มาทำ สมาธิตามวิธีของคริสต์ศาสนา กันเถอะ !?

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
syaoran
โพสต์: 267
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 06, 2009 8:42 pm
ที่อยู่: นครสวรรค์
ติดต่อ:

จันทร์ ธ.ค. 21, 2009 8:06 pm

บทนำ
..............ในบทนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันถึง สมาธิตามวิธีของคริสต์ศาสนาซึ่งน้อยคนจะรู้จักและจะกล่าวไว้แต่โดยย่นย่อเนื้อหาในบางช่วงบางตอนอาจจะคาบเกี่ยวกับเรื่องราวของเวทมนตร์ที่อ้างอิงอิทธิพลของคริสตศาสนา(ซึ่งค่อนข้างเป็นประเด็นขัดแย้ง ที่จะต้องศึกษาไปในเบื้องลึกให้มากกว่านี้ในรายละเอียด) ส่วนในตอนนี้ ให้ทำความเข้าใจเบื้องต้นไปเสียก่อน
การทำความเข้าใจเบื้องต้น

...............จากนิยามของการฝึกจิต(สมาธิ)ที่เราทราบนั้น จะพบว่าเมื่อนำมาใช้กับคริสตศาสนา หรือ เมื่อนำมาพิจารณาแก่นแท้ของคริสต์ศาสนาจะทำให้เราได้ว่า คริสตศาสนานั้น มีวิธีในการปฏิบัติสมาธิดังนี้ คือ

1.การเข้าเงียบ
2.การสวดภาวนาและรำพึง
3.การเพ่งฌาน
4.การเข้าสมาธิในขณะทำพิธี เช่น การร้องเพลง

เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา จึงยกการสวดภาวนาและรำพึง ขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพเด่นชัดเสียก่อน
“แผ่นดินและมรดกที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้มีใจอ่อนโยนและราบคาบนั้นได้แก่ร่างกายของพวกเขา ซึ่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและมีความรุ่งโรจน์นิรันดร ในวันกลับคืนชีพ กายกับจิตจะไม่ขัดแย้งกันอีกแต่จะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ กายจะยอมให้จิตเป็นผู้นำแต่โดยดี”
คำกล่าวของ นักบุญ ลีโอ ผู้ยิ่งใหญ่

“พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนา...เถิด” (พระวรสารนักบุญลูกา1:11)
อ้างอิงจากพระดำรัสสอนเรื่องการอธิษฐาน “เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกของพระองค์คนหนึ่ง ทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ขอสอนพวกข้าพระองค์ให้อธิษฐาน เหมือนยอห์น (นักบุญยอห์น บัปติสตา) ได้สอนพวกศิษย์ของตน”

.................จากคำกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า สหพันธ์นักบุญและอัครสาวกมิได้นิ่งเฉยต่อการแสวงหาจิตวิญญาณภายในเลย หากแต่มิจิตศรัทธาอันมุ่งมั่นที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณภายในที่แท้ เพื่อให้เกิดปรีชาญาณและรอดพ้นจากการผจญของมาร ทั้งอยู่ภายใต้สายพระเนตรและอุ้งหัตถ์ของพระเป็นเจ้า

บทความ1การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระวาจาแห่งพระเจ้า
อ้างอิงจาก บทความในคณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์


หนึ่งเดียวกับพระเจ้า
.................ศิษย์ของพระเยซูเจ้าเป็นชาวอิสราเอลที่เปี่ยมด้วยจิตตารมณ์แห่งการภาวนา พวกเขาเข้าไปภาวนาในศาลาธรรมเป็นประจำวันละหลายครั้ง เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าทรงภาวนา พวกเขารู้สึกประทับใจในชีวิตภาวนาของพระองค์อย่างมาก จนถึงกับออกปากขอให้พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รู้จักภาวนาบ้าง “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเถิด” พระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนว่า “จงภาวนาว่าดังนี้ ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย”
.................การที่มนุษย์สามารถเรียกพระเจ้าว่า “พ่อ”ได้ ถือว่าเป็นพระพรยิ่งใหญ่ที่พระเยซูเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ นี่คือเคล็ดลับของการภาวนาของพระองค์ เพราะการภาวนาคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถ้าจะพูดให้ถูก การภาวนาเป็นความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงกระทำกับมนุษย์มากกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจากพระองค์ผู้ทรงมีแผนการที่จะทำความสนิทสัมพันธ์กับมนุษย์ ซึ่งพระสมณสาสน์ในการสังคายานาวาติกันที่สองยืนยันว่า “พระเจ้าซึ่งมนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ (เทียบ โคโลสี1.15,1ทิโมธี 1.17) ก็ตรัสกับมนุษย์อย่างมิตร ด้วยความรักอันล้นเหลือของพระองค์ (เทียบ อพยพ 33 : 11, ยอห์น 15:14 - 15 : 15) และประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา เพื่อจะได้ทรงเชิญและรับเขาเข้ามาสนิทสัมพันธ์อยู่กับพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “พระบิดาเจ้าทรงรักพวกท่าน” (ยอห์น 16 : 27)
บทแทรกอ้างอิง


โคโลสี 1 : 15
พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
Colossians 1: 15
He is the image of the invisible God, the firstborn over all creation.

1 ทิโมธี 1: 17
พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญนิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 Timothy 1: 17
Now to the King eternal, immortal, invisible, the only God, be honor and glory for ever and ever. Amen.
อพยพ 33 : 11
ดังนี้แหละพระเจ้าเคยตรัสสนทนากับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่โยชูวาผู้รับใช้หนุ่ม ผู้เป็นบุตรของนูน มิได้ออกไปจากเต็นท์
Exodus 33: 11
The LORD would speak to Moses face to face, as a man speaks with his friend. Then Moses would return to the camp, but his young aide Joshua son of Nun did not leave the tent.
ยอห์น 15 : 14
ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา
John 15: 14
You are my friends if you do what I command.

ยอห์น 15 : 15
เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
John 15: 15
I no longer call you servants, because a servant does not know his master's business. Instead, I have called you friends, for everything that I learned from my Father I have made known to you.

ยอห์น 16 : 27
เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระบิดา
John 16: 27
No, the Father himself loves you because you have loved me and have believed that I came from God.

การสวดภาวนา
อ้างอิงจาก หนังสือความเชื่ออันเป็นชีวิต ของ พงศ์ ประมวล


................เช้าวันหนึ่ง ขณะที่บรรดาอัครสาวกตื่นขึ้นมา และไม่พบพระเยซู ก็เดินตามหาพระองค์ และพบพระองค์บนภูเขา จึงถามว่าพระองค์เสด็จมาทำอะไร พระเยซูจึงตรัสตอบว่ามาสวดภาวนา บรรดาอัครสาวกจึงขอพระเยซูเจ้าสอนพวกเขาให้รู้จักสวดภาวนาบ้าง…. พระเยซูจึงสอนให้เขาสวด ซึ่งต่อมาบทสวดนี้ได้กลายเป็นบทภาวนาที่สำคัญ ที่ คริสตชนทั่วโลกยังคงสวดอยู่เสมอในทุกวันนี้นั่นคือ "บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย"
บทแทรก1บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย

...............ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามของพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย ในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ของประทานประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดยกโทษในข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้ายกให้ผู้อื่น อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าถูกผจญแต่โปรดช่วยให้พ้นภัย เอเมน
................มิใช่เพียงเช้านั้นเช้าเดียว แต่ในพระคัมภีร์มีเขียนเล่าว่า พระเยซูเจ้ามักใช้เวลาเงียบๆคนเดียวสวดภาวนาเสมอ แม้พระองค์จะมีภารกิจมากเพียงใดในการเทศน์สอน และรักษาคนเจ็บป่วย แต่ก็ยังคงใช้เวลาในช่วงวันในการสวดภาวนาบ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้

การภาวนา คือการยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้า เพื่อสนทนากับพระองค์ มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1.การภาวนาจากใจ หมายถึงการสวดภาวนาส่วนตัว โดยการพูดกับพระเป็นเจ้าในใจ คิดถึงพระองค์ บางครั้งออกมาในรูปแบบการอ่านพระคัมภีร์ และรำพึงไตร่ตรองพระวาจาของพระที่ตรัสกับเราในพระคัมภีร์ การภาวนาจากใจเช่นนี้ต้องมีการฝึกหัด และพัฒนาจิตใจให้จดจ่ออยู่กับพระเป็นเจ้าเสมอ ผู้ที่พัฒนาจิตใจ และหมั่นสวดภาวนาอยู่เสมอในชีวิตประจำวัด จะภาวนาได้ง่ายขึ้น แม้ในเวลาทำงาน, บนรถเมล์ หรือที่ไหนก็สามารถยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าได้เสมอ
2.การภาวนาตามบทสวดที่พระ ศาสนจักรแต่งขึ้น หมายถึงการภาวนาที่บางครั้งเราไม่ทราบว่าจะพูดอะไร หรือสวดอย่างไรกับพระเป็นเจ้า ก็มีบทภาวนาที่พระ ศาสนจักรได้แต่งไว้ ให้เราได้สวดตามบทสวดนั้น ขณะสวดก็คิดตามความหมายของเนื้อหาของบทสวดที่แต่งไว้เช่น “บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” เป็นบทที่พระเยซูเจ้าสอนเราในพระคัมภีร์, "บทวันทามารีอา" เป็นบทที่เราใช้สรรเสริญพระเป็นเจ้าผ่านทางพระนางมารีอา, "บทเยซูมารีอายอแซฟ "ฯลฯ คริสตชนจะสวดบทภาวนาต่างๆเหล่านี้ได้ขึ้นใจ ตั้งแต่เป็นเด็ก และมีโอกาสสวดภาวนาร่วมกับ คริสตชนอื่นๆ เมื่อประกอบศาสนกิจร่วมกัน ก็จะเปล่งเสียงสวดภาวนาเหล่านี้ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง การภาวนาเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างพระ และมนุษย์ หากจะถามว่า คริสตชนเลิกเป็น คริสตชนเมื่อใด? คำตอบคือ เมื่อใดที่ คริสตชนเลิกสวดก็เริ่มที่จะเลิกเป็น คริสตชน เพราะคำภาวนาคือความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าตลอดเวลา แม้ก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหาร ก็สวดโมทนาคุณพระเช่นเดียวกัน ชีวิต คริสตชนจึงมองพระเป็นเจ้าในแง่ความสัมพันธ์ อาจกล่าวได้ว่าศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ที่พูดถึงศาสนกิจมาทั้งหมดนั้น มองว่า ความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าที่ คริสตชนมีกับพระองค์วันละเล็กวันละน้อยไม่เคยลืมเลือนกัน คริสตชนมิอาจเอาศาสนามารับใช้ชีวิตเราได้ หมายความว่าพอมีปัญหาทีหนึ่ง ก็วิ่งเข้ามาสวดขอทีหนึ่ง พอได้แล้วก็เลิกกัน การมาสวดขอความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าสำหรับคริสตชนเป็นไปในแง่ที่ว่า เรากับพระเป็นเจ้ามีความสัมพันธ์อยู่เสมอ รักกันคิดถึงกันตลอดเวลา และเมื่อวันที่เรามีปัญหามีอุปสรรคในชีวิต เรานึกถึงคนที่เราใกล้ชิดที่สุดคนแรก นั่นก็คือพระเป็นเจ้าผู้ที่เรารัก และมีความสัมพันธ์กับพระองค์เสมอทุกวันเวลาอยู่แล้ว


การทำLectio Divina
Lectio Divina เป็นภาษาละติน ซึ่งถอดความออกแล้วได้ความหมายว่า Spiritual Reading เนื้อหาเป็นบทภาวนาที่เก่าแก่และมีความหมายลึกซึ้ง โดยหนังสือเล่มนี้ ใช้แพร่หลายในหมู่ฤๅษี เบเนดิกติน (ซึ่ง Lectio Divina นี้มีพัฒนาการมาจาก “The Monk’s Ladder”โดยคณะฤๅษีเสื้อขาวเก่าแก่ คาร์ธูสเซี่ยน (Carthusians)
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกที่ 16 ได้ทรงตรัสไว้ในปี 2005 ว่า หนังสือนี้เป็นบันได(ที่สร้างขึ้นโดยเหล่าพระ)ที่ประสบความสำเร็จ พาดจากพื้นโลกสู่สรวงสวรรค์
ซึ่ง Lectio Divina เป็นวิธีดำเนินการทางพระคัมภีร์ที่ได้ชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นรูปแบบของการภาวนาประจำวัน โดยเลือกจากพระคัมภีร์ โดยมีข้อพิจารณาอื่นๆดังต่อไปนี้
1.เวลา อาจจะเป็นการภาวนา 1 ชั่วโมงเต็มในเวลาเช้า หรือจะแบ่งเป็น อย่างละครึ่งชั่วโมง ในเวลาเช้าและเย็นและควรใช้เวลาเดียวกันทุกครั้ง เพื่อให้เกิดนิสัยที่ดีในการภาวนา
2.สถานที่ สถานที่ที่ใช้สำหรับ Lectio Divina ควรเป็นสถานที่ที่สงบ
3.การเตรียมการ ควรสวดบทอัญเชิญพระจิต และ อัญเชิญพระจิตเจ้ามาเป็นแสงสว่างนำทาง


ขั้นตอน
1.Lectio การอ่านถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ในพระคัมภีร์หลายๆรอบ
2.Meditatio (Meditation) การครุ่นคิดคำนึงถึงเนื้อหาแห่งถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ที่เราเลือกอ่านมานั้น แล้วตีความพระคัมภีร์ (exegesis) ว่าในเนื้อหานั้นๆให้อะไรที่เป็นแก่นสารที่แท้
3.Oratio (Oration) เมื่อเข้าใจในเนื้อหาโดยแท้จริงแล้ว จึงภาวนาและพูดกับพระจิตศักดิ์สิทธิ์
4.Contemplatio (Contemplation) การฟังสัมผัสแห่งจิตวิญญาณของพระจิตศักดิ์สิทธิ์
5. Communicatio (Communication) การเป็นหนึ่งเดียวกับพระจิตศักดิ์สิทธิ์ (ช่วงระยะหนึ่ง)
สรุป กลไกของขั้นตอนต่างๆ ใน Lectio Divina (อีกครั้ง)
Lectio Divina ครอบคลุมชีวิตจิตทั้งหมด มีความกลมกลืนประสานกันในตัวเอง เป็นวิธีการ ภาวนาที่สมบูรณ์ที่สุด
Lectio การอ่านพระวาจา คำภาวนาที่หลั่งไหลมาจากพระวาจา
Meditatio การรำพึง คำภาวนาคำนึงถึง ชีวิต ที่ได้รับความสว่างจากพระวาจา
Oratio การภาวนา ความหมายใหม่ของพระวาจา ซึ่งประกอบด้วย ขอโทษ, ขอบคุณและสรรเสริญ, ขอพรพระจิตเจ้า
Contemplatio คำภาวนาจากใจ หรือพิศ เพ่งภาวนา วางตัวเราในพระประสงค์ของพระเจ้า
Communicatio คำภาวนาของพระศาสนจักร พิธีกรรม ภาวนาในหมู่คณะ ในครอบครัว


จุดมุ่งหมายของการภาวนา

.....................นักบุญเบอร์นาร์ด ซึ่งเป็นผู้ให้การฝึกสอนแก่ผู้บำเพ็ญภาวนา ได้เขียนจดหมายให้คำแนะนำแก่ พระสังฆราช ว่า สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสั่งสอน และ ให้กำลังใจแก่ผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ นั้นได้แก่ การประพฤติตนเป็นคนดี เพื่อ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น และ การอุทิศเวลาให้กับการภาวนา ข้าพเจ้าจะขอพูดอธิบายแก่บรรดาท่านทั้งหลายผู้เป็นคริสตชน ในเรื่องที่สาม นั่นคือการภาวนา“ท่านนักบุญอันตนบอกว่า - การภาวนาจักไม่สมบูรณ์ หากผู้ภาวนารู้ตัวว่ากำลังภาวนา ผู้ที่ภาวนาโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังภาวนาและไม่สนใจอยู่แค่การวอนขอ นั่นเป็นเครื่องหมายแจ่มชัดว่า วิญญาณผู้นั้นถูกครอบครองโดยพระเป็นเจ้า การภาวนาเช่นนี้นับว่าประเสริฐ”คำกล่าวของนักบุญ ฟรังซิส เดอ ซาล

ขั้นตอนหรือกระบวนการของการภาวนา

1.การคิดโดยยังไม่เจาะจงลงไปในจุดใด
“เปรียบได้ดังแมลงซึ่งพักผ่อนอยู่บนดอกไม้และไม่ได้แสวงหาน้ำหวานจากดอกไม้ที่มันพำนัก มันอยู่บนนั้นเพราะบังเอิญบินผ่านมาพบเท่านั้น ความคิดคำนึงปกติของแต่ละบุคคลก็เป็นเช่นนี้แม้ว่าจะเป็นความคิดที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าก็ตาม ถ้าหากมิได้มีเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์อันใดจากความคิดคำนึงนั้น, มันก็เป็นสิ่งที่ไร้ค่า มิหนำซ้ำกลับเป็นเครื่องทำลายและเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการภาวนา.”
2.การคิดเพื่อทำให้เกิดความรู้
“ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราพิจารณาสิ่งต่างๆเพื่อต้องการรู้จักมัน เข้าใจมันและพูดถึงมันได้อย่างถูกต้อง โดยไม่มีวัตถุประสงค์จะบันทึกมันไว้ในความทรงจำของเรา กรณีนี้ เราเป็นเหมือน แมลงเต่าทองที่พักอยู่บนกลีบดอกกุหลาบ เพียงเพื่อกินอาหารและพักคลายอิ่มเท่านั้น”
3.การรำพึง
“เราควรทำความเข้าใจวาทะของกษัตริย์เฮเซเคีย ซึ่งตรัสในขณะที่ถูกตัดสินประหารชีวิต วาทะนั้นบ่งบอกถึงความสำนึกผิดของพระองค์ด้วย: - ในความโทมนัสของข้าพเจ้า "ข้าพเจ้าร้องไห้" พระองค์ตรัส "เหมือนนกนางแอ่น" และ "ข้าพเจ้าคร่ำครวญเหมือนนกเขานกพิราบ" (อิสยาห์ 38: 14)
4.การพิจารณาไตร่ตรอง
.................“มิใช่อะไรอื่นหากแต่เป็นความ ปิติยินดีในพระคุณความดีของพระเป็นเจ้า ซึ่งเราได้รู้จากการพินิจรำพึงและได้สัมผัสความรักนั้น ความ ปิติยินดีนี้จะกลายเป็นความสุขของเราในสวรรค์”
..................“เราควรทราบว่า ณ.เบื้องแรกที่สรรพสิ่งทั้งหลายถูกเนรมิตสร้างขึ้นมานั้นก็เพื่อสวดภาวนา เมื่อพระเป็นเจ้าทรงเนรมิตสร้างเหล่าเทวดาและมนุษย์นั้น ,ทรงมีพระประสงค์ให้สิ่งสร้างสรรเสริญพระองค์ชั่วนิรันดรในสวรรค์ แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะกระทำ - หากว่าเราสามารถใช้คำว่าสุดท้ายสำหรับนิรันดรภาพได้ เพื่อที่จะเข้าใจในเรื่องนี้, ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง - เมื่อเราคิดจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามักจะมองจุดหมายตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย มากกว่าดูที่งานที่จะทำ เช่น, เราต้องการสร้างโบสถ์สักหลังหนึ่ง และถูกถามว่า สร้างทำไม? เราจะตอบว่า "เพื่อเป็นสถานที่ที่เราจะได้สวดภาวนา, ร้องเพลงสรรเสริญพระเป็นเจ้า, ไม่ใช่หรือ? สิ่งนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เรากระทำ อีกตัวอย่างหนึ่ง - ถ้าเราเข้าไปในพระราชวังของเจ้าชายองค์หนึ่ง เราจะเห็นว่ามีนกน้อยหลากสีบินว่อนอยู่ในกรงที่สูงใหญ่ และถ้าท่านต้องการทราบว่าเหตุใดมันจึงมาอยู่ที่นั่น - นั่นคือเพื่อให้ความเพลิดเพลินแก่นายของมัน ถ้าหันไปมองอีกด้านหนึ่ง เราจะเห็นนกเหยี่ยว, นกฟอลคอนและนกจับเหยื่อต่างๆเกาะอยู่ที่แขนงไม้ พวกนี้มีไว้เพื่อจับสัตว์และนำมาเป็นอาหารแก่เจ้าชาย แต่พระเป็นเจ้ามิได้ทรงดุร้ายกระหายเหยื่อ พระองค์จึงทรงมีแต่บรรดานกน้อยหลากสีที่บินอยู่ในกรงใหญ่ ที่ให้ความเพลิดเพลินใจแด่พระองค์ นกน้อยเหล่านี้ หมายถึง นักบวชชายและนักบวชหญิง ผู้ที่อุทิศตนอยู่ในอารามเพื่อสนทนาและสรรเสริญพระเป็นเจ้า ดังนั้นท่านเหล่านี้จึงมีหน้าที่หลักคือการสวดภาวนาและนบนอบต่อคำสั่งของพระอาจารย์เจ้าที่มีเขียนไว้ในพระวรสารว่า จงสวดภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน”

จิตแห่งการภาวนา

.................เรายังได้พบบางตอนในพระคัมภีร์ว่า พระจิตเจ้าก็ทรงวอนขอและภาวนา(โรม 8:16) ซึ่งเราไม่ควรเข้าใจว่าพระองค์กำลังภาวนาจริงๆ ในพระสภาวะที่เท่าเทียมกันกับพระบิดาและพระบุตรนั้น พระองค์มิอาจภาวนาได้ แต่ความหมายของพระคัมภีร์นั้นหมายถึง พระองค์ทรงดลใจมนุษย์ให้ภาวนา
.................ทูตสวรรค์สวดภาวนา มีหลายตอนในพระคัมภีร์กล่าวเช่นนั้น แต่สำหรับมนุษย์ที่อยู่ในสวรรค์เรายังไม่มีการตรวจสอบ เพราะก่อนที่พระอาจารย์เจ้าจะทรงสิ้นพระชนม์, กลับฟื้นคืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์ ยังไม่มีมนุษย์อยู่ในสวรรค์เลย พวกเขาที่ตายไปแล้วล้วนอยู่ในพระอุระของอับราฮัม อย่างไรก็ตาม, มีหลักฐานแสดงว่าบรรดานักบุญและมนุษย์ที่อยู่ในสวรรค์สวดภาวนา เพราะพวกเขาและเหล่าทูตสวรรค์เป็นผู้วอนขอเพื่อเรา
.................บัดนี้ให้เราพิจารณาว่า ทุกคนสามารถภาวนาได้หรือไม่ ? ข้าพเจ้าตอบว่าได้ และไม่มีใครที่โต้แย้งในเรื่องนี้ แม้แต่พวกเฮเรติก(Heretic-คนนอกศาสนา) นอกจากนี้ยังเคยมีคนหนึ่งที่เคยอยู่นอกศาสนา (กิจการการของอัครทูต) ซึ่งได้สวดภาวนาอย่างดีจนถูกยกขึ้นสู่สวรรค์เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเป็นเจ้าและพระองค์ได้ประทานพระหรรษทานให้ท่านเทศน์สอนความเชื่อ หลังจากนั้นท่านได้เป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่


เงื่อนไขที่จำเป็นอะไรบ้างที่ทำให้เราสวดภาวนาได้ดี
1.จงเป็นผู้ต่ำต้อยโดยอาศัยความสุภาพถ่อมตน
2.จงมีความหวังไว้ใจ
3.จงยึดกางเขนชัยของพระเยซูคริสตเจ้าไว้ให้มั่น

ให้เราพูดถึงข้อแรก , ซึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งที่อยู่ในพระวาจาของพระอาจารย์เจ้าซึ่งทรงตรัสว่า "บุญของผู้ที่มีใจยากจน เหตุว่าพระราชัยสวรรค์เป็นของเขา" (มัทธิว 5)เคยมีผู้ที่แปลอีกแบบว่า "ผู้ที่ยากจนในจิตใจก็เป็นสุข" ทั้งสองประโยคที่แปลต่างกันนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะผู้ที่ยากจน ก็มีใจยากจน,ถ้าหากเขาไม่หยิ่งจองหอง และผู้มีใจยากจนก็เป็นผู้ที่ยากจน,ถ้าเขาไม่โลภ เพื่อที่จะภาวนาอย่างดี เราต้องสำนึกว่าเราเป็นผู้ยากจนและต้องถ่อมตน เพราะท่านย่อมจะเห็นนักแม่นธนูเหนี่ยวเอ็นธนูเพื่อให้ก้านธนูโน้มลงให้มากที่สุด เมื่อเขาต้องการยิงธนูไปให้ไกลที่สุด มิใช่หรือ ? ฉันใดก็ฉันนั้น, เราต้องทำเช่นเดียวกันเมื่อเราต้องการให้คำภาวนาของเราขึ้นสู่สวรรค์, เราก็ต้องถ่อมตนลงโดยระลึกถึงความเปล่าของตนเอง กษัตริย์ดาวิดสอนเราให้ทำเช่นนี้ในวาจาของท่านว่า "เมื่อท่านต้องการสวดภาวนา, จงให้จิตใจของท่านจมลงสู่มหาสมุทรแห่งความเปล่าของตัวท่าน แล้วท่านจะไม่มีความยากลำบากในการทำให้คำภาวนาของท่านโบยบินดุจลูกศรขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์"
(สดุดี 130:1,2)


---จากที่ไหนสักที่แหละครับ ลืมที่มาไปซะแล้ว แบบว่าเก็บไว้ในเมล์นานโขนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
เลย์
โพสต์: 1845
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 05, 2009 12:27 am
ที่อยู่: ในอ้อมพระหัตถ์พระเป็นเจ้า
ติดต่อ:

จันทร์ ธ.ค. 21, 2009 8:19 pm

ขอบคุณมากมายคร้าบบบ  : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ธ.ค. 22, 2009 2:58 pm

ถ้า ถืออด ด้วย และงดเว้น เนื้อ สัตว์ด้วยก็น่าจะดี กินข้าวแค่มื้อเดียว และตั้ง สมาธิ สวดภาวนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร ธ.ค. 22, 2009 3:03 pm

jacky เขียน: ถ้า ถืออด ด้วย และงดเว้น เนื้อ สัตว์ด้วยก็น่าจะดี กินข้าวแค่มื้อเดียว และตั้ง สมาธิ สวดภาวนา
จารีตกรีกเค้าจะละการพรตวันพฤหัสนี้แล้ว

แต่เรา ก็ถือต่อไป(จนถึง7ม.ค.)
ตอบกลับโพส