และแล้ว......
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 23, 2010 9:56 pm
และแล้ว....... สุดท้ายแกะดำก็ต้องกลับมาอยู่ในคอกเหมือนเดิม
ต้องกราบขอโทษพี่น้องทุกคนในที่นี้ จากที่สังเกตได้ว่าช่วงที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้แสดงทั้งความ "เกรียน" และ "ประชดประชัน" เจ้านายเหนือหัวผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกอีกแล้ว ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ที่มาจากทิฐิของข้าพเจ้าที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร
แต่เนื่องจากในช่วงวันสองวันมานี้ ได้มีเหตุการณ์บางอย่าง ที่มีทั้งดีและไม่ดีเกิดขึ้น แต่หนึ่งในนั้นคือหลังจากบ่นกับแฟนทางโทรศัพท์(ทั้งที่เจ้าตัวอยู่ค่าย) แต่ก็ได้พี่เลี้ยงช่วยคุยจนรู้สึกดีขึ้นและเริ่มหันกลับมาเริ่มต้นไว้วางใจ อดทนและเฝ้ารอองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง รายละเอียดยาวไปหน่อย
แต่หลังจากนั้นวันถัดมา ได้มีปัญหากับพ่อแม่ขึ้นว่าด้วยเรื่องการนอนดึก แล้วต่างฝ่ายต่างก็ปล่อยสิ่งที่เหลืออดใส่กันจนรุนแรง แต่สุดท้ายก็ยังมีแม่ที่แม้จะทะเลาะกันบ้าง (และได้รู้ว่า นอกจากประกาศข่าวประเสริฐไม่ค่อยได้ผลแล้ว รายนั้นยังใช้เหตุผลทางสังคม(ของบ้านเกิด)อยากให้เรากลับไปเป็นพุทธ แน่นอนเราปฏิเสธ แต่ดีที่ไม่รุนแรงมาก มีเคืองบ้างที่รายนั้นไม่ยอมรับเหตุผลที่ขัดแย้งกับแนวคิดพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้ ส่วนกับพ่อ ปล่อยให้หัวเสียจนหลุดปากไปจนหายโกรธแล้วทำเป็นลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั่นแหละ ที่เหลือให้พระผู้เป็นเจ้าตัดสินเอา เพราะคำพูดทุกคำเขาต้องรับผิดชอบเอง)
ที่แน่ ๆ วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดว่าจะมีขึ้นคือ แม้ว่าพ่อกับแม่จะมีอคติกับคริสเตียนหลงเหลืออยู่ หรือโชว์ความไม่พอใจกับเราแค่ไหน "เรากลับขอให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนใจ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระองค์"(ทั้งที่ปกติคงแช่งไปแล้ว)
หลังการกลับมา..... ก็ ได้อ่านพระคัมภีร์มากขึ้น แต่แปลกที่เรารู้สึกเชื่อและมีใจจะรอคอยกลับมาอีกครั้ง......
สิ่งที่กังวลใจอยู่บ้าง ก็คงเป็น เรื่องความรอดที่คนศาสนาอื่นจะเข้าถึงไม่ได้กระมัง หรือว่า เมื่อไหร่จะได้มีประสบการณ์ตัวต่อตัวกับพระผู้เป็นเจ้าเหมือนเขาบ้าง แต่ก็รู้สึกว่ามีค่าควรแก่การรอคอยคำตอบอีกครั้งแล้วล่ะ
(คิดเหมือนกันว่า หากถึงเวลานั้น เราจำเป็นต้องลืมสิ่งต่าง ๆ บนโลกนี้ด้วยหรือเปล่านะ จริงอยู่พี่เลี้ยงแฟนบอกให้หันมามองสิ่งรอบข้างบ้าง แต่สิ่งรอบข้างนี่จะว่าสวยงามมันก็.....มีบ้าง แต่กลัวจะเสียใจเมื่อมันต้องหายไปเมื่อ "เวลานั้น" มาถึงนี่สิ)
แล้วก็อีกเรื่อง แม่เรานี่สิ จากที่คุยกัน อดคิดไม่ได้ว่าใจลึก ๆ เจ้าตัวก็ยังคิดว่าศาสนาคริสต์เป็นแค่ศาสนานึง และเข้าข้างแนวคิดพุทธวิทย์อยู่ดี แบบนี้นอกจากให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนใจก็คงไม่มีทางอื่น ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ต้องใส่ใจแล้วล่ะ เพราะคุยไป เจ้าตัวก็ชอบงัดไม้ตายสุดท้ายเรื่อง "งานศพ" มาอ้างทุกที
อย่างน้อยเรื่องดี ๆ ที่มีบ้าง ก็รู้สึกดีหน่อยที่ในหมู่โปรฯ ก็มีพี่เลี้ยงแฟนที่บอกว่า "โลกหน้าไม่มีแยกชายหญิง" ค่อยพอใจขึ้นหน่อย เพราะเราเองก็รอเวลาที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการกดขี่ข่มเหงคนที่เรารักอีกเหมือนกัน
.......โดยรวมก็..... อย่างน้อยการได้รอคอยอะไรสักอย่าง ก็ดีกว่าตัดทิ้งแล้วไปตายอย่างหมดหวังแหละมั้ง
ต้องกราบขอโทษพี่น้องทุกคนในที่นี้ จากที่สังเกตได้ว่าช่วงที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้แสดงทั้งความ "เกรียน" และ "ประชดประชัน" เจ้านายเหนือหัวผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกอีกแล้ว ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ที่มาจากทิฐิของข้าพเจ้าที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร
แต่เนื่องจากในช่วงวันสองวันมานี้ ได้มีเหตุการณ์บางอย่าง ที่มีทั้งดีและไม่ดีเกิดขึ้น แต่หนึ่งในนั้นคือหลังจากบ่นกับแฟนทางโทรศัพท์(ทั้งที่เจ้าตัวอยู่ค่าย) แต่ก็ได้พี่เลี้ยงช่วยคุยจนรู้สึกดีขึ้นและเริ่มหันกลับมาเริ่มต้นไว้วางใจ อดทนและเฝ้ารอองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง รายละเอียดยาวไปหน่อย
แต่หลังจากนั้นวันถัดมา ได้มีปัญหากับพ่อแม่ขึ้นว่าด้วยเรื่องการนอนดึก แล้วต่างฝ่ายต่างก็ปล่อยสิ่งที่เหลืออดใส่กันจนรุนแรง แต่สุดท้ายก็ยังมีแม่ที่แม้จะทะเลาะกันบ้าง (และได้รู้ว่า นอกจากประกาศข่าวประเสริฐไม่ค่อยได้ผลแล้ว รายนั้นยังใช้เหตุผลทางสังคม(ของบ้านเกิด)อยากให้เรากลับไปเป็นพุทธ แน่นอนเราปฏิเสธ แต่ดีที่ไม่รุนแรงมาก มีเคืองบ้างที่รายนั้นไม่ยอมรับเหตุผลที่ขัดแย้งกับแนวคิดพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้ ส่วนกับพ่อ ปล่อยให้หัวเสียจนหลุดปากไปจนหายโกรธแล้วทำเป็นลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั่นแหละ ที่เหลือให้พระผู้เป็นเจ้าตัดสินเอา เพราะคำพูดทุกคำเขาต้องรับผิดชอบเอง)
ที่แน่ ๆ วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดว่าจะมีขึ้นคือ แม้ว่าพ่อกับแม่จะมีอคติกับคริสเตียนหลงเหลืออยู่ หรือโชว์ความไม่พอใจกับเราแค่ไหน "เรากลับขอให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนใจ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระองค์"(ทั้งที่ปกติคงแช่งไปแล้ว)
หลังการกลับมา..... ก็ ได้อ่านพระคัมภีร์มากขึ้น แต่แปลกที่เรารู้สึกเชื่อและมีใจจะรอคอยกลับมาอีกครั้ง......
สิ่งที่กังวลใจอยู่บ้าง ก็คงเป็น เรื่องความรอดที่คนศาสนาอื่นจะเข้าถึงไม่ได้กระมัง หรือว่า เมื่อไหร่จะได้มีประสบการณ์ตัวต่อตัวกับพระผู้เป็นเจ้าเหมือนเขาบ้าง แต่ก็รู้สึกว่ามีค่าควรแก่การรอคอยคำตอบอีกครั้งแล้วล่ะ
(คิดเหมือนกันว่า หากถึงเวลานั้น เราจำเป็นต้องลืมสิ่งต่าง ๆ บนโลกนี้ด้วยหรือเปล่านะ จริงอยู่พี่เลี้ยงแฟนบอกให้หันมามองสิ่งรอบข้างบ้าง แต่สิ่งรอบข้างนี่จะว่าสวยงามมันก็.....มีบ้าง แต่กลัวจะเสียใจเมื่อมันต้องหายไปเมื่อ "เวลานั้น" มาถึงนี่สิ)
แล้วก็อีกเรื่อง แม่เรานี่สิ จากที่คุยกัน อดคิดไม่ได้ว่าใจลึก ๆ เจ้าตัวก็ยังคิดว่าศาสนาคริสต์เป็นแค่ศาสนานึง และเข้าข้างแนวคิดพุทธวิทย์อยู่ดี แบบนี้นอกจากให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนใจก็คงไม่มีทางอื่น ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ต้องใส่ใจแล้วล่ะ เพราะคุยไป เจ้าตัวก็ชอบงัดไม้ตายสุดท้ายเรื่อง "งานศพ" มาอ้างทุกที
อย่างน้อยเรื่องดี ๆ ที่มีบ้าง ก็รู้สึกดีหน่อยที่ในหมู่โปรฯ ก็มีพี่เลี้ยงแฟนที่บอกว่า "โลกหน้าไม่มีแยกชายหญิง" ค่อยพอใจขึ้นหน่อย เพราะเราเองก็รอเวลาที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการกดขี่ข่มเหงคนที่เรารักอีกเหมือนกัน
.......โดยรวมก็..... อย่างน้อยการได้รอคอยอะไรสักอย่าง ก็ดีกว่าตัดทิ้งแล้วไปตายอย่างหมดหวังแหละมั้ง