การแก้บาปครั้งแรก

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อาทิตย์ เม.ย. 15, 2007 8:04 pm

หลังจากได้รับศีลล้างบาปไปเมื่อวันเสาร์ที่ 7 เมษายน วันนี้ได้ไปทำการแก้บาปครั้ง (เพิ่งล้างบาปได้อาทิตย์เดียวต้องแก้บาปซะแร้ววว  ::010:: )
ก่อนแก้บาปก็ไปยืนรอคุรพ่อหน้าห้องแก้บาปเป็นคนแรก เข้ามิสซารอบ10.00น. ไปยืนรอคุณพ่อตั้งแต่ 09.15น. คุณพ่อมาฟังแก้บาปตอน 9.40 - -"
    ระหว่างยืนรอก็ยืนนึกถึงบาปที่ตัวเองทำไปว่าทำไรไปมั่ง พอคุณพ่อมาก็เลยเข้าไปแก้บาปแต่ปรากฏว่าเนื่องจากยืนรอนานไปหน่อย + ตื่นเต้นไม่เคยแก้บาปเลยนึกบาปไม่ค่อยออกบอกไปแค่ 2 บาปแถมไม่ได้บอกจำนวนด้วยว่าเท่าไหร่ และไม่ได้บอกว่าบาปอื่นๆที่ไดทำไปด้วย - -" รู้สึกไม่สบายใจเลยงับ แหะๆ ไว้ครั้งหน้า (แต่ขอให้ไม่มีดีก่า) จะแก้บาปให้ดีกว่านี้

ปล. ถ้าอาทิตย์นั้นเราไม่ได้ทำบาปหนักก็ไม่ต้องแก้ใช่ไหมคับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ เม.ย. 15, 2007 8:14 pm

1. ถ้าระลึกบาปเก่า ที่ยังไม่ได้แก้

ก็แก้บาปมูลครับ


2.เราควรจะแก้บาปทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะบาปเบา หรือหนัก


เพราะนักบุญ ออกัสตินก้บอกว่า

-บาปเบา เหมือน ทราย
-บาปหนัก เหมือน ก้อนอิฐ


บางครั้งเอง บาปเบา เมื่อไม่ได้แก้ ก็จะสะสมจนใหญ่โตได้นะครับ : xemo033 :
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ เม.ย. 15, 2007 10:09 pm

เคยเป็นเหมือนกันครับ แต่ว่าไม่เป็นไรครับ แก้บาปครั้งหน้าก็ค่อย ๆ พิจารณาบาปอย่างถี่ถ้วนนะครับ
ไม่ต้องรีบครับ : xemo017 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 8:41 am

การพิจารณาบาปเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่งของการรับศีลอภัยบาปครับ  ถ้ากลัวพูดตะกุกตะกัก หลงๆลืมๆ จะให้ชัวร์ ก็อาจจดใส่กระดาษไปเลยก็ได้ครับ ผมก็เคยทำ  สารภาพบาปเสร็จ ก็อาจทำลายกระดาษนั้น ด้วยว่าบาปที่สารภาพไปแล้วนั้นเป็นความลับ มิควรเปิดเผย  ส่วนวิธีทำลายนั้นก็อาจใช้วิธีเผา แต่ที่ผมเคยทำก็คือ หาก้อนหินหรือเศษอิฐมาถ่วงด้วยการขยำกระดาษนั้นกับก้อนหินหรือเศษอิฐแล้วขว้างลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา  ผมว่าป่านนี้ กระดาษจดบาปดังกล่าวคงเปี่อยยุ่ยเป็นผุยผงลอยออกอ่าวไทย ไหลไปถึงหมู่เกาะซาโลมอน จมหายไปในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วกระมังครับ  ::015::

อนึ่ง สำหรับคริสตชนใหม่และเก่า(ด้วยอีกหลายๆคน) อาจประสบปัญหาว่าอะไรเป็นบาปหรือไม่ บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็นบาปก็อาจไม่ใช่บาป แต่เป็นเพียงแค่การผจญล่อลวงเท่านั้น  เช่น เราเหลือบไปเห็นหนังสือลามกบนแผงหนังสือ อันนี้ก็ไม่ใช่บาป ความรู้สึกใคร่รู้อยากดูต่อ วิจัยเนื้อหาภายในก็เป็นการผจญ ถ้าใจเราไม่สมยอมพร้อมใจหันไปดูด้วยความรู้ตัวเต็มใจ ก็ไม่เป็นบาป  แต่กระนั้น ก็ต้องระวังไม่ปล่อยให้มโนธรรมของเราตายด้านจนอะไรก็ไม่เป็นบาปไปหมด ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป  สิ่งหนึ่งที่น่าจะพอช่วยได้ก็คือการสวดขอความสว่างและการทรงนำจากพระจิตเจ้าให้เรามีมโนธรรมของพระเจ้า โดยไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง กล่าวคือทั้งไม่ละเอียดอ่อนเกินไป(อะไรก็บาปไปหมด)และไม่ตายด้านไปเลย(อะไรก็ไม่บาปสักอย่าง)

คนที่มโนธรรมตายด้าน ก็คงไม่ต้องบรรยายกันมาก นึกภาพกันออก  เช่น ถ้าไปเห็นหนังสือลามกบนแผงหนังสือ แล้วหยิบขึ้นมาวิจัยเนื้อหาภายในอย่างถึงลูกถึงคน ถึงพริกถึงขิง ก็อาจอ้างว่า อ้าว ก็ช่วยไม่ได้ ดันมาวางบนแผงให้เห็นทำไม พระเจ้าเข้าใจ ผมไม่ได้ทำบาป  อย่างนี้ก็ถือว่ามโนธรรมตายด้าน  ส่วนคนที่มโนธรรมละเอียดอ่อน ก็เช่น ก่อนสวดสายประคำ บังเอิญช่วยแม่หั่นหมู จะทำบาร์บีคิว  ปรากฎว่านึกขึ้นได้ว่าลืมสวด  ก็เลยแล่นไปสวด ก่อนสวดก็ดันลืมล้างมือ สวดเสร็จ ดันนึกขึ้นมาได้  ตายล่ะสิ เอามือเปื้อนหมูไปจับสายประคำสวด  ทำไงดี  เป็นบาปแล้ว  ไปแก้บาปดีกว่า  อย่างนี้ก็มโนธรรมละเอียดอ่อนเกินไป  ฉะนั้น มโนธรรมที่พึงปรารถนาก็คือมโนธรรมพระเป็นเจ้า อะไรถูกก็ว่าถูก อะไรผิดก็ว่าผิด อะไรเป็นกุศลก็เป็นกุศล อะไรเป็นบาปก็เป็นบาป

ให้เราสวดขอมโนธรรมพระเป็นเจ้ากันเถิดครับ  ::017::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ เม.ย. 18, 2007 8:52 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พุธ เม.ย. 18, 2007 9:01 am

คำสอนเรื่องศีลอภัยบาป
โดย นักบุญยอห์น มารีย์ เวียนเนย์


ลูก ๆ ที่รักของพ่อ เมื่อใดก็ตามที่ลูกมีจุดเล็ก ๆ ที่แปดเปื้อนจิตวิญญาณของลูก ลูกต้องกระทำเหมือนคนที่มีลูกโลกแก้วใสเนื้อดีใบหนึ่ง ซึ่งเขาดูแลรักษามันอย่างดียิ่ง และเมื่อมีฝุ่นแม้เพียงเล็กน้อยติดอยู่บนลูกแก้วนั้น เขาจะรีบเช็ดฝุ่นนั้นออกทันทีที่เขาพบด้วยฟองน้ำ เพื่อให้ลูกแก้วนั้นสะอาดและแวววาว ในทางเดี่ยวกัน เมื่อใดก็ตามที่ลูกรับรู้ถึงมลทินเล็กน้อยในจิตวิญญาณของลูก ให้ลูกจุ่มน้ำเสกทำสำคัญมหากางเขนด้วยความศรัทธา และทำกิจการดีชดเชยความผิดบาป ทำทาน เฝ้าศีล ร่วมมิสซา ลูก ๆที่รักของพ่อ มันเป็นเหมือนคนที่เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย เขาไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ แต่เขาสามารถรักษาตัวของเขาเองได้ ถ้าเขาปวดศีรษะ เขาก็ต้องการแค่การไปนอนพัก ถ้าเขาหิว เขาก็แค่หาอาหารรับประทาน แต่ถ้าเขาเจ็บป่วยขั้นรุนแรง ถ้ามันเป็นแผลฉกรรจ์ เขาต้องไปหาหมอ หลังจากที่หมอมารักษา ในทางเดียวกัน เมื่อเราตกอยู่ในบาปหนัก เราต้องการหมอมารักษา ซึ่งก็คือพระสงฆ์  และสิ่งที่จะเยียวยารักษาก็คือ ศีลอภัยบาป

ลูก ๆ ที่รักของพ่อ เราไม่สามารถเข้าใจถึงความดีงามของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา ที่ทรงตั้งศีลอภัยบาปขึ้น และถ้าหากเรามีความโปรดปรานที่จะวอนขอพระองค์ เราคงไม่คิดที่จะพระองค์ให้ทำเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงเห็นล่วงหน้าแล้วถึงความอ่อนแอของเรา ความแน่นอนของเราที่จะทำสิ่งที่ดี และความรักของพระองค์ชักนำให้พระองค์ทรงทำในสิ่งที่เราไม่กล้าจะทูลขอ ถ้าคนหนึ่งพูดกับวิญญาณอันน่าสงสารที่หลงไปว่า จงไปอยู่ในนรกตลอดไป ถ้าหากเราจะนำพระสงฆ์องค์หนึ่งให้ไปที่ประตูนรก เพื่อให้ทุกคนที่อยากจะสารภาพบาปออกจากที่นั่นไปได้ ลูก ๆ คิดดูสิว่าจะมีใครหลงเหลืออยู่ที่นั่นอีกบ้าง ความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คงไม่ใช่ทั้งการไม่กล้าบอกบาปของพวกเขา หรือแม้การบอกมันก่อนแก่คนทั้งโลก โอ เมื่อไรหนอที่นรกจะกลางเป็นที่รกร้าง และเมื่อไรหนอที่สวรรค์จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดีที่เรามีเวลาและเครื่องมือ ซึ่งวิญญาณที่น่าสงสารเหล่านั้นไม่มี และพ่อแน่ใจว่า วิญญาณที่เคราะห์ร้ายในนรกเหล่านั้นจะพูดว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 11:00 am

ถ้าวันอาทิตย์หน้าไปแก้บาปอีกครั้งจะต้องบอกบาปของเก่าด้วยไหมอ่ะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 11:05 am

Immanuel (MichaelPaul) เขียน: ถ้าวันอาทิตย์หน้าไปแก้บาปอีกครั้งจะต้องบอกบาปของเก่าด้วยไหมอ่ะครับ
บอกครับ...น้องเอกก็บอกพ่อไปว่าในการแก้บาปครั้งเก่านั้น น้องประสบปัญหาอะไร เช่น ตื่นเต้น ทำให้ลืมบาปที่ได้พิจารณามา พอแก้บาปจริง ทำให้นึกออกแค่ 2 บาป แล้วก็ได้สารภาพไปแค่นั้น  ในการแก้บาปครั้งก่อน มีบาปใดบ้างที่ได้สารภาพไปแล้ว แล้วยังมีบาปใดที่ยังไม่ได้สารภาพ ก็สารภาพให้หมด นอกจากนี้แล้ว ถ้าน้องได้ทำบาปอื่นเพิ่มเติมหลังจากการแก้บาปในครั้งที่แล้ว ก็ให้บอกให้หมด  สิ่งสำคัญก็คือน้องต้องเป็นทุกข์เสียใจ และตั้งใจจะไม่ทำบาปอีก เพราะสิ่งนี้สำคัญมากๆๆๆๆครับ  อีกอย่างน้องต้องเคลียร์ปัจจัยบางประการที่เกี่ยวพันกับการทำบาปและอาจทำให้บาปยังคงอยู่ เช่น สมมตินะครับสมมติ (สมมติเฉยๆนะ อย่าคิดมากครับ) สมมติว่าน้องขโมยของเขามา น้องก็ต้องคืนของเขาก่อน  สมมติว่าน้องเป็นชู้กับคนอื่น น้องก็ต้องเลิกพฤติกรรมลักลอบอยู่กินนั้นก่อน สมมติว่าน้องโกรธเกลียดพี่น้อง ตบตีด่าว่า ทะเลาะเบาะแว้ง ฯลฯ น้องก็ต้องคืนดีกับพี่น้องก่อน  มิเช่นนั้นบาปทั้งหลายที่สารภาพจะไม่ได้รับการอภัยครับ  แต่บางบาป เป็นบาปที่ทำไปแล้วย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ เช่น ในวันจันทร์น้องขี้เกียจทำงาน หนีงานไปนอน ทำให้งานเสียหาย (สมมตินะครับสมมติ) อันนี้จะย้อนกลับไปวันจันทร์เพื่อกลับตัวขยันเพื่อไม่ให้งานนั้นไม่เสียหายไม่ได้(เพราะงานได้เสียหายไปแล้ว) แต่น้องก็ต้องตั้งใจแน่วแน่จะไม่ทำเช่นนั้นอีก และมีความมุ่งมั่นที่จะขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้าน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับงานดังที่เคยเกิดมาแล้วนั้นอีกครับ ทั้งมีความตั้งใจที่จะไปแก้ไขผลเสียอันได้เกิดขึ้นจากความเกียจคร้านของตัวเองด้วยนะครับ ตั้งใจไม่พอ ยังต้องทำจริงๆด้วยครับ หรือ น้องได้คิดเรื่องอุลามกในหัวในคืนวันอังคาร น้องก็คงย้อนกลับไปในคืนวันอังคารอีกครั้งเพื่อไม่คิดอุลามกไม่ได้ คือเรื่องของเรื่องก็คิดไปแล้ว สิ่งที่น้องทำได้ก็คือตั้งใจจะไม่คิดเรื่องอุลามกอีกอย่างแน่วแน่  และสำหรับทุกบาป ไม่ว่าจะเป็นบาปที่มีปัจจัยผูกพันเนื่องเกี่ยวด้วยการทำบาปดำรงค้างอยู่หรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเป็นทุกข์เสียใจที่ได้ทำบาปและความตั้งใจแน่วแน่เด็ดขาดว่าจะไม่ทำบาปอีก สำคัญมากๆนะครับน้อง สิ่งนี้จะทำให้ศีลอภัยบาปเป็นผลก้าวหน้าต่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของน้องครับ

อย่าลืมครับ ถ้าน้องสะดวก เพื่อกันเหนียวไม่ให้การแก้บาปเป็นไปอย่างทุลักทุเล จดใส่กระดาษแล้วไปบอกบาปพ่อ จะช่วยน้องได้มากครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ เม.ย. 18, 2007 11:22 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 12:48 pm

1. บาปครั้งแรกที่ลืมคือลืมบอกเกี่ยวกะบาปอื่นๆที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว(แบบว่าทำไปโดยไม่รู้เลยขอพระองค์อภัยให้)
2. แต่บาปหลักๆที่รู้ว่าทำบาปนั้นไม่ได้บอกจำนวนครับว่าทำไปกี่ครั้ง

แหะๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พุธ เม.ย. 18, 2007 2:47 pm

Immanuel (MichaelPaul) เขียน: 1. บาปครั้งแรกที่ลืมคือลืมบอกเกี่ยวกะบาปอื่นๆที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว(แบบว่าทำไปโดยไม่รู้เลยขอพระองค์อภัยให้)
2. แต่บาปหลักๆที่รู้ว่าทำบาปนั้นไม่ได้บอกจำนวนครับว่าทำไปกี่ครั้ง

แหะๆ
การสารภาพบาป จะมีประโยชน์สำหรับเรามากถ้าเรา ไม่ได้บอกแค่ทำบาปอะไร กี่ครั้ง แต่ควรบอกถึงแรงจูงใจและจุดอ่อนของเราที่ทำให้เราทำบาปนั้นด้วย เพื่อคุณพ่อจะได้แนะนำวิธีป้องกันให้เราถูกจุด เป็นต้นบาปที่เรามักทำบ่อย ๆ จนจำจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ก็อาจจะบอกเป็นความถี่โดยประมาณว่าทำกี่ครั้งต่อ 1 สัปดาห์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 4:23 pm

Immanuel (MichaelPaul) เขียน: 1. บาปครั้งแรกที่ลืมคือลืมบอกเกี่ยวกะบาปอื่นๆที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว(แบบว่าทำไปโดยไม่รู้เลยขอพระองค์อภัยให้)
2. แต่บาปหลักๆที่รู้ว่าทำบาปนั้นไม่ได้บอกจำนวนครับว่าทำไปกี่ครั้ง

แหะๆ
1. งงอะ บาปที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว  มีบาปแบบนี้ด้วยเหรอ  ขยายความพอสังเขปหน่อยสิครับ
2. สำหรับบาปและจำนวนครั้ง ก็ทำแบบที่เพชรแนะนำน่ะครับ คือบอกว่าทำอะไรบ้าง ในแต่ละอย่างทำกี่ครั้ง แล้วให้บอกสภาพแวดล้อมของการทำบาป การผจญที่เกิดขึ้นด้วยครับ

เช่น  เดชะพระนาม... คุณพ่อที่เคารพ โปรดอวยพรแก่ผม เพราะผมได้ทำบาป ผมได้ทำบาปดังต่อไปนี้ วันจันทร์ที่ผ่านมา ผมเดินผ่านบ้านยายแม้นตรงข้างๆวัด บ้านแกทำมะม่วงกวนตากไว้ในกระด้ง กลิ่นมันหอมมากครับ  ผมเลยจกกินไปสองแผ่น วันอังคารผมเดินผ่าน ผมก็อดใจไม่ได้ จกกินอีกสี่แผ่น ผมรู้ว่ามันบาปนะครับที่ไปขโมยของคนอื่นกิน แต่มันอดใจไม่ไหวจริงๆ  วันพุธไม่ได้จก เพราะแกเก็บกระด้งไปแล้ว แถมเขียนประชดไว้ว่า ใครที่ฉกมะม่วงกวนแกไป คราวหน้าให้ฉกกระด้งไปด้วย จะได้ไปตากต่อที่บ้าน กลัวว่ามะม่วงกวนไม่แห้งพอ รสชาติจะไม่ได้ที่  ผมก็รู้สึกผิดยิ่งขึ้นครับ  นอกจากนี้แล้ว ผมยังลอกข้อสอบเพื่อนเมื่อวานนี้ด้วยครับ ผมสอบสองวิชา ตอนเช้าวิชาหนึ่ง ตอนบ่ายวิชาหนึ่ง ผมเอาโพยเข้าห้องสอบสำหรับวิชาในตอนเช้าและชะโงกหน้าลอกเพื่อนที่นั่งข้างๆมันทั้งสองวิชาเลยครับ ผมรู้ว่าผิดนะครับ แต่ผมขี้เกียจ ไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน ไม่มีเวลาอ่านหนังสืออย่างเพียงพอ ก็เลยต้องมาลอกเพื่อนในห้องสอบน่ะครับ  บาปที่ผมได้กระทำมาหลังจากการแก้บาปครั้งก่อนมีเท่านี้  (ทีนี้เพื่อกันเหนียว เผื่อมีบาปที่เราหลงลืมไปโดยไม่ตั้งใจ เน้น ... โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ตั้งใจนะครับ ก็สวดต่อว่า...) และขอสารภาพบาปอื่นๆที่ผมได้หลงลืมไป(ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าโดยไม่เจตนา)และบาปที่ได้เคยทำมาตลอดชีวิตครับ แล้วก็เงี่ยหูฟังพ่อเทศน์และมอบกิจใช้โทษบาป(มักจะเป็นการให้ไปสวดภาวนา)  แล้วสวดบทแสดงความทุกข์พร้อมกับที่พ่อสวดบทยกบาป แล้วก็ออกจากที่แก้บาปมาสวดใช้โทษบาปตามที่พ่อสั่ง  ทีนี้สิ่งหนึ่งที่พึงคำนึงก็คือ เราต้องไปพลีกรรมใช้โทษบาปเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้เพื่อให้โทษบาปที่ยังคงอยู่หายไป เพราะลำพังแค่สวดตามที่พ่อสั่ง บางทีพ่อก็สั่งแบบผ่อนปรน โดยละในฐานที่เข้าใจว่าเราต้องไปพลีกรรม สวดภาวนา ทำกิจการดีเพิ่มเติมเป็นการส่วนตัวด้วยครับ

อนึ่ง แต่ในบางโอกาส อาจมีการประทานพระคุณการุณย์จากพระศาสนจักรเพื่อขจัดโทษบาป บ้างก็เป็นยกให้บริบูรณ์ เกลี้ยง ไม่เหลือเลย บ้างก็ยกให้บางส่วน ตามแต่กำหนด (เรื่องนี้สามารถศึกษาได้จากเรื่องพระคุณการุณย์ครับ)

งงไหมเนี่ย พูดเองยังงงเองเลย  : xemo029 :

น้องเอกอย่าลืมมาตอบนะครับว่าบาปที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว มันคือบาปแบบไหน (โปรดสังเกต ไม่ได้ถามว่าบาปอะไรนะครับ แต่ถามว่าเป็นบาปแบบไหน)  ::020::
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พุธ เม.ย. 18, 2007 4:36 pm

สวดบทเป็นทุกข์ถึงบาปแล้วพ่อจะยกบาปให้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 4:39 pm

อันตน เขียน: สวดบทเป็นทุกข์ถึงบาปแล้วพ่อจะยกบาปให้
ข้าแต่พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป เพราะบาปเรียกร้องพระอาชญาของพระองค์ แต่เป็นต้นเพราะมันทำเคืองพระทัยพระองค์ซึ่งดีและน่ารักยิ่งนัก เดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย ทั้งจะอุตส่าห์ใช้โทษ ขอทรงพระกรุณายกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ อาแมน  : xemo023 :  :cry:  ::008::

เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต  แล้วก็ออกมาจากที่แก้บาป  ::017::  :angel:  ::017::  :angel:  ::017::
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พุธ เม.ย. 18, 2007 4:40 pm

Florian เขียน:
อันตน เขียน: สวดบทเป็นทุกข์ถึงบาปแล้วพ่อจะยกบาปให้
ข้าแต่พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป เพราะบาปเรียกร้องพระอาชญาของพระองค์ แต่เป็นต้นเพราะมันทำเคืองพระทัยพระองค์ซึ่งดีและน่ารักยิ่งนัก เดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย ทั้งจะอุตส่าห์ใช้โทษ ขอทรงพระกรุณายกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ อาแมน  : xemo023 :  :cry:  ::008::

เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต  แล้วก็ออกมาจากที่แก้บาป   ::017::  :angel:  ::017::  :angel:  ::017::
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยกบาปท่าน เตชะพระนามพระบิดา และพระบุตรและพระจิต
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

พุธ เม.ย. 18, 2007 4:42 pm

Florian เขียน:
อันตน เขียน: สวดบทเป็นทุกข์ถึงบาปแล้วพ่อจะยกบาปให้
ข้าแต่พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป เพราะบาปเรียกร้องพระอาชญาของพระองค์ แต่เป็นต้นเพราะมันทำเคืองพระทัยพระองค์ซึ่งดีและน่ารักยิ่งนัก เดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย ทั้งจะอุตส่าห์ใช้โทษ ขอทรงพระกรุณายกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ อาแมน  : xemo023 :  :cry:  ::008::

เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต  แล้วก็ออกมาจากที่แก้บาป   ::017::  :angel:  ::017::  :angel:  ::017::


::016:: ออกได้ไงจ๊ะ กลับมาใหม่มาเอากิจใช้โทษบาปไปก่อน ให้ลูกไปเดินรูป 14 ภาค 1 ครั้ง แต่ละครั้งให้สวดสายประคำแม่พระ พระเมตตา 1 สาย ตอนนี้สวดบทแสดงความทุกข์ แล้วพ่อจะโปรดบาปให้จ๊ะ พี่ว่า แบบนี้ถึงจะถูกกว่านะ..........
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ เม.ย. 18, 2007 4:58 pm

:+: seraphim :+: เขียน:
Florian เขียน:
อันตน เขียน: สวดบทเป็นทุกข์ถึงบาปแล้วพ่อจะยกบาปให้
ข้าแต่พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป เพราะบาปเรียกร้องพระอาชญาของพระองค์ แต่เป็นต้นเพราะมันทำเคืองพระทัยพระองค์ซึ่งดีและน่ารักยิ่งนัก เดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย ทั้งจะอุตส่าห์ใช้โทษ ขอทรงพระกรุณายกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ อาแมน  : xemo023 :  :cry:  ::008::

เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต  แล้วก็ออกมาจากที่แก้บาป   ::017::  :angel:  ::017::  :angel:  ::017::


::016:: ออกได้ไงจ๊ะ กลับมาใหม่มาเอากิจใช้โทษบาปไปก่อน ให้ลูกไปเดินรูป 14 ภาค 1 ครั้ง แต่ละครั้งให้สวดสายประคำแม่พระ พระเมตตา 1 สาย ตอนนี้สวดบทแสดงความทุกข์ แล้วพ่อจะโปรดบาปให้จ๊ะ พี่ว่า แบบนี้ถึงจะถูกกว่านะ..........
ออกได้แล้วสิเจ๊ คือที่โพสต์ไปข้างบนนั่นรวบรัดตัดความมาเริ่มเอาตอนที่พ่อเทศน์และสั่งกิจใช้โทษบาปเรียบร้อยแล้วไงครับ เพราะก็อย่างที่เจ๊บอกไง พ่อจะเทศน์ก่อนแล้วสั่งกิจใช้โทษบาป แล้วก็ถึงจะบอกว่า "สวดบทแสดงความทุกข์แล้วพ่อจะโปรดบาปให้"

เช่น  จากบาปที่ไปขโมยมะม่วงกวนยายแม้น พ่ออาจเทศน์ว่า "ลูกที่รัก การลักขโมยถือว่าเป็นการผิดพระบัญญัติพระเจ้านะลูกนะ ของของใครของใครก็ห่วง ของใครใครก็ต้องหวง ห่วงใยรักใคร่ถนอม ใครจะชิงของใครใครยอม  ลูกเองก็คงไม่อยากให้ใครมาขโมยของของลูก ยายแม้นก็เช่นกัน แกก็คงไม่อยากให้ใครมาขโมยมะม่วงกวนของแกเหมือนกันแหละลูกเอ๋ย  อีกอย่างมะม่วงกวนก็ใช่ของที่แพงมากมายนัก หาซื้อตามงานโอท็อปเยอะแยะไป ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีอยู่มากหลาย ทั้งแบบแผ่นและแบบม้วน  แต่อืม พ่อว่ามะม่วงกวนแปดริ้วก็รสชาติไม่เลวนะลูก ลองซื้อหามาชิมสักแพ็คก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของลูกมิใช่หรือ  พ่อก็ขอให้ลูกกลับตัวใหม่ อีกหน่อยอยากกินอะไรก็อย่าได้ไปลักกินขโมยกินของคนอื่น หาซื้อมาเองด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองจะภูมิใจกว่ากันมาก และไม่ผิดศีลธรรมด้วย  กิจใช้โทษบาปนะลูก (ตรงนี้พ่อจะเน้นมาก พูดช้าๆอีกต่างหาก กลัวได้ยินไม่ถนัด แต่ถ้าผู้รับศีลอภัยบาปได้ยินไม่ถนัด ก็ให้เช็กกัน คอนเฟิร์มกันเสียตรงนั้นเลย โดยการท้วงขึ้นมาว่า พ่อครับ ขอพ่อบอกกิจใช้โทษบาปอีกครั้งครับ) ให้กวนมะม่วงกวนให้ยายแม้นสิบกระทะเป็นเวลาสิบวัน ในขณะกวนให้สวดสายประคำไปด้วย  ครับ สวดบทแสดงความทุกข์แล้วพ่อจะโปรดบาปให้ครับ

...แล้วก็สวดบทแสดงความทุกข์ไป ในขณะเดียวกันพ่อก็สวดบทโปรดบาปไปพร้อมกันด้วย บางทีเสียงอาจตีกัน สะดุดนึกบทสวดไม่ออก สวดต่อไม่ได้ ก็มักจะเป็นพ่อที่หยุด"ให้ทาง"เราไปก่อน  พอเสร็จสิ้นกระบวนการ ถ้ามีสิ่งคล้ายศีลหรือศาสนภัณฑ์ที่อยากให้พ่อเสกก็อาจไปให้พ่อเสกหลังจากแก้บาปเสร็จ ก็คุกเข่าอยู่ตรงฉากแก้บาปนั้น แล้วยื่นมืออ้อมส่งของที่จะให้พ่อเสกนั้นไป พ่อก็จะรู้ เสกให้ทันทีทันใด  การทำแบบนี้ นักบุญเทเรซาก็เคยทำมาแล้ว ผมก็เคย ให้พ่อเสกสายประคำ แต่เสียดายสายประคำเส้นนั้นขาดไปเสียแล้วครับ  ::008::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พุธ เม.ย. 18, 2007 6:28 pm

เล่นอะไรกันนี่ พี่อันตน พี่ฟิม พี่ตั้ว

จำลองการแก้บาปกันอยู่หรอ ::011::
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 8:38 am

เอ่อ อ่านไปอ่านมาตกลงใครโปรดบาปใครแก้บาปกันแน่หว่า  : emo073 :

ลืมกิจใช้โทษบาปอีกอย่างนึงไป วันก่อนเคยให้ไปทีแล้ววันนี้เอาใหม่ เพราะคนก่อนช๊อคหลังจากออกจากที่แก้บาปเลยไม่ได้ทำกิจนี้

"สำหรับกิจใช้โทษบาป ให้ซื้อที่หนึ่งแปลงขนาดสามไร่ย่านสีลมสร้างวัดหนึ่งหลังเอาขนาดวัดที่เอแบคบางนาอายหนึ่งครั้ง"
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 8:42 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 8:58 am

ขอแบ่งปันเพิ่มเติมครับ

เราคงจำกันได้ว่าบทอ่านประจำมิสซาวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 1 ในเทศกาลมหาพรตนั้น เนื้ออ่านที่อ่านกันในส่วนของพระวรสารจะไม่เคยเปลี่ยนเลย นั่นก็คือ"การถูกผจญล่อลวงของพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จไปจำศีลภาวนาในถิ่นทุรกันดาร" ใช่ปะครับ  ::004::

มีอยู่ปีหนึ่ง วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ผมไปเข้าวัดซางตาครู้ส พ่อสมศักดิ์ ธิราศักดิ์ เป็นเจ้าวัด และเป็นมิสซาที่พ่อสมศักดิ์เป็นประธานพอดี ผมยังจำได้แม่นเลยว่า พ่อขึ้นต้นเทศน์ว่า "วันนี้พ่อจะแบ่งปันกับพี่น้องในเรื่องที่ว่าอะไรคือบาป"  พ่อบอกว่าคริสตชนจำนวนไม่น้อยยังแยกแยะไม่ออกระหว่างว่าอะไรคือบาปและอะไรคือการผจญ และสิ่งนี้ทำให้คริสตชนเหล่านั้นเป็นทุกข์ใจแสนสาหัส เพราะดูเหมือนว่าในชีวิตนี้ตื่นมาก็ทำบาปไปแล้วตั้งเยอะแยะเลย

และนี่ ผมว่าเป็นปัญหาของคริสตชนทั้งใหม่รวมถึงเก่าด้วยไม่น้อยเลยครับ ไม่งั้นพ่อคงไม่นำมาเป็นประเด็นบทเทศน์

ผมจึงอยากแบ่งปันเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างของผู้รับศีลอภัยบาปจะได้รับประโยชน์จากการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้มากขึ้นครับ  อนึ่งสิ่งที่จะแบ่งปันต่อไปข้าล่างนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวของผม (ไม่ได้ยกมาจากบทเทศน์ของพ่อสมศักดิ์นะครับ) ฉะนั้นถ้ามีข้อผิดพลาด ก็ขอรบกวนพี่น้องช่วยแก้ไข และสำหรับความผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้น ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวครับ  ::014::

ก่อนแก้บาป เราต้องพิจารณามโนธรรม แยกแยะว่าสิ่งที่เราได้ทำมาแต่ก่อนมีสิ่งใดเป็นบาปบ้าง อะไรเป็นข้อหนัก อะไรเป็นข้อเบา จำแนกสิ่งที่เป็นการผจญออกไป (แต่จะบอกพ่อผู้ฟังแก้บาปก็ได้ เป็นต้นว่าการผจญที่เราเจอบ่อยๆ เผื่อจะได้รับคำแนะนำที่ดีในการต่อสู้กับการผจญนั้นๆครับ)

องค์ประกอบสำคัญที่จะเรียกได้ว่าทำบาปแล้วนั้น ก็คือ"ความรู้ตัวและเต็มใจ" คือรู้ว่าเป็นความผิดบาปแล้วยังดันไปทำอีก  เช่น บาปคิดอุลามก สมมติว่าเราไปเดินห้างสรรพสินค้า แล้วแวะไปในร้านหนังสือ เราก็กวาดตาหาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จะซื้อมาอ่านสักฉบับ แต่ตาเจ้ากรรมกลับดั๊นนนนปราดไปเห็นนิตยสารเพนท์เฮาส์ นางแบบหน้าปกก็ไม่เกรงอกเกรงใจเสือป่าแมวป่าทั้งหลายเล้ยยยยย เช่นนี้แล้ว ก็เป็นแค่พฤติกรรมธรรมดา ยังไม่เป็นแม้แต่การผจญ เพราะปราดตาไปเห็นโดยบังเอิญ แต่เมื่อเห็น ตารับภาพส่งไปที่สมอง สมองทำงาน เกิดการแปรสารที่ได้รับ เกิดความรู้สึกอยากแกะซองพลาสติกออกมาวิจัยเนื้อหาภายในอย่างละเอียด ความรู้สึกก็เป็นแค่การผจญ ในขณะที่คิดอยากวิจัยเนื้อหาเพนท์เฮาส์ ก็อาจมีภาพสาวๆชีชีแป่แป๊ะที่เคยเข้ามาเป็นข้อมูลในหัวสมองอันเป็นประสบการณ์ที่เคยมีอยู่เดิมปรากฎแว้บขึ้นมาเป็นข้อมูลในปัจจุบัน ชวนให้อยากคิดไปไหนต่อไหน  ภาพสาวๆชีชีแป่แป๊ะและความรู้สึกที่เหมือนถูกชวนให้คิดนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่การผจญ เพราะภาพสาวๆที่กล่าวถึงนั้นมันแว้บขึ้นมาเอง ไม่ได้ไปอัญเชิญมาจากไหนด้วยความเต็มใจ ทีนี้ถ้าใจเราปลงใจไปกับสาวน้อยร้อยชั่งที่มาลอยล่องล่อใจหรือคิดตามไปไหนต่อไหน นี่แหละเป็นบาปแล้ว เพราะเราทำไปด้วยความรู้ตัวเต็มใจ รู้ว่าผิดแล้วก็ยังปลงใจไปกับมัน คิดตามไป อันนี้บาปแล้ว ค่อยเอาไปแก้บาป  ทีนี้เวลาแก้บาป เราก็อาจเล่าถึงสภาพแวดล้อมเล็กน้อยว่าเราไปทำบาปคิดอุลามกนี้ได้อย่างไร

อีกตัวอย่างหนึ่ง บาปโมโห  จริงๆความโกรธเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ เหมือนที่เพลงที่น้องพั้นช์ร้องไว้ "แต่อย่างน้อยที่เราเจ็บ แปลว่าเรายังหายใจ" อย่างน้อยที่เราโกรธ แปลว่าเรายังหายใจ  เมื่อเราประสบกับสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ เราย่อมโกรธ เช่น เห็นคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยนุ่งน้อยห่มน้อยมาวัด เราก็อาจจะโกรธ ทำไมไม่ให้เกียรติพระ นี่เป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้านะน้องสาว ปฏิกิริยาที่เราโกรธเจ๊คนนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นปกติวิสัยของมนุษย์เรา ก็อย่างที่บอก "อย่างน้อยที่เราโกรธ แปลว่าเรายังหายใจ" มันเป็นปฏิกิริยาทางจิตวิทยาที่เราบังคับไม่ได้นัก เราอาจมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดเมื่อเห็นยายนี่ใส่เสื้อสายเดี่ยวที่บางเหมือนเป็นเส้นด้ายและกางเกงที่ไม่เหมือนกางเกงแต่ดันสั้นนนนนเหมือนกับผ้าอ้อมออกไปรับศีล อาจมีกัดฟันกรอดๆๆๆๆกำมือแน่น เหงื่อออกเต็มมือ นั่นเป็นเพียงปฏิกิริยาทางจิตวิทยา ไม่เป็นบาป  ด้วยว่าไม่มีเจตนาจะให้เป็นเช่นนั้น  ตามปกติ มนุษย์เราจะมีภาคอารมณ์และภาคเหตุผล เมื่อใดที่มนุษย์โกรธ อารมณ์ก็จะมาอยู่เหนือเหตุผล (เป็นสันชาตญาณของมนุษย์ในการป้องกันตนเอง--แต่ไม่ใช่เพื่อการทำร้ายคนอื่นนะครับ--อย่าเข้าใจผิดไปครับ แหะ แหะ) เมื่อเราโกรธ เราก็อาจทุบโต๊ะ ชกผนัง อันนี้ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นว่าภาคอารมณ์มักจะเป็นใหญ่เมื่อมนุษย์โกรธ แต่สิ่งที่สำคัญเมื่อเราโกรธ ก็เป็นอย่างที่พระคัมภีร์ได้ว่าไว้ว่า"อย่าทำบาป" นั่นก็คือเราจะต้องควบคุมพฤติกรรมของเราให้ได้ เอาสติจับไว้และอย่าทำบาป อย่าไปทำร้ายใคร สมมติว่าเราเห็นเจ๊วับแวมคนนั้นแล้วทนไม่ไหว ในขณะที่เจ๊แกรับศีลแล้วเดินกลับมาคุกเข่าสวดที่ที่นั่ง คุมอารมณ์ไม่อยู่ เหตุผลหายไป ปราดเข้าไปด่ากราดเป็นขนมกรุบ แถมจิกหัวตบล้างน้ำ กล่าวคือตบหน้าก่อนด้วยส้นรองเท้าแล้วตามด้วยการเอาน้ำลายถุยออกมาล้างหน้า อันนี้ถือว่าเป็นบาป ซึ่งก็บาปตั้งแต่เริ่มด่าคำแรกแล้วครับ เพราะโกรธก็จริง แต่ดันทำบาป ไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง  จริงๆนักบุญทุกคนก็ไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้าอย่างสมบูรณ์ ท่านทั้งหลายจึงมีแนวโน้มที่จะทำบาปเช่นเดียวกับพวกเรา แต่ที่พวกท่านเจ๋งกว่าพวกเราคือควบคุมพฤติกรรมของตนเองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือด้านใดๆก็ตามครับ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เราจึงควรเลียนแบบชีวิตของพวกท่านครับ (ไม่ใช่เพียงแค่สะสมรูปของพวกท่าน เอาไว้ชื่นชมบูชาเท่านั้น)

จริงๆจะว่าไปแล้ว ความโกรธนั้นก็ไม่ได้นำไปสู่บาปเสมอไปครับ บางครั้งความโกรธก็นำไปสู่สิ่งที่ดีได้ครับ เช่น พระเยซูเจ้าทรงโกรธเมื่อเห็นชาวยิวทำให้พระวิหารเป็นซ่องโจร ก็ต้องชำระกันเสียหน่อย  เพราะอะไร เพราะพวกนั้นมาค้าขายในที่ที่ไม่ควรมาค้าขาย ด้วยถือว่าเป็นพระวิสุทธิสถาน ซ้ำยังขูดรีดถึงขั้นระดับหน้าเลือด หากินอย่างเอารัดเอาเปรียบกับสัตบุรุษผู้ใจศรัทธา อย่างนี้มันน่าไหมล่ะท่าน  ความไม่พอใจที่เห็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและแสวงหาความเป็นธรรม ถือเป็นความกล้าหาญที่พร้อมต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอันนี้ถือเป็นvirtueหรือคุณธรรม เช่น ถ้าเราเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเราคนหนึ่ง(สมมติว่าชื่ออ๊อด)ถูกเพื่อนคนอื่นรังแกอยู่เสมอๆ เดี๋ยวก็โดนแซว เดี๋ยวก็โดนด่า เดี๋ยวก็โดนล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ถูกทอดทิ้ง ไม่มีคนสนใจใส่ใจ เวลามีงานกลุ่มก็ไม่มีคนอยากรวมกลุ่มด้วย ไม่มีคนเหลียวแลว่าจะมีข้าวกินไหม จะมีเงินพอใช้ไหมในแต่ละวัน มาโรงเรียนและกลับบ้านอย่างไร  รังเกียจเดียดฉันท์ ฯลฯ  เช่นนี้ ถ้าเราไม่มีคุณธรรมความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม หดหัวกลัว อ่อนแอ กลัวพวกแก๊งนักเรียนเกเรพวกนั้นจะทำร้ายเราด้วยความหมั่นไส้ เราก็จะไม่กล้าทำอะไรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับอ๊อด  แต่ถ้าเรามีคุณธรรมความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เราอาจโกรธที่คนเหล่านั้นรังแกอ๊อดซึ่งไม่มีทางสู้ แต่ถ้าเราเลือกวิธีไปตบหน้า ถีบถอง ศอกกลับ ขึ้นเข่าพวกนักเรียนอันธพาลเหล่านั้น ก็ถือเป็นบาปไป เพราะเวลาเราโกรธคัมภีร์บอกว่า"อย่าทำบาป" เมื่อเราโกรธแล้ว เราอาจเลือกวิธีพูดกับนักเรียนอันธพาลเหล่านั้นซึ่งๆหน้า หรือไม่ก็แจ้งครูประจำชั้น หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่วิถีทางของบาป

ทีนี้ แว้บกลับมาที่เจ๊วับๆแวมๆในวัด  บางคนอาจบอกว่า อ้าว ที่ฉันปราดไปจิกหัวตบมันก็เป็นความกล้าหาญที่จะจัดการกับคนที่ประพฤติไม่เหมาะสม เป็นความกล้าหาญในทางที่ถูก แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเวลาเราโกรธ คัมภีร์บอกว่า"อย่าทำบาป"  การที่เราไปทำร้ายเขา เราก็ทำบาปแล้วนา ใช่ปะครับ

แต่กระนั้นก็ดี ความโกรธอยู่เรื่อย ก็อาจทำไปสู่บาปโมโหก็ได้นะครับ  การที่เราไม่หัดควบคุมอารมณ์ของตนเองเลย เอะอะก็โกรธ เอะอะก็เกลียด เอะอะก็กระฟัดกระเฟียด อย่างนี้ความโกรธก็จะกลายเป็นนิสัยนอนเนื่องในสันดาน กลับเป็นคนขี้โมโห และบาปโมโหนี้ก็สังกัดหนึ่งในบาปต้นเจ็ดประการด้วย เราคงจำกันได้ และขึ้นชื่อว่าเป็นบาปต้นแล้ว ก็หมายความว่ามันเป็นบาปข้อต้นที่จะนำไปสู่บาปประการอื่นๆได้อีกมากมาย (ตัวอย่างเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์)  ฉะนั้นเราต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนโกรธยาก หรือให้เป็นคนที่ไม่โกรธเลย ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ เช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากครับ

แม้เราทราบว่าความโกรธที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา หลายครั้งก็ควบคุมไม่ได้ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นเอง ไม่ได้ผ่านการบิ๊ว(build)อารมณ์แบบนักแสดงละครที่ต้องแสดงฉากโกรธ เมื่อไม่มีเจตนาก็ไม่น่าเป็นบาป ก็ตามนะครับ แต่เราก็รู้ว่าความโกรธแม้จะนำไปสู่สิ่งที่ดีได้(เช่นคุณธรรมความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความไม่เป็นธรรม) แต่ความโกรธก็นำไปสู่สิ่งที่ไม่ดีได้ด้วยในหลายสถานการณ์เช่นกันดังที่ได้ประจักษ์อยู่แล้วในชีวิตของพวกเราครับ (เช่นโกรธแล้วทำบาปพวกด่าทอ ตบตี ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ) เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราจะอ้างไปตลอดเหรอครับว่าฉันจะโกรธอย่างนี้ต่อไป เพราะความโกรธไม่ใช่บาป แต่ถ้าเราไม่หัดควบคุมตัวเอง ปล่อยให้ความโกรธนอนเนื่องไปอย่างรู้ตัวและเต็มใจจนกลายเป็นคนขี้โมโห ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ทำบาปแล้ว  เพราะมันก็เป็นบาปเสียตั้งแต่รู้ตัวว่าความโกรธมิใช่สิ่งดีแล้วไม่หัดฝึกฝนอารมณ์ตัวเอง ปล่อยให้เป็นคนขี้โมโหอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ  เพราะถือว่าเป็นการปล่อยตัวให้อยู่ในท่าทีบาปโดยเจตนารู้ตัวและเต็มใจครับ

ผมแบ่งปันมายาว งงกันไหมครับ ถ้าไม่ถูกต้องอย่างไร ช่วยแก้ไขให้ผมด้วย แต่ที่ผมมาแบ่งปันนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากประสบการณ์ของตัวผมเองที่ว่า ผมเองตอนที่เป็นเด็กๆ ก็เคยมีความทุกข์ใจว่าทำไมทำบาปอยู่ได้ ทั้งๆที่จริงแล้ว หลายๆครั้งสิ่งที่เราเข้าใจว่าเราได้บาปนั้น เป็นเพียงแค่การผจญล่อลวงเท่านั้นเองน่ะครับ

แต่กระนั้นก็ดี ก็ขออย่าเข้าข้างตัวเองเป็นอันขาด ไม่ใช่ว่าอะไรก็เอะอะอ้างไวก่อนว่าเป็นการผจญ ไม่ใช่บาปไปเสียหมด อย่างนี้มโนธรรมจะตายด้านเอา สุดท้ายทำอะไรก็ไม่ผิด  ฉะนั้นสิ่งใดที่ไม่แน่ใจว่าเป็นบาปหรือไม่ก็ขอให้สารภาพไปก่อน หรือสอบถามปรึกษากับบาทหลวงผู้ฟังบาปก็ได้ครับ เพราะมิเช่นนั้น ถ้าอะไรก็เป็นบาปไปหมด เราก็กลายเป็นคนที่มโนธรรมละเอียดอ่อน ทำอะไรก็เป็นบาปไปหมด แล้วเช่นนี้จะเป็นคริสตชนที่มีความสุขไปได้อย่างไรเล่าครับ   ::017::  ::017::  ::017::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 9:10 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 9:09 am

Florian เขียน:
Immanuel (MichaelPaul) เขียน: 1. บาปครั้งแรกที่ลืมคือลืมบอกเกี่ยวกะบาปอื่นๆที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว(แบบว่าทำไปโดยไม่รู้เลยขอพระองค์อภัยให้)
2. แต่บาปหลักๆที่รู้ว่าทำบาปนั้นไม่ได้บอกจำนวนครับว่าทำไปกี่ครั้ง

แหะๆ
1. งงอะ บาปที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว  มีบาปแบบนี้ด้วยเหรอ  ขยายความพอสังเขปหน่อยสิครับ
บาปที่ทำโดยไม่รู้ตัวคืออาจจะทำอะไรสักอย่างลงไปโดยไม่รู้ว่าบาปหรือไม่ได้ตั้งใจทำบาปแต่ไม่รู้ตัวอ่ะงับ (งงไหมหว่า)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 9:28 am

Immanuel (MichaelPaul) เขียน:
Florian เขียน:
Immanuel (MichaelPaul) เขียน: 1. บาปครั้งแรกที่ลืมคือลืมบอกเกี่ยวกะบาปอื่นๆที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว(แบบว่าทำไปโดยไม่รู้เลยขอพระองค์อภัยให้)
2. แต่บาปหลักๆที่รู้ว่าทำบาปนั้นไม่ได้บอกจำนวนครับว่าทำไปกี่ครั้ง

แหะๆ
1. งงอะ บาปที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว  มีบาปแบบนี้ด้วยเหรอ  ขยายความพอสังเขปหน่อยสิครับ
บาปที่ทำโดยไม่รู้ตัวคืออาจจะทำอะไรสักอย่างลงไปโดยไม่รู้ว่าบาปหรือไม่ได้ตั้งใจทำบาปแต่ไม่รู้ตัวอ่ะงับ (งงไหมหว่า)
เข้าใจแล้วครับ

ในสภาวะปกติ ก็จะเป็นอย่างที่น้องเอกทราบว่า เมื่อเราทำบาป มโนธรรมจะติเตียนเรา เพราะมโนธรรมคือสิ่งที่พระเป็นเจ้าใส่ไว้ในเราเพื่อเป็นเครื่องมือในการจำแนกให้รู้ดีและรู้ชั่ว อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ  มโนธรรมติเตียน ก็แสดงว่าเราทำผิด แต่ก็ต้องระวังสถานการณ์มโนธรรมตายด้าน เพราะถ้ามโนธรรมตายด้านไปแล้ว อะไรก็ไม่ผิดไปหมด  ฉะนั้นในสภาวะทั่วไป ที่มโนธรรมเราทำงานปกติ เป็นมโนธรรมพระเป็นเจ้า (ไม่ใช่มโนธรรมที่สุดโต่ง กล่าวคือทั้งไม่ตายด้านและไม่ละเอียดอ่อน) เมื่อเราทำบาป เราก็จะรู้ตัวว่า อืม เราทำบาปผิดแล้วนะ  ::017::

แต่กระนั้นก็ดี น้องเอกสามารถทราบได้ว่าอะไรเป็นบาปหรือไม่ โดยตรวจสอบพิจารณาจากพระบัญญัติพระเป็นเจ้า พระบัญญัติพระศาสนจักร บาปต้น 7 ประการ หน้าที่พลเมือง  โดยดูทั้งประเด็นที่เราทำผิดพลาด และประเด็นที่เราละเลย (กล่าวคือ"ควรทำ"แต่ดัน"ไม่ได้ทำ") อะครับ ส่วนถ้าตรวจสอบแล้ว ไม่แน่ใจ ก็อาจสอบถามบาทหลวงได้ครับ  ::013::

การพิจารณาบาปเพื่อการสารภาพบาปที่ดีจึงควรเป็นไปแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป การพิจารณามโนธรรมประจำวันก็ช่วยได้ไม่น้อย เมื่อถึงเวลาสารภาพบาป ก็จะทำให้เราระลึกถึงความผิดที่ได้กระทำได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ  ทีนี้ที่บอกว่าการพิจารณาบาปควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก็หมายความว่า เราไม่ควรพิจารณาบาปแบบลวกๆ ไปยืนหน้าที่สารภาพบาป แล้วก็นึกๆๆๆๆๆ ใจก็พะวงกับมิสซา พะวงกับคิวสัตบุรุษที่รอแก้บาป ฯลฯ มันจะพิจารณาได้ไม่ดี  นึกนั่นออก แล้วดันมาลืมนี่ ลำดับบาปก็สับสน ไม่รู้จะพูดอะไรก่อนหลัง ฯลฯ  ฉะนั้นน้องเอกสามารถพิจารณาบาปได้ในตอนเช้าก่อนมาวัด (ถ้าวันนั้นน้องอยากรับศีลอภัยบาป) ก็ตื่นเช้านิดนึงแล้วพิจารณาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยได้มากครับ ถ้าบาปเยอะ(สมมตินะครับสมมติ) เพื่อความชัวร์ก็อาจจดใส่กระดาษ สารภาพเสร็จก็เอาไปเผาหรือโยนทิ้งแม้น้ำ เพื่อให้บาปเป็นความลับ(ทั้งนี้ก็เพื่อความสบายใจน้องเอกเองว่าบาปจะไม่รั่วไหลครับ)  ::012::

ทีนี้ แม้ว่าน้องจะพิจารณาบาปอย่างดี๊ดี ดีอย่างไรแล้ว มนุษย์เรามีความจำได้และความหลงลืมอยู่เป็นสมบัติประจำตัว บางอย่างเราจำได้ แต่บางอย่างเราก็หลงลืมใช่ไหมครับ บาปก็เช่นกัน บางทีน้องเอกทำไปแล้ว มาพิจารณาเพื่อเตรียมสารภาพบาป ก็อาจลืมไปได้  ก็ไม่เป็นไรครับ  เพราะอะไร ก็เพราะน้องหลงลืมไปโดยไม่เจตนา คือไม่ได้จงใจจะลืม ว่างั้นเถอะ  แม้ว่าสารภาพบาปแล้ว ตอนออกไปรับศีลดันนึกขึ้นมาได้ว่าลืมสารภาพบาปไปสองสามประการโดยไม่เจตนาลืม ก็ไม่เป็นไรครับ รับศีลได้เลย แล้วก็เก็บเอาบาปที่ลืมสารภาพ ยกยอดไปสารภาพในครั้งต่อไป โดยน้องเอกก็บอกพ่อนิดนึงว่า บาปใดเป็นบาปที่หลงลืมไปในการสารภาพครั้งก่อน และบาปใดเป็นบาปที่ยังไม่ได้สารภาพครับ  ::014::

ขอสรุปเล็กน้อยครับ น้องเอกอย่าได้กังวลใจไป เพราะพระเจ้ารักพวกเรามากๆๆๆๆครับ แม้บาปของพวกเราจะสีแดงเข้มก็จะกลับขาวดุจหิมะทีเดียวครับ  น้องครับ ในการสารภาพบาปแต่ละครั้ง ผู้สารภาพบาปก็กล่าวลงท้ายหลังจากบอกบาปไปหมดแล้วว่า และขอสารภาพบาปอื่นๆที่ได้หลงลืมไปและทุกๆบาปที่ได้ทำมาตลอดชีวิตด้วยครับ ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมบาปทุกประการที่เราได้ทำมา เป็นต้นว่า บาปที่เราไม่ได้สารภาพไปเพราะได้หลงลืมไปโดยไม่เจตนาน่ะครับ  ถ้าน้องเอกสารภาพบาป อย่าลืมลงท้ายเช่นนี้นะครับ น้องจะได้สบายใจ ว่าได้สารภาพบาปไปทุกประการแล้ว  ส่วนในภายหลังถ้ามานึกขึ้นได้อีกว่ามีบาปใดที่ได้หลงลืม ไม่ได้สารภาพ ก็ทำอย่างที่พี่แนะนำไปน่ะครับ นำไปสารภาพกับบาทหลวงในการสารภาพบาปครั้งต่อไป โดยแจ้งให้คุณพ่อทราบว่าบาปใดเป็นบาปเก่าที่ได้หลงลืมไปในการสารภาพบาปครั้งก่อน และบาปใดเป็นบาปใหม่น่ะครับ

OK ? เคลียร์ไหมครับน้องเอก ถ้ายังไม่เคลียร์ บอกพี่ได้ครับ จะได้อธิบายให้น้องเคลียร์ครับ  ยินดีบริการและรับใช้ครับ  ::001::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 10:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส