เทศกาลอีสเตอร์ มีที่มาอย่างไร
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 07, 2011 3:50 pm
เทศกาลอีสเตอร์ มีที่มาอย่างไร
หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า วันอีสเตอร์เกี่ยวอะไรกับเทศกาลปัสกา เพราะคำว่าอีสเตอร์ไม่มีในพระคัมภีร์เลยสักตอนเดียว แต่ทำไมถึงมีความหมายและสำคัญต่อคริสตชนมาก แล้วทำไมเรื่องราวของอีสเตอร์เกี่ยวข้องกับวันหยุด ไข่ การ์ดอวยพร ดอกไม้ กระต่าย ฯลฯ
คำว่าอีสเตอร์ไม่ได้ปรากฎในพระคัมภีร์ก็จริง แต่เรื่องราวและความหมายปรากฎชัดมาก เป็นชื่อที่ใช้เรียกเทศกาลเฉลิมฉลองการที่ “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย” คำว่า อีสเตอร์ มาจากชื่อของเทพธิดาหรือพระแม่เจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิของพวกแองโกลแซกซอน ซึ่งมีนามว่า “Eastre” คำนี้เข้าใจกันว่ามาจากภาษาเยอรมันโบราณ คือ Eostarun แปลว่า “รุ่งอรุณ”และการฉลองการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และเกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ผลิ เพราะวันอีสเตอร์อยู่ในฤดุใบไม้ผลิ (ระหว่างเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน) ฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ต้นไม้ใบไม้ที่ดูเหมือนตายในฤดูหนาวกลับผลิใบออกดอกดุจเกิดใหม่ ดังนั้น จึงเป็นภาพที่เหมาะสมเพื่อพรรณนาการกลับเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์
อย่างไรก็ตาม เทศกาลนี้พัฒนามาจาก เทศกาล “ปัสกา” (Passover) ของยิว ซึ่งในภาษาฮิบรูคือ Pesah ส่วนกรีกคือ Pascha และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสตเจ้าในพระคัมภีร์ตรงกับช่วงเทศกาลปัสกาดั้งเดิม
อีสเตอร์เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์และเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงไถ่มนุษย์ให้รอดจากบาป
หลังจากวันสับบาโต เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาราและมารีย์อีกผู้หนึ่ง (หมายถึงมารีย์ มารดาของยากอบ (มก 16:1; ลก 24:10; เทียบ มธ 27; 56 และ 61)) ไปดูพระคูหา บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้นใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย
ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูที่ที่เขาวางพระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน”
สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหา (สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ได้รีบออกจากพระคูหา” (ดู มก 16:8)) วิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบศิษย์ทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลีเขาจะพบเราที่นั่น (มธ 28:1-10)
ที่มา นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 176 ปีที่ 31 มีนาคม – เมษายน 2011/2554
หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า วันอีสเตอร์เกี่ยวอะไรกับเทศกาลปัสกา เพราะคำว่าอีสเตอร์ไม่มีในพระคัมภีร์เลยสักตอนเดียว แต่ทำไมถึงมีความหมายและสำคัญต่อคริสตชนมาก แล้วทำไมเรื่องราวของอีสเตอร์เกี่ยวข้องกับวันหยุด ไข่ การ์ดอวยพร ดอกไม้ กระต่าย ฯลฯ
คำว่าอีสเตอร์ไม่ได้ปรากฎในพระคัมภีร์ก็จริง แต่เรื่องราวและความหมายปรากฎชัดมาก เป็นชื่อที่ใช้เรียกเทศกาลเฉลิมฉลองการที่ “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย” คำว่า อีสเตอร์ มาจากชื่อของเทพธิดาหรือพระแม่เจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิของพวกแองโกลแซกซอน ซึ่งมีนามว่า “Eastre” คำนี้เข้าใจกันว่ามาจากภาษาเยอรมันโบราณ คือ Eostarun แปลว่า “รุ่งอรุณ”และการฉลองการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และเกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ผลิ เพราะวันอีสเตอร์อยู่ในฤดุใบไม้ผลิ (ระหว่างเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน) ฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ต้นไม้ใบไม้ที่ดูเหมือนตายในฤดูหนาวกลับผลิใบออกดอกดุจเกิดใหม่ ดังนั้น จึงเป็นภาพที่เหมาะสมเพื่อพรรณนาการกลับเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์
อย่างไรก็ตาม เทศกาลนี้พัฒนามาจาก เทศกาล “ปัสกา” (Passover) ของยิว ซึ่งในภาษาฮิบรูคือ Pesah ส่วนกรีกคือ Pascha และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสตเจ้าในพระคัมภีร์ตรงกับช่วงเทศกาลปัสกาดั้งเดิม
อีสเตอร์เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์และเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงไถ่มนุษย์ให้รอดจากบาป
หลังจากวันสับบาโต เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาราและมารีย์อีกผู้หนึ่ง (หมายถึงมารีย์ มารดาของยากอบ (มก 16:1; ลก 24:10; เทียบ มธ 27; 56 และ 61)) ไปดูพระคูหา บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้นใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย
ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูที่ที่เขาวางพระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน”
สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหา (สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ได้รีบออกจากพระคูหา” (ดู มก 16:8)) วิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบศิษย์ทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลีเขาจะพบเราที่นั่น (มธ 28:1-10)
ที่มา นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 176 ปีที่ 31 มีนาคม – เมษายน 2011/2554