ถ้าไม่ให้พระแม่มารีย์อธิษฐานเผื่อจะเป็นอะไรไหม
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
หวังว่า จขกท คงจะกระจ่างแล้วนะครับ เพราะ ตัวผมเองก็เป็นโปรฯ ถึงไม่ได้ขอให้นักบุญหรือพระแม่อธิษฐาน แต่ก็เคารพ ท่านทั้งหลาย
ไม่ได้ว่า จขกท ไม่เคารพนะครับ แต่ จขกท อาจจะยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
ไม่ได้ว่า จขกท ไม่เคารพนะครับ แต่ จขกท อาจจะยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
เข้าใจผมผิดไปใหญ่แล้วครับ แล้วบอกว่าผมอิจฉากลัวพระบิดารักคนอื่นมากว่า พระเจ้าเค้าไม่ได้สอนแบบนี้นะครับ พระเจ้าสอนให้รักกัน ถ้าผมอิจฉา คนอื่น อิจฉาพระแม่ ผมจะอิจฉาไปทำไม คิดดีๆ ถ้าผมอิจฉา ผมจะเชื่อพระเจ้าทำไม ในเมื่อพระเจ้าสอนให้รักกัน แต่ที่ผมถามหรือสงสัยเพราะว่า ตอนนี้ผมกำลังเห็นว่าคริสตชนไม่เป็นหนึ่งเดียวกันในเรื่องความเชื่อ ผมจึงอยากรู้ว่าอะไรคือข้อแตกต่าง ทำไมนิกายนี้สอนอย่างนี้ นิกายนั้นสอนอีกอย่าง ทำไมไม่ยอมรับกันและกัน ซึ่งนิกายแยกกันมานานแล้ว ผู้มีความรู้ของแต่ละนิกาย ศึกษาคัมภีร์มาก็เยอะแยะ ทำไมหาข้อสรุปไม่ได้ หรือไม่ยอมรับกันซะที ผมจึงมาที่นี่ บอร์ดนี้ มาถาม เพราะผมไม่เคยรู้เรื่องคาทอลิค แล้วผมก็ถามตรงๆ ถามตรงๆผิดตรงไหน ผมไม่ได้ใช้คำหยาบคาย ดูจากที่ผมถาม ผมถามเอาความรู้ ถามแบบเจาะลึก ตรงๆประเด็น ที่คริสเตียนหลายคนยังสงสัย กระทู้นี้ไม่มีอะไรเลยครับ อย่าคิดมาก ว่าผมมาโจมตี พระเจ้าไม่ได้สอนให้ผมโจมตี ทำร้ายคนอื่น ผมเพียงมาถาม ส่วนพวกคุณ ก็แค่ตอบตามทที่ผมถามเท่่านั้น ผมไม่ได้เป็นนักศาสนา หรือศิษยาภิบาล ที่มีความรู้มากมาย ฉะนั้น บางทีคุณอาจจะคิดว่า(หรือไม่คิดไม่รู้) ว่าคำถามของผม ฟังดูโง่ๆ แต่ผมถามตรงๆตามที่ผมรู้สึกเท่านั้น
ถ้าผมไม่ได้มาถาม ผมก็ งง ต่อไป
งั้นผมขอถามต่อเลยแล้วกัน
1.อย่างการอธิษฐานเผื่อ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เช่นผมขอให้เพื่อนคนนึง อธิษฐานเผื่อเรื่องสุขภาพ เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ได้สิ เราจะอธิษฐานเผื่อเธอ เธอก็ระวังสุขภาพหน่อยนะ อย่าตากฝน เดี๋ยวพระเจ้าก็จะทรงเมตตา และช่วยเธอ วางใจนะ"
แต่สำหรับ มนุษย์กับคนที่ตายไปแล้ว เราไม่ได้ยินการหนุนใจและความรัก การโต้ตอบที่เกิดขึ้น ผมรู้ครับว่า คนที่ตายแล้วเค้าก็รักเรา เพราะคริสตชนทุกคนรักกัน
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ยินเรา เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน และสถานะอะไร พระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเราหรือไม่ และอีกอย่าง ไม่มีตัวกลางระหว่าง จิตของเรากับจิตของเค้า
อย่างเราอธิษฐานกับพระบิดา แน่นอนพระองค์เป็นพระเจ้า ซึ่งรับรู้ทุกสิ่ง และพระองค์ให้พระเยซูเป็นสื่อกลางของเรากับพระองค์ อยากถามว่า อะไรเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับคนตายไปแล้ว แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเรา แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ไปสวรรค์ เพราะมีคริสตชนบางคน ช่วงแรกๆ เชื่อพระเจ้ามาก แต่บั้นปลายชีวิต หรือในใจของเขา ไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า ซึ่งเค้าอาจไม่ได้ไปสวรรค์ แต่คนอื่นเห็นเค้ามาโบสถ์บ่อย มาอธิษฐาน แต่ไร้ความเชื่อและการประพฤติ เค้าคนนั้นอาจไม่ได้ไปสวรรคือย่างที่คนอื่นๆคิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
2.ผมรู้ครับว่าถ้าเรารักอะไรมากกว่าพระเจ้าก็เป็นรูปเคารพทั้งนั้น แต่ที่ผมเชื่อคือ เรามี พระ องค์เดียว และเรา นมัสการพระองค์เดียว ไม่ว่า จะมีพระใหญ่ หรือพระเล็กๆ เล็กกว่า พระเยโฮวาห์เราก็ไม่นมัสการ อยากถามว่า พระแม่มารี เข้าข่ายเป็นพระเล็ก อีกองค์หนึ่ง ที่เรานมัสการหรือไม่ และคาทอลิคตั้งเค้าให้เป็น พระแม่มารีย์
ผมคิดว่า มารีย์ เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนโมเสส เหมือนกับคุณ ที่พระเจ้าใช้เพื่อพระนามพระเจ้า เรารักเค้าในฐานะที่เค้าเป็นมนุษย์ ในครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ พระเล็กๆอีกองค์
3.ถ้าคนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อ ตกไฟชำระเหมือนกัน แล้วเราจะเชื่อพระเจ้าทำไมอ่ะ บางคนก็คิดว่า "เดี๋ยวฉันจะสนุกสุดเหวี่ยงในโลกนี้ แล้วค่อยรอพระเยซูมาไถ่ฉัน ในโลกหน้า และฉันจะบอกเพื่อนๆอีกพันคนให้สวดเพื่อฉัน เพื่อฉันจะได้ออกไปเร็วๆ ไปบนสวรรค์ ฉันสนุกบนโลกนี้ดีกว่า เพราะคริสเตียนที่ยอมทนทุกข์พวกนั้นก็ตกไฟชำระเหมือนกับเรานี่แหละ เราไม่ต้องเป็นคริสตชนหรอก"
ผมว่านะครับ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า น่าจะไปอยู่แดนคนตาย ที่ยังไม่ใช่นรก เพราะยังไม่ถึงเวลาพิพากษา เพราะพระเยซูยังไม่เสด็จมา ที่แดนคนตายนั้น มันคงร้อนมาก ทรมารมาก แต่อาจเป็นได้ได้ที่วันนึงพระเยซูโปรดเมตตาครั้งสุดท้ายให้คนที่อยู่แดนคนตายกลับใจ ว่าจะดื้อด้านต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยพวกเค้าที่ไม่เชื่อก็โดนทรมานระยะหนึ่งแล้วในแดนคนตาย ที่ไม่ใช่นรก
ส่วนคนที่เชื่อพระเจ้าจะได้ไปเมืองบรมสุขเกษม ที่ยังไม่ใช่สวรรค์ เหมือนกับโจรคนนั้น เพราะถ้าคริสเตียนกับที่คนไม่เชื่อโดนไฟชำระพร้อมกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ทุกคนก็จะบอกว่าวันนี้เรามาสนุกกับโลกนี้กันดีกว่า ผมเชื่อครับว่ามีแดนคนตายที่ยังไม่ใช่นรก เพราะวิวรณ์บอกว่า เรารอการพิพากษาพร้อมกัน ฉะนั้นวันที่จะไปนรกยังไม่ถึงและทุกคุณ HOLY ยกข้อคัมภีร์มาเรื่องแดนคนตายหรือที่คุณเรียกว่าไฟระ ผมก็เห็นด้วยว่ามี
ถ้าผมไม่ได้มาถาม ผมก็ งง ต่อไป
งั้นผมขอถามต่อเลยแล้วกัน
1.อย่างการอธิษฐานเผื่อ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เช่นผมขอให้เพื่อนคนนึง อธิษฐานเผื่อเรื่องสุขภาพ เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ได้สิ เราจะอธิษฐานเผื่อเธอ เธอก็ระวังสุขภาพหน่อยนะ อย่าตากฝน เดี๋ยวพระเจ้าก็จะทรงเมตตา และช่วยเธอ วางใจนะ"
แต่สำหรับ มนุษย์กับคนที่ตายไปแล้ว เราไม่ได้ยินการหนุนใจและความรัก การโต้ตอบที่เกิดขึ้น ผมรู้ครับว่า คนที่ตายแล้วเค้าก็รักเรา เพราะคริสตชนทุกคนรักกัน
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ยินเรา เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน และสถานะอะไร พระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเราหรือไม่ และอีกอย่าง ไม่มีตัวกลางระหว่าง จิตของเรากับจิตของเค้า
อย่างเราอธิษฐานกับพระบิดา แน่นอนพระองค์เป็นพระเจ้า ซึ่งรับรู้ทุกสิ่ง และพระองค์ให้พระเยซูเป็นสื่อกลางของเรากับพระองค์ อยากถามว่า อะไรเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับคนตายไปแล้ว แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเรา แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ไปสวรรค์ เพราะมีคริสตชนบางคน ช่วงแรกๆ เชื่อพระเจ้ามาก แต่บั้นปลายชีวิต หรือในใจของเขา ไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า ซึ่งเค้าอาจไม่ได้ไปสวรรค์ แต่คนอื่นเห็นเค้ามาโบสถ์บ่อย มาอธิษฐาน แต่ไร้ความเชื่อและการประพฤติ เค้าคนนั้นอาจไม่ได้ไปสวรรคือย่างที่คนอื่นๆคิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
2.ผมรู้ครับว่าถ้าเรารักอะไรมากกว่าพระเจ้าก็เป็นรูปเคารพทั้งนั้น แต่ที่ผมเชื่อคือ เรามี พระ องค์เดียว และเรา นมัสการพระองค์เดียว ไม่ว่า จะมีพระใหญ่ หรือพระเล็กๆ เล็กกว่า พระเยโฮวาห์เราก็ไม่นมัสการ อยากถามว่า พระแม่มารี เข้าข่ายเป็นพระเล็ก อีกองค์หนึ่ง ที่เรานมัสการหรือไม่ และคาทอลิคตั้งเค้าให้เป็น พระแม่มารีย์
ผมคิดว่า มารีย์ เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนโมเสส เหมือนกับคุณ ที่พระเจ้าใช้เพื่อพระนามพระเจ้า เรารักเค้าในฐานะที่เค้าเป็นมนุษย์ ในครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ พระเล็กๆอีกองค์
3.ถ้าคนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อ ตกไฟชำระเหมือนกัน แล้วเราจะเชื่อพระเจ้าทำไมอ่ะ บางคนก็คิดว่า "เดี๋ยวฉันจะสนุกสุดเหวี่ยงในโลกนี้ แล้วค่อยรอพระเยซูมาไถ่ฉัน ในโลกหน้า และฉันจะบอกเพื่อนๆอีกพันคนให้สวดเพื่อฉัน เพื่อฉันจะได้ออกไปเร็วๆ ไปบนสวรรค์ ฉันสนุกบนโลกนี้ดีกว่า เพราะคริสเตียนที่ยอมทนทุกข์พวกนั้นก็ตกไฟชำระเหมือนกับเรานี่แหละ เราไม่ต้องเป็นคริสตชนหรอก"
ผมว่านะครับ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า น่าจะไปอยู่แดนคนตาย ที่ยังไม่ใช่นรก เพราะยังไม่ถึงเวลาพิพากษา เพราะพระเยซูยังไม่เสด็จมา ที่แดนคนตายนั้น มันคงร้อนมาก ทรมารมาก แต่อาจเป็นได้ได้ที่วันนึงพระเยซูโปรดเมตตาครั้งสุดท้ายให้คนที่อยู่แดนคนตายกลับใจ ว่าจะดื้อด้านต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยพวกเค้าที่ไม่เชื่อก็โดนทรมานระยะหนึ่งแล้วในแดนคนตาย ที่ไม่ใช่นรก
ส่วนคนที่เชื่อพระเจ้าจะได้ไปเมืองบรมสุขเกษม ที่ยังไม่ใช่สวรรค์ เหมือนกับโจรคนนั้น เพราะถ้าคริสเตียนกับที่คนไม่เชื่อโดนไฟชำระพร้อมกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ทุกคนก็จะบอกว่าวันนี้เรามาสนุกกับโลกนี้กันดีกว่า ผมเชื่อครับว่ามีแดนคนตายที่ยังไม่ใช่นรก เพราะวิวรณ์บอกว่า เรารอการพิพากษาพร้อมกัน ฉะนั้นวันที่จะไปนรกยังไม่ถึงและทุกคุณ HOLY ยกข้อคัมภีร์มาเรื่องแดนคนตายหรือที่คุณเรียกว่าไฟระ ผมก็เห็นด้วยว่ามี
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ขอตอบ ข้อ 2
ที่เค้าเรียก พระแม่มารีย์ เค้าเรียก ในการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีฐานะสูง เหมือนกับเราเรียก .. เอ่อ ตัวอย่างไรดีน่ะ.. เช่น .... นึกไม่ออก
แต่เค้าไม่ได้ หมายถึง มารีย์ เป็นพระ หรือ นักบวช อะไรทำนองนั้น (ตามความเข้าใจผม)
ที่เค้าเรียก แม่พระ หมายถึง มารีย์ เป็น แม่ ของ พระเยซู จึงอาจได้ยินเรียกสั้นๆว่า แม่พระฯ (แม่พระ) หรือในบทภาวนา ก็เรียกว่า "มารดาพระเจ้า" (มารดาพระเจ้า ดูเหมือนจะเกินเหตุในสายตาคนที่ไม่ใช่คาทอลิก แต่อันนี้เป็นการยกย่องแม่มารีย์ ไม่ได้หมายถึงใหญ่กว่าพระเจ้าอะไรทำนองนั้นอ่ะครับ)
สรุป แม่มารีย์ ไม่ใช่พระเล็ก หรือ พระใหญ่ หรือ นักบวช หรือ ฑูตสวรรค์แต่อย่างใด
แม่มารีย์เป็นเพียงหญิงชาวยิวธรรมดาตัวเล็กๆคนนึง ที่พระเจ้าเมตตาเลือกที่จะให้อุ้มครรภ์พระบุตร
ส่วนที่นางได้รับเกียรติให้เป็นนักบุญนั้น สาเหตุก็คือ นางเป็นคริสเตียนคนแรกของโลกเรา เป็นผู้ใกล้ชิดพระคริสตเจ้า และคาทอลิกเชื่อว่า นางได้ไปสวรรค์แน่นอน จึงให้นางเป็นนักบุญ อีกทั้งพระคัมภีร์ยังกล่าวถึงนางในเชิง หญิงผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ หรือ ผู้ผาสุข อีกทั้งนางยังเป็นแบบอย่างในการเป็นคริสเตียนที่ดีด้วย
ประมาณนี้ครับ
ข้อ 1 เนี่ย ผมเดาว่า คาทอลิก เชื่อเรื่องที่นักบุญผู้ล่วงลับภาวนาเผื่อนั้น มาจากจดหมายของท่านนักบุญเปโตร หรือ เปาโลเนี่ยล่ะ ลืม -*-
ข้อ 3 เนี่ย เท่าที่ผมศึกษาพระคัมภีร์เองตอนรับเชื่อ และยังไม่ได้ไป คจ.ไหนอย่างเป็นทางการ หรือวัดไหน.. ผมเข้าใจเหมือนโปรเตสแตนทั่วไปครับ เรื่องความรอด ที่กอปรด้วยความเชื่อฟัง ทั้งนี้ไม่ใช่ประพฤติโดยไม่พลาดในความบาปเลย แต่พระองค์มองดูที่จิตใจ
แต่ที่แน่นอนก็คือว่า ผู้ที่ไม่รับพระเยซูเจ้าไว้ เค้าต้องรับผิดชอบตามการกระทำของเค้าเองทั้งหมด
ในขณะที่ ผู้เชื่อ จะ รอดแน่นอน แต่รอดแบบไหน รอดเลย รอดผ่านไฟชำระ รอดแบบมีบำเหน็จ (เหลือแต่ตัวตามที่กล่าวในมัทธิว) ทั้งนี้ก็อยู่ภายใต้การชำระบาปของตัวเรา คือ สารภาพบาปต่อพระเจ้าตลอด เรื่องไฟชำระ เป็นเรื่องของการชดใช้ (ตามที่อ่านในบอร์ด) การดำรงค์ชีวิตแบบผู้ศักดิ์สิทธิ์ ถือบริสุทธิ์ แบบนี้ก็บริบูรณ์ด้วยบำเหน็จ
สรุปคือ ผู้ไม่รับไว้ ก็ตามการกระทำของเค้า
ผู้รับเชื่อไว้ ก็รอด ได้รับบำเหน็จตามการกระทำ ชดใช้ตามการกระทำ ใช้หมดก็ไปยังที่พระคริสต์เตรียม(แนวๆคาทอลิก)
ปล. ข้อ 1 กับ 3 ผมมีความเชือตรงกับคาทอลิกเปล่าหว่า... แต่ที่แน่ๆ ไม่ตรงกับโปรเพนเทคอสอะ
ที่เค้าเรียก พระแม่มารีย์ เค้าเรียก ในการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีฐานะสูง เหมือนกับเราเรียก .. เอ่อ ตัวอย่างไรดีน่ะ.. เช่น .... นึกไม่ออก
แต่เค้าไม่ได้ หมายถึง มารีย์ เป็นพระ หรือ นักบวช อะไรทำนองนั้น (ตามความเข้าใจผม)
ที่เค้าเรียก แม่พระ หมายถึง มารีย์ เป็น แม่ ของ พระเยซู จึงอาจได้ยินเรียกสั้นๆว่า แม่พระฯ (แม่พระ) หรือในบทภาวนา ก็เรียกว่า "มารดาพระเจ้า" (มารดาพระเจ้า ดูเหมือนจะเกินเหตุในสายตาคนที่ไม่ใช่คาทอลิก แต่อันนี้เป็นการยกย่องแม่มารีย์ ไม่ได้หมายถึงใหญ่กว่าพระเจ้าอะไรทำนองนั้นอ่ะครับ)
สรุป แม่มารีย์ ไม่ใช่พระเล็ก หรือ พระใหญ่ หรือ นักบวช หรือ ฑูตสวรรค์แต่อย่างใด
แม่มารีย์เป็นเพียงหญิงชาวยิวธรรมดาตัวเล็กๆคนนึง ที่พระเจ้าเมตตาเลือกที่จะให้อุ้มครรภ์พระบุตร
ส่วนที่นางได้รับเกียรติให้เป็นนักบุญนั้น สาเหตุก็คือ นางเป็นคริสเตียนคนแรกของโลกเรา เป็นผู้ใกล้ชิดพระคริสตเจ้า และคาทอลิกเชื่อว่า นางได้ไปสวรรค์แน่นอน จึงให้นางเป็นนักบุญ อีกทั้งพระคัมภีร์ยังกล่าวถึงนางในเชิง หญิงผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ หรือ ผู้ผาสุข อีกทั้งนางยังเป็นแบบอย่างในการเป็นคริสเตียนที่ดีด้วย
ประมาณนี้ครับ
ข้อ 1 เนี่ย ผมเดาว่า คาทอลิก เชื่อเรื่องที่นักบุญผู้ล่วงลับภาวนาเผื่อนั้น มาจากจดหมายของท่านนักบุญเปโตร หรือ เปาโลเนี่ยล่ะ ลืม -*-
ข้อ 3 เนี่ย เท่าที่ผมศึกษาพระคัมภีร์เองตอนรับเชื่อ และยังไม่ได้ไป คจ.ไหนอย่างเป็นทางการ หรือวัดไหน.. ผมเข้าใจเหมือนโปรเตสแตนทั่วไปครับ เรื่องความรอด ที่กอปรด้วยความเชื่อฟัง ทั้งนี้ไม่ใช่ประพฤติโดยไม่พลาดในความบาปเลย แต่พระองค์มองดูที่จิตใจ
แต่ที่แน่นอนก็คือว่า ผู้ที่ไม่รับพระเยซูเจ้าไว้ เค้าต้องรับผิดชอบตามการกระทำของเค้าเองทั้งหมด
ในขณะที่ ผู้เชื่อ จะ รอดแน่นอน แต่รอดแบบไหน รอดเลย รอดผ่านไฟชำระ รอดแบบมีบำเหน็จ (เหลือแต่ตัวตามที่กล่าวในมัทธิว) ทั้งนี้ก็อยู่ภายใต้การชำระบาปของตัวเรา คือ สารภาพบาปต่อพระเจ้าตลอด เรื่องไฟชำระ เป็นเรื่องของการชดใช้ (ตามที่อ่านในบอร์ด) การดำรงค์ชีวิตแบบผู้ศักดิ์สิทธิ์ ถือบริสุทธิ์ แบบนี้ก็บริบูรณ์ด้วยบำเหน็จ
สรุปคือ ผู้ไม่รับไว้ ก็ตามการกระทำของเค้า
ผู้รับเชื่อไว้ ก็รอด ได้รับบำเหน็จตามการกระทำ ชดใช้ตามการกระทำ ใช้หมดก็ไปยังที่พระคริสต์เตรียม(แนวๆคาทอลิก)
ปล. ข้อ 1 กับ 3 ผมมีความเชือตรงกับคาทอลิกเปล่าหว่า... แต่ที่แน่ๆ ไม่ตรงกับโปรเพนเทคอสอะ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
ข้อ 1. นั้นรอพี่ปอดีก่าครับไม่เชี่ยวชาญ แหะๆorg เขียน:
1.อย่างการอธิษฐานเผื่อ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เช่นผมขอให้เพื่อนคนนึง อธิษฐานเผื่อเรื่องสุขภาพ เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ได้สิ เราจะอธิษฐานเผื่อเธอ เธอก็ระวังสุขภาพหน่อยนะ อย่าตากฝน เดี๋ยวพระเจ้าก็จะทรงเมตตา และช่วยเธอ วางใจนะ"
แต่สำหรับ มนุษย์กับคนที่ตายไปแล้ว เราไม่ได้ยินการหนุนใจและความรัก การโต้ตอบที่เกิดขึ้น ผมรู้ครับว่า คนที่ตายแล้วเค้าก็รักเรา เพราะคริสตชนทุกคนรักกัน
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ยินเรา เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน และสถานะอะไร พระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเราหรือไม่ และอีกอย่าง ไม่มีตัวกลางระหว่าง จิตของเรากับจิตของเค้า
อย่างเราอธิษฐานกับพระบิดา แน่นอนพระองค์เป็นพระเจ้า ซึ่งรับรู้ทุกสิ่ง และพระองค์ให้พระเยซูเป็นสื่อกลางของเรากับพระองค์ อยากถามว่า อะไรเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับคนตายไปแล้ว แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเรา แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ไปสวรรค์ เพราะมีคริสตชนบางคน ช่วงแรกๆ เชื่อพระเจ้ามาก แต่บั้นปลายชีวิต หรือในใจของเขา ไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า ซึ่งเค้าอาจไม่ได้ไปสวรรค์ แต่คนอื่นเห็นเค้ามาโบสถ์บ่อย มาอธิษฐาน แต่ไร้ความเชื่อและการประพฤติ เค้าคนนั้นอาจไม่ได้ไปสวรรคือย่างที่คนอื่นๆคิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
2.ผมรู้ครับว่าถ้าเรารักอะไรมากกว่าพระเจ้าก็เป็นรูปเคารพทั้งนั้น แต่ที่ผมเชื่อคือ เรามี พระ องค์เดียว และเรา นมัสการพระองค์เดียว ไม่ว่า จะมีพระใหญ่ หรือพระเล็กๆ เล็กกว่า พระเยโฮวาห์เราก็ไม่นมัสการ อยากถามว่า พระแม่มารี เข้าข่ายเป็นพระเล็ก อีกองค์หนึ่ง ที่เรานมัสการหรือไม่ และคาทอลิคตั้งเค้าให้เป็น พระแม่มารีย์
ผมคิดว่า มารีย์ เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนโมเสส เหมือนกับคุณ ที่พระเจ้าใช้เพื่อพระนามพระเจ้า เรารักเค้าในฐานะที่เค้าเป็นมนุษย์ ในครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ พระเล็กๆอีกองค์
3.ถ้าคนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อ ตกไฟชำระเหมือนกัน แล้วเราจะเชื่อพระเจ้าทำไมอ่ะ บางคนก็คิดว่า "เดี๋ยวฉันจะสนุกสุดเหวี่ยงในโลกนี้ แล้วค่อยรอพระเยซูมาไถ่ฉัน ในโลกหน้า และฉันจะบอกเพื่อนๆอีกพันคนให้สวดเพื่อฉัน เพื่อฉันจะได้ออกไปเร็วๆ ไปบนสวรรค์ ฉันสนุกบนโลกนี้ดีกว่า เพราะคริสเตียนที่ยอมทนทุกข์พวกนั้นก็ตกไฟชำระเหมือนกับเรานี่แหละ เราไม่ต้องเป็นคริสตชนหรอก"
ผมว่านะครับ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า น่าจะไปอยู่แดนคนตาย ที่ยังไม่ใช่นรก เพราะยังไม่ถึงเวลาพิพากษา เพราะพระเยซูยังไม่เสด็จมา ที่แดนคนตายนั้น มันคงร้อนมาก ทรมารมาก แต่อาจเป็นได้ได้ที่วันนึงพระเยซูโปรดเมตตาครั้งสุดท้ายให้คนที่อยู่แดนคนตายกลับใจ ว่าจะดื้อด้านต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยพวกเค้าที่ไม่เชื่อก็โดนทรมานระยะหนึ่งแล้วในแดนคนตาย ที่ไม่ใช่นรก
ส่วนคนที่เชื่อพระเจ้าจะได้ไปเมืองบรมสุขเกษม ที่ยังไม่ใช่สวรรค์ เหมือนกับโจรคนนั้น เพราะถ้าคริสเตียนกับที่คนไม่เชื่อโดนไฟชำระพร้อมกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ทุกคนก็จะบอกว่าวันนี้เรามาสนุกกับโลกนี้กันดีกว่า ผมเชื่อครับว่ามีแดนคนตายที่ยังไม่ใช่นรก เพราะวิวรณ์บอกว่า เรารอการพิพากษาพร้อมกัน ฉะนั้นวันที่จะไปนรกยังไม่ถึงและทุกคุณ HOLY ยกข้อคัมภีร์มาเรื่องแดนคนตายหรือที่คุณเรียกว่าไฟระ ผมก็เห็นด้วยว่ามี
ข้อ2. เรายกย่องพระแม่มารีย์ เพราะพระแม่เป้นพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำว่าพระมารดาของพระผู้เป็นเจ้าเราไม่ได้พูดเองนะครับ แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์พูด อ่านได้จากตอนที่พระนางมารีย์เสด็จไปเยี่ยมนางเอลิซาเบ็ธครับ
เมื่อนางเอลิซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลิซาเบธได้รับพระจิตเจ้า(พระวิญญาณบริสุทธิ์)เต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า "เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า..." ลูกา 1:41-43
สำหรับข้อ 3. นั้น คุณคิดว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมหรือไม่ แล้วคุณคิดว่าเราจะโกงพระเจ้าได้หรือไม่
-
- โพสต์: 1042
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 22, 2008 11:37 am
- ที่อยู่: Ether23@hotmail.com
ผมเคยลองไปโปรอะคับ เเต่ว่ามันขาดอะไรไปมากจากคาทอลิก
คาทอลิก มีทั้ง นักบุญ มีทั้งแม่พระ มีพระสันตะปาปา
ส่วนตัวผมก็เคยขอจากนักบุญเทเรซาได้อะคับขอให้ผมรักพระเจ้า
มากมากขึ้นให้มีความเชื่อมากขึ้นเหมือนว่าจะได้นะครับ
เพราะผมเองก็ไปอารามคาร์แมลบ่อยเหมือนกันน
ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกท่าน
คาทอลิก มีทั้ง นักบุญ มีทั้งแม่พระ มีพระสันตะปาปา
ส่วนตัวผมก็เคยขอจากนักบุญเทเรซาได้อะคับขอให้ผมรักพระเจ้า
มากมากขึ้นให้มีความเชื่อมากขึ้นเหมือนว่าจะได้นะครับ
เพราะผมเองก็ไปอารามคาร์แมลบ่อยเหมือนกันน
ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกท่าน

1. การที่คาทอลิกจะประกาศบุคคลที่ล่วงลับแล้วเป็นนักบุญนั้น
จะต้องมีเหตุการณ์อัศจรรย์/หมายสำคัญ/Sign ที่มาจากการวอนขอบุคคลนั้นๆอธิษฐานเผื่อ 3เหตุการณ์ขึ้นไป
ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งยืนยันครับว่า พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมเหล่านั้น (ยากอบ 5:16)
2.ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะ
สมเด็จย่า = พระราชชนนี
ในหลวง = พระราชา
เราไม่ได้นับถือแม่พระเป็นพระเท็จเทียมครับ
ความสัมพันธ์ของแม่พระกับพระเยซูเจ้า ก็เหมือน ของสมเด็จย่ากับในหลวงนั่นละ
3. ไม่มีใครยืนยันหรอกครับว่า คนไม่เชื่อพระเจ้าแล้วจะไปไฟชำระทุกคน
แน่นอน การประกาศข่าวประเสริฐ ความรอดจากพระนามพระเยซูเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
แต่นักบุญเปาโลเอง ก็ได้สอนในจุดหมายถึงชาวโรมว่า
พวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจตามมโนธรรมและบางครั้งความคิดตามเหตุผลที่กล่าวโทษก็ป้องกันพวกเขา
ในวันที่พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้
โรม3:15-16
จะต้องมีเหตุการณ์อัศจรรย์/หมายสำคัญ/Sign ที่มาจากการวอนขอบุคคลนั้นๆอธิษฐานเผื่อ 3เหตุการณ์ขึ้นไป
ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งยืนยันครับว่า พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมเหล่านั้น (ยากอบ 5:16)
2.ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะ
สมเด็จย่า = พระราชชนนี
ในหลวง = พระราชา
เราไม่ได้นับถือแม่พระเป็นพระเท็จเทียมครับ
ความสัมพันธ์ของแม่พระกับพระเยซูเจ้า ก็เหมือน ของสมเด็จย่ากับในหลวงนั่นละ
3. ไม่มีใครยืนยันหรอกครับว่า คนไม่เชื่อพระเจ้าแล้วจะไปไฟชำระทุกคน
แน่นอน การประกาศข่าวประเสริฐ ความรอดจากพระนามพระเยซูเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
แต่นักบุญเปาโลเอง ก็ได้สอนในจุดหมายถึงชาวโรมว่า
พวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจตามมโนธรรมและบางครั้งความคิดตามเหตุผลที่กล่าวโทษก็ป้องกันพวกเขา
ในวันที่พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้
โรม3:15-16
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 8:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
ตลกดี
ไม่คาริสมาติกก็น่าจะเพนเทคอสต์ล่ะมั้งเนี่ย
:cheesy:
อื้ม...พวกเราในนี้ทุกคนมีวิญญะนะครับ ทำไมจะไม่รู้เจตนาของคุณล่ะครับ อ่านดูก็พอจะรู้จากน้ำเสียงล่ะครับว่านัยเป็นอย่างไร
ผมเองก็เคยเป็นโปรเตสแตนท์ครับ เลือกที่จะศึกษาโปรเตสแตนท์ก่อนด้วยครับ เพราะเหตุผลเดียวกับคุณนั่นแหละ รู้สึกเหมือนกับที่คุณรู้สึกนั่นแหละครับ
ถ้าจะมาถามเพื่ออยากรู้ว่าทำไมคริสตชนถึงไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ...จริงๆ... น้ำเสียงจะไม่ใช่แบบนี้น่ะครับ ผมว่านะ
ลองไปsarch กระทู้เก่าๆในนี้ก็ได้ครับ จะเจอกระทู้ผมถามเกี่ยวกับพี่น้องคาทอลิก ลองหาดูนะครับ อันนั้นน่าจะเป็นน้ำเสียงของคนที่อยากรู้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ
รอพี่ปอดีกว่า...ชัวร์ๆ
แก้คำผิดนู่นนี่นิดหน่อย
ไม่คาริสมาติกก็น่าจะเพนเทคอสต์ล่ะมั้งเนี่ย
:cheesy:
อื้ม...พวกเราในนี้ทุกคนมีวิญญะนะครับ ทำไมจะไม่รู้เจตนาของคุณล่ะครับ อ่านดูก็พอจะรู้จากน้ำเสียงล่ะครับว่านัยเป็นอย่างไร
ผมเองก็เคยเป็นโปรเตสแตนท์ครับ เลือกที่จะศึกษาโปรเตสแตนท์ก่อนด้วยครับ เพราะเหตุผลเดียวกับคุณนั่นแหละ รู้สึกเหมือนกับที่คุณรู้สึกนั่นแหละครับ
ถ้าจะมาถามเพื่ออยากรู้ว่าทำไมคริสตชนถึงไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ...จริงๆ... น้ำเสียงจะไม่ใช่แบบนี้น่ะครับ ผมว่านะ
ลองไปsarch กระทู้เก่าๆในนี้ก็ได้ครับ จะเจอกระทู้ผมถามเกี่ยวกับพี่น้องคาทอลิก ลองหาดูนะครับ อันนั้นน่าจะเป็นน้ำเสียงของคนที่อยากรู้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ
รอพี่ปอดีกว่า...ชัวร์ๆ
แก้คำผิดนู่นนี่นิดหน่อย

แก้ไขล่าสุดโดย Like a Heaven เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 9:02 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
อาจจะไม่ตรงกับคำถามนัก เเละก็อาจไม่ถูกต้องนัก เเต่จะสรุปง่ายๆดังนี้1.อย่างการอธิษฐานเผื่อ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เช่นผมขอให้เพื่อนคนนึง อธิษฐานเผื่อเรื่องสุขภาพ เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ได้สิ เราจะอธิษฐานเผื่อเธอ เธอก็ระวังสุขภาพหน่อยนะ อย่าตากฝน เดี๋ยวพระเจ้าก็จะทรงเมตตา และช่วยเธอ วางใจนะ"
แต่สำหรับ มนุษย์กับคนที่ตายไปแล้ว เราไม่ได้ยินการหนุนใจและความรัก การโต้ตอบที่เกิดขึ้น ผมรู้ครับว่า คนที่ตายแล้วเค้าก็รักเรา เพราะคริสตชนทุกคนรักกัน
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ยินเรา เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน และสถานะอะไร พระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเราหรือไม่ และอีกอย่าง ไม่มีตัวกลางระหว่าง จิตของเรากับจิตของเค้า
อย่างเราอธิษฐานกับพระบิดา แน่นอนพระองค์เป็นพระเจ้า ซึ่งรับรู้ทุกสิ่ง และพระองค์ให้พระเยซูเป็นสื่อกลางของเรากับพระองค์ อยากถามว่า อะไรเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับคนตายไปแล้ว แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าอนุญาติให้เค้าได้ยินเรา แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่า เค้าได้ไปสวรรค์ เพราะมีคริสตชนบางคน ช่วงแรกๆ เชื่อพระเจ้ามาก แต่บั้นปลายชีวิต หรือในใจของเขา ไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า ซึ่งเค้าอาจไม่ได้ไปสวรรค์ แต่คนอื่นเห็นเค้ามาโบสถ์บ่อย มาอธิษฐาน แต่ไร้ความเชื่อและการประพฤติ เค้าคนนั้นอาจไม่ได้ไปสวรรคือย่างที่คนอื่นๆคิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
ต้องเเยกให้ออก ระหว่าง นักบุญ กับ วิญญาณในไฟชำระ นะคะ เพราะตอนนี้ดูปนๆกันอยู่เลย
- อย่างที่เคยบอกไปหลายๆครั้งใน replyก่อนๆนะคะ ว่าคนที่ได้เป็น"นักบุญ" คือคนที่เรามั่นใจว่าได้ไปสวรรค์เเล้ว
ปกติ กว่าพระศาสนจักรจะรับรองให้ใครซักคนหนึ่งเป็นนักบุญ จะใช้เวลานาน.........นาน.....นาน....มากเลยทีเดียว
เชิญอ่านบทความนี้ http://www.catholic.or.th/document/doc0 ... index.html
อย่างละเอียด นะคะ เเล้วจะเข้าใจมากขึ้น
- ส่วนวิญญาณในไฟชำระนั้น...เราสวดให้เขา...เพราะตอนนี้เขาลำบากอยู่ ชดใช้โทษบาปอยู่ เขาจะได้ไปพบพระเร็วๆ
ซึ่งจะเมื่อไหร่ ก็ไม่ทราบเช่นกัน...
- เคยถามคุณพ่อท่านหนึ่งนะคะ เพราะเเต่ก่อนก็เคยสงสัยเหมือนกันว่า นักบุญทั้งหลายจะได้ยินเสียงเราสวดหรือ??? เเล้วอย่างนักบุญดังๆ
เช่น เเม่พระ นักบุญอันตน ฯลฯ คนสวดหาท่านทั่วโลก เเล้วท่านจะฟังทันหรือ? ท่านจะช่วยสวดให้ทุกคนได้หรือ?
ท่านเลยตอบมาง่ายๆ เเต่มีความหมายว่า
"เเล้วเเต่พระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าพระองค์ประสงค์จะให้พวกท่านได้ยิน ก็จะได้ยิน"
อัศจรรย์ต่างๆ เช่น คนเป็นอัมพาตมานาน อยู่ดีๆหายขาดหลังจากขอให้ท่านนักบุญช่วยวิงวอน เป็นการยืนยันว่า
- พระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้พวกท่านได้ยินคำอธิษฐานของเรา เเละ
- พระองค์รับฟังคำวิงวอนของท่านนักบุญ
เพราะหากคำสอนเรื่องการเสนอวิงวอนของนักบุญ เป็นเรื่องที่ผิดพระบัญญัติ หรือเป็นเรื่องเข้าใจผิด
พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้อัศจรรย์ครั้งนั้นเกิดผล เพื่อให้มนุษย์อย่างเราเข้าใจผิดมาเกือบสองพันปีเป็นเเน่
เอาจริงๆนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาด้วย2.ผมรู้ครับว่าถ้าเรารักอะไรมากกว่าพระเจ้าก็เป็นรูปเคารพทั้งนั้น แต่ที่ผมเชื่อคือ เรามี พระ องค์เดียว และเรา นมัสการพระองค์เดียว ไม่ว่า จะมีพระใหญ่ หรือพระเล็กๆ เล็กกว่า พระเยโฮวาห์เราก็ไม่นมัสการ อยากถามว่า พระแม่มารี เข้าข่ายเป็นพระเล็ก อีกองค์หนึ่ง ที่เรานมัสการหรือไม่ และคาทอลิคตั้งเค้าให้เป็น พระแม่มารีย์
ผมคิดว่า มารีย์ เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนโมเสส เหมือนกับคุณ ที่พระเจ้าใช้เพื่อพระนามพระเจ้า เรารักเค้าในฐานะที่เค้าเป็นมนุษย์ ในครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ พระเล็กๆอีกองค์
ดูตรงนี้นะคะ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของบท "ข้าพเจ้าเชื่อ" (เเน่นอนว่าเป็นของคาทอลิก)
ภาษาอังกฤษ
I believe in God, the Father Almighty, Creator of heaven and earth. And in Jesus Christ, his only Son, our Lord: who was conceived by the Holy Spirit, born of the Virgin Mary.......
ภาษาลาติน
Credo in Deum Patrem omnipotentem, Creatorem caeli et terrae.
Et in Iesum Christum, Filium eius unicum, Dominum nostrum, qui
conceptus est de Spiritu Sancto, natus ex Maria Virgine.......
สังเกตว่า ภาษาเหล่านี้ไม่ได้ใช้ ราชาศัพท์นะคะ
เเต่ในเมื่อ เราเป็นคนไทย เเละเมืองไทยเราก็มีราชาศัพท์...เมื่อพูดถึงพระผู้เป็นเจ้า เราใช้ราชาศัพท์กับพระองค์ เเต่กับพระมารดาของพระองค์
เราจะไม่ใช้ราชาศัพท์ เรียกเสมือนสามัญชนก็จะฟังดูเเปลกๆค่ะ (เปรียบเทียบ อย่างที่คุณ "ยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า" เขียนไว้)
เลยกลายเป็น
ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน เชื่อถึงพระเอกาบุตร เยซูคริสต์สวามีของเรา
ปฎิสนธิเดชะพระจิตบังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี ...
เป็นการให้เกียรติในฐานะพระมารดาของพระเจ้า เท่านั้นเองค่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย
3.ถ้าคนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อ ตกไฟชำระเหมือนกัน แล้วเราจะเชื่อพระเจ้าทำไมอ่ะ บางคนก็คิดว่า "เดี๋ยวฉันจะสนุกสุดเหวี่ยงในโลกนี้ แล้วค่อยรอพระเยซูมาไถ่ฉัน ในโลกหน้า และฉันจะบอกเพื่อนๆอีกพันคนให้สวดเพื่อฉัน เพื่อฉันจะได้ออกไปเร็วๆ ไปบนสวรรค์ ฉันสนุกบนโลกนี้ดีกว่า เพราะคริสเตียนที่ยอมทนทุกข์พวกนั้นก็ตกไฟชำระเหมือนกับเรานี่แหละ เราไม่ต้องเป็นคริสตชนหรอก"
ผมว่านะครับ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า น่าจะไปอยู่แดนคนตาย ที่ยังไม่ใช่นรก เพราะยังไม่ถึงเวลาพิพากษา เพราะพระเยซูยังไม่เสด็จมา ที่แดนคนตายนั้น มันคงร้อนมาก ทรมารมาก แต่อาจเป็นได้ได้ที่วันนึงพระเยซูโปรดเมตตาครั้งสุดท้ายให้คนที่อยู่แดนคนตายกลับใจ ว่าจะดื้อด้านต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยพวกเค้าที่ไม่เชื่อก็โดนทรมานระยะหนึ่งแล้วในแดนคนตาย ที่ไม่ใช่นรก
ส่วนคนที่เชื่อพระเจ้าจะได้ไปเมืองบรมสุขเกษม ที่ยังไม่ใช่สวรรค์ เหมือนกับโจรคนนั้น เพราะถ้าคริสเตียนกับที่คนไม่เชื่อโดนไฟชำระพร้อมกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ทุกคนก็จะบอกว่าวันนี้เรามาสนุกกับโลกนี้กันดีกว่า ผมเชื่อครับว่ามีแดนคนตายที่ยังไม่ใช่นรก เพราะวิวรณ์บอกว่า เรารอการพิพากษาพร้อมกัน ฉะนั้นวันที่จะไปนรกยังไม่ถึงและทุกคุณ HOLY ยกข้อคัมภีร์มาเรื่องแดนคนตายหรือที่คุณเรียกว่าไฟระ ผมก็เห็นด้วยว่ามี
ฮีบรู 4:1-2
ทั้งๆที่มีพระสัญญาว่าจะให้เข้าไปในที่พักผ่อนกับพระองค์ เเต่เราก็ต้องกลัวว่า อาจมีบางคนที่ไปไม่ถึง
ความจริงเราได้รับข่าวดีเช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น เเต่พระวาจาที่ได้ยินนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา
- ให้พระเจ้าตัดสินเรื่องนี้ดีกว่าค่ะ...เพราะพระองค์ทรงยุติธรรม เเละไม่ตัดสินเเบบที่มนุษย์ตัดสิน
- เเยกนรก กับ ไฟชำระให้ออกนะคะ เเนะนำให้อ่านบทความนี้ http://www.catholic.or.th/article/arcti ... ti016.html
อย่างละเอียด อีกครั้งละกันนะคะ เช่น ข้อ5.
5. ใครจะไปอยู่ในไฟชำระ?
คนที่ตายด้วยพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร แต่มีเพียงบาปเบาในวิญญาณ
หรือ ผู้ที่ยังไม่ได้ใช้โทษบาป อย่างบริบูรณ์ สำหรับบาปที่ได้รับอภัยแล้ว
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย Dis volentibus เมื่อ จันทร์ ต.ค. 27, 2008 7:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
อ่า ถ้าจะถามว่าทำไมไม่เป็นหนึ่งเดียว
งั้นถามกลับ แล้วใครละ ที่แยก ออกมา ไม่ใช่ เรา(โปรฯ)เร๊อะ แยกโปรฯออกมาไม่พอ ยังมี คณะต่างๆอีกเพียบบบบบ ทั้ง เพรส ไบทีเรียน(สภาคริสจักร) ลูเธอร์รัน แบ๊พติส ฯลฯ ต่างความเชื่อกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้ ก็มีสิ่งที่เหมือนกัน ตือ พระเจ้าองค์เดียว
งั้นถามกลับ แล้วใครละ ที่แยก ออกมา ไม่ใช่ เรา(โปรฯ)เร๊อะ แยกโปรฯออกมาไม่พอ ยังมี คณะต่างๆอีกเพียบบบบบ ทั้ง เพรส ไบทีเรียน(สภาคริสจักร) ลูเธอร์รัน แบ๊พติส ฯลฯ ต่างความเชื่อกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้ ก็มีสิ่งที่เหมือนกัน ตือ พระเจ้าองค์เดียว
โปร ก็มีคับ ยกเว้น โป๊ป เพียงแค่ไม่ได้แบบว่าอะไรมากมาย หมายถึง คนนี้ยกย่องเป็นนักบุญ คนนี้พระแม่มารีย์ นะ แต่....ยังไงดีละ พูดไม่ถูกChristmas_ Win เขียน: ผมเคยลองไปโปรอะคับ เเต่ว่ามันขาดอะไรไปมากจากคาทอลิก
คาทอลิก มีทั้ง นักบุญ มีทั้งแม่พระ มีพระสันตะปาปา
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
Rakkypoko! เขียน: อ่า ถ้าจะถามว่าทำไมไม่เป็นหนึ่งเดียว
งั้นถามกลับ แล้วใครละ ที่แยก ออกมา ไม่ใช่ เรา(โปรฯ)เร๊อะ แยกโปรฯออกมาไม่พอ ยังมี คณะต่างๆอีกเพียบบบบบ ทั้ง เพรส ไบทีเรียน(สภาคริสจักร) ลูเธอร์รัน แบ๊พติส ฯลฯ ต่างความเชื่อกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้ ก็มีสิ่งที่เหมือนกัน ตือ พระเจ้าองค์เดียว
การที่ท่านลูเธอร์ปฏิรูปศาสนาในยุคกลางนั้น
ท่านเพียงต้องการปฏิรูปเพื่อแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องในตอนนั้น
แต่ไม่ได้มีเจตนาจะปฏิวัติหรือแยกออกมาเป็นนิกาย
แต่เนื่องจากพระศาสนจักร(ในยุคนั้น)มีทั้งเรื่องการเมืองและผลประโยชน์และอื่นๆ
ทำให้ไม่ยอมรับการปฏิรูปและบัพพาชนียกรรม(ขับไล่)
ท่านออกมาจากพระศาสนจักรโดยคำสั่งของพระสันตปาปาลีโอที่10
ถึงกระนั้นเมื่อเกิดการแตกแยกกันขึ้นต่อมาท่านลูเธอร์เองก็ยังแสวงหาเอกภาพในพระกาย
ในบทแถลงศรัทธาออกซ์เบิร์กมีหลายตอนที่ยังแสดงถึงว่าท่านลูเธอร์เองไม่ได้ต้องการให้คริสตจักรแตกแยก
เช่น มีบทหนึ่งท่านยังกล่าวว่า "ธรรมประเพณีใดๆ ที่เคยปฏิบัติมา และพระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามไว้หรือบอกว่าผิด ให้รักษาไว้"
ช่ายๆ จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นนะRakkypoko! เขียน:โปร ก็มีคับ ยกเว้น โป๊ป เพียงแค่ไม่ได้แบบว่าอะไรมากมาย หมายถึง คนนี้ยกย่องเป็นนักบุญ คนนี้พระแม่มารีย์ นะ แต่....ยังไงดีละ พูดไม่ถูกChristmas_ Win เขียน: ผมเคยลองไปโปรอะคับ เเต่ว่ามันขาดอะไรไปมากจากคาทอลิก
คาทอลิก มีทั้ง นักบุญ มีทั้งแม่พระ มีพระสันตะปาปา
พี่น้องคาทอลิกมีวันฉลองนักบุญ หรือแม่พระ หรือเทศกาลต่างๆ
โปรฯ (ลูเธอแรน)ก็มีเหมือนกัน เราไม่ได้ตัดทิ้งทั้งหมดเพียงแต่ลดลงและเปลี่ยนวันตามความเหมาะสม
โดยเราไม่ได้ใช้คำว่า "ฉลอง" เพราะคำนี้เราใช้กับพระเจ้าเท่านั้น แต่เราใช้คำว่า "วัน" หรือ "วันระลึกถึง"
และศัพท์ที่ใช้ออาจแตกต่างกันบ้างตามศาสนศาสตร์ อย่างเช่นในปีนี้...
วันระลึกถึงการกลับใจของอัครธรรมทูตเปาโล (25 มกราคม)
วันระลึกถึงมาระโกผู้เขียนพระกิตติคุณมาระโก (25 เมษายน)
วันระลึกถึงการกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (24 มิถุนายน)
วันแจ้งข่าวแก่นางมารีย์ (9 มีนาคม)
วันระลึกถึงลูกาผู้เขียนพระกิตติคุณลูกา (18 ตุลาคม)
วันระลึกถึงบรรดาธรรมิกชนผู้ล่วงลับทั้งหลาย (2 พฤศจิกายน)
วันระลึกถึงท่านสเทเฟนผู้ถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ (26 ธันวาคม)
วันระลึกถึงยอห์นผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น (27 ธันวาคม)
และนอกจากนั้นแม้แต่มรณสักขีที่พี่น้องคาทอลิกแต่งตั้งเป็นบุญราศี(ยังไม่ได้เป็นนักบุญ)เราก็ยังระลึกถึง
วันระลึกถึงบรรดาธรรมิกชนผู้ล่วงลับ(คริสตชนคาทอลิกถูกฆ่าเพราะความเชื่อ 7 คน) (16 ธันวาคม)
(ที่มา: ปฏิทินสภาคริสตจักรลูเธอ์แรนในประเทศไทย ปี 2008)
เห็นรึยังคะว่าโปรฯ ที่ถูกแยกออกมานั้นแท้จริงแล้ว ไม่ได้ต้องการการแตกแยกอย่างที่เห็นในปัจจุบันหรอกค่ะ
ปล. จะคณะนิกายไหนไม่สำคัญ สำคัญว่าในตอนนี้ประเทศไทยมีคนที่มีสิทธิเข้าสวรรค์(ทุกคณะนิกาย) ประมาณแค่ 1 เปอร์เซนต์เท่านั้น
แล้วเราควรจะทำอะไรกันต่อไป จะช่วยกันประกาศ หรือจะมานั่งจับผิดกันว่าใครสอนผิด ใครสอนถูก....
คริสตชนเราต่างก็รับพระคุณด้วยกันทั้งนั้น พระคุณเดียวกัน มีสายโลหิตเดียวกัน(พระโลหิตของพระเยซู) ต้องรักกัน อาเมน

- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
สำเนาถูกต้องชัดใส สไตล์กระดาษ ดับเบิ้ล Aยุนโซวา (Grace) เขียน:Rakkypoko! เขียน: อ่า ถ้าจะถามว่าทำไมไม่เป็นหนึ่งเดียว
งั้นถามกลับ แล้วใครละ ที่แยก ออกมา ไม่ใช่ เรา(โปรฯ)เร๊อะ แยกโปรฯออกมาไม่พอ ยังมี คณะต่างๆอีกเพียบบบบบ ทั้ง เพรส ไบทีเรียน(สภาคริสจักร) ลูเธอร์รัน แบ๊พติส ฯลฯ ต่างความเชื่อกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้ ก็มีสิ่งที่เหมือนกัน ตือ พระเจ้าองค์เดียว
การที่ท่านลูเธอร์ปฏิรูปศาสนาในยุคกลางนั้น
ท่านเพียงต้องการปฏิรูปเพื่อแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องในตอนนั้น
แต่ไม่ได้มีเจตนาจะปฏิวัติหรือแยกออกมาเป็นนิกาย
แต่เนื่องจากพระศาสนจักร(ในยุคนั้น)มีทั้งเรื่องการเมืองและผลประโยชน์และอื่นๆ
ทำให้ไม่ยอมรับการปฏิรูปและบัพพาชนียกรรม(ขับไล่)
ท่านออกมาจากพระศาสนจักรโดยคำสั่งของพระสันตปาปาลีโอที่10
ถึงกระนั้นเมื่อเกิดการแตกแยกกันขึ้นต่อมาท่านลูเธอร์เองก็ยังแสวงหาเอกภาพในพระกาย
ในบทแถลงศรัทธาออกซ์เบิร์กมีหลายตอนที่ยังแสดงถึงว่าท่านลูเธอร์เองไม่ได้ต้องการให้คริสตจักรแตกแยก
เช่น มีบทหนึ่งท่านยังกล่าวว่า "ธรรมประเพณีใดๆ ที่เคยปฏิบัติมา และพระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามไว้หรือบอกว่าผิด ให้รักษาไว้"
ช่ายๆ จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นนะRakkypoko! เขียน:โปร ก็มีคับ ยกเว้น โป๊ป เพียงแค่ไม่ได้แบบว่าอะไรมากมาย หมายถึง คนนี้ยกย่องเป็นนักบุญ คนนี้พระแม่มารีย์ นะ แต่....ยังไงดีละ พูดไม่ถูกChristmas_ Win เขียน: ผมเคยลองไปโปรอะคับ เเต่ว่ามันขาดอะไรไปมากจากคาทอลิก
คาทอลิก มีทั้ง นักบุญ มีทั้งแม่พระ มีพระสันตะปาปา
พี่น้องคาทอลิกมีวันฉลองนักบุญ หรือแม่พระ หรือเทศกาลต่างๆ
โปรฯ (ลูเธอแรน)ก็มีเหมือนกัน เราไม่ได้ตัดทิ้งทั้งหมดเพียงแต่ลดลงและเปลี่ยนวันตามความเหมาะสม
โดยเราไม่ได้ใช้คำว่า "ฉลอง" เพราะคำนี้เราใช้กับพระเจ้าเท่านั้น แต่เราใช้คำว่า "วัน" หรือ "วันระลึกถึง"
และศัพท์ที่ใช้ออาจแตกต่างกันบ้างตามศาสนศาสตร์ อย่างเช่นในปีนี้...
วันระลึกถึงการกลับใจของอัครธรรมทูตเปาโล (25 มกราคม)
วันระลึกถึงมาระโกผู้เขียนพระกิตติคุณมาระโก (25 เมษายน)
วันระลึกถึงการกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (24 มิถุนายน)
วันแจ้งข่าวแก่นางมารีย์ (9 มีนาคม)
วันระลึกถึงลูกาผู้เขียนพระกิตติคุณลูกา (18 ตุลาคม)
วันระลึกถึงบรรดาธรรมิกชนผู้ล่วงลับทั้งหลาย (2 พฤศจิกายน)
วันระลึกถึงท่านสเทเฟนผู้ถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ (26 ธันวาคม)
วันระลึกถึงยอห์นผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น (27 ธันวาคม)
และนอกจากนั้นแม้แต่มรณสักขีที่พี่น้องคาทอลิกแต่งตั้งเป็นบุญราศี(ยังไม่ได้เป็นนักบุญ)เราก็ยังระลึกถึง
วันระลึกถึงบรรดาธรรมิกชนผู้ล่วงลับ(คริสตชนคาทอลิกถูกฆ่าเพราะความเชื่อ 7 คน) (16 ธันวาคม)
(ที่มา: ปฏิทินสภาคริสตจักรลูเธอ์แรนในประเทศไทย ปี 2008)
เห็นรึยังคะว่าโปรฯ ที่ถูกแยกออกมานั้นแท้จริงแล้ว ไม่ได้ต้องการการแตกแยกอย่างที่เห็นในปัจจุบันหรอกค่ะ
ปล. จะคณะนิกายไหนไม่สำคัญ สำคัญว่าในตอนนี้ประเทศไทยมีคนที่มีสิทธิเข้าสวรรค์(ทุกคณะนิกาย) ประมาณแค่ 1 เปอร์เซนต์เท่านั้น
แล้วเราควรจะทำอะไรกันต่อไป จะช่วยกันประกาศ หรือจะมานั่งจับผิดกันว่าใครสอนผิด ใครสอนถูก....
คริสตชนเราต่างก็รับพระคุณด้วยกันทั้งนั้น พระคุณเดียวกัน มีสายโลหิตเดียวกัน(พระโลหิตของพระเยซู) ต้องรักกัน อาเมน![]()
( ตกลงเรา ทำพันธกิจเอกสัมพันธ์ ไม่ใช่หรอออ )
ถวายเกียรติแด่พระเจ้า :police:
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
อ่า...พี่น้องลูเทอรัน แองกลิกัน เพรสไบทีเรียน น่ารักที่สุดเลย อิๆ
พี่น้องคาริสมาติก เพนเทคอสก้อน่ารักนะ หุๆ

พี่น้องคาริสมาติก เพนเทคอสก้อน่ารักนะ หุๆ

-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
ยุนโซวา (Grace) เขียน:Rakkypoko! เขียน: อ่า ถ้าจะถามว่าทำไมไม่เป็นหนึ่งเดียว
งั้นถามกลับ แล้วใครละ ที่แยก ออกมา ไม่ใช่ เรา(โปรฯ)เร๊อะ แยกโปรฯออกมาไม่พอ ยังมี คณะต่างๆอีกเพียบบบบบ ทั้ง เพรส ไบทีเรียน(สภาคริสจักร) ลูเธอร์รัน แบ๊พติส ฯลฯ ต่างความเชื่อกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้ ก็มีสิ่งที่เหมือนกัน ตือ พระเจ้าองค์เดียว
การที่ท่านลูเธอร์ปฏิรูปศาสนาในยุคกลางนั้น
ท่านเพียงต้องการปฏิรูปเพื่อแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องในตอนนั้น
แต่ไม่ได้มีเจตนาจะปฏิวัติหรือแยกออกมาเป็นนิกาย
แต่เนื่องจากพระศาสนจักร(ในยุคนั้น)มีทั้งเรื่องการเมืองและผลประโยชน์และอื่นๆ
ทำให้ไม่ยอมรับการปฏิรูปและบัพพาชนียกรรม(ขับไล่)
ท่านออกมาจากพระศาสนจักรโดยคำสั่งของพระสันตปาปาลีโอที่10
ถึงกระนั้นเมื่อเกิดการแตกแยกกันขึ้นต่อมาท่านลูเธอร์เองก็ยังแสวงหาเอกภาพในพระกาย
ในบทแถลงศรัทธาออกซ์เบิร์กมีหลายตอนที่ยังแสดงถึงว่าท่านลูเธอร์เองไม่ได้ต้องการให้คริสตจักรแตกแยก
เช่น มีบทหนึ่งท่านยังกล่าวว่า "ธรรมประเพณีใดๆ ที่เคยปฏิบัติมา และพระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามไว้หรือบอกว่าผิด ให้รักษาไว้"
ช่ายๆ จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นนะRakkypoko! เขียน:โปร ก็มีคับ ยกเว้น โป๊ป เพียงแค่ไม่ได้แบบว่าอะไรมากมาย หมายถึง คนนี้ยกย่องเป็นนักบุญ คนนี้พระแม่มารีย์ นะ แต่....ยังไงดีละ พูดไม่ถูกChristmas_ Win เขียน: ผมเคยลองไปโปรอะคับ เเต่ว่ามันขาดอะไรไปมากจากคาทอลิก
คาทอลิก มีทั้ง นักบุญ มีทั้งแม่พระ มีพระสันตะปาปา
พี่น้องคาทอลิกมีวันฉลองนักบุญ หรือแม่พระ หรือเทศกาลต่างๆ
โปรฯ (ลูเธอแรน)ก็มีเหมือนกัน เราไม่ได้ตัดทิ้งทั้งหมดเพียงแต่ลดลงและเปลี่ยนวันตามความเหมาะสม
โดยเราไม่ได้ใช้คำว่า "ฉลอง" เพราะคำนี้เราใช้กับพระเจ้าเท่านั้น แต่เราใช้คำว่า "วัน" หรือ "วันระลึกถึง"
และศัพท์ที่ใช้ออาจแตกต่างกันบ้างตามศาสนศาสตร์ อย่างเช่นในปีนี้...
วันระลึกถึงการกลับใจของอัครธรรมทูตเปาโล (25 มกราคม)
วันระลึกถึงมาระโกผู้เขียนพระกิตติคุณมาระโก (25 เมษายน)
วันระลึกถึงการกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (24 มิถุนายน)
วันแจ้งข่าวแก่นางมารีย์ (9 มีนาคม)
วันระลึกถึงลูกาผู้เขียนพระกิตติคุณลูกา (18 ตุลาคม)
วันระลึกถึงบรรดาธรรมิกชนผู้ล่วงลับทั้งหลาย (2 พฤศจิกายน)
วันระลึกถึงท่านสเทเฟนผู้ถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ (26 ธันวาคม)
วันระลึกถึงยอห์นผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น (27 ธันวาคม)
และนอกจากนั้นแม้แต่มรณสักขีที่พี่น้องคาทอลิกแต่งตั้งเป็นบุญราศี(ยังไม่ได้เป็นนักบุญ)เราก็ยังระลึกถึง
วันระลึกถึงบรรดาธรรมิกชนผู้ล่วงลับ(คริสตชนคาทอลิกถูกฆ่าเพราะความเชื่อ 7 คน) (16 ธันวาคม)
(ที่มา: ปฏิทินสภาคริสตจักรลูเธอ์แรนในประเทศไทย ปี 2008)
เห็นรึยังคะว่าโปรฯ ที่ถูกแยกออกมานั้นแท้จริงแล้ว ไม่ได้ต้องการการแตกแยกอย่างที่เห็นในปัจจุบันหรอกค่ะ
ปล. จะคณะนิกายไหนไม่สำคัญ สำคัญว่าในตอนนี้ประเทศไทยมีคนที่มีสิทธิเข้าสวรรค์(ทุกคณะนิกาย) ประมาณแค่ 1 เปอร์เซนต์เท่านั้น
แล้วเราควรจะทำอะไรกันต่อไป จะช่วยกันประกาศ หรือจะมานั่งจับผิดกันว่าใครสอนผิด ใครสอนถูก....
คริสตชนเราต่างก็รับพระคุณด้วยกันทั้งนั้น พระคุณเดียวกัน มีสายโลหิตเดียวกัน(พระโลหิตของพระเยซู) ต้องรักกัน อาเมน![]()
ขอบคุณพี่ หายไปนาน มาใส่รายละเอียก เยี่ยมๆๆๆๆๆ เปนไงบ้างอะพี่สบายดีนะ คิดถึงๆๆๆป้าเพลง ด้วยพี่ด้วยละ