ประวัติศาสตร์อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน (อย่างย่อ)
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 19, 2010 8:15 pm
อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
เป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆในยุโรปกลางในสมัยยุคกลางภายใต้การปกครองของจักรพรรดิจักรพรรดิ องค์แรกแห่งอาณาจักรคือชาร์เลอมาญสถาปนาพระองค์เป็นจักพรรค์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 800 และสืบเนื่องมาถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือจักพรรดิฟรานซิสที่ 2อาณาจักรได้สลายลงระหว่างสงคราม นโปเลียนจักรวรรดินี้ได้เป็นที่รู้จักในนามเต็มว่า จักรวรรดิโรมัน อันศักดิ์สิทธ ิ์แห่งชาติเยอรมันจักรวรรดิ ได้รวบรวมรัฐ ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เช่นเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก สาธารณ รัฐเชก สโลวิเนีย เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ และพื้นที่บางส่วนของออสเตรีย โปแลนด์ ฝรั่งเศสและอิตาลี จักรวรรดิ ได้รวมอาณาจักรเล็กๆ ไว้มากมายมากกว่าหนึ่งร้อยอาณาจักร(เนื่องจากอาณาจักรเหล่านั้นซึ่งอยู่(ในเยอรมนียัง ไม่ได้รวมตัวกัน)แต่ไม่ได้รวมกรุงโรมเอาไว้ตามชื่ออาณาจักร
จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire)
เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมือง ระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์[1]มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่ วันที่จูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ (44 ปีก่อนคริสตกาล) ชัยชนะของออคเตเวียนในยุทธการแอคทิอุม (2 กันยายน, 31 ปีก่อนคริสตกาล) วันที่สภาซีเนต ประกาศยกย่องออคเตเวียนให้เป็นออกุสตุส (16 มกราคม, 27 ปีก่อนคริสตกาล) จักรวรรดิโรมัน เคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษ และเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียง ของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้ จักรวรรดิ โรมัน ได้รวบรวม ตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้น ในภาค ตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตก ซึ่งเป็น บริเวณชายฝั่ง ทะเลซี่งในปัจจุบัน คือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของ ยิบรอลตาร์ ประชาชน ทั่วไปที่อาศัยอยู่ใน จักรวรรดิโรมัน เรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมัน ได้เริ่มมานาน ตั้งแต่ก่อนที่ จะ เปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจันด้วย ชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือ ประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ.106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครอง แผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum "ทะเลของเรา" อิทธิพลของโรมัน ได้ส่งผลต่อ การ พัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและ ระบบการ เมืองมาจนถึงทุกวันนี้
Frauenkirche (Frauenkirche ออกเสียงว่า เฟรา เอน เคีย เชอะ) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก สร้างตามแบบโกธิกในปี ค.ศ. 1468 ด้วยอิฐสีแดง แทนที่จะสร้างด้วยหินเหมือนโบสถ์โกธิกทั่วไป ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 20 ปี จึงแล้วเสร็จ

ด้านหน้ามีหอคอยคู่สูงถึง 99 เมตร จริง ๆ หอคอยทั้งสองควรจะมียอดแหลมตามแบบฉบับของโกธิก แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง ต่อมาภายหลังจึงได้ต่อเติมเป็นโดมหัวหอมขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบันแทน ทำให้โบสถ์นี้มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของมิวนิก
ภายในโบสถ์มีความเรียบง่าย ดูสูงโปร่ง จากการทาด้วยสีขาวและได้รับแสงจากหน้าต่างทรงสูงจำนวนมากที่ทำจากกระเบื้อง โมเสก เมื่อย่างเท้าเข้าไปในโบสถ์ จะดูเหมือนว่าโบสถ์นี้ไม่มีหน้าต่าง หน้าต่างด้านข้างทั้งหลายถูกบดบังด้วยเสาขนาดมหึมาจำนวนมาก
ตำนานเล่าว่าเมื่อปีศาจย่างเท้าเข้ามาในโบสถ์แห่งนี้แล้วไม่เห็นหน้าต่างซัก บาน จึงกระทืบเท้าด้วยความดีใจจนเป็นรอยเท้าปรากฏอยู่ อีกตำนานกล่าวว่า ปีศาจได้ให้ผู้ที่ก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ยืมเงินเพื่อใช้ในการก่อสร้างโดยมี เงื่อนไขว่า โบสถ์นี้ต้องไม่มีหน้าต่าง เมื่อสร้างเสร็จเขาพาปีศาจให้ยืนอยู่ ณ ตำแหน่งที่ไม่เห็นหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ปีศาจโกรธมากที่โดนหลอกจึงกระทืบเท้าออกไปด้วยความโกรธ รอยเท้าจึงปรากฏเป็นรอยทิ้งไว้อยู่ภายในโบสถ์ตรงหน้าทางเข้า ใครไปเที่ยวอย่าลืมมองหารอยเท้า (Devil's footprint) นี้นะครับ
ไม่ใช่ใน Frauenkirche นะครับหากไปเที่ยวยุโรปและเจอโบสถ์ที่ไหนสวยงาม แนะนำให้เดินเข้าไปชมความหรูเลิศอลังการงานสร้างเลย






ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/mrtaweesak ... ยที่ครับผม
เป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆในยุโรปกลางในสมัยยุคกลางภายใต้การปกครองของจักรพรรดิจักรพรรดิ องค์แรกแห่งอาณาจักรคือชาร์เลอมาญสถาปนาพระองค์เป็นจักพรรค์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 800 และสืบเนื่องมาถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือจักพรรดิฟรานซิสที่ 2อาณาจักรได้สลายลงระหว่างสงคราม นโปเลียนจักรวรรดินี้ได้เป็นที่รู้จักในนามเต็มว่า จักรวรรดิโรมัน อันศักดิ์สิทธ ิ์แห่งชาติเยอรมันจักรวรรดิ ได้รวบรวมรัฐ ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เช่นเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก สาธารณ รัฐเชก สโลวิเนีย เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ และพื้นที่บางส่วนของออสเตรีย โปแลนด์ ฝรั่งเศสและอิตาลี จักรวรรดิ ได้รวมอาณาจักรเล็กๆ ไว้มากมายมากกว่าหนึ่งร้อยอาณาจักร(เนื่องจากอาณาจักรเหล่านั้นซึ่งอยู่(ในเยอรมนียัง ไม่ได้รวมตัวกัน)แต่ไม่ได้รวมกรุงโรมเอาไว้ตามชื่ออาณาจักร
จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire)
เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมือง ระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์[1]มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่ วันที่จูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ (44 ปีก่อนคริสตกาล) ชัยชนะของออคเตเวียนในยุทธการแอคทิอุม (2 กันยายน, 31 ปีก่อนคริสตกาล) วันที่สภาซีเนต ประกาศยกย่องออคเตเวียนให้เป็นออกุสตุส (16 มกราคม, 27 ปีก่อนคริสตกาล) จักรวรรดิโรมัน เคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษ และเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียง ของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้ จักรวรรดิ โรมัน ได้รวบรวม ตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้น ในภาค ตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตก ซึ่งเป็น บริเวณชายฝั่ง ทะเลซี่งในปัจจุบัน คือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของ ยิบรอลตาร์ ประชาชน ทั่วไปที่อาศัยอยู่ใน จักรวรรดิโรมัน เรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมัน ได้เริ่มมานาน ตั้งแต่ก่อนที่ จะ เปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจันด้วย ชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือ ประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ.106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครอง แผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum "ทะเลของเรา" อิทธิพลของโรมัน ได้ส่งผลต่อ การ พัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและ ระบบการ เมืองมาจนถึงทุกวันนี้
Frauenkirche (Frauenkirche ออกเสียงว่า เฟรา เอน เคีย เชอะ) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก สร้างตามแบบโกธิกในปี ค.ศ. 1468 ด้วยอิฐสีแดง แทนที่จะสร้างด้วยหินเหมือนโบสถ์โกธิกทั่วไป ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 20 ปี จึงแล้วเสร็จ

ด้านหน้ามีหอคอยคู่สูงถึง 99 เมตร จริง ๆ หอคอยทั้งสองควรจะมียอดแหลมตามแบบฉบับของโกธิก แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง ต่อมาภายหลังจึงได้ต่อเติมเป็นโดมหัวหอมขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบันแทน ทำให้โบสถ์นี้มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของมิวนิก
ภายในโบสถ์มีความเรียบง่าย ดูสูงโปร่ง จากการทาด้วยสีขาวและได้รับแสงจากหน้าต่างทรงสูงจำนวนมากที่ทำจากกระเบื้อง โมเสก เมื่อย่างเท้าเข้าไปในโบสถ์ จะดูเหมือนว่าโบสถ์นี้ไม่มีหน้าต่าง หน้าต่างด้านข้างทั้งหลายถูกบดบังด้วยเสาขนาดมหึมาจำนวนมาก
ตำนานเล่าว่าเมื่อปีศาจย่างเท้าเข้ามาในโบสถ์แห่งนี้แล้วไม่เห็นหน้าต่างซัก บาน จึงกระทืบเท้าด้วยความดีใจจนเป็นรอยเท้าปรากฏอยู่ อีกตำนานกล่าวว่า ปีศาจได้ให้ผู้ที่ก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ยืมเงินเพื่อใช้ในการก่อสร้างโดยมี เงื่อนไขว่า โบสถ์นี้ต้องไม่มีหน้าต่าง เมื่อสร้างเสร็จเขาพาปีศาจให้ยืนอยู่ ณ ตำแหน่งที่ไม่เห็นหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ปีศาจโกรธมากที่โดนหลอกจึงกระทืบเท้าออกไปด้วยความโกรธ รอยเท้าจึงปรากฏเป็นรอยทิ้งไว้อยู่ภายในโบสถ์ตรงหน้าทางเข้า ใครไปเที่ยวอย่าลืมมองหารอยเท้า (Devil's footprint) นี้นะครับ
ไม่ใช่ใน Frauenkirche นะครับหากไปเที่ยวยุโรปและเจอโบสถ์ที่ไหนสวยงาม แนะนำให้เดินเข้าไปชมความหรูเลิศอลังการงานสร้างเลย






ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/mrtaweesak ... ยที่ครับผม