เรื่องรักใคร่บนโลกไซเบอร์
ดร.จุลนี กล่าวต่อว่า การมี cyber romance (ความรักในโลกไซเบอร์) ก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คนไปเช่นกัน ทั้งในเรื่องของ
cyber sex ที่คนสมัยนี้สามารถมีความสุขทางเพศได้ด้วยการเสพทางตา ไม่จำเป็นต้องสัมผัสซึ่งกันและกัน และก็ไม่ใช่การแค่ดูหญิงชายมีเพศสัมพันธ์กันเท่านั้น แต่ว่าสมัยนี้การดูหุ่นยนต์, มนุษย์มีปีกมีเพศสัมพันธ์กันก็สามารถทำให้ผู้ที่ดูถึงจุดสุดยอดได้ ซึ่งการเสพสิ่งเหล่านี้ได้สร้าง "เซ็กซ์ชวลแฟนตาซี" ที่มากไปกว่าสิ่งที่โลกเป็นจริงจะมอบให้
การจีบกันในโลกไซเบอร์ หรือ cyber flirtation เป็นการที่เราติดต่อกับคนอื่นโดยเห็นแค่รูปแล้วเกิดความถูกตาต้องใจ ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความดึงดูดทางกาย อันนำไปสู่การขอแอดเฟรนด์ การชวนคุย ซึ่งใช้ภาษาหรือคำศัพท์ที่จะไปกระทบใจคนอีกฝั่งหนึ่ง ใช้ emotion icon หรือใช้การส่งรูปภาพ ซึ่งต่างกับในสมัยก่อนที่เราจะ "เฟลิร์ต" โดยแกล้งทำผ้าเช็ดหน้าตก
สำหรับเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์ (infidelity) ในสังคมอเมริกันนั้น ตั้งแต่มีเฟซบุ๊กขึ้นมาก็ได้มีการวิจัยพบว่าอัตราการหย่าร้างพุ่งสูงขึ้นเยอะมาก อาจเป็นเพราะการรู้จักคนใหม่ หรือการนอกใจนั้นง่ายขึ้น จำนวนของคนที่มี single status (สถานะ "โสด" ในเฟซบุ๊ก) ในอเมริกามีสูง ซึ่งแม้แต่คนที่แต่งงานแล้วก็ยังโพสต์ว่าตนนั้น "โสด"
เฟซบุ๊กยังเป็นสมรภูมิใหม่ของการจีบกัน โดยไม่ต้องพาไปกินข้าว ดูหนัง หรือแม้แต่ซื้อดอกไม้ให้ "แต่แค่ส่งรูปดอกไม้ให้สาวก็กรี๊ดแล้ว" ดร.จุลนีกล่าว
นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังเป็นช่องทางที่ทำให้เด็กผู้หญิงสามารถพูดคุยกันถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งแต่ก่อนผู้ชายในสังคมเท่านั้นที่จะทำได้ โลกออนไลน์ยังเป็นโลกที่พ่อแม่เข้าไปสอดส่องไม่ค่อยได้ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ลูกสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกจับตามอง
เฟซบุ๊กยังเป็นที่แห่งใหม่ที่เราจะไป hang out หรือใช้เวลาในการพักผ่อน แต่การ hang out ดังกล่าวก็มีแง่ลบด้วยเหมือนกันหากเกิดจากการชักชวนกันในทางที่ผิด
นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังตอบสนองความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของมนุษย์ เพราะคงไม่มีใครที่มีเฟซบุ๊กแล้วมีเพื่อนแค่คนเดียว
หรือเวลาที่เราโพสต์อะไรในเฟซบุ๊กแล้วไม่มีใครมากดไลค์ หรือคอมเม้นท์ เราจะรู้สึกแย่
เฟซบุ๊กยังเปลี่ยนวิธีการใช้เวลาว่างของเรา ที่เมื่อก่อนเราจะไปอยู่กับเพื่อนเราก็จะใช้เวลาหน้าคอมพิวเตอร์กับ virtual community แทน
ดร.จุลนี อธิบายว่า เฟซบุ๊กนำมาซึ่งการเป็นเพื่อนกันได้โดยไม่ต้องรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน เพียงแค่มีความชอบอะไรเหมือนๆ กัน แต่ทั้งนี้ การปฏิสัมพันธ์ในเฟซบุ๊กเป็นการใช้เวลาผ่อนคลายที่ต้องพึ่งพิงผู้อื่น ต้องมีคนที่มาปฏิสัมพันธ์ด้วยต้องอาศัยเทคโนโลยีเพราะหากไม่มีอินเตอร์เน็ตก็เล่นไม่ได้
เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องต้องห้ามในที่สาธารณะก็สามารถเอามาพูดคุยในเฟซบุ๊กได้
เฟซบุุ๊กเป็นที่ปลดปล่อยอารมณ์ อย่างการไปโพสต์ว่า "รถติดจัง" เป็นต้น ซึ่งมีข้อดีคือ การปลดปล่อยอารมณ์นั้นอาจช่วยให้เราผ่อนคลายหากไม่ได้เป็นการไปทำร้ายใคร
แต่ก็มีข้อเสียก็คือ หากว่าเราปลดปล่อยอารมณ์ในทุกๆเรื่อง มันก็อาจหล่อหลอมให้เรามีอุปนิสัยอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ดีนัก
เฟซบุ๊กยังนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์ อย่างในสมัยที่เรายังไม่มีเฟซบุ๊ก เราแต่ละคนมีอัตลักษณ์เดียว แต่บนโลกออนไลน์เราสามารถเลือกที่จะเป็นใครก็ได้
นอกจากนี้ เฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ยังทำให้ความรู้เป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขต ทำให้ความรู้ทุกวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสถาบันการศึกษาเพราะเฟซบุ๊กเป็นสื่อหนึ่งที่มีคลิปความรู้ คลิปการบรรยายดีๆของนักวิชาการ