พอดีไปได้ข้อมูลมาจาก เว็บไซด์ของอิสลาม เรื่องการแต่งงานแบบมุสลิม มาให้อ่านคร่าวๆก่อนนะคะ
ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติมคงต้องไปอ่านต่อเอาเอง เพื่อจะตัดสินใจอย่างละเอียดรอบคอบนะคะ
ขอพระจิตเจ้านำทางนะคะ..
พิธีแต่งงานในอิสลามนั้นมีพิธีการเช่นไร?
ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่าน
เงื่อนไขการแต่งงานในอิสลามมี 5 ประการ ดังนี้
1. หญิงและชายต้องเป็นมุสลิมทั้งคู่ หลังแต่งงานไปแล้ว หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตกศาสนา
ความเป็นสามีภรรยาก็ถือเป็นอันสิ้นสุดไปด้วย การอยู่ร่วมกันหลังจากนั้นถือเป็นการผิดประเวณี
อ่านเรื่องทำไมเมื่อแต่งงานกับมุสลิมต้องเปลี่ยนศาสนาได้ ที่นี่
2. ผู้ชายต้องจัดหามะฮัรฺ (ของขวัญแต่งงาน) ให้แก่ผู้หญิงตามที่ผู้หญิงร้องขอ เมื่อทำพิธีแต่งงานทางศาสนาเสร็จ
มะฮัรฺนี้จะเป็นของผู้หญิงครึ่งหนึ่งก่อน จนกว่าจะได้อยู่ด้วยกันโดยพฤตินัยแล้ว มะฮัรฺก็จะเป็นของผู้หญิงทั้งหมด
หากหลังพิธีแต่งงานแล้วคู่บ่าวสาวมิได้มีความสัมพันธ์ฉันสามีกันจริงๆ มะฮัรฺก็จะเป็นของผู้หญิงเพียงครึ่งเดียว
3. ต้องมีพยานเป็นชายมุสลิมที่มีคุณธรรมอย่างน้อย 2 คน
4. ต้องมีวะลี (ผู้ปกครอง)ของผู้หญิงให้อนุญาตแต่งงาน หากพ่อผู้หญิงมิใช่มุสลิม ไม่สามารถเป็นวะลีได้ ผู้หญิงจะต้องแต่งตั้งให้ใครเป็นวะลีทำหน้าที่ในพิธีแต่งงานให้ ทำพิธีเสร็จแล้ว ความเป็นวะลีโดยการแต่งตั้งก็เป็นอันจบไป
5. มีการเสนอแต่งงาน(อีญาบ)จากทางวะลีของฝ่ายหญิง และเจ้าบ่าวต้องกล่าวรับ(กอบูล)
พิธีกรรมแต่งงานก็ประกอบด้วยการคุฏบ๊ะฮฺนิก๊ะฮฺ เสร็จแล้วก็ทำพิธีนิก๊ะฮฺตามหลักศาสนา
โดยการกล่าวเสนอแต่งงานจากทางวะลีฝ่ายหญิง และฝ่ายชายตอบรับ เท่านั้นก็เป็นเสร็จพิธี
ส่วนงานเลี้ยงฉลองแต่งงานเราเรียกว่า "วะลีมะฮฺ" อิสลามส่งเสริมให้ทำเพื่อแสดงความยินดี
และรื่นเริงเพราะเป็นโอกาสสำคัญ แต่งานเลี้ยงต้องไม่ฟุ่มเฟือย
หลักการศาสนาอิสลามเป็นเช่นนี้ทุกที่ทั่วโลก หากนั้นนอกเหนือจากนั้นเป็นการเพิ่มเติมขึ้นมาเอง
อาบน้ำเจ้าสาว จุดเทียนตัดเค้ก การแห่ขันหมากไปมา เจ้าสาว เจ้าบ่าว มีอ้อย และอื่นๆนั้น
เป็นสิ่งอุตริที่ไม่มีอยู่ในอิสลาม มนุษย์สร้างขึ้นมาให้เล่นให้วุ่นวาย และนำมาเหมารวมว่า มันคือพิธีกรรมทางอิสลาม
อิสลามไม่สนับสนุนให้ทำ เพราะมันสร้างภาระ และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
และการเลี้ยงฉลองงานแต่งงานหากมีการเลี้ยงเกิน 3 วัน
ถือเป็นการฟุ่มเฟือยโอ้อวดและท่านนบีไม่สนับสนุนงานเช่นนี้ค่ะ อิสลามห้ามเรื่องการ โอ้อวดและฟุ่มเพื่อยโดยใช่เหตุ
ท่านนบีกล่าวไว้ว่า อาหารมื้อที่ดีที่สุด คืออาหารในงานนิก๊ะห์ และอาหารที่แย่ที่สุด คืออาหารในงานวลีมะห์ (อาหารงานฉลองงานแต่งงาน)
เนื่องจากเจ้าภาพ มักเชิญเฉพาะคนรวย คนที่มีฐานะทางสังคม ส่วนคนที่ยากไร้ต้องการอาหารประทังชีวิต กลับไม่ได้รับเชิญ
บางกลุ่มชนของอินโดนีเซียนั้นพิธีการมีการเลี้ยงฉลอง 7 วัน
และประเพณีแต่ละที่ก็แตกต่างกันไปตามพื้นที่
หากกลุ่มคนใดที่ปฏิบัติตามหลักการศาสนา ก็จะไม่มีสิ่งเสริมนอกเหนือเพิ่มเติมที่กล่าวมาค่ะ
ต้องแยกให้ออกระหว่าง ประเพณีที่ทำตามกันมา กับหลักศาสนา ค่ะ
ส่วนเรื่องสินสอดในอิสลามนั้น มีกล่าวไว้ดังนี้.....
ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า " สตรีที่ดีที่สุด คือสตรีที่เรียกมะฮัรฺ (จากฝ่ายชาย) น้อยที่สุด"
มะฮัรฺ หมายถึง ทรัพย์สิน,เงินทองที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้แก่ฝ่ายเจ้าสาวเท่านั้น
ญาติของนางไม่มีสิทธิ์ เข้ามามีส่วนกำหนดทรัพย์สิน ว่าจะต้องได้เท่านั้นได้เท่านี้
ถือว่าผิดหลักคำสอนของศาสนา แม้ว่าญาติของนางจะอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมอะไรก็ตาม
ศาสนาไม่อนุญาตให้ญาติมีส่วนมาตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดมะฮัรฺ
แต่ปัจจุบันผู้คนหลงลืมไปว่า การเรียกเงินสูงๆ เป็นการให้เกียรติ และนับหน้าถือตาในสังคม และยกย่องกันแต่เรื่องฐานะ
ลืมหลักการศาสนา ที่อิสลามมีกล่าวไว้ตั้งแต่เกิดจนตายว่า เท่าเทียมกัน..
ผู้ที่ดีที่สุดคือผู้ที่ศรัทธาและอยู่ในหลักการศาสนา ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติความดีงาม อ่อนโยนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์และไม่โอ้อวดฟุ่มเฟื่อย......ไม่หลงงมงายกับฐานะหน้าตาทางสังคม ที่สร้างกันขึ้นมาเอง
งานวะลีมะฮฺ หมายถึง เจ้าบ่าวเจ้าสาวเลี้ยงอาหารให้แก่แขกที่มาเป็นสักขีพยานในงานพิธีนิก๊ะห์
หรืองานฉลองการแต่งงานนั่นเอง ...ทั่วไปเรียกว่า งานมงคลสมรส...
งานวะลีมะฮฺจะจัดงานในวันเดียวกับงานพิธีนิก๊ะห์ก็ได้ หรือจะจัดงานภายหลังพิธีนิก๊ะห์ก็ได้
ซึ่งท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมฮฺ กระทำไว้เป็นแบบอย่าง
โดยจัดงานวะลีมะฮฺระยะห่างจากจัดงานนิก๊ะห์ประมาณ1สัปดาห์
หากนิก๊ะห์เสร็จแล้ว อีก 1 หรือ 2 วันจะจัดงานวะลีมะฮฺนั้น สามารถกระทำได้ค่ะ
เพราะศาสนาอนุญาตให้กระทำได้
เช่น
การที่มุสลิมทำพิธีนิก๊ะหฺ์ที่มัสยิด/บ้าน ในตอนเช้า และมีงานฉลองอีกงานหนึ่งโรงแรม/สถานที่อื่น
หรือ
ทำพิธีนิก๊ะหฺ์ที่มัสยิด/บ้าน ในวันหนึ่ง และมีงานฉลองอีกงานหนึ่งที่โรงแรม/สถานที่อื่น ใน 2 วัน หรือ อีก 1 อาทิตย์ถัดมา
อีกหัวข้อหนึ่งคือ..จะแต่งงานกับอิสลาม ทำไมต้องเปลี่ยนศาสนา..
หลายคนสอบถามเรื่อง เกี่ยวกับว่าทำไมจะต้องเปลี่ยนศาสนาล่ะถ้าจะแต่งงานกับมุสลิม(ใช้เรียกผู้ที่นับถืออิสลาม)
อิสลามนั้นมีทั้งหลักศรัทธา และหลักปฏิบัติ
ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วความเชื่อไม่เหมือนกัน ทุกอย่างย่อมจะมีปัญหาตามมา
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคน 2 คนค่ะ แต่มันคือการรวมญาติทุกฝ่ายเข้ามา แนวทางคนละอย่าง......
แรกๆอาจจะบอกว่า เรารักกัน เขานิสัยดี เธอนิสัยดี เราเข้ากันได้เป็นอย่างดี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต่างคนต่างมีวิถีปฏิบัติที่แตกต่างกันไป
ปกติศาสนาเดียวกัน แต่งงานกันเองยังมีความแตกต่าง ยังมีปัญหาสารพัด จนอยู่กันไม่ยืด
จะเห็นว่า อิสลาม เป็นศาสนาที่ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของชีวิต
เราจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องศาสนา ... เพื่อไม่ต้องมาเจอปัญหาแบบนี้ในภายหลัง
ขนาดคนศาสนาเดียวกัน ยังมีปัญหาสารพัด จนอยู่กันไม่ยืด
นี่คนละศาสนา Life Style คนละแบบ รูปแบบการใช้ชีวิตต่างกัน...
คนละศาสนา แน่นอนความเชื่อ และความศรัทธาที่แตกต่างกันย่อมมีผลต่อการดำรงชีวิตคู่
หากต่างคนต่างความเชื่อแล้วอยู่กันยังได้ ตรงนี้ถ้าในทัศนะอิสลามแล้ว แสดงว่าหย่อนยานทางศาสนา
สุดท้ายหมดรักกันแล้ว มักจะแยกย้ายกันไป มีลูกก็จะเป็นปัญหาจะไปทางใด
ต่างยื้อยุดฉุดไปในทิศทางการเลี้ยงดูตามความเชื่อของฝ่ายตน
หากจะกล่าวว่า ก็ต่างคนต่างอยู่ในความเชื่อของตนไปสิ เราลองมาดูรายละเอียดปลีกย่อยที่ยามรักแล้วมองข้ามกัน
- คนหนึ่งไม่ทานหมู ไม่ทานเหล้า อีกคนทานทุกอย่าง อีกฝ่ายจะกล้าทำความสะอาดไหม
- คนหนึ่งทานเนื้อ อีกคนไม่ทานเนื้อ
- คนหนึ่งไปเชงเม้งกลางแดดที่ต่างจังหวัด อีกคนไม่ไปแดดร้อนจัด
- คนหนึ่งไหว้เจ้า อีกคนประกอบพิธีทางศาสนาบ่อยๆ
- คนหนึ่งเคร่งครัดในพิธีการ ละหมาด 5 เวลาอีกคนจะรำคาญไหม
- ครอบครัวต่างความเชื่อ.... ตรงนี้เห็นชัดเจน ทั้งพิธีการ ความศรัทธาและหลักปฏิบัติ อยู่ไปเรื่อยๆ ก็จะเผยกันมาเอง ทำไม แฟนลูกไม่มา ทำไม หลานเขย หลานสะใภ้ไม่มา... ทั้งที่อิสลามส่งเสริมเรื่องไปมาหาสู่ระหว่างญาติพี่น้อง มิให้ทอดทิ้งกัน
- ถ้าอีกฝ่ายอยากจะเลี้ยงสุนัข อีกฝ่ายจะอยู่อย่างไร เพราะมีข้อปฏิบัติเรื่องน้ำลายสุนัข
- ถ้ามาอยู่กันเอง ผู้ที่นับถืออิสลามก็มีความผิดทางศาสนา ในเรื่องของซินา(มีความสัมพันธ์โดยที่มิได้แต่งงานกันตามหลักศาสนา ) ซึ่งบุตรที่เกิดมาจากการซินาจะมีผลในการปฏิบัติตามหลักศาสนา เช่น สิทธิรับมรดกของพ่อ
เมื่อมาใช้ชีวิตด้วยกันก็อยากที่จะให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ดีตามไปด้วย
แรกๆอาจจะเพราะรักจึงยอมทุกอย่าง
แต่พอหมดรัก สิ่งที่เคยมองข้ามเพราะอารมณ์รักบังตาก็จะผุดงอกเงยขึ้นมาทันตา
สุดท้าย ความรักจืดจาง ปัญหาก็จะเริ่มสะสม จากที่ละน้อยที่เคยมองข้ามกันไป
ปัญหาครอบครัวส่วนมากมาจาก ปัญหาเล็กๆน้อยๆที่มองข้ามกันแต่เริ่มแรก
รักอย่างเดียวไม่รอดหรอกค่ะ ต้องใจ..(นักเลง) และเข้าใจถึงวิถีปฏิบัติของกันและกันด้วย
ปัญหามีมาหลายๆอย่าง แต่ถ้าเปลี่ยนความเชื่อมาศรัทธาเหมือนๆกันเห็นหลายๆคนยังเลิกรา ตรงนี้ต้องไปมองดูรายละเอียดส่วนบุคคลแล้วว่า ปฏิบัติตามหลักศาสนาจริงๆรึเปล่า ไม่ใช่พอแฟนออกจากบ้าน ก็ทำเช่นเดิมทันที คุณแฟนมาก็ซ่อนแอบไว้.... สุดท้ายจับได้ ก็ทะเลาะกันไปหาว่าไม่เชื่อใจกัน
นี่แค่ ยกตัวอย่าง....
บางคนบอกแฟนเป็นคนเคร่งศาสนา ไม่เห็นทานหมู บอกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ได้ เอ... ถ้าเคร่งครัดจริง นอกจากไม่ทานหมู ก็ต้องไม่ทานเหล้าและละหมาด 5 เวลากิริยาวาจาเรียบร้อย ไม่ล่วงละเมิดจับมือสาว หรือขั้นมีความสัมพันธ์ด้านอื่นๆที่เกินเลย ทั้งที่ยังไม่แต่งงานกัน ไม่เที่ยวตามสถานอโคจรและเป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่ นี่แหละค่ะ คนที่เป็นมุสลิมที่ดี และปฏิบัติจริง
ถ้านอกจากนี้ ไม่ทานหมูแต่ทานเหล้า ไม่เคยละหมาด พูดจากไม่สุภาพเที่ยวหลีผู้หญิงละทิ้งพ่อแม่ ก็เป็นได้แค่ศาสนาที่ระบุตามกล่าวอ้างกับทางราชการไว้เท่านั่นแหละค่ะ ^^"
เพราะว่าเราเข้ากันได้ (คำตอบที่ได้ยินกันทั่วไป) แสดงว่าต้องมีอะไรที่เหมือนกันคล้ายๆกันจึงเข้ากันได้ นี่แหละค่ะ การนับถือศรัทธาเหมือนๆกัน ก็ย่อมที่จะเข้ากันและไปได้ดีกว่า
บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเปลี่ยนมานับถือแล้วต้องมีปัญหากับที่บ้านแน่ๆ ตรงนี้ ผู้ที่จะเข้ารับก็ต้องคุยกับทางบ้านเสียก่อน อย่าลืมว่า อิสลามไม่ได้บังคับขู่เข็นให้มารับนอกจากจะศรัทธา
หากไม่ศรัทธาจริงๆ ไม่สามารถปฏิบัติได้แนะนำว่าหาคนที่มีความเหมือนกันดีกว่าค่ะ ไม่ได้กวนนะคะ ^^
เรื่องนี้มีบ่อยที่ห้องศาสนา.....
พุทธบ้าง คริสต์บ้าง อิสลามบ้าง เวียนวนมาถามกันตลอด
เพราะ ความเชื่อต่างกัน หลักปฏิบัติต่างกัน.......
ในความเป็นจริง ถ้าไม่เหมือนกันก็อยู่กันยากค่ะ
ชีวิตคู่นะคะไม่ได้มาค้างเพียง 1 คืนแล้วจากลาไป...... ^^
นอกจากต่างคนต่างไม่มีศาสนาก็จะอยู่กันได้ค่ะ ^^"
ถ้ามาเพราะความรัก แนะนำให้ศึกษาวิถีปฏิบัติของอิสลามเสียก่อนค่ะ เพราะอย่างน้อยถ้าเราหันมานับถือเราก็ต้องปฏิบัติในสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ ให้คุยกับคนของคุณ ว่ามีปัญหานะไม่เข้าใจ เพราะอิสลามความศรัทธาและการปฏิบัติสำคัญมาก มีปัญหาสงสัยสอบถามกันได้ค่ะ....
ดังนั้นแนะนำให้ศึกษาศาสนาเสียก่อนค่ะ ศึกษาจากผู้รู้และปฏิบัติจริงนะคะ มิใช่สอบถามจากผู้มีศาสนาแค่บัตรประชาชน หรือไม่มีศาสนาเลย เพราะคุณจะไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องในเรื่องของศาสนานั่นเอง
แต่ถ้ามั่นใจไปกันได้ ถึงญาติจะแตกต่างซึ่งแนวทาง แต่ถ้ารู้หลักศาสนาแล้ว จะมีแนวทางที่ไปกันได้อย่างราบรื่นค่ะ เพราะอิสลามมีแนวทางในทุกเรื่องค่ะยิ่งเป็นชาวคัมภีร์( คริสต์ ยูดาย) แนวทางจะใกล้เคียงกันค่ะ
เรียนรู้เพื่อเข้าใจยอมรับ มิใช่ จำเป็นต้องยอมรับเพราะรักเขาอย่างเดียวจนอะไรก็ทำได้ ตรงนี้หมดรักแล้วมีปัญหาแน่ๆ
ลองศึกษาดูว่าทำไมเขาถึงไม่เปลี่ยนมาเป็นแบบคุณแสดงว่าในนั้นมันมีอะไร อะไรตรงไหนที่บอกว่า อิสลามกับคริสต์และยูดาย แต่งกันได้ทำไมเขาถึงมารักกับคุณ ทั้งที่คนละศาสนากัน
อิสลามให้ความสำคัญกับศาสนา
1.พระเจ้า และรอซูล(ศาสนทูตผู้เผยแพร่ศาสนา)
2.มารดา บิดา
3.สามี-ภรรยา
4.บุตร
5.มิตร บุคคลทั่วไป
ถ้าเปลี่ยนมาแล้ว กับพ่อแม่ที่ต่างศาสนา อิสลามก็ยังส่งเสริมให้ปฏิบัติดีทุกอย่างกับแม่ พ่อ เคารพเชื่อฟังท่าน ทำความดีกับท่าน อย่างเต็มความสามารถ(ที่ไม่ขัดกับลักการอิสลาม)โดยลำดับความสำคัญนั้นรองลงมาจาก พระเจ้าและรอซูล(ศาสนทูตผู้เผยแพร่ศาสนา) แม่มาก่อนพ่อเพราะแม่เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูบุตรทุกอย่าง และในเรื่องของครอบครัว ระหว่างสามีภรรยานั้น ภรรยาก็ต้องเคารพสามี แต่ถ้ามารดาสั่งอะไรที่เกินเลยศาสนา และละเมิดสิทธิระหว่างสามีภรรยาอันนี้ต้องมาพูดคุยกันแล้ว....
เพิ่มเติม ถ้าจะเข้ารับแล้วมีคนในที่นับถืออิสลาม(ไม่ใช่ผู้รู้ เพราะบางคนที่นับถือใช่ว่าจะรู้ทั้งหมด อาจปฏิบัติผิดพลาดกันได้ ) บอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แนะให้ศึกษาจากผู้รู้ดีกว่าค่ะ จะได้ไม่มีข้อผิดพลาดและเกิดความเข้าใจผิดเข้าใจคลาดเคลื่อนกันเอง
หรือเพราะต่างคนต่างรัก เลยลืมทุกอย่าง......
อิสลามไม่ใช่เพียงการนับถือแต่คือการปฏิบัติทุกอย่างในชีวิต
พินิจพิเคราะห์พิจารณาดีๆค่ะ เอาใจช่วยทุกท่านค่ะ
ข้อมูลได้มาจาก..
http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=46.0 (พิธีแต่งงานในอิสลามนั้นมีพิธีการอย่างไร)
http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=5.0 (จะแต่งงานกับอิสลาม ทำไมต้องเปลี่ยนศาสนา)