"ความรัก-เซ็กส์-ตัวตน-ชุมชน" ในโลกเฟซบุ๊ก

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 4:22 am

เมื่อนักมานุษยวิทยาวิเคราะห์ประเด็น "ความรัก-เซ็กส์-ตัวตน-ชุมชน" ในโลกเฟซบุ๊ก
วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 12:45:00 น


เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. มีการจัดเสวนา "เฟซบุ๊ก : เครือข่ายชีวิตในยุคดิจิตอล" โดยมี ผศ.ดร.จุลนี เทียนไทย และ ดร.จักรกริช สังขมณี จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ซึ่งมีเนื้อหาของการเสวนาดังนี้



ดร.จุลนี กล่าวเริ่มต้นว่า "การที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะส่งผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิต การสร้างค่านิยม พิธีกรรมในกิจวัตรทางสังคมใหม่ๆ การมีมุมมองที่ให้คุณค่ากับสิ่งรอบๆตัวในชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึง การสร้างความหลากหลายในรูปแบบปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน และทักษะใหม่ๆในยุคสมัยของตนเอง"

รูปภาพ

ดร.จุลนี กล่าวถึงสิ่งที่เฟซบุ๊กส่งผลต่อพฤติกรรมของคนในสังคมว่า สำหรับเด็กที่เติบโตมากับคอมพิวเตอร์ โลกทรรศน์ของเด็กในรุ่นนี้จะต่างกับในรุ่นอื่นโดยสิ้นเชิง เช่นการเล่นของเด็ก ซึ่งเมื่อก่อนเด็กจะใช้จินตนาการกับวัตถุที่จับต้องได้ อย่างการเอาก้านกล้วยมาทำเป็นม้าขี่ แต่ในปัจจุบัน จินตนาการของเด็กจะไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่คอมพิวเตอร์หยิบยื่นให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่เห็นได้ด้วยตา อย่างในเฟซบุ๊กที่มีเกมที่เป็น imaginary play ต่างๆ ซึ่งก็มีผลงานวิจัยออกมาในด้านที่ดีว่า เกมเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ที่ช่วยเสริมสร้างสร้างความรับผิดชอบให้กับเยาวชน อย่างเกมที่ผู้เล่นจะต้องเข้าไปเก็บผัก ไปให้อาหารตรงตามเวลา ซึ่ง pretend responsibility (ความรับผิดชอบเทียม) ดังกล่าวได้สร้างให้เกิด commitment (ข้อผูกมัด) ขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 4:42 am

เรื่องรักใคร่บนโลกไซเบอร์



ดร.จุลนี กล่าวต่อว่า การมี cyber romance (ความรักในโลกไซเบอร์) ก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คนไปเช่นกัน ทั้งในเรื่องของ cyber sex ที่คนสมัยนี้สามารถมีความสุขทางเพศได้ด้วยการเสพทางตา ไม่จำเป็นต้องสัมผัสซึ่งกันและกัน และก็ไม่ใช่การแค่ดูหญิงชายมีเพศสัมพันธ์กันเท่านั้น แต่ว่าสมัยนี้การดูหุ่นยนต์, มนุษย์มีปีกมีเพศสัมพันธ์กันก็สามารถทำให้ผู้ที่ดูถึงจุดสุดยอดได้ ซึ่งการเสพสิ่งเหล่านี้ได้สร้าง "เซ็กซ์ชวลแฟนตาซี" ที่มากไปกว่าสิ่งที่โลกเป็นจริงจะมอบให้



การจีบกันในโลกไซเบอร์ หรือ cyber flirtation เป็นการที่เราติดต่อกับคนอื่นโดยเห็นแค่รูปแล้วเกิดความถูกตาต้องใจ ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความดึงดูดทางกาย อันนำไปสู่การขอแอดเฟรนด์ การชวนคุย ซึ่งใช้ภาษาหรือคำศัพท์ที่จะไปกระทบใจคนอีกฝั่งหนึ่ง ใช้ emotion icon หรือใช้การส่งรูปภาพ ซึ่งต่างกับในสมัยก่อนที่เราจะ "เฟลิร์ต" โดยแกล้งทำผ้าเช็ดหน้าตก



สำหรับเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์ (infidelity) ในสังคมอเมริกันนั้น ตั้งแต่มีเฟซบุ๊กขึ้นมาก็ได้มีการวิจัยพบว่าอัตราการหย่าร้างพุ่งสูงขึ้นเยอะมาก อาจเป็นเพราะการรู้จักคนใหม่ หรือการนอกใจนั้นง่ายขึ้น จำนวนของคนที่มี single status (สถานะ "โสด" ในเฟซบุ๊ก) ในอเมริกามีสูง ซึ่งแม้แต่คนที่แต่งงานแล้วก็ยังโพสต์ว่าตนนั้น "โสด"


รูปภาพ



เฟซบุ๊กยังเป็นสมรภูมิใหม่ของการจีบกัน โดยไม่ต้องพาไปกินข้าว ดูหนัง หรือแม้แต่ซื้อดอกไม้ให้ "แต่แค่ส่งรูปดอกไม้ให้สาวก็กรี๊ดแล้ว" ดร.จุลนีกล่าว



นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังเป็นช่องทางที่ทำให้เด็กผู้หญิงสามารถพูดคุยกันถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งแต่ก่อนผู้ชายในสังคมเท่านั้นที่จะทำได้ โลกออนไลน์ยังเป็นโลกที่พ่อแม่เข้าไปสอดส่องไม่ค่อยได้ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ลูกสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกจับตามอง



เฟซบุ๊กยังเป็นที่แห่งใหม่ที่เราจะไป hang out หรือใช้เวลาในการพักผ่อน แต่การ hang out ดังกล่าวก็มีแง่ลบด้วยเหมือนกันหากเกิดจากการชักชวนกันในทางที่ผิด



นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังตอบสนองความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของมนุษย์ เพราะคงไม่มีใครที่มีเฟซบุ๊กแล้วมีเพื่อนแค่คนเดียว หรือเวลาที่เราโพสต์อะไรในเฟซบุ๊กแล้วไม่มีใครมากดไลค์ หรือคอมเม้นท์ เราจะรู้สึกแย่



เฟซบุ๊กยังเปลี่ยนวิธีการใช้เวลาว่างของเรา ที่เมื่อก่อนเราจะไปอยู่กับเพื่อนเราก็จะใช้เวลาหน้าคอมพิวเตอร์กับ virtual community แทน

รูปภาพ

ดร.จุลนี อธิบายว่า เฟซบุ๊กนำมาซึ่งการเป็นเพื่อนกันได้โดยไม่ต้องรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน เพียงแค่มีความชอบอะไรเหมือนๆ กัน แต่ทั้งนี้ การปฏิสัมพันธ์ในเฟซบุ๊กเป็นการใช้เวลาผ่อนคลายที่ต้องพึ่งพิงผู้อื่น ต้องมีคนที่มาปฏิสัมพันธ์ด้วยต้องอาศัยเทคโนโลยีเพราะหากไม่มีอินเตอร์เน็ตก็เล่นไม่ได้ เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องต้องห้ามในที่สาธารณะก็สามารถเอามาพูดคุยในเฟซบุ๊กได้



เฟซบุุ๊กเป็นที่ปลดปล่อยอารมณ์ อย่างการไปโพสต์ว่า "รถติดจัง" เป็นต้น ซึ่งมีข้อดีคือ การปลดปล่อยอารมณ์นั้นอาจช่วยให้เราผ่อนคลายหากไม่ได้เป็นการไปทำร้ายใคร แต่ก็มีข้อเสียก็คือ หากว่าเราปลดปล่อยอารมณ์ในทุกๆเรื่อง มันก็อาจหล่อหลอมให้เรามีอุปนิสัยอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ดีนัก



เฟซบุ๊กยังนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์ อย่างในสมัยที่เรายังไม่มีเฟซบุ๊ก เราแต่ละคนมีอัตลักษณ์เดียว แต่บนโลกออนไลน์เราสามารถเลือกที่จะเป็นใครก็ได้





นอกจากนี้ เฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ยังทำให้ความรู้เป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขต ทำให้ความรู้ทุกวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสถาบันการศึกษาเพราะเฟซบุ๊กเป็นสื่อหนึ่งที่มีคลิปความรู้ คลิปการบรรยายดีๆของนักวิชาการ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 4:48 am

เฟซบุ๊กกับตัวตน


ดร.จุลนี กล่าวว่า ในทางจิตวิทยามีคอนเส็ปต์ 3 อย่างเกี่ยวกับความเป็นตัวตน ซึ่งได้แก่ actual self หรือสิ่งที่เราเป็นจริงๆ, ideal self หรือตัวตนที่เป็นอุดมคติ คือการที่เรามองว่าเราอยากให้ตนเองเป็นอย่างไร และสุดท้าย ought-to self หรือตัวตนที่เราจำเป็นจะต้องเป็น ทั้งนี้ไม่ว่าจะด้วยภาระ หน้าที่ หรือจริยธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมากในเฟซบุ๊กคือ ideal self ที่เราสามารถสร้างอิมเมจของตัวเราขึ้นมาได้ แม้ว่าตัวตนจริงๆเราจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ตาม และการสร้าง ideal self ก็มีส่วนกระทบให้ actual self เปลี่ยนไปด้วย และทั้งสองนี้ต่างก็กระทบซึ่งกันและกัน



เฟซบุ๊กก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เช่น "เดี๋ยวนี้เราสั่งทุกอย่างได้ แม้แต่การเลือกภรรยาจากต่างประเทศ" ด้วยการดูคลิปผ่านทางเฟซบุ๊ก, วัยรุ่นเดี๋ยวนี้ไม่ต้องเปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้ว แค่มี account เฟซบุ๊กก็สามารถขายเสื้อผ้าได้ เฟซบุ๊กยังเป็นช่องทางการตลาดของพรรคการเมืองและนักการเมือง ซึ่งในตอนนี้เราจะเห็นได้ว่า พรรคการเมืองแทบทุกพรรคจะมีเฟซบุ๊ก รวมทั้งมีการใช้เฟซบุ๊กในการสร้างอัตลักษณ์ชาตินิยมเช่นในประเทศจีน รวมทั้งการใช้เฟซบุ๊กเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน



ขณะเดียวกัน เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ก็จะเปลี่ยนรูปแบบไป เนื่องจากผลงานในเฟซบุ๊กนั้น ดูได้ง่าย ฟรี ดาวน์โหลดได้ ซึ่งจะนำไปลักษณะของลิขสิทธิ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเจ้าของงานจะรู้ไหมว่างานของตนนั้นถูกใช้ไปกับใครและแพร่ไปที่ไหนบ้าง



สุดท้ายคือเรื่องของความไม่เท่าเทียม ซึ่งความไม่เท่าเทียมไม่ใช่เรื่องว่าใครรวยและใครจน แต่เป็นเรื่องของคนที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ กับคนที่ไม่สามารถเข้าถึง เพราะคนทั้งสองพวกนี้มีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน สิทธิดังกล่าวคือสิทธิที่ว่าใครเป็นคนพูด หรือพูดได้ถี่กว่ากัน



นอกจากนี้ เนื่องจากโลกเฟซบุ๊กไม่มีการควบคุม จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า ควรจะมีคนคอยควบคุมให้การใช้เฟซบุ๊กอยู่ในขอบเขตไหม รัฐควรเข้ามาควบคุมหรือเปล่า หรือรัฐมีสิทธิที่จะควบคุมไหม และควบคุมได้แค่ไหน อย่างไร เพราะว่าการเป็นชุมชนนั้นจะต้องมีกฏหมู่ของคนที่อยู่ร่วมกัน

รูปภาพ


ท้ายสุด ดร.จุลนีได้กล่าวว่า สิ่งที่เราควรคำนึงถึงเมื่อเล่นเฟซบุ๊กคือความสามารถในการแยกแยะว่า อะไรคือความเป็นส่วนตัว อะไรคือข้อมูลที่ควรเก็บเป็นความลับ เพราะเดี๋ยวนี้มีการเข้ามาเก็บข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำมาใช้ในทางอาชญากรรม ยกตัวอย่างอย่างการที่คนเยอรมันไม่ชอบเล่นเฟซบุ๊ก เพราะในวัฒนธรรมของเขา การบอกถึงข้อมูลส่วนตัว ไม่ว่าจะเรียนจบจากที่ไหน หรือทำงานอะไร เป็นเรื่องที่คนเยอรมันไม่ค่อยยอมเปิดเผยเนื่องจากกลัวการโจรกรรมข้อมูล



ส่วน ดร.จักรกริช กล่าวในฐานะคนเล่นเฟซบุ๊กคนหนึ่งว่า ตอนนี้เฟซบุ๊กได้ทวีความสำคัญขึ้นมา อันจะเห็นได้อย่างหนึ่งจากการที่คำว่า "เฟซบุ๊ก" ในภาษาอังกฤษได้กลายมาเป็นคำกิริยาแล้ว เช่น คนสมัยนี้พูดกันว่าเรา "เฟซบุ๊กกิ้ง" (facebooking) แทนที่จะพูดว่า เรา "เล่น" เฟซบุ๊ก

รูปภาพ

ดร.จักรกริชยังกล่าวว่า แม้ว่าทุกคนต่างก็เผชิญกับรูปแบบของเฟซบุ๊กแบบเดียวกัน แต่ว่าแต่ละคนก็ให้ความหมายต่อเฟซบุ๊กต่างกัน เพราะว่าเฟซบุ๊กมีแบบฟอร์มที่ง่ายซึ่งทุกคนสามารถเข้าใจได้ เช่นรูปแบบการกรอกข้อมูล หน้าตาของเพจ การโพสต์ข้อมูล แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เฟซบุ๊กถูกทำให้เป็นเรื่องของปัจเจกและมีความแตกต่างกัน "เฟซบุ๊กของผมก็ไม่ได้เหมือนกับเฟซบุ๊กของคุณ" ดังนั้น เฟซบุ๊กจึงมีความต่างกันภายในพื้นที่ปริมณทลสาธารณะเดียวกัน



ดร. จักรกริชยังกล่าวถึงเฟซบุ๊กกับการสร้างความเข้าใจในเชิงมนุษยวิทยาว่า เฟซบุ๊กทำให้เส้นแบ่งระหว่างปริมณฑลแห่งความจริงกับความเป็นเรื่องแต่งนั้นเบลอร์ ไม่ชัดเจนอีกต่อไป มีความผสมปนเปกันระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง, เรื่องส่วนตัวกับเรื่องสาธารณะ ซึ่งทำให้คนเกิดจินตนาการและความเข้าใจที่มีต่อโลกในหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น ความแตกต่างของเฟซบุ๊กกับจากเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ด คือการที่มันสร้างอำนาจให้เจ้าของเฟซบุ๊ก ที่จะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ คลิกได้เลือกที่จะรับ/ไม่รับใครเป็นเพื่อนหรือจะโพสต์อะไรก็ได้ และด้วยความที่เฟซบุ๊กเป็นพื้นที่สาธารณะนี้เอง เฟซบุ๊กของคุณจึงเป็นพื้นที่สาธารณะที่คุณสามารถควบคุมได้ หรือพูดได้ว่า "เราก็คือ บิ๊กบราเธอร์ (Big Brother) ในเฟซบุ๊กของเราเอง"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 4:56 am

เราเป็นใครในเฟซบุ๊ก?


ส่วนเรื่องที่ว่า อัตลักษณ์เราในเฟซบุ๊กนั้นเป็นอย่างไร ดร.จักรกริชกล่าวว่า เวลาที่เราพูดถึงการสร้างอัตลักษณ์ของคนเรา เรามักจะยึดโยงกับสิ่งต่างๆ เช่นว่าชอบเล่นกีฬาอะไร ชอบเที่ยวแบบไหน หรือใช้สินค้าแบรนด์อะไร ซึ่งในเฟซบุ๊กเองก็มีโอกาสที่เราจะสร้างตัวตนหรือบอกผู้อื่นว่าเราคือใครได้เหมือนกันด้วยการเข้าไปกดไลค์ การโพสต์รูป (รูปที่เราเลือกเป็นสิ่งที่เราเลือกจะ represent -แสดงภาพแทน- ตัวเอง), การใช้ชื่อในเฟซบุ๊ก, การกรอกข้อมูลในโปรไฟล์ หรือสเตตัสโสดหรือไม่ "คนเราไม่ได้เดินไปเดินมาโดยติดป้ายบอกไว้ว่ามีแฟนแล้วหรือยัง แต่คนเราอยากรู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร เฟซบุ๊กเกิดจากการที่คุณ represent ตัวเอง และคนอื่นจะรับรู้ความเป็นตัวคุณอย่างไร"





นอกจากนี้ "เครือข่าย" หรือ "เฟรนด์" ของคุณ ก็ represent ตัวคุณด้วย "เฟรนด์" ในเฟซบุ๊ก ซึ่งต่างจาก "เพื่อน" ในชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริงคนเรามีช่วงชั้นทางสังคม เช่นในเรื่องของอายุ ตำแหน่งการงาน แต่ในเฟซบุ๊ก ความเป็นเฟรนด์นั้นไม่แตกต่างกัน ระดับของชนชั้นมีน้อยลง จนบางทีเราอาจคิดไปว่าเฟซบุ๊กเป็นสังคมที่เท่าเทียม ทว่า เฟซบุ๊กก็ไม่ได้เป็นสังคมแห่งความเท่าเทียมกันจริงๆ เพราะมีการห้ำหั่นกันโดยใช้ปริมาณของ popularity หรือจำนวนของเฟรนด์ ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่แบบใหม่ที่มีการสร้างอำนาจขึ้นมาได้ผ่าน popularity ที่เกิดขึ้น เห็นได้จากการสร้างกลุ่มขึ้นมาตอบโต้กัน เช่นกลุ่มจำพวกที่มีชื่อขึ้นต้นว่า "มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านคน..." อันจะเป็นการลดทอนคุณค่าในเชิง quality ของคนลง



รูปภาพ


เฟซบุ๊กกับความเป็นชุมชน



ดร.จักรกริช กล่าวถึงประเด็นความเป็นชุมชน (network) ของเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นประเด็นที่นักมานุษยวิทยาพูดคุยกันเยอะว่า ความเป็นชุมชนออนไลน์นั้นไม่ใช่ชุมชนทางกายภาพ แต่เป็นสังคมที่เรียกว่าผ่านความสัมพันธ์ในลักษณะเครือข่าย (network) ดังนั้นวิถีปฏิบัติ (manner) ของคนในเฟซบุ๊กกับโลกจริงจึงไม่เหมือนกัน โดยเฟซบุ๊กเป็นชุมชนของการเเลกเปลี่ยนกันมากกว่าจะเป็นที่ที่มี commitment (ข้อผูกมัด) และ obligation (ภาระความผิดชอบ) อันเป็นสิ่งที่เรามีในโลกแห่งความเป็นจริง กระทั่งนักมานุษยวิทยาบางคนกล่าวว่า บางที เราไม่สามารถเรียกเฟซบุ๊กว่าเป็นชุมชนได้ เพราะการปฏิสัมพันธ์ในเฟซบุ๊กเป็นการปฏิสังสรรค์ทางสังคมแค่เพียงสั้นๆเท่านั้น



นอกจากนี้ เฟซบุ๊กก็ไม่ใช่ภาพตัวแทนทั้งหมดของ "ชุมชนออฟไลน์" เพราะว่าเราไม่ได้ปฏิบัติกับคนที่อยู่ใน "โลกออนไลน์" แบบเดียวกับที่เราปฏิบัติกับเขาใน "โลกออฟไลน์" คู่ขนาน ในออนไลน์ คนสองคนอาจจะสนิทกัน กดไลค์กันไปมา แต่ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันเลย พอถึงเวลาที่เจอหน้ากันจริงๆอาจจะพูดไม่ออก เกิดความตะขิดตะขวงใจ ดังนั้น นักมานุษยวิทยาจึงจำเป็นต้องศึกษาว่า เราจะทำความเข้าใจความคาบเกี่ยวระหว่าง "โลกออนไลน์" กับ "ออฟไลน์" อย่างไร ทั้งสองโลกนี้เชื่อมโยงและตอบโต้กันไปมาอย่างไร



http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... d&subcatid
ตอบกลับโพส