
ความเชื่อ น่าจะเป็น Faith นะ ใช่ป่าว พวก พี่ๆที่ต่างแดน