~ ประวัติวันฮาโลวีน ~
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 02, 2010 9:30 am
" trick or treat ! " พูดถึงคำนี้ทุกคนคงคิดถึงอะไรไปไม่ได้นอกจากเทศกาล
Halloween เทศกาลผีๆของฝรั่ง ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี
วันที่ผู้คนออกมาแต่งตัวเป็นชุดผีโดยเฉพาะเด็กๆที่พากันแต่งชุดผีออกไปเคาะตามประตูบ้านคนอื่น ๆแล้วเอ่ยคำว่า " trick or treat ! " เพื่อขอขนม ของขวัญ หรือสินน้ำใจเล็ก
ๆ น้อยที่เจ้าของบ้านจะหยิบยื่นให้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ทุกครั้งเสมอไป
แต่ถ้าได้ก็จะขอบคุณและ อวยพรขอให้เจ้าของบ้านนั้นๆรอดพ้นจากภูติผี ปีศาจ
หรือคำสาป ภยันตรายต่างๆทั้งปวงแต่ใครจะทราบถึงประวัติความเป็นมาของเทศกาลนี้กันบ้างว่าทำผู้คนต้องพากันแต่งตัวเลียนแบบผีกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ความเป็นมาวันฮาโลวีน
วันฮาโลวีน เรามักจะคุ้นเคยเรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี ในวันดังกล่าวมักมีการจัดตกแต่งบ้านเรือน ร้านค้าโดยใช้ฟักทองที่คว้านเป็นรูปผี หรือใช้วัสดุอื่น ๆ ประดิษฐ์เป็นตัวผีหรือทำให้มีหน้าตาเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นงานรื่นเริงวันฮาโลวีนมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นในเรื่องนี้คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถานได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ "ฮาโลวีน" ไว้ดังนี้
ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ
เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Evs ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน
แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่า ๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่าวันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาสชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลายและเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day) การสมโภชนักบุญทั้งหลายเริ่มโดยสันตะปาปาโบนีเฟสที่ 4 (Boniface IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๖๐๘-๖๑๕) โดยกำหนดวันที่ ๑๓ พฤษภาคมของทุกปีตั้งแต่ ค.ศ. ๖๑๓ เป็นต้นมา สาเหตุเนื่องจากเป็นวันเปิดโบสถ์แพนทีอัน(Pantheon) อันเป็นโบสถ์สรรพเทพของชาวโรมันมาแต่เดิม และจักรพรรดิโฟกัส(Phocas) ยกให้เป็นของคริสต์ศาสนา ต่อมา สันตะปาปากรีโกรีที่ ๔ (GregoryIV ครองอำนาจ ค.ศ. ๘๒๗-๘๔๔) เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ตั้งแต่ ค.ศ.๘๓๕ เป็นต้นมา
ชาวคาทอลิกขณะนั้นถือว่าวันฮาโลวีนมีความสำคัญคู่เคียงกันกับวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์จึงเริ่มงานตั้งแต่วันก่อนหรือวันสุกดิบขณะนั้นเกาะอังกฤษยังรับอำนาจของสันตะปาปาอยู่
ชาวอังกฤษจึงรับนโยบายของสันตะปาปาไปปฏิบัติตาม ด้วยเหตุที่ชาวเผ่าเคลต์ของเกาะอังกฤษ (ไอร์แลนด์และสกอตแลนด์)ถือเอาวันที่ ๑ พฤศจิกายน เป็นวันต้นฤดูหนาวและเป็นวันขึ้นปีใหม่(Samhoin) มาเป็นเวลานานแล้ว โดยจัดพิธีเป็น ๒ วัน คือวันสุกดิบ (๓๑ตุลาคม) เป็นวันทำบุญเลี้ยงผีซึ่งเชื่อกันว่าทั้งคืนจะมีผีออกเพ่นพ่านรับส่วนบุญเมื่อจัดทำพิธียกอาหารทำบุญแล้วก็ปิดประตูหน้าต่างอยู่แต่ในบ้านอธิษฐานขอให้ผีไปที่ชอบๆ วันรุ่งขึ้น (๑ พฤศจิกายน) เป็นวันปีใหม่ได้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าตามด้วยการรื่นเริงตามประเพณีเมื่อชนพวกนี้ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ยังคงปฏิบัติประเพณีนี้ต่อมาครั้นได้รับนโยบายจากสันตะปาปาแล้วผู้นำศาสนาก็หาวิธีแทรกพิธีกรรมของศาสนาคริสต์เข้ากับประเพณีเดิมวันสุกดิบจึงกลายเป็นวันทำบุญให้วิญญาณของผู้ล่วงลับที่อาจจะยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์คือวิญญาณที่ยังใช้โทษใช้บาปกรรมของตนยังไม่หมดสิ้น ยังอยู่ในแดนชำระ(purgatory)จึงทำพิธีสวดอ้อนวอนขอพระเป็นเจ้าเมตตาให้ได้ขึ้นสวรรค์เร็วขึ้น
วิญญาณเหล่านี้จึงไม่น่ากลัวเหมือนผีที่เร่ร่อนขอส่วนบุญเมื่อชาวบ้านหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ไม่เชื่อเรื่องผีมาขอส่วนบุญอีกแต่ก็ยังถ่ายทอดประเพณีนี้ต่อไป โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่คือคืนวันสุกดิบถือเป็นคืนเล่นผีมีผู้แต่งตัวสมมุติเป็นผีออกเพ่นพ่านขอส่วนบุญ
ใครที่ไม่ชอบแต่งตัวเป็นผีก็ยินดีจัดเลี้ยงต้อนรับผีในครอบครัวของตนโดยคว้านฟักทองหรือใช้วัสดุอื่นทำให้มีหน้าตาเป็นผีสร้างบรรยากาศให้มีผีในบ้านต้อนรับผีนอกบ้านกลายเป็นงานสนุกสนานรื่นเริงที่มีบรรยากาศแปลกวันรุ่งขึ้นจึงเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
และต่ออีกวันหนึ่งจึงเป็นวันทำบุญให้วิญญาณในแดนชำระ
เมื่อชาวไอริชและชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกาก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติ ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติจึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙เป็นต้นมา ก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้
การปฏิบัติในคืนวันฮาโลวีน
อังกฤษ ที่ประเทศนี้ถือว่าวันฮาโลวีนนี้เป็นวันดีเหมาะสำหรับจัดงานแต่งงาน การทำนายโชคชะตาหรือแม้แต่เรื่องความตายยังถือว่าวันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ภูติผีวิญญาณจะช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่คนเป็นต้องการสามารถเป็นไปตามใจปรารถนาประมาณเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนสาวอังกฤษจะออกมาหว่าน และไถกลบเมล็ดป่านพร้อมตั้งจิตอธิษฐานและท่องคาถาร้องขอให้มองเห็นภาพของว่าที่คู่ชีวิตของตนในอนาคตเมื่อสาวเจ้าเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายก้จะได้เห็นภาพนิมิตของผู้ที่จะมาเป็นสามีของตนในอนาคตอีกประเพณีหนึ่งของชาวอังกฤษ คือ การหย่อนเหรียญ 6เพนนีลงในอ่างน้ำ พร้อมแอปเปิ้ลผู้ใดสามารถแยกแยะของสองสิ่งนี้ออกจากกันได้โดย ใช้ปากคาบเหรียญและใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดได้ในครั้งเดียวผู้นั้นจะมีโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
อเมริกา พวกเด็กๆ จะสนุกสนานมากในคืนวัน "ฮาโลวีน" เพราะพวกเขาจะได้แต่งตัวเลียนแบบคนตาย เช่น เป็นโจรสลัด, กัปตัน,โครงกระดูก, หญิงในสมัยโบราณ หรือสุดจะคิดค้นกันขึ้นมาอย่างในสมัยปัจจุบันและก็เดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนม, ลูกกวาด ฯลฯโดยเฉพาะบ้านที่มีลูกฟักทองล้วงเนื้อออกเพื่อใส่เทียนเข้าวางไว้และจะมีแสงสว่างออกมาจากรูจมูก, ลูกตาและปากที่เจาะไว้บนลูกฟักทองตั้งไว้หน้าบ้าน เด็กๆ จะเคาะประตูและเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตู
พวกเขาก็จะร้องทักว่า "Trick or Treat" ซึ่งเด็กๆทั่วไปก็เป็นเพียงคำพูดไร้เดียงสา เพื่อพูดตามธรรมเนียมการขอขนมพวกเขาไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมัน เพราะว่าคำว่า "Trick or Treat"คำนี้ เป็นคำคล้ายคำพูดของพวกบูชาลัทธิปีศาจ ทำนองว่า
(หมายเหตุ: จาก พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หน้า ๒๓๑-๒๓๒)
Halloween เทศกาลผีๆของฝรั่ง ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี
วันที่ผู้คนออกมาแต่งตัวเป็นชุดผีโดยเฉพาะเด็กๆที่พากันแต่งชุดผีออกไปเคาะตามประตูบ้านคนอื่น ๆแล้วเอ่ยคำว่า " trick or treat ! " เพื่อขอขนม ของขวัญ หรือสินน้ำใจเล็ก
ๆ น้อยที่เจ้าของบ้านจะหยิบยื่นให้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ทุกครั้งเสมอไป
แต่ถ้าได้ก็จะขอบคุณและ อวยพรขอให้เจ้าของบ้านนั้นๆรอดพ้นจากภูติผี ปีศาจ
หรือคำสาป ภยันตรายต่างๆทั้งปวงแต่ใครจะทราบถึงประวัติความเป็นมาของเทศกาลนี้กันบ้างว่าทำผู้คนต้องพากันแต่งตัวเลียนแบบผีกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ความเป็นมาวันฮาโลวีน
วันฮาโลวีน เรามักจะคุ้นเคยเรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี ในวันดังกล่าวมักมีการจัดตกแต่งบ้านเรือน ร้านค้าโดยใช้ฟักทองที่คว้านเป็นรูปผี หรือใช้วัสดุอื่น ๆ ประดิษฐ์เป็นตัวผีหรือทำให้มีหน้าตาเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นงานรื่นเริงวันฮาโลวีนมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นในเรื่องนี้คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถานได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ "ฮาโลวีน" ไว้ดังนี้
ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ
เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Evs ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน
แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่า ๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่าวันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาสชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลายและเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day) การสมโภชนักบุญทั้งหลายเริ่มโดยสันตะปาปาโบนีเฟสที่ 4 (Boniface IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๖๐๘-๖๑๕) โดยกำหนดวันที่ ๑๓ พฤษภาคมของทุกปีตั้งแต่ ค.ศ. ๖๑๓ เป็นต้นมา สาเหตุเนื่องจากเป็นวันเปิดโบสถ์แพนทีอัน(Pantheon) อันเป็นโบสถ์สรรพเทพของชาวโรมันมาแต่เดิม และจักรพรรดิโฟกัส(Phocas) ยกให้เป็นของคริสต์ศาสนา ต่อมา สันตะปาปากรีโกรีที่ ๔ (GregoryIV ครองอำนาจ ค.ศ. ๘๒๗-๘๔๔) เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ตั้งแต่ ค.ศ.๘๓๕ เป็นต้นมา
ชาวคาทอลิกขณะนั้นถือว่าวันฮาโลวีนมีความสำคัญคู่เคียงกันกับวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์จึงเริ่มงานตั้งแต่วันก่อนหรือวันสุกดิบขณะนั้นเกาะอังกฤษยังรับอำนาจของสันตะปาปาอยู่
ชาวอังกฤษจึงรับนโยบายของสันตะปาปาไปปฏิบัติตาม ด้วยเหตุที่ชาวเผ่าเคลต์ของเกาะอังกฤษ (ไอร์แลนด์และสกอตแลนด์)ถือเอาวันที่ ๑ พฤศจิกายน เป็นวันต้นฤดูหนาวและเป็นวันขึ้นปีใหม่(Samhoin) มาเป็นเวลานานแล้ว โดยจัดพิธีเป็น ๒ วัน คือวันสุกดิบ (๓๑ตุลาคม) เป็นวันทำบุญเลี้ยงผีซึ่งเชื่อกันว่าทั้งคืนจะมีผีออกเพ่นพ่านรับส่วนบุญเมื่อจัดทำพิธียกอาหารทำบุญแล้วก็ปิดประตูหน้าต่างอยู่แต่ในบ้านอธิษฐานขอให้ผีไปที่ชอบๆ วันรุ่งขึ้น (๑ พฤศจิกายน) เป็นวันปีใหม่ได้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าตามด้วยการรื่นเริงตามประเพณีเมื่อชนพวกนี้ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ยังคงปฏิบัติประเพณีนี้ต่อมาครั้นได้รับนโยบายจากสันตะปาปาแล้วผู้นำศาสนาก็หาวิธีแทรกพิธีกรรมของศาสนาคริสต์เข้ากับประเพณีเดิมวันสุกดิบจึงกลายเป็นวันทำบุญให้วิญญาณของผู้ล่วงลับที่อาจจะยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์คือวิญญาณที่ยังใช้โทษใช้บาปกรรมของตนยังไม่หมดสิ้น ยังอยู่ในแดนชำระ(purgatory)จึงทำพิธีสวดอ้อนวอนขอพระเป็นเจ้าเมตตาให้ได้ขึ้นสวรรค์เร็วขึ้น
วิญญาณเหล่านี้จึงไม่น่ากลัวเหมือนผีที่เร่ร่อนขอส่วนบุญเมื่อชาวบ้านหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ไม่เชื่อเรื่องผีมาขอส่วนบุญอีกแต่ก็ยังถ่ายทอดประเพณีนี้ต่อไป โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่คือคืนวันสุกดิบถือเป็นคืนเล่นผีมีผู้แต่งตัวสมมุติเป็นผีออกเพ่นพ่านขอส่วนบุญ
ใครที่ไม่ชอบแต่งตัวเป็นผีก็ยินดีจัดเลี้ยงต้อนรับผีในครอบครัวของตนโดยคว้านฟักทองหรือใช้วัสดุอื่นทำให้มีหน้าตาเป็นผีสร้างบรรยากาศให้มีผีในบ้านต้อนรับผีนอกบ้านกลายเป็นงานสนุกสนานรื่นเริงที่มีบรรยากาศแปลกวันรุ่งขึ้นจึงเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
และต่ออีกวันหนึ่งจึงเป็นวันทำบุญให้วิญญาณในแดนชำระ
เมื่อชาวไอริชและชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกาก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติ ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติจึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙เป็นต้นมา ก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้
การปฏิบัติในคืนวันฮาโลวีน
อังกฤษ ที่ประเทศนี้ถือว่าวันฮาโลวีนนี้เป็นวันดีเหมาะสำหรับจัดงานแต่งงาน การทำนายโชคชะตาหรือแม้แต่เรื่องความตายยังถือว่าวันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ภูติผีวิญญาณจะช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่คนเป็นต้องการสามารถเป็นไปตามใจปรารถนาประมาณเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนสาวอังกฤษจะออกมาหว่าน และไถกลบเมล็ดป่านพร้อมตั้งจิตอธิษฐานและท่องคาถาร้องขอให้มองเห็นภาพของว่าที่คู่ชีวิตของตนในอนาคตเมื่อสาวเจ้าเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายก้จะได้เห็นภาพนิมิตของผู้ที่จะมาเป็นสามีของตนในอนาคตอีกประเพณีหนึ่งของชาวอังกฤษ คือ การหย่อนเหรียญ 6เพนนีลงในอ่างน้ำ พร้อมแอปเปิ้ลผู้ใดสามารถแยกแยะของสองสิ่งนี้ออกจากกันได้โดย ใช้ปากคาบเหรียญและใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดได้ในครั้งเดียวผู้นั้นจะมีโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
อเมริกา พวกเด็กๆ จะสนุกสนานมากในคืนวัน "ฮาโลวีน" เพราะพวกเขาจะได้แต่งตัวเลียนแบบคนตาย เช่น เป็นโจรสลัด, กัปตัน,โครงกระดูก, หญิงในสมัยโบราณ หรือสุดจะคิดค้นกันขึ้นมาอย่างในสมัยปัจจุบันและก็เดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนม, ลูกกวาด ฯลฯโดยเฉพาะบ้านที่มีลูกฟักทองล้วงเนื้อออกเพื่อใส่เทียนเข้าวางไว้และจะมีแสงสว่างออกมาจากรูจมูก, ลูกตาและปากที่เจาะไว้บนลูกฟักทองตั้งไว้หน้าบ้าน เด็กๆ จะเคาะประตูและเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตู
พวกเขาก็จะร้องทักว่า "Trick or Treat" ซึ่งเด็กๆทั่วไปก็เป็นเพียงคำพูดไร้เดียงสา เพื่อพูดตามธรรมเนียมการขอขนมพวกเขาไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมัน เพราะว่าคำว่า "Trick or Treat"คำนี้ เป็นคำคล้ายคำพูดของพวกบูชาลัทธิปีศาจ ทำนองว่า
(หมายเหตุ: จาก พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หน้า ๒๓๑-๒๓๒)