ขอแบ่งปันเพิ่มเติมครับ
เราคงจำกันได้ว่าบทอ่านประจำมิสซาวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 1 ในเทศกาลมหาพรตนั้น เนื้ออ่านที่อ่านกันในส่วนของพระวรสารจะไม่เคยเปลี่ยนเลย นั่นก็คือ"การถูกผจญล่อลวงของพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จไปจำศีลภาวนาในถิ่นทุรกันดาร" ใช่ปะครับ
มีอยู่ปีหนึ่ง วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ผมไปเข้าวัดซางตาครู้ส พ่อสมศักดิ์ ธิราศักดิ์ เป็นเจ้าวัด และเป็นมิสซาที่พ่อสมศักดิ์เป็นประธานพอดี ผมยังจำได้แม่นเลยว่า พ่อขึ้นต้นเทศน์ว่า "วันนี้พ่อจะแบ่งปันกับพี่น้องในเรื่องที่ว่าอะไรคือบาป" พ่อบอกว่าคริสตชนจำนวนไม่น้อยยังแยกแยะไม่ออกระหว่างว่าอะไรคือบาปและอะไรคือการผจญ และสิ่งนี้ทำให้คริสตชนเหล่านั้นเป็นทุกข์ใจแสนสาหัส เพราะดูเหมือนว่าในชีวิตนี้ตื่นมาก็ทำบาปไปแล้วตั้งเยอะแยะเลย
และนี่ ผมว่าเป็นปัญหาของคริสตชนทั้งใหม่รวมถึงเก่าด้วยไม่น้อยเลยครับ ไม่งั้นพ่อคงไม่นำมาเป็นประเด็นบทเทศน์
ผมจึงอยากแบ่งปันเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างของผู้รับศีลอภัยบาปจะได้รับประโยชน์จากการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้มากขึ้นครับ อนึ่งสิ่งที่จะแบ่งปันต่อไปข้าล่างนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวของผม (ไม่ได้ยกมาจากบทเทศน์ของพ่อสมศักดิ์นะครับ) ฉะนั้นถ้ามีข้อผิดพลาด ก็ขอรบกวนพี่น้องช่วยแก้ไข และสำหรับความผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้น ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวครับ
ก่อนแก้บาป เราต้องพิจารณามโนธรรม แยกแยะว่าสิ่งที่เราได้ทำมาแต่ก่อนมีสิ่งใดเป็นบาปบ้าง อะไรเป็นข้อหนัก อะไรเป็นข้อเบา จำแนกสิ่งที่เป็นการผจญออกไป (แต่จะบอกพ่อผู้ฟังแก้บาปก็ได้ เป็นต้นว่าการผจญที่เราเจอบ่อยๆ เผื่อจะได้รับคำแนะนำที่ดีในการต่อสู้กับการผจญนั้นๆครับ)
องค์ประกอบสำคัญที่จะเรียกได้ว่าทำบาปแล้วนั้น ก็คือ"ความรู้ตัวและเต็มใจ" คือรู้ว่าเป็นความผิดบาปแล้วยังดันไปทำอีก เช่น บาปคิดอุลามก สมมติว่าเราไปเดินห้างสรรพสินค้า แล้วแวะไปในร้านหนังสือ เราก็กวาดตาหาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จะซื้อมาอ่านสักฉบับ แต่ตาเจ้ากรรมกลับดั๊นนนนปราดไปเห็นนิตยสารเพนท์เฮาส์ นางแบบหน้าปกก็ไม่เกรงอกเกรงใจเสือป่าแมวป่าทั้งหลายเล้ยยยยย เช่นนี้แล้ว ก็เป็นแค่พฤติกรรมธรรมดา ยังไม่เป็นแม้แต่การผจญ เพราะปราดตาไปเห็น
โดยบังเอิญ แต่เมื่อเห็น ตารับภาพส่งไปที่สมอง สมองทำงาน เกิดการแปรสารที่ได้รับ เกิดความรู้สึกอยากแกะซองพลาสติกออกมาวิจัยเนื้อหาภายในอย่างละเอียด ความรู้สึกก็เป็นแค่การผจญ ในขณะที่คิดอยากวิจัยเนื้อหาเพนท์เฮาส์ ก็อาจมีภาพสาวๆชีชีแป่แป๊ะที่เคยเข้ามาเป็นข้อมูลในหัวสมองอันเป็นประสบการณ์ที่เคยมีอยู่เดิมปรากฎแว้บขึ้นมาเป็นข้อมูลในปัจจุบัน
ชวนให้อยากคิดไปไหนต่อไหน ภาพสาวๆชีชีแป่แป๊ะและความรู้สึกที่เหมือนถูกชวนให้คิดนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่การผจญ เพราะภาพสาวๆที่กล่าวถึงนั้นมันแว้บขึ้นมาเอง ไม่ได้ไปอัญเชิญมาจากไหนด้วยความเต็มใจ ทีนี้ถ้าใจเราปลงใจไปกับสาวน้อยร้อยชั่งที่มาลอยล่องล่อใจหรือคิดตามไปไหนต่อไหน นี่แหละเป็นบาปแล้ว เพราะเราทำไปด้วยความรู้ตัวเต็มใจ รู้ว่าผิดแล้วก็ยังปลงใจไปกับมัน คิดตามไป อันนี้บาปแล้ว ค่อยเอาไปแก้บาป ทีนี้เวลาแก้บาป เราก็อาจเล่าถึงสภาพแวดล้อมเล็กน้อยว่าเราไปทำบาปคิดอุลามกนี้ได้อย่างไร
อีกตัวอย่างหนึ่ง บาปโมโห จริงๆความโกรธเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ เหมือนที่เพลงที่น้องพั้นช์ร้องไว้ "แต่อย่างน้อยที่เราเจ็บ แปลว่าเรายังหายใจ" อย่างน้อยที่เราโกรธ แปลว่าเรายังหายใจ เมื่อเราประสบกับสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ เราย่อมโกรธ เช่น เห็นคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยนุ่งน้อยห่มน้อยมาวัด เราก็อาจจะโกรธ ทำไมไม่ให้เกียรติพระ นี่เป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้านะน้องสาว ปฏิกิริยาที่เราโกรธเจ๊คนนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นปกติวิสัยของมนุษย์เรา ก็อย่างที่บอก "อย่างน้อยที่เราโกรธ แปลว่าเรายังหายใจ" มันเป็นปฏิกิริยาทางจิตวิทยาที่เราบังคับไม่ได้นัก เราอาจมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดเมื่อเห็นยายนี่ใส่เสื้อสายเดี่ยวที่บางเหมือนเป็นเส้นด้ายและกางเกงที่ไม่เหมือนกางเกงแต่ดันสั้นนนนนเหมือนกับผ้าอ้อมออกไปรับศีล อาจมีกัดฟันกรอดๆๆๆๆกำมือแน่น เหงื่อออกเต็มมือ นั่นเป็นเพียงปฏิกิริยาทางจิตวิทยา ไม่เป็นบาป ด้วยว่าไม่มีเจตนาจะให้เป็นเช่นนั้น ตามปกติ มนุษย์เราจะมีภาคอารมณ์และภาคเหตุผล เมื่อใดที่มนุษย์โกรธ อารมณ์ก็จะมาอยู่เหนือเหตุผล (เป็นสันชาตญาณของมนุษย์ในการป้องกันตนเอง--แต่ไม่ใช่เพื่อการทำร้ายคนอื่นนะครับ--อย่าเข้าใจผิดไปครับ แหะ แหะ) เมื่อเราโกรธ เราก็อาจทุบโต๊ะ ชกผนัง อันนี้ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นว่าภาคอารมณ์มักจะเป็นใหญ่เมื่อมนุษย์โกรธ แต่สิ่งที่สำคัญเมื่อเราโกรธ ก็เป็นอย่างที่พระคัมภีร์ได้ว่าไว้ว่า"อย่าทำบาป" นั่นก็คือเราจะต้อง
ควบคุมพฤติกรรมของเราให้ได้ เอาสติจับไว้และอย่าทำบาป อย่าไปทำร้ายใคร สมมติว่าเราเห็นเจ๊วับแวมคนนั้นแล้วทนไม่ไหว ในขณะที่เจ๊แกรับศีลแล้วเดินกลับมาคุกเข่าสวดที่ที่นั่ง คุมอารมณ์ไม่อยู่ เหตุผลหายไป ปราดเข้าไปด่ากราดเป็นขนมกรุบ แถมจิกหัวตบล้างน้ำ กล่าวคือตบหน้าก่อนด้วยส้นรองเท้าแล้วตามด้วยการเอาน้ำลายถุยออกมาล้างหน้า อันนี้ถือว่าเป็นบาป ซึ่งก็บาปตั้งแต่เริ่มด่าคำแรกแล้วครับ เพราะโกรธก็จริง แต่ดันทำบาป ไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง จริงๆนักบุญทุกคนก็ไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้าอย่างสมบูรณ์ ท่านทั้งหลายจึงมีแนวโน้มที่จะทำบาปเช่นเดียวกับพวกเรา แต่ที่พวกท่านเจ๋งกว่าพวกเราคือควบคุมพฤติกรรมของตนเองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือด้านใดๆก็ตามครับ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เราจึงควรเลียนแบบชีวิตของพวกท่านครับ (ไม่ใช่เพียงแค่สะสมรูปของพวกท่าน เอาไว้ชื่นชมบูชาเท่านั้น)
จริงๆจะว่าไปแล้ว ความโกรธนั้นก็ไม่ได้นำไปสู่บาปเสมอไปครับ บางครั้งความโกรธก็นำไปสู่สิ่งที่ดีได้ครับ เช่น พระเยซูเจ้าทรงโกรธเมื่อเห็นชาวยิวทำให้พระวิหารเป็นซ่องโจร ก็ต้องชำระกันเสียหน่อย เพราะอะไร เพราะพวกนั้นมาค้าขายในที่ที่ไม่ควรมาค้าขาย ด้วยถือว่าเป็นพระวิสุทธิสถาน ซ้ำยังขูดรีดถึงขั้นระดับหน้าเลือด หากินอย่างเอารัดเอาเปรียบกับสัตบุรุษผู้ใจศรัทธา อย่างนี้มันน่าไหมล่ะท่าน ความไม่พอใจที่เห็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและแสวงหาความเป็นธรรม ถือเป็นความกล้าหาญที่พร้อมต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอันนี้ถือเป็นvirtueหรือคุณธรรม เช่น ถ้าเราเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเราคนหนึ่ง(สมมติว่าชื่ออ๊อด)ถูกเพื่อนคนอื่นรังแกอยู่เสมอๆ เดี๋ยวก็โดนแซว เดี๋ยวก็โดนด่า เดี๋ยวก็โดนล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ถูกทอดทิ้ง ไม่มีคนสนใจใส่ใจ เวลามีงานกลุ่มก็ไม่มีคนอยากรวมกลุ่มด้วย ไม่มีคนเหลียวแลว่าจะมีข้าวกินไหม จะมีเงินพอใช้ไหมในแต่ละวัน มาโรงเรียนและกลับบ้านอย่างไร รังเกียจเดียดฉันท์ ฯลฯ เช่นนี้ ถ้าเราไม่มีคุณธรรมความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม หดหัวกลัว อ่อนแอ กลัวพวกแก๊งนักเรียนเกเรพวกนั้นจะทำร้ายเราด้วยความหมั่นไส้ เราก็จะไม่กล้าทำอะไรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับอ๊อด แต่ถ้าเรามีคุณธรรมความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เราอาจโกรธที่คนเหล่านั้นรังแกอ๊อดซึ่งไม่มีทางสู้ แต่ถ้าเราเลือกวิธีไปตบหน้า ถีบถอง ศอกกลับ ขึ้นเข่าพวกนักเรียนอันธพาลเหล่านั้น ก็ถือเป็นบาปไป เพราะเวลาเราโกรธคัมภีร์บอกว่า"อย่าทำบาป" เมื่อเราโกรธแล้ว เราอาจเลือกวิธีพูดกับนักเรียนอันธพาลเหล่านั้นซึ่งๆหน้า หรือไม่ก็แจ้งครูประจำชั้น หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่วิถีทางของบาป
ทีนี้ แว้บกลับมาที่เจ๊วับๆแวมๆในวัด บางคนอาจบอกว่า อ้าว ที่ฉันปราดไปจิกหัวตบมันก็เป็นความกล้าหาญที่จะจัดการกับคนที่ประพฤติไม่เหมาะสม เป็นความกล้าหาญในทางที่ถูก แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเวลาเราโกรธ คัมภีร์บอกว่า"อย่าทำบาป" การที่เราไปทำร้ายเขา เราก็ทำบาปแล้วนา ใช่ปะครับ
แต่กระนั้นก็ดี ความโกรธอยู่เรื่อย ก็อาจทำไปสู่บาปโมโหก็ได้นะครับ การที่เราไม่หัดควบคุมอารมณ์ของตนเองเลย เอะอะก็โกรธ เอะอะก็เกลียด เอะอะก็กระฟัดกระเฟียด อย่างนี้ความโกรธก็จะกลายเป็นนิสัยนอนเนื่องในสันดาน กลับเป็นคนขี้โมโห และบาปโมโหนี้ก็สังกัดหนึ่งในบาปต้นเจ็ดประการด้วย เราคงจำกันได้ และขึ้นชื่อว่าเป็นบาปต้นแล้ว ก็หมายความว่ามันเป็นบาปข้อต้นที่จะนำไปสู่บาปประการอื่นๆได้อีกมากมาย (ตัวอย่างเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์) ฉะนั้นเราต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนโกรธยาก หรือให้เป็นคนที่ไม่โกรธเลย ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ เช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากครับ
แม้เราทราบว่าความโกรธที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา หลายครั้งก็ควบคุมไม่ได้ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นเอง ไม่ได้ผ่านการบิ๊ว(build)อารมณ์แบบนักแสดงละครที่ต้องแสดงฉากโกรธ เมื่อไม่มีเจตนาก็ไม่น่าเป็นบาป ก็ตามนะครับ แต่เราก็รู้ว่าความโกรธแม้จะนำไปสู่สิ่งที่ดีได้(เช่นคุณธรรมความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความไม่เป็นธรรม) แต่ความโกรธก็นำไปสู่สิ่งที่ไม่ดีได้ด้วยในหลายสถานการณ์เช่นกันดังที่ได้ประจักษ์อยู่แล้วในชีวิตของพวกเราครับ (เช่นโกรธแล้วทำบาปพวกด่าทอ ตบตี ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ) เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราจะอ้างไปตลอดเหรอครับว่าฉันจะโกรธอย่างนี้ต่อไป เพราะความโกรธไม่ใช่บาป แต่ถ้าเราไม่หัดควบคุมตัวเอง ปล่อยให้ความโกรธนอนเนื่องไป
อย่างรู้ตัวและเต็มใจจนกลายเป็นคนขี้โมโห ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ทำบาปแล้ว เพราะมันก็เป็นบาปเสียตั้งแต่รู้ตัวว่าความโกรธมิใช่สิ่งดีแล้วไม่หัดฝึกฝนอารมณ์ตัวเอง ปล่อยให้เป็นคนขี้โมโหอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ เพราะถือว่าเป็นการปล่อยตัวให้อยู่ในท่าทีบาป
โดยเจตนารู้ตัวและเต็มใจครับ
ผมแบ่งปันมายาว งงกันไหมครับ ถ้าไม่ถูกต้องอย่างไร ช่วยแก้ไขให้ผมด้วย แต่ที่ผมมาแบ่งปันนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากประสบการณ์ของตัวผมเองที่ว่า ผมเองตอนที่เป็นเด็กๆ ก็เคยมีความทุกข์ใจว่าทำไมทำบาปอยู่ได้ ทั้งๆที่จริงแล้ว หลายๆครั้งสิ่งที่เราเข้าใจว่าเราได้บาปนั้น เป็นเพียงแค่การผจญล่อลวงเท่านั้นเองน่ะครับ
แต่กระนั้นก็ดี ก็ขออย่าเข้าข้างตัวเองเป็นอันขาด ไม่ใช่ว่าอะไรก็เอะอะอ้างไวก่อนว่าเป็นการผจญ ไม่ใช่บาปไปเสียหมด อย่างนี้มโนธรรมจะตายด้านเอา สุดท้ายทำอะไรก็ไม่ผิด ฉะนั้นสิ่งใดที่ไม่แน่ใจว่าเป็นบาปหรือไม่ก็ขอให้สารภาพไปก่อน หรือสอบถามปรึกษากับบาทหลวงผู้ฟังบาปก็ได้ครับ เพราะมิเช่นนั้น ถ้าอะไรก็เป็นบาปไปหมด เราก็กลายเป็นคนที่มโนธรรมละเอียดอ่อน ทำอะไรก็เป็นบาปไปหมด แล้วเช่นนี้จะเป็นคริสตชนที่มีความสุขไปได้อย่างไรเล่าครับ ::017::
